ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1849
ตอบกลับ: 4
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ กว่าจะเป็นสมณะิ ~

[คัดลอกลิงก์]
กว่าจะเป็นสมณะ



วันนี้ให้โอวาทพิเศษเฉพาะพระภิกษุสามเณรให้พากันตั้งอกตั้งใจฟังเรื่องใดเรื่องอื่นที่เราจะมาศึกษาสนทนาให้ความเห็นกันนั้นนอกจากการประพฤติปฏิบัติพระธรรมวินัยแล้วไม่มี
ทุกท่านทุกองค์ให้พากันเข้าใจเสียว่าบัดนี้เรามีเพศเป็นบรรพชิตเป็นนักบวชก็ควรประพฤติให้สมกับที่เป็นพระเป็นเณร เพศฆราวาสเราเคยผ่านมาเคยเป็นมาแล้วอยู่ในเพศที่มีลักษณะวุ่นวายไม่มีข้อวัตรปฏิบัติฉะนั้น เมื่อเราเข้ามาอยู่ในเพศของสมณะในพระพุทธศาสนาก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงจิตใจของเราให้ต่างจากฆราวาสการพูดการจาการไปการมาการขบการฉันการก้าวไปถอยกลับทุกอย่างให้สมกับบรรพชิตที่ท่านเรียกว่า"สมณะ" ท่านหมายถึงผู้สงบระงับแต่ก่อนเราเป็นฆราวาสไม่รู้จักความหมายของสมณะคือความสงบระงับล้วนแต่ปล่อยกายปล่อยใจให้ร่าเริงบันเทิงไปตามกิเลสตัณหาอารมณ์ดีก็พากันดีใจอารมณ์ไม่ดีก็พากันเสียใจนั่นเป็นไปตามอารมณ์เมื่อจิตใจเป็นไปตามอารมณ์อันนั้นท่านว่าคนไม่ได้รักษาเจ้าของคนยังไม่มีที่พึ่งไม่มีที่อาศัยจึงปล่อยใจไปกับความร่าเริงบันเทิงใจไปกับความทุกข์โศกเศร้า ปริเทวะความร่ำไรรำพันไม่มีการยับยั้งไม่ได้พินิจพิจารณา
ในพระพุทธศาสนาของเราเมื่อบวชเข้ามาเป็นเพศของสมณะแล้วก็ต้องมาทำกายของสมณะนั้นเป็นต้นว่าศีรษะเราก็โกนเล็บเราก็ตัดเครื่องนุ่งห่มของเราก็เป็นเครื่องของผ้ากาสาวพัสตร์เป็นธงชัยของพระอริยเจ้าทั้งหลายเป็นธงชัยของพระพุทธเจ้าเป็นธงชัยของพระอรหันต์ที่พวกเราเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนานี้ได้มาอาศัยมูลหรือมรดกของพระบรมศาสดาของเราจึงมีความเป็นอยู่ที่พอเป็นไปได้อย่างเช่นเสนาสนะที่อยู่อาศัยก็อาศัยบุญคือผู้มีศรัทธาสร้างขึ้นมาอาหารการขบฉันก็ไม่ต้องทำนี่ก็อาศัยมูลหรือมรดกที่พระบรมศาสดาของเราวางเอาไว้ยาบำบัดโรคผ้านุ่งห่มทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่เรามาอาศัยมรดกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาแล้วสมมติว่าเป็นพระเป็นพระโดยสมมติยังไม่ได้เป็นพระแท้นะเป็นพระโดยสมมติคือเป็นพระเฉพาะกายโกนผมห่มเหลืองเท่านี้แหละเลยเป็นพระโดยสมมติยังไม่เป็นพระจริงๆสมมติว่าพระเฉยๆเหมือนกันกับการที่เขาเอาไม้มาแกะสลักสมมติว่าเป็นพระพุทธเจ้าอย่างนั้นเอาปูนมาปั้นขึ้นเอาทองมาหล่อหลอมขึ้นสมมติว่าเป็นพระพุทธเจ้าแต่ที่จริงไม่ใช่เป็นทอง เป็นตะกั่วเป็นโลหะ เป็นไม้เป็นครั่ง เป็นหินนั่นคือสมมติสมมติเป็นพระพุทธเจ้าแต่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าจริงๆเป็นพระพุทธเจ้าโดยฐานสมมติไม่ใช่พระพุทธเจ้าแท้
เรานี้ก็เหมือนกันถูกกำหนดว่าเป็นพระมาบวชในพระพุทธ-ศาสนาแล้วแต่ยังไม่เป็นพระหรอกเป็นแต่เพียงสมมติยังไม่เป็นจริงๆคือจิตใจของเรานั้นเมตตา กรุณามุทิตา อุเบกขาจิตทั้งหลายยังไม่พรั่งพร้อมความบริสุทธิ์ยังไม่ทันถึงที่มีความโลภมีความโกรธมีความหลงกั้นไว้ไม่ให้ความเป็นพระเกิดขึ้นมาเพราะสิ่งเหล่านี้เราถือว่ามีมาตั้งแต่ก่อนโน้นตั้งแต่วันเกิดตั้งแต่ชาติก่อนๆมีโลภ มีโกรธมีหลงหล่อเลี้ยงมาตลอดถึงทุกวันนี้ฉะนั้น