ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก
เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด
เข้าสู่ระบบ
บ้านหลวงปู่
คศช.
ข่าวสารล่าสุด
ประสบการณ์
โชว์วัตถุมงคล
สอบถาม
นานาสาระ
นครนาคราช
ร่วมประมูล
บูชาวัตถุมงคล
เพื่อน
กระทู้แนะนำ
บุ๊คมาร์ก
ไอเท็ม
เหรียญ
ภารกิจ
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
ดูบริการทั้งหมด
เว็บบอร์ด
BBS
บูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ชื่น
ศรีสุทธรรมนาคราช
ร้านจอมพระ
ศูนย์พระเครื่องจอมพระ
ค้นหา
ค้นหา
HOT TAG:
พระศรีราม
ขุนแผนแสนตรีเวทย์
พระเจ้าชัยวรมัน
บอร์ดนี้
บทความ
เนื้อหา
สมาชิก
Baan Jompra
›
นานาสาระ
›
มรดกธรรม เส้นทางสู่ทางสงบในชีวิตและจิตใจ
»
~ ความยึดมั่นถือมั่น ~
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
ดู: 2290
ตอบกลับ: 2
~ ความยึดมั่นถือมั่น ~
[คัดลอกลิงก์]
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
ไปยังโพสต์
1
#
โพสต์ 2014-3-22 12:18
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
|
โพสต์ใหม่ขึ้นก่อน
|
โหมดอ่าน
ความยึดมั่นถือมั่น
ประเทศชาติบ้านเมืองเราถ้าประชาชนพลเมืองมีวินัยมีศีลธรรมสังคมก็จะมีระเบียบเรียบร้อยดีกฎหมายก็ไม่ต้องมีไม่เดือดร้อนถ้าธรรมะเราสอนไม่ได้ไปทำผิดเขาต้องจับไปติดตารางลงโทษถ้าโทษร้ายแรงก็เอาไปยิงเป้าตายทางโลกเป็นอย่างนั้นทางธรรมเราค่อยพูดกันไปเรื่อยๆตายทางโลกนี่ปืนยิงตูมเดียวมันเห็นหมดทุกคนตายทางพระธรรมพระวินัยนี่เงียบตายอยู่ในห้องผู้เดียวก็ได้ตายหายใจอยู่ก็ได้วัดป่าพงนี้ยิ่งตายได้ไวเอาขนมไปกินอยู่กุฏิก็ได้ธรรมะเป็นอย่างนั้น
กฎหมายบ้านเมืองนั้นถ้าคนไม่เห็นไม่ว่ากฎหมายพระพุทธเจ้าที่รักษาหมู่เรานี่เห็นก็ว่า ไม่เห็นก็ว่าถ้าเหตุไม่เกิดมาแล้วมันไม่เป็นผมเคยสืบสวนว่าทำไมถึงปกปิดเอาไว้มันอาย จะทำอะไรไม่ให้ใครรู้จักมันมีความเห็นแคบๆมันก็เป็นอลัชชี*ปลอมบวชในพระพุทธศาสนาเท่านั้นเอง
แต่ก่อนผมเคยคิดว่าอลัชชีนี้จะเป็นจำพวกหนึ่งต่างหากไม่รู้จักอลัชชีแท้ๆมันจะเป็นยังไงเมื่อดูไปดูมาปฏิบัติในใจของเราก็ค่อยๆรู้จักไปยิ่งได้รู้รสธรรมะของพระพุทธเจ้าก็ยิ่งละเอียดสุขุมเข้าไปเรื่อยๆอลัชชีก็พวกเรานี้แหละอันใดมันทำบาปทำสกปรกลามกมันไม่มีความละอายมันก็เป็นอลัชชีนอกศาสนาทั้งนั้นเมื่อคิดสกปรกลามกขึ้นในใจเจ้าของแล้วก็ทำไปอย่างนั้นมันก็เป็นอลัชชีทำแล้วก็ไม่คิดแก้ตัวเจ้าของดีใจว่าครูบาอาจารย์หมู่พวกไม่เห็นแล้วไม่เป็นไรความเป็นจริงความดีความชั่วนั้นเราจะปิดอย่างไรมันก็ไม่มิดแม้จะทำไปผู้เดียวไม่มีใครเห็นก็ปิดไม่ได้
ธรรมะความเป็นจริงต้องเปิดอยู่ตลอดเวลามันไม่ได้ทำมันก็จริงด้วยการไม่ได้ทำมันได้ทำมันก็จริงด้วยการได้ทำจะหนีไปทางไหน?มันไม่พ้นหรอกพระองค์ใด เณรองค์ใดถ้าทำอะไรลงไปอยากจะทำผิดนั่นคือความสกปรกลามกเกิดขึ้นในใจของเราถ้าจะไปทำสิ่งนั้นก็รู้อยู่ว่ามันผิดแต่ระวังหมู่จะเห็นกลัวครูบาอาจารย์จะรู้ถ้าอยู่ในที่ลับไม่มีใครรู้ใครเห็นด้วยก็เป็นเลยกระทำสิ่งเหล่านั้นนี้คือมันโง่ที่สุดถ้ามันเป็นอย่างนั้นมันหาความบริสุทธิ์ไม่ได้คิดว่าความปกปิดมันจะมีในโลกพระพุทธเจ้าและผู้รู้ทั้งหลายท่านบอกว่ามันไม่มีหรอกการปกปิดทำดีก็ดีอยู่ที่นั้นทำชั่วมันก็ชั่วอยู่ที่นั้นไม่ต้องมองดูผู้ใดผู้หนึ่งเลยถ้าพิจารณาให้ดีแล้ว
ฉะนั้นท่านจึงไม่หวั่นไหวในนินทาสรรเสริญ ลาภยศ มันเป็นของโลกตาคนเห็น หูคนได้ยินหูคนไม่เหมือนหูพระตาคนก็ไม่คือตาพระตาคนนั้นชอบใจแล้วมันก็ว่าดีถึงผิดจากความเป็นจริงมันก็ไม่วางขอแต่ว่าชอบใจก็ว่าดีหูได้ยินเสียงมันสนุกไพเราะ จิตใจมันก็ว่าเสียงนั้นดีแม้มันผิดอยู่ก็ว่าสบายใจดีจำพวกโลกเป็นอย่างนั้นความสรรเสริญเยินยอความนินทากาเลต่างๆพระพุทธเจ้าท่านฆ่าอันนั้นมันเป็นจิตของคนที่ติดอยู่ในโลกห่วงอยู่ในโลก
โลกธรรมแปด*เป็นโลกธรรมที่ครอบใจสัตว์โลกอยู่เมื่อมันครอบใจสัตว์โลกสัตว์โลกก็ต้องเป็นไปตามธรรมนั้นมีลาภก็ดีใจเสียลาภก็เสียใจเขาสรรเสริญก็พองตัวขึ้นมาถ้าเขานินทาก็เสียใจถ้าเราเป็นอย่างนั้นเราจะจมอยู่ในโลกอยู่ในวัฏฏะ*ไม่มีหวังว่าจะพ้นไปได้แต่หากว่าใครได้พบความจริงแล้วก็ไม่ถือสาใครจะนินทาจะสรรเสริญก็ช่างท่านไม่ได้ยินดียินร้ายท่านข้ามโลก
ฉะนั้นจิตของพระอริยเจ้าทั้งหลายมันจึงแปลกจากมนุษย์เราคือท่านเปลี่ยนจากโลกเป็นโลกุตตระ*คือมีความรู้สึกอยู่เหนือโลกท่านไม่ได้เชื่อคนแต่ท่านเชื่อความจริงมีความสังวรสำรวมในอินทรีย์ทั้งหกคือตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ ไม่ให้ยินดียินร้าย
นักปฏิบัติเราถ้าซึ้งอยู่ในใจเจ้าของแล้วก็จะรู้จักได้ว่ามันยินดีไหม?มันยินร้ายไหม?คือมันพอที่จะคำนวณได้อยู่ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติละถอนมันจับมันมาพิจารณาจนกว่าให้มันน้อยให้มันเบาบางลงไปมันจะรู้จักได้ทุกคนถ้าใครมีสติอยู่ถ้าใครมีศรัทธาพิจารณาอยู่ถ้าเราตามใจกิเลสมันก็เป็นวัฏฏะเป็นเหตุให้หลงไม่หยุดสักทีมันไปยึดในลาภในสรรเสริญในยศ อย่างที่ผมว่าให้ฟังความยึดนี่แหละเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นเหตุให้เกิดภพ
อย่างเช่นศีรษะเรานี้เป็นต้นถ้าคิดไปคิดมาแล้วจะขี้ร้ายกว่าหัวมันซะล่ะมังหัวมันเขายังจับได้หัวคนนี่จับแล้วผมว่ามันจะเกิดชาติขึ้นเลยไปสหรัฐเขาเอาตีนนี่ใส่หัวลูกแต่ว่าที่ทำอย่างนั้นก็ยังจะไม่ดีอยู่ถ้าไม่มีปัญญาอันนี้เขาเรียกว่ามันเป็นประเพณีที่ไม่ถือสากันอย่างนั้นแต่ว่าประเพณีก็ช่างเถอะเมื่อพิจารณามันก็เป็นธรรมะถ้าเรามีความหวงแหนในศีรษะมีความยึด ถ้ามีใครมาข้ามศีรษะหรือมาจับแล้วไม่พอใจ นี่คือชาติเกิดขึ้นเมื่อเกิดชาติก็เกิดทุกข์เป็นเหตุให้ทุกข์เกิดขึ้นมาตรงนั้น
ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ความดับทุกข์รู้จักข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ดังนั้นเมื่อพูดแล้วก้นก็คือหัวหัวก็คือก้นนี่แหละถ้าคิดได้อย่างนั้นก็ไม่มีอะไรปล่อยมันเสียอุปาทานมันก็หมดไปไม่มีอะไรเราจะเห็นได้ง่ายๆว่าเรามีภพไหม?ชาติมันหมดแล้วหรือยัง?โลกุตตระจิตท่านไม่ให้เกี่ยวท่านฆ่าหมดเรื่องยึดมั่นถือมั่นทางก้นทางหัวสารพัดทุกอย่างไม่ให้ถือไม่ได้ถือจริงๆไม่ใช่ว่าอย่างนี้เราไม่ยึดไม่ยึดด้วยกันทั้งนั้นวันนี้มันยังไม่ยึดวันอื่นมันยึดมันก็ไม่ได้
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้รู้เจ้าของไม่ให้สงสัยอันใดมันเหลืออยู่ก็ทำไม่ให้มันเหลือผู้ใดรู้จักความเหม็นของขี้ไก่หยิบมาถูกมือมันเหม็นสกปรกจะต้องล้างออกล้างแล้วเอามาดมดูถ้ามันยังเหม็นอยู่ก็เรียกว่ามันยังไม่ทันหมดก็ล้างมันจนถึงที่สุดจนหายเหม็น นั่นเรียกว่าหมดขี้ไก่มันหายเหม็นหมดกิเลสก็อย่างนั้นถ้าเรารู้จักอย่างนี้ก็รู้จักเรื่องกิเลสของเจ้าของไม่ต้องไปดูไกลถ้าเรารู้เรื่องของมันแค่นี้ก็รู้จักแล้วมันก็ไม่ยากมันหมด ของมันหมด