เมื่อเอาพวกนี้มาบวชจะให้เป็นพระมันก็ยังเป็นพระสมมติคือยังอาศัยความโลภอาศัยความโกรธอาศัยความหลงนั่นแหละที่เป็นอยู่ในใจของเรานั้นถ้าเป็นพระท่านก็ละพวกนี้ออกละความโลภออกจากใจละความโกรธละความหลงออกจากใจหมดพิษหมดภัยถ้ายังมีพิษอยู่มันก็ยังไม่เป็นจะต้องละสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ออกให้ถึงความบริสุทธิ์ฉะนั้น เราจึงพากันมาริเริ่มที่จะทำลายความโลภทำลายความโกรธทำลายความหลงซึ่งเป็นกิเลสส่วนใหญ่มีในตัวของทุกๆท่านทุกๆองค์ มันกั้นเราไว้ในภพชาติทั้งหลายให้ถึงความสงบไม่ได้ก็เพราะความโลภความโกรธความหลงสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ขวางกั้นสมณะคือ ความสงบให้เกิดขึ้นทางใจของเราไม่ได้ถ้าเกิดขึ้นไม่ได้เราก็ยังไม่เป็นสมณะก็คือ ใจของเรายังไม่สงบจากความโลภความโกรธ ความหลงนั่นเองฉะนั้นเราจึงมาปฏิบัติปฏิบัติเพื่อทำลายโลภโกรธ หลง ออกจากใจของเราถ้าเอาโลภหรือโกรธหรือหลงอันนี้ออกจากใจของเราแล้วมันถึงจะเป็นความบริสุทธิ์ถึงความเป็นพระแท้ที่เราปฏิบัติอยู่นี้ก็เรียกว่าเราเป็นพระโดยสมมติสมมติเฉยๆ ยังไม่ได้เป็นพระฉะนั้นเรามาสร้างพระขึ้นในใจของเราสร้างพระขึ้นทางใจไม่ใช่ทางอื่นทางใด
การที่จะสร้างพระขึ้นทางใจได้นั้นมิใช่เอาแต่ใจอย่างเดียวกายหนึ่ง วาจาหนึ่งมันต้องเกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกันก่อนที่กายจะทำได้วาจาจะทำได้ก็เพราะมันเป็นจากใจแต่ถ้าเป็นแต่ใจอย่างเดียวกายไม่ไปทำวาจาไม่พูดมันก็เป็นไปไม่ได้ฉะนั้นมันเกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกันพูดถึงใจ พูดถึงความสวยความงามความเกลี้ยงความเกลาของมันก็เหมือนพูดถึงไม้หรือเสาที่มันเกลี้ยงแล้วไม้ที่เราเอาไปทำเสาทำกระดานต่างๆก่อนที่มันจะเกลี้ยงจะเกลาเขาจะทาชะแล็กเสร็จดูเป็นของงามเราต้องไปตัดต้นไม้มาก่อนตัดต้นตัดปลายซึ่งเป็นของหยาบๆแล้วก็ไปผ่าไปเลื่อยอะไรต่างๆเหล่านี้ใจก็เหมือนกับต้นไม้นั่นแหละมันต้องผ่านของหยาบๆมาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่มันไม่เกลี้ยงไม่เกลานั้นทำลายมาจนถึงความสวยงามเป็นสัดส่วนได้ก็เพราะมันผ่านเหตุการณ์หยาบๆมา
เหมือนกับนักปฏิบัติเรานั่นเองที่เรามาทำจิตใจให้บริสุทธิ์ระงับนั้นก็ดีแต่มันเป็นของยากมันจะต้องผ่านมาจากข้างนอกคือกายวาจาให้เข้ามาได้ก่อนจึงมาถึงความเกลี้ยงความเกลาความสวยความงามเหมือนกับเรามีโต๊ะมีเตียงอยู่แล้วอย่างนี้สวยแล้ว งามแล้วแต่ก่อนมันก็เป็นของหยาบเป็นต้น เป็นลำเราก็มาตัดตัดต้นตัดใบผ่านของหยาบมาเพราะทางมันต้องเดินมาอย่างนั้นจึงมาเป็นโต๊ะเป็นเตียงจึงมาเป็นของสะสวยได้บริสุทธิ์ไปด้วยดีฉะนั้นหนทางเดินเข้าหาความสงบระงับที่ถูกต้องตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงบัญญัติไว้นั้นท่านบัญญัติศีลไว้บัญญัติสมาธิไว้บัญญัติปัญญาไว้นี่คือหนทางเป็นหนทางที่นำไปสู่ความบริสุทธิ์นำไปสู่ความเป็นสมณะเป็นหนทางที่ชำระโลภโกรธ หลง ออกได้ฉะนั้นจะต้องเดินจากศีลเดินจากสมาธิเดินจากปัญญานี่ก็ไม่ได้ผิดแผกกันไปอย่างไรเทียบข้างนอกกับข้างในไม่ได้ผิดแผกกัน
ฉะนั้นที่เราพากันมาอบรมบ่มนิสัยอยู่นี้พากันฟังธรรมบ้างพากันสวดมนต์ทำวัตรบ้างพากันนั่งสมาธิบ้างสิ่งทั้งหลายเหล่านี้แหละมันขัดใจของเราขัดเพราะใจของเรามันมักง่ายเกียจคร้านไม่อยากทำอะไรให้กระทบกระทั่งให้ยากลำบากมันไม่อยากเอามันไม่ทำพวกเราทั้งหลายจึงมาอุตส่าห์อดใช้ธรรมะคือความอดทนวิริยะคือความเพียรฝ่าฟันพยายามทำมาอย่างกายของเรามันเคยสนุกคะนองเคยทำไปต่างๆนานาจะมารักษามันก็ยากลำบากวาจาของเรามันเคยพูดไม่ได้สังวรสำรวมที่เรามาสังวรสำรวมจึงเป็นของยากลำบากแต่ว่าถึงมันจะยากลำบากก็ช่างมันเหมือนกับไม้กว่าจะเอามาทำโต๊ะทำเตียงได้มันยากลำบากก็ช่างมันมันต้องผ่านตรงนั้นถึงคราวเป็นโต๊ะเป็นเตียงได้มันก็ต้องผ่านของหยาบๆมา
เรานี้ก็เหมือนกันพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ที่ท่านมีลูกศิษย์ลูกหาเป็นพระสงฆ์สาวกที่สัมฤทธิ์จิตไปแล้วก็ล้วนแต่เป็นปุถุชนมาบวชทั้งนั้นปุถุชนเหมือนเรานี่แหละมีอวัยวะแข้งขามีหู มีตา มีโลภมีโกรธเหมือนกับเราลักษณะอะไรไม่ได้แปลกไปจากเราหรอกพระพุทธเจ้าก็เหมือนกันสาวกของท่านก็เหมือนกันทั้งหลายเหล่านี้แหละเอาแต่ของที่ยังไม่เป็นมาทำให้เป็นที่ยังไม่งามมาทำให้งามที่ยังใช้ไม่ได้มาทำให้ใช้ได้ตลอดกระทั่งถึงเราทุกวันนี้ก็เอาลูกชาวบ้านมาบวชเป็นพ่อไร่พ่อนาพ่อค้าพ่อขายเคยยุ่งเหยิงมาในกามารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงทั้งนั้นแหละมาบวชในพระพุทธศาสนานี้มาฝึกมาหัด?ท่านฝึกได้หัดได้ฉะนั้น จึงทำความเห็นเสียว่ามันเหมือนกับพวกเราเป็นขันธ์เหมือนกันมีกายเหมือนกันมีเวทนา คือสุข ทุกข์เหมือนกันสัญญาความจำได้หมายรู้เหมือนกันสังขาร วิญญาณความปรุงแต่งเหมือนกันมีความรู้ดีรู้ชั่ว ทุกอย่างเหมือนกันหมดฉะนั้นเราก็อีกคนหนึ่งซึ่งมีสภาพอันเดียวกันกับรูปกับนามที่ท่านได้เป็นสาวกมาแล้วไม่ได้ผิดแผกอะไรกันท่านก็เป็นปุถุชนมาก่อนเหมือนกันอันธพาลก็มีคนพาลก็มี ปุถุชนก็มีกัลยาณชนก็มีเหมือนกันกับเราไม่ได้ผิดแผกกันท่านเอาบุคคลอย่างนี้มาประพฤติปฏิบัติเพื่อสำเร็จมรรคผลได้ทุกวันนี้ก็เอาคนอย่างนี้มาประพฤติปฏิบัติมาบำเพ็ญเหมือนกันมาบำเพ็ญศีลบำเพ็ญสมาธิบำเพ็ญปัญญา


2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-3-5 11:18 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ศีล สมาธิ ปัญญานี้เป็นชื่อของข้อปฏิบัติเรามาปฏิบัติศีลปฏิบัติสมาธิปฏิบัติปัญญาก็คือมาปฏิบัติที่เรานี่แหละเรามาปฏิบัติที่เรานี้ถูก!ถูกศีลอยู่นี่ถูกสมาธิอยู่นี่เพราะอะไร เพราะกายก็อยู่ที่เรานี้ศีลนี้ก็แสดงถึงกายทุกชิ้นส่วนอวัยวะทุกชิ้นส่วนนี้ท่านให้รักษาคำว่าศีลนี้ท่านให้รักษากายกายเราก็มีแล้วอย่างไรล่ะเท้าก็มี มือก็มีมีแล้วกายนี่คือที่รักษาศีลมันจะเป็นศีลเป็นธรรมคือมารักษาอยู่นี่อันนี้มีแล้ววาจาคือคำพูดของเราพูดเท็จก็ดีพูดส่อเสียดก็ดีพูดคำหยาบก็ดีพูดเพ้อเจ้อก็ดีเหล่านี้แหละกายก็ดี ฆ่าสัตว์ก็ดีลักทรัพย์ก็ดีประพฤติผิดในกามก็ดีนั่นพูดง่ายๆตามบัญญัติมันก็อยู่กับเรานี้ทั้งหมดมันมีอยู่แล้วกายก็มี วาจาก็มีแล้วมีอยู่กับเรานี่เองทีนี้เมื่อเรามาสำรวมคือเรามาดูการฆ่าสัตว์การลักทรัพย์การประพฤติผิดในกามอย่างนี้เป็นต้นอันนี้ท่านดูกายหยาบๆนะฆ่าสัตว์ ก็คือเอาฆ้อนเอากำปั้นนี้ไปฆ่ามันสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่นั้นน่ะหยาบเหมือนที่เราเคยทำมาแล้วแต่ก่อนเราเคยทำมาไม่ได้รักษาศีลเราก็ทำมาละเมิดมาไม่ได้สำรวมวาจาพูดเท็จ พูดส่อเสียดพูดคำหยาบ คำเพ้อเจ้ออย่างนี้แหละพูดเท็จก็คือพูดโกหกนั่นแหละพูดคำหยาบ ก็คือพูดไปเรื่อยไอ้หมู ไอ้หมาฯลฯ พูดเพ้อเจ้อก็คือพูดเล่นสิ่งที่ไม่เป็นสาระประโยชน์พูดไปว่าไปสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราเคยเล่นเคยพูดมาแล้วทุกอย่างไม่ได้สำรวมการรักษาศีลก็คือมาดูกาย มาดูวาจาของเรานี้