ถ้ามีโลภ โกรธหลง แล้ว ก็ฆ่ากันตีกันอยู่ที่นั้นมันเป็นโลกธรรมถ้าโลกุตตระจิตมันไม่ได้ว่าเรามันไปติดดีติดชั่ว ติดลาภติดยศ ติดสรรเสริญท่านจึงว่าธรรมแปดประการนี้เป็นโลกธรรมธรรมอันครอบงำสัตว์โลกอยู่สัตว์โลกต้องเป็นไปตามธรรมนั้นเป็นยังไง?เขาว่าดีก็ดีใจเขาว่าไม่ดีก็เสียใจมีหมดทุกคนไหมในนี้?เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า?ให้เรามองดูอย่างนี้
แต่ว่าถ้ามันดีใจแล้วก็รู้ว่า"เออ มันผิดกิเลสเรายังหลาย"อย่างนี้มันก็ยังดีอยู่ถ้ามีความเสียใจอยู่ก็รู้จักน้อมเข้ามาหาใจเจ้าของ"เออ อันนี้มันยังอยู่นะ"จำพวกนี้ก็มีแต่น้อยจำพวกหนึ่งถ้าดีใจแล้วเข้าช่วยถ้าเสียใจแล้วคว้าไม้กระบองตีเพี้ยะเลยจำพวกนี้ยังหลายไม่รู้เรื่องอะไรไม่รู้จักการละไม่รู้จักการบำเพ็ญ
เราจะต้องมาพิจารณาว่ายินดีนั่นมันจะเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ได้ไหม?ยินร้ายมันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ได้ไหม?ความดีใจมันเป็นเหตุให้ทุกข์เกิดได้ไหม?ความเสียใจมันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ได้ไหม?บางคนไปมองดูแต่เรื่องเสียใจเรื่องดีใจไม่ได้มองเห็นพระพุทธองค์ท่านสอนให้รู้จักอย่ายินดียินร้ายให้สังวรสำรวมอินทรีย์หกคือตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ ไม่ให้ยินดียินร้ายในเวลาที่เห็นรูปได้ยินเสียงดมกลิ่น ลิ้มรสโผฏฐัพพะทางกายรู้ธรรมารมณ์ด้วยใจสอนตั้งแต่นักธรรมตรีขึ้นไปจนจบหลายประโยคท่านก็สอนอยู่อย่างนี้แหละ
ไอ้ความเป็นจริงเรายินดียินร้ายไหม?เราไม่ได้พิจารณาให้ชัดเจนถ้าหากว่าเรารู้เรื่องมันชัดแล้วว่าความยินดีมันเป็นเหตุให้ทุกข์เกิดถ้าเราไปหมายมั่นมันความยินร้ายมันก็เป็นเหตุให้ความทุกข์เกิดสิ่งทั้งสองอย่างนี้มันมีราคาเท่ากันถ้ามันเกิดขึ้นมาก็เห็นโทษมันทุกอย่างถ้าความยินดีเกิดขึ้นมาก็สักแต่ว่ายินดีเท่านั้นถ้าความยินร้ายเกิดขึ้นก็สักแต่ว่าความยินร้ายเท่านั้นเท่านี้มันก็ระงับเหตุ
เช่นว่าศีรษะเรานี้เราถือว่าถ้าใครไปตบไปจับ ตาย ตีตายเขาตบตามข้างๆก็ไม่เป็นอะไรตามแขนตามขาไม่เป็นอะไรถ้าไปตบศีรษะที่เราเอาความยึดเข้าไปหมายมั่นว่าตรงนี้สำคัญกว่าเขามันก็เลยเกิดทิฏฐิมานะขึ้นมานี่ ความร้ายของมันทีนี้อย่างกามคุณนี้ก็เหมือนกันการเสพกามนี้น่ะมันก็เท่ากันที่รูจมูกเราเอามือแหย่เข้าไปนี่นะมันมีอะไรไหม?แต่ถ้าเราไปวางความยึดมั่นหมายมั่นมันแล้วว่าตรงนั้นสำคัญที่สุดมันเป็นช่วงที่ชาวโลกชอบที่สุดเราจะเอาวางไว้ข้างบนวางในตูดเราก็ได้ถ้าไปเห็นแวบเข้าแล้วใจมันก็ขึ้นวาบมันเป็นยังไงก็ไม่รู้จักไม่รู้ว่าสัตว์ไม่รู้ว่าบุคคลจมูกเราเอามือแหย่เข้าไปไม่มีอะไรเอาขี้จมูกออกเฉยๆนี้ก็ไม่มีอะไรเพราะเราไม่ได้วางความยึดมั่นถือมั่นตรงนี้ถ้าเราวางไว้ทางตูดนั้นน่ะมันจะยิ่งสกปรกด้วยตรงนั้นสำคัญที่สุดด้วย
บุ๊คมาร์ก
0
ตอบกลับ
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
2
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-3-22 12:19