ใครจะเป็นคนดูล่ะทีนี้จะเอาใครมาดูเวลาจะไปฆ่าสัตว์นั้นใครเป็นคนรู้มือนั้นหรือเป็นผู้รู้หรือใครรู้จะไปขโมยของเขาอย่างนี้ใครเป็นผู้รู้หรือมือนั่นเป็นผู้รู้อันนี้เราก็จะรู้จักล่ะทีนี้จะไปประพฤติผิดในกามใครเป็นผู้รู้ก่อนกายนี่หรือมันรู้เราจะพูดเท็จอย่างนี้ใครเป็นผู้รู้ก่อนเราจะพูดคำหยาบพูดเพ้อเจ้ออย่างนี้ใครรู้ก่อนปากนั่นหรือมันรู้หรือคำพูดมันรู้ก่อนนั่นให้พิจารณาดูซิใครมันรู้ก็เอาผู้นั้นแหละรักษามันใครเป็นผู้รู้ก็เอาผู้นั้นแหละดูผู้ใดรู้จักผู้ใดรู้ เอาผู้นั้นรักษาเอาผู้ที่มันพาผู้อื่นทำนั่นแหละมันพาทำดี มันพาทำชั่วเอาผู้ที่มันพาทำนั่นมารักษาจับโจรนั่นแหละมาเป็นผู้ใหญ่บ้านมาเป็นกำนันจับตัวนี้แหละมารักษาหมู่คณะเอามันนั่นแหละมาดูมาพิจารณา ท่านว่าให้รักษากายใครเป็นผู้รักษากายมันไม่รู้จักอะไรนะกายน่ะเดินไปเหยียบไปไปทั่ว มือนี้ก็เหมือนกันมันไม่รู้จักอะไรมันจะจับนั่นแตะนี่มีผู้บอก มันจึงทำจับอันนั้น จับแล้ววางมันก็วางอันนั้นเอาอันโน้นอีกมันก็ทิ้งอันนี้เอาอันนั้นต้องมีผู้บอกทั้งนั้นมันไม่รู้จักอะไรหรอกต้องผู้อื่นบอกผู้อื่นสั่งปากของเราก็เหมือนกันมันจะโกหก มันจะซื่อสัตย์สุจริตมันจะพูดเท็จพูดส่อเสียดพูดคำหยาบทั้งหลายเหล่านี้แหละมันมีผู้บอกทั้งนั้น
ฉะนั้น การปฏิบัติจึงต้องตั้ง"สติ" คือความระลึกได้ไว้ในผู้รู้ผู้ที่มันรู้จักนั้นให้ลักของเขาให้ฆ่าสัตว์ให้ผิดในกามให้พูดเท็จพูดส่อเสียดพูดเพ้อเจ้อพูดเล่นพูดหัวทุกสิ่งทุกอย่างนั้นผู้รู้พาให้พูดนี่มันมีที่อยู่อยู่ที่นั่นเอาความรู้หรือเอาสติคือความระลึกได้เสมอไว้กับผู้รู้นั้นแหละให้ผู้นั้นรักษาคือ "รู้" นั่นเองท่านจึงบัญญัติไว้หยาบๆฆ่าสัตว์เป็นบาปผิดศีล ลักทรัพย์ก็ผิดประพฤติผิดในกามผิดพูดเท็จผิดพูดคำหยาบพูดเพ้อเจ้อผิดเราจำไว้ อันนี้เป็นบัญญัติของท่านอาญาของพระพุทธเจ้าทีนี้เราก็มาระวังผู้ที่เคยละเมิดมาแล้วเคยสั่งเราเมื่อก่อนมันเคยสั่งมาเคยสั่งให้ฆ่าสัตว์ให้ลักทรัพย์ให้ประพฤติผิดในกามให้พูดเท็จพูดส่อเสียดพูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อพูดไม่ได้สังวรสำรวมต่างๆร้องรำทำเพลงผิวปาก ดีดตีสีซอทั้งหลายเหล่านี้แหละผู้ใดเป็นผู้สั่งกลับมาให้ผู้นั้นเป็นผู้รักษาเลยเอาสติคือความรู้สึกนั้นระลึกให้มันสำรวมอย่างนั้นให้หมั่นรักษาตัวเองรักษาให้ดีถ้ามันรักษาได้นะ
กายก็รักษาไม่ยากเพราะอยู่ใต้ปกครองของจิตวาจาก็รักษาไม่ยากเพราะอยู่ใต้ปกครองของจิตฉะนั้น การรักษาศีลคือการรักษากายวาจา นี้เป็นของไม่ยากเรามาทำความรู้สึกทุกๆอิริยาบถไม่ว่าการยืนเดิน นั่ง นอนทุกๆวาระของเราก่อนที่จะทำอะไรให้รู้ก่อนเลยก่อนที่จะพูดจะจาอะไรก็ให้รู้ก่อนอย่าให้ทำก่อนพูดก่อน ให้รู้เสียก่อนจึงพูดจึงทำให้มีสติ คือความระลึกได้ก่อนที่จะทำจะพูดอะไรก็ช่างต้องให้ระลึกได้เสียก่อนมาหัดสิ่งนี้ให้คล่องแคล่วหัดให้เท่าทันคล่องแคล่วระลึกได้ระลึกได้แล้วจึงทำระลึกได้แล้วจึงพูดจึงจามาตั้งสติไว้ในใจอย่างนี้แหละให้ผู้รู้อันนี้เองเอาผู้รู้รักษาตัวเองเพราะมันเป็นผู้ทำเองมันเป็นผู้ทำจะให้ผู้อื่นมารักษาไม่ได้ต้องให้มันรักษามันเองถ้ามันไม่รักษามันเองก็ไม่ได้นี่ท่านถึงว่าการรักษาศีลนี้รักษาไม่ยากคือมารักษาเจ้าของนี่แหละทีนี้ถ้าหากว่าโทษทั้งหลายทั้งปวงมันจะเกิดขึ้นทางกายทางวาจาของเราถ้าหากว่ามีสติอยู่มันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่เราก็รู้จักรู้จักผิดรู้จักถูกเพราะฉะนั้นนี่คือการรักษาศีลการรักษาศีลนี้ขึ้นอยู่กับเรากายวาจาอันนี้เป็นเบื้องแรก
ถ้าเรารักษากายรักษาวาจาได้งาม สวยงาม สบายจรรยามารยาทต่างๆนานาการไปการมาการพูดจา งามเลยงามอยู่ในลักษณะนั้นมันงามคือมีผู้ดัดแปลงมีผู้รักษามีผู้พิจารณาอยู่อย่างนั้นเปรียบคล้ายกับบ้านหรือศาลา หรือกุฏิของเรามีผู้กวาดมีผู้รักษาอยู่เสมอตัวกุฏิก็งามลานกุฏิก็งามไม่เศร้าหมองก็เพราะมีคนรักษาอยู่มันจึงสวยได้งามได้ กายวาจาของเราก็เช่นนั้นถ้ามีคนรักษามันก็งามความชั่วช้าลามกสกปรกเกิดขึ้นมาไม่ได้มันงาม "อาทิกลฺยาณํมชฺเฌกลฺยาณํปริโยสานกลฺยาณํ"งามในเบื้องต้นงามในท่ามกลางงามในเบื้องปลายหรือไพเราะในเบื้องต้นไพเราะในท่ามกลางไพเราะในเบื้องปลายนี่คืออะไรคือศีลหนึ่งสมาธิหนึ่งปัญญาหนึ่งมันงามเบื้องต้นก็งามถ้างามเบื้องต้นเบื้องกลางก็งามนี่ถ้าหากว่าเราสังวรสำรวมได้ตามสบายระวังอยู่เสมอๆจนใจของเรานั้นตั้งมั่นอยู่ในการรักษาในการสังวรสำรวมใฝ่ใจอยู่เสมอมั่นอยู่อย่างนั้นแหละอาการที่มั่นอยู่ในข้อวัตรมั่นอยู่ในการสังวรสำรวมทั้งหลายเหล่านี้อาการอย่างนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า"สมาธิ"
อาการที่สำรวมรักษากายไว้รักษาวาจาไว้รักษาอะไรต่างๆทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นมันรักษาไว้อาการที่รักษาอยู่เสมอๆอย่างนี้สำรวมอยู่อย่างนี้ท่านเรียกว่า"ศีล" อาการที่มั่นในการสังวรสำรวมอยู่นั้นใช้ชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า"สมาธิ คือความตั้งใจมั่นมั่นอยู่ในอารมณ์นั้นมั่นอยู่ในอารมณ์นี้สังวรสำรวมอยู่เสมอเลยทีเดียวอาการนี้เรียกว่าสมาธิ สมาธิอันนี้เป็นสมาชิกชั้นนอกแต่ว่ามันก็มีอยู่ข้างในอันนี้ก็ให้มีไว้มันต้องมีอย่างนี้เสียก่อนเมื่อมันมั่นในสิ่งเหล่านี้แล้วมีศีลแล้วมีสมาธิแล้วอาการพินิจพิจารณาสิ่งที่มันจะผิดสิ่งที่มันจะถูกถูกไหมหนอ ผิดไหมหนอใช่ไหมหนอ ทั้งหลายเหล่านี้อารมณ์ต่างๆที่ผ่านมารูปมากระทบเสียงมากระทบกลิ่นมากระทบโผฏฐัพพะมากระทบธรรมารมณ์มากระทบทั้งหลายเหล่านี้ผู้รู้จะเกิดขึ้นเป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้างชอบใจบ้าง รู้จักอารมณ์ดีบ้างอารมณ์ไม่ดีบ้างทั้งหลายเหล่านี้แหละจะได้เห็นหลายๆอย่างถ้าเราสำรวมแล้วนะจะเห็นหลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านเข้ามามันแสดงปฏิกิริยาขึ้นทางจิตทางผู้รู้มันจะได้รับการพิจารณาอาการที่มันสำรวมอยู่แล้วและก็มั่นอยู่ในความสังวรสำรวมอะไรผ่านมาในที่นั้นมันจะแสดงปฏิกิริยาขึ้นทางกายทางวาจา ทางใจอันใดมันผิดหรือมันถูกดีชั่วประการใดอาการเหล่านี้เกิดขึ้นมาความเลือกเฟ้นความรู้ทั้งหลายอารมณ์ทั้งหลายเหล่านี้แหละที่ว่าเป็น"ปัญญาบางๆ" ปัญญาอันนี้ก็มีอยู่ในใจของเรานี้ทั้งหมดอาการนี้ท่านเรียกว่าศีลเรียกว่าสมาธิเรียกว่าปัญญาอันนี้เป็นเบื้องต้นเกิดขึ้นมาก่อน