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ชาวโลกมองตรงนี้เป็นสำคัญที่สุดพอแต่ยังไม่เห็นเท่านั้นเลิกผ้าขึ้นตรงนี้เท่านั้นน่ะ"อูยตายแล้วนะ" นี่แหละเพราะอะไร?มันทุกข์มันอยู่ตรงนี้น่ะถ้าเราถือว่าตรงนี้ก็เหมือนรูจมูกเราเอาอะไรไปแหย่เข้าเราก็เฉยๆเท่านั้นแคะแต่ขี้จมูกของมันเท่านั้นน่ะถ้าเรามาคิดอย่างนี้มันจะห่างกันเท่าใดไหม?เรื่องธรรมดาก็เป็นอย่างนี้ตรงนี้เราเอาภพใส่เข้าไปนี่ก็เกิดชาติขึ้นมาซิเมื่อไม่มีชาติเกิดขึ้นก็ไม่มีความสุขความทุกข์ไม่มีความยินดียินร้ายเกิดขึ้นมามันก็ไม่มีอะไรเป็นธรรมดาๆเพราะไม่มีความยึดมั่นถือมั่นว่าตรงนั้นมันเป็นอันนั้นๆแต่ชาวโลกชอบจะเอาอะไรไปใส่ตรงนั้นนะ
คนมันชอบทำงานที่ตรงสกปรกที่สะอาดไม่ชอบทำงานตรงที่มันสกปรกเท่าไรยิ่งชอบทำงานไม่ต้องจ้างด้วยจ้างเขาก็เอาทำงานธรรมดาๆได้เงินได้ทองเขาจ้างเราอันนี้เราจ้างเขานี่ ดูซิ.มันถูกสมมุติมันยึดอย่างนั้นให้เราคิด อันนี้เป็นหลักปฏิบัติของเราเท่านั้นแหละถ้าเราพิจารณาดูรูจมูกรูหูรูทั้งหมดในนี้มันก็เป็นรูขี้เหมือนกันทั้งนั้นถ้าเราพิจารณาไม่ดีพิจารณาไม่เป็นธรรมะมันก็สยดสยองอยู่ตรงนี้แหละไม่ไปที่ไหนมันเป็นบ้าอยู่ตรงนั้นอันนี้ก็เป็นเหตุนะ
ธรรมปฏิบัตินี่ผมว่าไม่ต้องไปถามอะไรใครมากหรอกไม่ต้องไปสอบสวนอะไรมากเราจะต้องพิจารณาจิตตรงนี้ให้มันสะอาดบางทีผมเห็นพระแบกกลดใหญ่ๆตากแดดไปโน้นไปนี่หลายจังหวัดผมมองดูแล้วก็เหนื่อยเหมือนกัน"ไปทำไม?" "ไปหาความสงบ"ผมไม่มีคำตอบเขาแล้วไม่รู้ว่าความสงบมันอยู่ตรงไหนไม่ใช่ให้โทษเค้าผมก็เคยเป็นอย่างนั้นเหมือนกันไปหาความสงบนึกว่าความสงบมันจะอยู่ตรงโน้นคิดอย่างนั้นแต่ก็มีจริงๆเหมือนกันนะเมื่อไปตรงโน้นก็สบายหน่อยมันสบาย ไอ้คนเรามันเป็นอย่างนั้นนึกว่าตรงนั้นมันจะสบาย
ผมไปเห็นสุนัขอยู่ที่บ้านปภากโรน่ะตัวมันใหญ่เขารักมัน เอาข้าวให้มันกินอยู่ข้างนอกมันอยู่ข้างนอกไม่นานมันก็อยากเข้าในบ้านก็เข้ามาดันประตูแฮ่ๆเจ้าของก็รำคาญไปเปิดประตูให้มันเข้ามาอยู่ๆไปอากาศในห้องมันชักจะหนาวมันก็วิ่งไปวิ่งมาเบื่ออีกแล้วอยากจะออกไปอีกแล้วก็เข้าไปแฮ่ๆเจ้าของก็รำคาญอีกก็เปิดประตูให้มันออกไปอีกออกไปอยู่ข้างนอกสบายชั่วคราวเดี๋ยวมันอยากเข้ามาอีกแล้วอย่างนั้นนึกว่าข้างนอกมันดีกว่าข้างในพอเข้าไปชั่วคราวเบื่ออีกแล้วก็อยากออกมาออกมาแล้วก็อย่างนั้นแหละคืออยากเข้าไปอีกจิตของคนมันเหมือนสุนัขมันก็เข้าๆออกๆอยู่อย่างนั้นมันไม่รู้จักว่าที่ไหนมันจะสบายถ้าเราคิดอย่างนี้อะไรทั้งหลายที่มีความรู้สึกนึกคิดในใจเรามันจะพยายามระงับดับลงได้ไอ้ความยึดมั่นถือมั่นนี่เป็นสิ่งที่สำคัญมันพร้อมกันทั้งนั้นแหละ
ฉะนั้นพวกเรายังไกลนะยังห่างไกลหลายพูดถึงไปเมืองนอกมาผมเห็นหลายๆอย่างไปทีหนึ่งผมมีปัญญาขนาดหนึ่งไปครั้งที่สองนี่ผมมีปัญญาขนาดนี้ครั้งที่หนึ่งผมต้องเขียนหนังสือตรงนั้นๆครั้งนี้ผมวางปากกาไม่ได้เขียนอันโน้นอันนี้ที่ไหนปล่อยเลย คิดว่า"เออ เราจะไปเขียนเอาบ้านเอาเมืองเขามันจะทนหรือนี่"มันเป็นเสียอย่างนั้นคล้ายๆที่ว่าเราอยู่ในเมืองของเรานี่น่ะมันไม่ค่อยสบายคนไทยเราถ้าหากว่าไปถึงที่มันสบายก็นึกว่าเรามีบุญวาสนาบารมีได้ไปเมืองนอกผมว่ามันจะสู้คนเขาอยู่ได้หรือ?เขาเกิดอยู่ตรงนั้นน่ะเราไปชั่วคราวก็รู้สึกว่ามันดีมันเลิศ มันประเสริฐเป็นผู้มีวาสนาบารมีปภากโรเขายิ่งเกิดอยู่ที่เมืองนั้นเขาจะไม่มีบุญมากกว่าเราหรือนี่คือความยึดมั่นถือมั่นของคน