ต่อไปมันจะเกิดเป็นความยึดมั่นหมายมั่นขึ้นมายึดความดีละทีนี้กลัวจิตจะตกบกพร่องต่างๆกลัวสมาธิจะถูกทำลายจะเกิดอาการอย่างนี้ขึ้นมารักมาก ถนอมมากขยันมาก หมั่นเพียรมากทั้งหลายเหล่านี้เมื่อถูกอารมณ์มากระทบหวาดกลัว สะดุ้งเห็นคนนั้นทำผิดทำไม่ดีมารู้ไปหมดล่ะทั้งหลายเหล่านี้มันหลง นี่ศีลขั้นหนึ่งสมาธิขั้นหนึ่งปัญญาขั้นหนึ่งชั้นนอก เพราะเห็นตามอาญาของพระพุทธเจ้าของเราอันนี้เป็นเบื้องแรกต้องตั้งอยู่ในใจต้องมีอยู่ในใจอาการเหล่านี้เกิดขึ้นในจิตเป็นอยู่อย่างนั้นเป็นเอามากจนกระทั่งไปทางไหนเห็นใครทำอะไรผิดหูผิดตาไปเสียหมดเกิดสุขเกิดทุกข์ขึ้นมาก็ได้สงสัยลังเลต่างๆนานาการจับผิดจับถูกคือมันทำมากเกินไปแต่ก็ช่างมันเสียก่อนให้เอาให้มากเสียก่อนพวกนี้ให้รักษากายวาจา รักษาจิตเสียก่อนให้มากๆไว้ไม่เป็นไรพวกนี้นี่เรียกว่าศีลชั้นหนึ่งศีลก็ดี สมาธิก็ดีปัญญาก็ดี มีหมดศีลชั้นนี้ถ้าเรียกว่าบารมีก็เป็น"ทานบารมี" หรือ"ศีลบารมี" มีอยู่อีกต่างหากก็ออกจากอันเดียวนี่เองคือมันละเอียดยิ่งขึ้นไปกว่านี้กลั่นเอาความละเอียดออกจากของหยาบนี่แหละไม่ใช่อื่นไกลอะไรทีนี้เมื่อได้หลักอย่างนี้ปฏิบัติไว้ในใจของเราเป็นเบื้องแรกจะรู้สึกว่าอายกลัว อยู่ที่ลับก็ดีที่แจ้งก็ดีใจมันกลัวจริงๆสยดสยองอยู่เสมอเลยทีเดียวจิตใจนั้นเอาเป็นอารมณ์อยู่เสมอในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เอาความผิดความถูกสังวรสำรวมกายวาจาเป็นอารมณ์มั่นอยู่อย่างนี้แหละยึดมั่นถือมั่นจริงๆมันเลยเป็นศีลเป็นสมาธิ เป็นปัญญาอันนี้ในข้อบัญญัตินะ

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-3-5 11:18 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ทีนี้เมื่อเราทำไปรักษาไปประพฤติปฏิบัติไปเรื่อยๆอาการนั้นเต็มอยู่ในใจของเราแต่ว่าศีลขั้นนี้สมาธิขั้นนี้ปัญญาขั้นนี้ยังไม่เป็นองค์ฌานหรอกพวกนี้ค่อนข้างหยาบแต่ว่ามันเป็นของละเอียดละเอียดของหยาบละเอียดของปุถุชนเราซึ่งไม่เคยทำไม่เคยรักษาไม่เคยภาวนาไม่เคยปฏิบัติเท่านี้ก็เป็นของละเอียดแล้วเหมือนกับเงินสิบบาทหรือห้าบาทมีความหมายแก่คนจนถ้าคนมีเงินล้านเงินแสนแล้วเงินห้าบาทสิบบาทไม่มีความหมายมันเป็นเรื่องอย่างนี้ถ้าเป็นคนจนอยากได้เงินบาทสองบาทก็มีความหมายแก่คนจนคนไม่มีถึงโทษขนาดที่เราละได้อย่างหยาบๆเป็นต้นก็มีความหมายแก่ปุถุชนผู้ไม่เคยได้ละได้ทำมาก็ยังมีความภูมิใจอย่างเต็มขั้นบริบูรณ์ในขั้นนี้อันนี้จะเห็นเองผู้ที่ปฏิบัติจะต้องมีอยู่ในใจถ้าเป็นอย่างนี้ก็เรียกว่าเราเดินศีลเดินสมาธิ เดินปัญญาทั้งศีล สมาธิปัญญา ขาดจากกันไม่ได้เมื่อศีลดีความมั่นก็มั่นขึ้นมาปัญญาก็ยิ่งกล้าขึ้นมาทั้งหลายเหล่านี้แหละกลับเป็นไวพจน์ซึ่งกันและกันอยู่เรียกว่า การประพฤติปฏิบัติเรื่อยๆทำเรื่อยๆไปเป็นสัมมาปฏิปทาไม่ได้ขาด
ฉะนั้น ถ้าหากเราทำได้อย่างนี้ก็เรียกว่าเข้าหนทาง เข้าหนทางดำเนินเป็นเบื้องแรกเลยทีเดียวอันนี้เป็นขั้นหยาบๆเป็นของรักษาได้ยากสักหน่อยทีนี้ถ้าหากว่ามันละเอียดเข้าไปนะศีล สมาธิ ปัญญานี่ก็ออกจากอันเดียวกันคล้ายกับมันกลั่นออกจากอันเดียวกันเหมือนกับต้นมะพร้าวเรานี่แหละพูดง่ายๆ ต้นมะพร้าวของเรานี่นะมันดูดเอาน้ำธรรมชาติขึ้นไปน้ำธรรมชาติขึ้นไปตามลำต้นของมันแต่ไปถึงลูกมะพร้าวเกิดหวานเป็นน้ำสะอาดแต่ก็น้ำพวกนี้แหละอาศัยน้ำพวกนี้อาศัยลำต้นพวกนี้อาศัยน้ำอาศัยดินหยาบๆนี่แหละดูดขึ้นไปกลั่นขึ้นไปพอไปถึงลูกมะพร้าวกลายเป็นน้ำสะอาดยิ่งกว่านี้หวานอีกด้วย