ฉะนั้นคนไปถูกอะไรต่างๆมันตื่นเต้นมันชอบตื่นเต้นความตื่นเต้นในใจเรามันเข้าไปบ่มขึ้นมาอีกไปเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นไปรู้สิ่งที่ไม่เคยรู้แต่ว่าเรื่องที่เป็นวิทยาศาสตร์น่ะก็ยกให้เขาไปเลยไม่ต้องไปเถียงเขาเรื่องวัตถุต่างๆน่ะมอบให้เขาซะเราสู้ไม่ได้แต่เรื่องพุทธศาสตร์นี่เรายังอยู่เหลืออยู่ทุกสิ่งทุกอย่างก็เหมือนกัน
การประพฤติปฏิบัติของพวกเรานี้บางคนก็เป็นทุกข์เป็นยากก็ไปวิ่งตามรอยที่มันเป็นทุกข์มันก็ทุกข์ซินี่แหละคนเรามันไม่ตกลงจิตมันไม่ได้ภาวนาให้ถึงที่สุดมันก็ไม่เห็นชัดคือการภาวนาไม่ติดตามติดต่อกันไปไม่ต่อเนื่องกันไปคือความรู้จักผิดถูกไม่รู้จักเกิดขึ้นมาอะไรไม่ชอบไม่เอาอะไรชอบเอานี่เรื่องทิฏฐิอย่างมากที่สุดตรงนั้นเขาก็นึกว่ามันดีจึงยึดมั่นถือมั่นฉะนั้นคนจะไปทางนี้มันน้อยพวกเราทั้งหลายทุกๆคนนี้ก็เหมือนกันสัมมาทิฏฐิยังมีน้อย
สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบโดยมากเมื่อพิจารณาตามธรรมะแล้วมันไม่ชอบมันเห็นไม่ชอบถ้าเห็นชอบมันต้องลดต้องละซิอันนี้มันไม่เห็นชอบบางทีก็ไม่เห็นด้วยซ้ำไปเห็นเป็นอย่างอื่นไปเสียมันอยากจะเปลี่ยนธรรมะให้เป็นอย่างอื่นไปตัวเราเองนี้แหละมันอยากจะแก้ธรรมะแล้วก็พยายามใฝ่หากันไปเรื่อยๆอีกอันหนึ่งไปพบเขาทำโยคะกันสารพัดอย่างเราทำไม่เป็นขามันจะหักหมดไม่มีเหลือละคือเส้นเอ็นของเรามันปกติอยู่ต้องทำให้เหยียดออกไปทำไปๆทุกวันๆก็สบายถ้าหากว่าเขาไม่ทำเขาจะไม่สบายผมเลยคิดว่านี่คือเอาโลกใส่เจ้าของอีกแล้วมันเปลี่ยนแปลงมันถึงออกมาอย่างนี้มันตึงเครียดแล้วก็เปลี่ยนไปสบายสบายชั่วคราวเพราะเราทำมันถ้าเราไม่ทำอย่างนั้นเกิดความไม่สบายอีกแล้วจำเป็นต้องทำทุกๆวันมันจึงจะสบายถ้าไม่ได้ทำวันสองวันไม่สบายแล้วผมเข้าใจว่าเพิ่มงานเข้ามาโดยไม่รู้จักเจ้าของ
ทีนี้นิสัยของคนจะต้องทำน่ะผมเห็นจีนคนหนึ่งนะแกไม่นอนมาได้สามสี่ปีแล้วนั่งนิ่งอยู่เฉยๆตรุษสงกรานต์ก็อาบน้ำกับเขาทีหนึ่งร่างกายก็อ้วนท้วนเลือดลมดีไม่ต้องวิ่งก็ได้ถ้าจีนคนนี้ให้เขาไปวิ่งก็จะไม่สบายก็ไม่รู้เพราะเขาฝึกอย่างนั้น
ฉะนั้นมันเป็นเพราะการฝึกสำคัญที่สุดมันแก้โรคก็ได้เพิ่มโรคก็ได้ความรู้สึกนึกคิดของเรานี้ก็เหมือนกันทุกอย่างนั่นแหละต้องเป็นอย่างนั้นที่พระพุทธองค์ท่านว่าให้รู้รอบๆให้มันรู้รอบจริงๆเราทุกคนอย่าเพิ่งไปยึดมั่นถือมั่นอย่าเพิ่งไปตื่นเต้นอะไรมันทั้งนั้นเราอยู่ๆที่นี่น่ะเช่นครูบาอาจารย์เราอยู่กันสบายมันก็ไม่มีอะไรมันสบายแล้วคล้ายๆปลาตัวเล็กมันอยู่หนองใหญ่มันก็ว่ายไปมาสบายถ้าอีกวันหนึ่งน่ะปลาตัวใหญ่ไปอยู่หนองเล็กมันจะเป็นยังไงไหม?มันจะเกิดความอึดอัดไม่สบายขึ้นมา
เช่นว่าเราอยู่เมืองนี้กินสบาย นอนสบายอยู่สบาย อะไรๆสบายถ้าไปเห็นอย่างอื่นที่เขาทำแปลกเราไปอีกมันจะเป็นปลาตัวใหญ่ไปอยู่หนองเล็กนี่ สมัยที่เราอยู่เมืองไทยเราวัฒนธรรมอย่างนี้ใครทำถูกต้องตามวัฒนธรรมอันนี้มันก็สบายถ้าอีกคนหนึ่งมาทำให้ผิดจากวัฒนธรรมเราไปซิมันจะเกิดความไม่สบายขึ้น