ฉันใด ศีล สมาธิปัญญา คือ มรรคของเรานี้หยาบเหมือนกันแต่ถ้าหากว่าจิตของเรามาพิจารณาสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ให้มันละเอียดขึ้นไปๆแล้วสิ่งเหล่านี้มันก็หายจากหยาบไปละเอียดละเอียดไปๆทีนี้การรักษาก็แคบเข้ามาแคบเข้ามา ง่ายใกล้เข้ามาหาเจ้าของไม่ผิดไปมากละทีนี้ไม่ผิดไปมากมายเพียงแต่เรื่องใดมากระทบขึ้นในใจเรานี้มีอาการสงสัยเกิดขึ้นเช่นว่า การทำอย่างนี้ผิดหรือถูกหรือพูดอย่างนี้ถูกไหมหนอพูดอย่างนี้ผิดไหมหนออย่างนี้เป็นต้นก็เลิก มันใกล้เข้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆเรื่อยๆเข้ามาเรื่องสมาธิมันก็ยิ่งมั่นเข้ามาเรื่องปัญญาก็ยิ่งมองเห็นได้ง่ายผลที่สุดก็เห็น"จิตกับอารมณ์"ไม่ได้แยกไปถึงกายวาจาไม่ได้แยกถึงอะไรทั้งนั้นพูดถึงกายกับจิตทีนี้พูดถึงกายกับจิตพูดถึงอารมณ์กับจิตเรื่องกายกับจิตมันอาศัยซึ่งกันและกันเห็นผู้บังคับกายคือจิตกายจะเป็นไปได้ก็เพราะจิตทีนี้จิตนั้นก่อนที่จะบังคับกายมันก็อาศัยอารมณ์มากระทบจิตแล้วอารมณ์ก็บังคับทีนี้เมื่อเราพิจารณาเรื่อยๆเข้าไปนะความแยบคายมันจะค่อยๆเกิดขึ้นผลที่สุดแล้วมันจะมีจิตกับอารมณ์คือกายนี้ที่เป็นรูปมันก็เป็นอรูปไปมันไม่มาลูบคลำรูปอันนี้มันเอาอาการของรูปนี้เข้าไปเป็นอรูปเป็นอารมณ์มากระทบกันเข้ากับจิตอารมณ์ผลที่สุดก็เป็นจิตกับอารมณ์อารมณ์ที่มันเกิดขึ้นมากับจิตของเรานั่น!จิตของเรา
ทีนี้เราจะหยั่งถึงธรรมชาติของจิตจิตของเราไม่มีเรื่องราวอะไรเหมือนกับเศษผ้าหรือธงที่เขาเหน็บไว้ปลายไม้อย่างนั้นแหละไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือเหมือนใบไม้ตามธรรมชาติอยู่นิ่งๆไม่มีอะไร ที่ใบไม้มันไหวกวัดแกว่งเพราะลมมาพัดต่างหากธรรมชาติของใบไม้มันอยู่นิ่งๆไม่เป็นอะไรไม่ได้ทำอะไรกับใครที่มันไหวไปมาเพราะมีอะไรมากระทบต่างหากเช่น ลมมากระทบเป็นต้นมันก็กวัดแกว่งไปมาธรรมชาติของจิตก็เหมือนกันไม่มีรัก ไม่มีชังไม่ให้โทษผู้ใดมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นเป็นสภาวะอันบริสุทธิ์ใสสะอาดจริงๆอยู่ด้วยความสงบไม่มีความสุขไม่มีความทุกข์ไม่มีเวทนาใดๆนี่สภาพจิตจริงๆเป็นอย่างนั้นทีนี้เรามาปฏิบัติก็เพื่อค้นเข้าไปพิจารณาเข้าไปค้นเข้าไปจนถึงจิตอันเดิมจิตเดิมที่เรียกว่าจิตบริสุทธิ์จิตบริสุทธิ์นั้นคือจิตที่ไม่มีอะไรไม่มีอารมณ์อะไรที่จะผ่านมาคือไม่ได้วิ่งไปตามอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นไม่ได้ติดอันนั้นไม่ติดอันนี้ไม่ได้สุขทางนั้นสุขทางนี้ไม่ได้ดีใจกับสิ่งนั้นเสียใจกับสิ่งนี้แต่จิตเป็นผู้รู้อยู่เสมอเป็นผู้รู้เรื่องราวทั้งหลายเมื่อจิตเป็นอย่างนี้แล้วอารมณ์ทั้งหลายที่มาพัดอารมณ์ดีก็ดีอารมณ์ชั่วก็ดีอารมณ์ทั้งหลายมาพัดมาไตร่ตรองเข้าไปก็ดีจิตมีความรู้สึกอย่างนั้นจิตอันนี้ไม่เป็นอะไรคือไม่ได้หวั่นไหวเพราะอะไรเพราะจิตนั้นรู้ตัวจิตนั้นสร้างความอิสระไว้ในตัวของมันมันถึงสภาพของมันถึงสภาพอันเดิมของมันทำไมมันถึงสร้างสภาพอันเดิมไว้ได้คือผู้รู้พิจารณาอย่างแยบคายแล้วว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันเป็นอาการทางธาตุอันหนึ่งไม่ได้มีใครทำอะไรใครเหมือนกับสุขทุกข์ที่มันเกิดขึ้นมาอย่างนี้แหละเกิดขึ้นมามันก็สักแต่ว่าสุขมันก็สักแต่ว่าทุกข์ไม่มีใครเป็นเจ้าของ"สุข" จิตก็ไม่ได้เป็นเจ้าของ"ทุกข์"จิตก็ไม่ได้เป็นเจ้าของดูเอานั่น มันไม่ใช่เรื่องของจิตจะเอามันคนละเรื่องคนละอย่างสุขก็สักแต่ว่าสุขเฉยๆทุกข์ก็สักแต่ว่าทุกข์เฉยๆท่านเป็นผู้รู้เท่านั้น