ทุกวันนี้เราเป็นปลาตัวเล็กอยู่หนองใหญ่มันก็สบาย ถ้าหากว่าปลาตัวใหญ่ไปอยู่หนองเล็กมันจะเป็นอย่างไร?ชาวเมืองนอกก็เหมือนกันฉันนั้นที่เขาอยู่ตามสภาพบ้านเขาน่ะเขาก็สบายอย่างนั้นไอ้พระเรามันปลาตัวเล็กไปอยู่หนองใหญ่มันสบาย ถ้าเขามาเมืองไทยเราบีบเลยนะมันเป็นปลาตัวใหญ่ในหนองเล็กจะขบจะฉัน จะไปจะมาอะไรมันไม่ถูกทางทั้งนั้นแหละปลาตัวใหญ่มันอยู่หนองเล็กมันวิ่งไปไม่ได้ไปมาไม่สะดวกขนาดนั้น ไอ้ความยึดมั่นถือมั่นนี่คงในระดับอันเดียวกันคนหนึ่งติดข้างซ้ายคนหนึ่งติดข้างขวา
ฉะนั้นในทางที่ดีให้รู้จักประเพณีไทยประเพณีฝรั่งให้รู้จัก ถ้าเรามีประเพณีธรรมะเราจะเอาประเพณีเมืองนอกเมืองไทยเข้ากันได้สบายถ้าเราไม่รู้จักประเพณีธรรมะแล้วมันยุ่งทั้งนั้นแหละประเพณีธรรมะนี่เป็นที่รวมของวัฒนธรรมทั้งหลายอันนี้ผมเคยได้ยินคำพระท่านสอนไว้ว่าเมื่อเราไม่รู้จักภาษาเขาไม่รู้จักคำพูดเขาไม่รู้จักความหมายเขาไม่รู้จักการกระทำของเขาในถิ่นนั้นเราอย่าเพิ่งไปถือตัวในที่นั้นคำนี้ยืนยันตลอดเวลาผมเพิ่งมารู้ธรรมเช่นนี้ปรากฏขึ้นมาในคราวที่ผมไปกับลูกศิษย์ลูกหานี้ อันนี้ได้เอามาใช้สองปีมาแล้วที่ได้ออกจากบ้านเราไปนี่น่ะมีประโยชน์
แต่ก่อนมันยึดแล้วก็มั่นเดี๋ยวนี้มันยึดไม่ให้มันมั่นจับมาดูเฉยๆแล้วก็วางแต่ก่อนจับมาไม่ยอมวางมันยังยึดมั่นสมัยนี้มันไปยึดแต่ไม่มั่นให้ผมว่าพวกท่านก็ได้ให้ผมโกรธพวกท่านก็ได้แต่ในทำนองเดียวกันยึดอย่าให้มั่นอย่าให้มันขาดจากใจของเราสบายจริงสะดวกจริง ถ้าเรารู้จักธรรมะของพระพุทธเจ้า
ฉะนั้นผมจึงสรรเสริญคำสอนของพระพุทธเจ้ายึดเอาประเพณีทั้งสองเข้ามารวมกันสบายทีนี้รู้ บางสิ่งบางอย่างที่จะเอามาฝากพวกเราทั้งหลายนั้นมี ผมจึงว่าไปเพื่อประโยชน์ประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่นประโยชน์พระศาสนาประโยชน์ในมหาชนทั่วไปประโยชน์แก่พวกท่านทั้งหลายทั้งหมดไม่ใช่ผมตั้งใจจะไปดูประเทศนั้นประเทศนี้เมืองนั้นเมืองนี้เฉยๆผมไปเพื่อประโยชน์ตนประโยชน์ผู้อื่นประโยชน์ภพนี้ภพหน้าถึงประโยชน์ปรมัตถ์เมื่อรวมทั้งหมดแล้วมันก็เท่ากันทุกคนไม่มีอะไรมันก็เป็นอย่างนั้นถ้าเป็นผู้มีปัญญาแล้วมันก็เหมือนกันไปทางโน้นก็เรียกว่าไปดีมาก็ดี
อย่างจะเปรียบเทียบไปตรงนี้เห็นคนไม่ดีบางคนเห็นคนไม่ดีแล้วก็รังเกียจเมื่อเรามีธรรมะเห็นคนไม่ดีแล้วนั่นแหละคือกลัวแล้วเราจึงจะรู้จักคนดีถ้าเห็นคนดีก็ดีแล้วจะเป็นครูเราให้เรารู้จักคนไม่ดีเห็นบ้านหลังนี้มันสวยมันก็ดีเราจะรู้จักบ้านที่ไม่สวยเห็นบ้านหลังนี้มันไม่สวยมันก็ดีมันจะรู้จักบ้านที่สวยไม่ได้ทิ้งสักนิดเดียวธรรมะนี่
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
3
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-3-22 12:19
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงว่า"สูทั้งหลายจงมาดูโลกนี้อันน่าตระการดุจราชรถที่พวกคนเขลาคือคนหลงน่ะหมกอยู่แต่ผู้รู้หาข้องอยู่ไม่"เรียนนักธรรมเอกผมพิจารณาเหลือเกินอันนี้เป็นคำที่สำคัญแต่มันเพิ่งมาโผล่ขึ้นเมื่อเราปฏิบัติสูทั้งหลายจงมาดูโลกนี้สูทั้งหลายทั้งหมดนี้นั่งอยู่นี่ก็สูมาดูโลกนี้โลกนี้มันมนุษย์โลกอากาศโลก สัตว์โลกพวกเราทั้งหลายที่มารวมกันอยู่นี้ถ้ารู้โลกทั้งหลายเหล่านี้อย่างแจ่มแจ้งก็ไม่ต้องภาวนาอะไรมากถ้ารู้จักโลกว่ามันเป็นอย่างนี้ตามความเป็นจริงนั้นมันไม่มีขัดไม่มีขัดสักนิดเดียวโลกเขาเป็นอย่างนั้นพระพุทธองค์ท่านรู้แจ้งโลกรู้ตามความเป็นจริงของโลกรู้แจ้งซึ่งโลกแล้วก็รู้ธรรมะอันละเอียดมันก็ไม่ห่วงในโลกถ้ารู้โลกโดยแจ่มแจ้งมันก็ไม่มีโลกธรรมเราจะเป็นไปตามโลกธรรมนั้นมันก็สัตว์โลกสัตว์โลกมันเป็นไปตามโลกธรรมอันนั้นมันแย่งกันไปทุกอย่าง
ฉะนั้นเมื่อเราเห็นอะไรก็ให้พิจารณาอันนั้นพวกเราทั้งหลายนี้มันยินดีในรูปในเสียง ในกลิ่นในรส ในโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ จึงควรพิจารณารูป เข้าใจไหมรูป?รูปเราที่นั่งอยู่นี้รูปผู้หญิงรูปผู้ชาย เสียงเราก็รู้กลิ่น รส โผฏฐัพพะเราก็รู้กันทั้งนั้นน่ะธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจก็รู้เมื่อรู้รูปรส กลิ่น เสียงโผฏฐัพพะ มันก็มีธรรมารมณ์เกิดขึ้นกับจิตสิ่งทั้งหลายจะมารวมอยู่ตรงนี้และผมก็คิดว่าไม่แปลกอะไรกันธรรมะนี้
บางทีเดินไปข้างๆกันตลอดปีตลอดชาติก็ไม่รู้จักอยู่ด้วยกันตลอดปีตลอดชาติก็ไม่รู้จักเพราะเรามันคิดเกินไปมันมีหวังจนเกินไปการปฏิบัติหวังเกินไปหวังจนเหลือเกินจนเหลือหวังเราเช่นว่าเราจะไปดูรูปผู้ชายดูรูปผู้หญิงอย่างนี้เป็นต้นทุกคนสนใจมากที่สุดเพราะมันวาดสูงจนเกินไปทางหู ทางตาอยากจะลิ้มอยากจะเลียอยากจะดูอากัปกิริยาสารพัดอย่างมอง เท่านั้นแหละถ้าหากว่าให้ไปแต่งงานกันซะแล้วก็ไม่เท่าใดนักบางเวลาก็อยากจะหนีให้ห่างๆเสียหน่อยหนึ่งบางทีก็อยากจะหนีไปบวชเสียด้วยแต่มันไปไม่ได้
เหมือนกันกับนายพรานที่เห็นเนื้อทรายไปยิงเนื้อถ้าเห็นเนื้อที่มันขลั่วขลุก*นั้นน่ะมันก็สยดสยองทางหูทางตา มันสารพัดอย่างนายพรานก็ยิ่งชอบใจยิ่งทำตัวให้เบากลัวมันจะวิ่งหนีอันนี้ก็เหมือนกันยิ่งเห็นไอ้รูปเสียงมันเป็นอย่างนี้ก็ยิ่ง โอย เพ่งพินิจลงไปให้มันมากที่สุดให้มันบีบหัวใจเรานายพรานก็เหมือนกันถ้าเห็นเนื้อที่มันจะมองเห็นเราเราก็ยิ่งหลบยิ่งหลีกกลัวมันจะเห็นยิ่งชอบใจใหญ่เลยนะยิ่งทำอากัปกิริยากลัวเนื้อมันจะวิ่งหนีก็คิดว่าเนื้อนี้มันจะเป็นอะไรมันก็ไม่รู้นะเมื่อได้จังหวะก็ยิงปุ๊บตายนายพรานก็หมดภาระเดินเข้าไปดูเนื้อมันตายก็เท่านั้นแหละไม่เห็นจะตื่นเต้นอะไรจะเอาเนื้อมันมากินเราก็อิ่มอิ่มแล้วก็ได้ไปดูหูมันก็เท่านั้นแหละไปจับหางมันดูก็เท่านั้นแหละเมื่อมันยังมีชีวิตอยู่ใจนายพรานไม่เป็นอย่างนั้นนะก็เหมือนคนเรานั่นแหละรูปนี้ก็เหมือนกันถ้าเรายังไม่ได้ก็นึกว่ามันสวยเหลือเกินนะถ้ามาอยู่ร่วมกันแล้วก็เบื่อเหมือนเนื้อที่มันตายไปแล้วไปจับหูจับหางมันก็เท่านั้นแหละเพราะมันตายแล้ว
ทีนี้เมื่อไปแต่งงานแล้วน่ะจะทำอะไรก็ได้มันก็เท่านั้นแหละจะทำยังไงเดี๋ยวก็หาทางหนีอีกแล้วอย่างนี้แหละเราไม่พิจารณาของเราถ้าเราพิจารณาให้มันดีๆผมว่ามันจะไม่มีอะไรมากเกินไปกว่านั้นคือมันวาดสูงจนเกินไปมองดูรูปก็เห็นมันจะกินได้ทุกแห่งหูก็กินได้ตาก็กินได้จมูกก็กินได้บางทีนึกไป บางครั้งนึกว่าขี้มันจะไม่มีเลยชาวเมืองนอกคิดอย่างนั้นหรือเปล่าก็ไม่รู้ดูเหมือนขี้มันก็จะไม่มีนะหรือมีก็น้อยเห็นว่าทั้งตัวมันจะกินได้หมดแหละอันนี้มันวาดสูงเกินไปแต่มันไม่ใช่อย่างนั้นถ้ามันดิ้นแล้วเหมือนแมวกับหนูน่ะถ้ามันดิ้นแล้วตั้งใจตะครุบเลยถ้าหนูพลิกตัวตะครุบเลยแมวยิ่งตั้งใจถ้าหนูตายแล้วจะตะครุบอะไรหนูก็เฉย แมวก็ไม่ได้ตั้งใจเฉย เดี๋ยวแมวก็หนีมันก็เท่านั้นเองแหละมันวาดสูงจนเกินไปไอ้พวกเราทั้งหลายมันไปตายอยู่ตรงนั้นแหละมันวาดให้เป็นไปอย่างนั้น
พูดถึงนักบวชเรานี่มันทนทุกข์มากกว่าเขาละเรื่องกามกามคือตัวใคร่ใคร่ในความชั่วก็ใคร่ใคร่ในความดีมันก็ใคร่แต่ในที่นี้เรียกกามะท่านแปลว่ามีความใคร่ในทางที่ชอบใจเราก็ใคร่มันทำลายเราได้ทั้งนั้นแหละความใคร่มันเป็นเหตุออกยากลำบาก
ดังนั้นพระพุทธเจ้าท่านสอนอานนท์ท่านถามอานนท์ถามว่า"จะให้ข้าพระองค์ปฏิบัติกับสตรีอย่างไร?จะให้ข้าพระองค์ประพฤติปฏิบัติกับสตรีโดยอาการอย่างไรจึงจะไม่เดือดร้อน"พระพุทธเจ้าท่านว่า"อานนท์อย่าเห็นมันเลยดีกว่า"พระอานนท์ก็ฟังไป"อือ คนเรามันจะไม่ให้เห็นกันมันไม่ได้ละมังถ้าเราจะเห็นนี้ทำยังไงดีหนอ"คิดไปแล้วก็ว่ามันไม่ได้ต้องเห็น"ข้าแต่พระพุทธเจ้าข้าถ้าเหตุที่จะต้องเห็นมีอยู่จะให้ข้าพระองค์ทำอย่างไร""เอออย่าพูดอย่าพูด"พระอานนท์ก็คิดไปอีกแหละ"บางทีเราเดินไปตามทางมันหลงนี่จะทำอย่างไรหนอมันก็ต้องพูดละมัง""ถ้าหากว่าเหตุที่จะให้พูดมีอยู่จะให้ข้าพระองค์ทำอย่างไร?""อานนท์พูดก็ให้มีสติ"นี่เห็นไหม?ให้มีสติทุกครั้งทุกเวลา
สตินี้จึงเป็นคุณธรรมที่สำคัญที่สุดเอาแต่เหตุที่มันจำเป็นหรือจะพูดก็พูดแต่สิ่งที่จำเป็นจะถามก็ถามแต่สิ่งที่จำเป็นถ้ามีกิจสกปรกลามกขึ้นแล้วอย่าไปดูมันอย่าไปถามมันอย่าไปพูดมันแต่มันไม่ใช่อย่างนั้นนะมันมีกิจที่สกปรกเท่าไรก็ยิ่งอยากถามยิ่งอยากจะเห็นมันไปคนละอย่างกันอย่างนี้
ฉะนั้นผมกลัวกลัวอันนี้มากแต่ที่พวกท่านทั้งหลายไม่กลัวน่ะอาจจะเหลวกว่าผมก็ได้"ไม่กลัวมันไม่เป็นอะไรหรอก"อย่างนั้นน่ะผมต้องกลัวไว้เคยมีไหมคนแก่ๆถามมาถามไปมีไหม?ผมจึงพูด ที่มาอยู่กับผมนี้ผมจึงให้ห่างมากที่สุดถ้าไม่มีความจำเป็นอย่าไปแตะต้องอันนั้น
ผมไปอยู่ใต้ต้นไม้ในป่าน่ะไปเห็นลิงมันซัดกันบนต้นไม้ผมนั่งกรรมฐานอยู่นะผมยังอยากกับมันเลยนั่งดูมันก็อยากเหมือนกัน"อือ ดีเหมือนกันเป็นลิงกับเค้านี่"เอาซิกิ้งก่ามันซัดกันเท่านี้ผมก็อยากนะสุนัขมันซัดกันผมก็ยังอยากมันบางองค์ว่าทำไมท่านจึงกลัวหลายฟังไม่ได้ ฟังมันปอดหมดเลยไม่ใช่ผมรังเกียจเค้าผมมันโง่ เดี๋ยวนี้ก็ค่อยๆพูดกับผู้เฒ่าผู้แก่ๆนี่เพราะระวังตัวนั่นเองจึงได้ผ่านอันตรายมาถึงป่านนี้ไม่ใช่ว่าไปยักคิ้วทำท่าทางอะไรต่างๆอันนี้ผมกลัวทำไม่ได้ ระวังสมณะเราต้องเป็นอย่างนั้นตัวนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ
ฉะนั้นผมจึงกำชับท่านทั้งหลายเรื่องอย่างนี้ไม่ใช่มันอยู่ใกล้มันลึก มันยังลึกมันมองไม่เห็นอย่าประมาทคำสอนของพระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างที่สุดว่าอย่าประมาทเท่านั้นคืออย่าประมาทแล้วมันก็ครอบหมดเลยอย่างนั้นจะต้องควบคุมตัวของใครของมันต้องระวังทุกคนไอ้ความมุ่งหมายของนักบวชนี่คือเราจะมาปฏิบัติให้มันพ้นทุกข์ถึงแม้มันไม่พ้นทุกข์ก็พยายามทำทุกข์นั้นให้มันน้อยลงอย่าไปทำเรื่องสกปรกในพระศาสนาถ้าไปไม่ไหวแล้วมาลาผมผมไม่ให้อยู่หรอกสึก อย่าไปทำให้มันเสียหายในเมื่อเวลาเรามาอยู่ในพรหมจรรย์...ฯ
*******************
*ธรรมบรรยายแก่พระ-เณร*
ที่มา
http://www.ubu.ac.th/wat/ebooks/ ... and_Attachment.html
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
โหมดขั้นสูง
B
Color
Image
Link
Quote
Code
Smilies
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ลงชื่อเข้าใช้
|
ลงทะเบียน
รายละเอียดเครดิต
ตอบกระทู้
ข้ามไปยังโพสต์ล่าสุด
ตอบกระทู้
ขึ้นไปด้านบน
ไปที่หน้ารายการกระทู้
Share To Facebook
Share To Twitter
Share To Google+
Share To ...