แต่ก่อนนี้เมื่อโลภะ โทสะโมหะ มีมูลแล้วนะพอเห็นก็รับเลยสุขก็เอา ทุกข์ก็เอาเข้าไปเสวยเราเป็นสุขเราเป็นทุกข์ไม่หยุดไม่หย่อนนั่นจิตยังไม่ทันรู้ตัวยังไม่สว่างไสวไม่มีอิสระจิตไปตามอารมณ์จิตไปตามอารมณ์คือจิตเป็นอนาถาได้อารมณ์ดีก็ดีไปด้วยมันลืมเจ้าของเจ้าของเดิมนั้นเป็นของที่ไม่ดีไม่ชั่วนี่อันเดิมของมันถ้าจิตดีก็ดีไปด้วยนั่นคือมันหลงถ้าจิตไม่ดีก็ไม่ดีไปด้วยจิตทุกข์ก็ทุกข์ไปด้วยจิตสุขก็สุขไปด้วยทีนี้เลยเป็นโลกอารมณ์มันเป็นโลกติดไปกับโลกให้เกิดสุขให้เกิดทุกข์ให้เกิดดีให้เกิดชั่วให้เกิดทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเป็นไปในของไม่แน่นอนถ้าออกจากจิตอันเดิมแล้วก็ไม่แน่นอนเลยมีแต่เกิด มีแต่ตายมีแต่หวั่นไหวมีแต่ทุกข์ยากลำบากตลอดสิ้นกาลนานไม่มีทางสิ้นสุดจบลงสักทีมันเป็นตัววัฏฏะทั้งนั้น
เมื่อเราพิจารณาอย่างแยบคายมันก็ต้องเป็นไปตามที่มันเคยเป็นจิตนั้นไม่มีอะไรมันเป็นเพราะเรายึดอย่างเช่น คำนินทาหรือสรรเสริญของมนุษย์ทั้งหลายอย่างเขาว่าคุณชั่วอย่างนี้แหละทำไมเราจึงเป็นทุกข์มันเป็นทุกข์เพราะเข้าใจว่าเขาว่ามันเลยไปหยิบเอามาใส่ใจการที่ไปหยิบไปรับรู้มาอย่างนั้นรู้ไม่เท่าทันแล้วไปจับมาความรู้สึกอันนั้นแหละเรียกว่าเอามาแทงเจ้าของ"อุปาทาน" เมื่อมาแทงแล้วทีนี้มันก็เป็น"ภพ" เป็นภพที่จะให้เกิดชาติคำพูดบางสิ่งบางอย่างถ้าเราไม่รับรู้มันเสียสักแต่ว่าเป็นเสียงอย่างนั้นมันก็ไม่มีอะไรอย่างเขมรเขามาด่าเราอย่างนี้เราก็ได้ยินอยู่สักแต่ว่าเสียงเสียงเขมรเฉยๆสักแต่ว่าเป็นเสียงไม่รู้จักความหมายว่าเขาด่าเราจิตมันไม่รับอย่างนี้ก็สบายหรือพวกญวนพวกภาษาต่างๆเขามาด่าเราอย่างนี้เราก็ได้ยินแต่เสียงเฉยๆก็สบาย มันไม่รับเอาเข้ามาแทงจิตจิตอันนี้พูดถึงการเกิดและดับของจิตนี้รู้เรื่องกันง่ายเมื่อเรามาพิจารณาอย่างนี้เรื่อยๆไปจิตก็ค่อยๆละเอียดขึ้นเพราะมันผ่านความหยาบมาแล้ว
เรื่องสมาธิคือความตั้งใจมั่นจิตยิ่งมั่นเข้ามายิ่งมั่นหมายเข้ามายิ่งพิจารณาเข้ามายิ่งแน่เข้ามามั่นจริงๆว่าจิตนี้ไม่เป็นไปกับใครจิตอย่างนี้เชื่อแน่จริงๆก็ไม่เป็นไปกับใครไม่เป็นไปกับอารมณ์อารมณ์เป็นอารมณ์จิตเป็นจิต ที่จิตเป็นสุขเป็นทุกข์ เป็นดีเป็นชั่วเพราะจิตหลงอารมณ์ถ้าไม่หลงอารมณ์แล้วไม่เป็นอะไรจิตนี้ไม่ได้หวั่นไหวสภาวะอันนี้เรียกว่าเป็นสภาพรู้อันหนึ่งสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นเป็นอาการของธาตุทั้งหมดเกิดแล้วก็ดับไปเฉยๆอย่างนี้ถึงแม้เรามีความรู้สึกอย่างนี้แต่ยังละไม่ได้ก็มีนะ การละได้หรือละไม่ได้ก็ช่างมันเถิดให้มีความรู้หรือมีความหมายไว้อย่างนี้เสียก่อนในเบื้องแรกของจิตเราค่อยพยายามเข่นฆ่าเข้าไปเรื่อยๆเมื่อเห็นอย่างนี้แล้วจิตถอยออกมาพระบรมศาสดาหรือคัมภีร์ท่านกล่าวว่าเป็น"โคตรภูจิต" โคตรภูจิตนี้คือจิตมันจะข้ามโคตรภูมิจิตของปุถุชนย่างเข้าไปหาอริยชนซึ่งเป็นมนุษย์ปุถุชนเรานี่เองมี "โคตรภูบุคคล"พอก้าวเข้าไปถึงจิตพระนิพพานแต่ไปไม่ได้ถอยออกมาปฏิบัติขั้นหนึ่งถ้าเป็นคนก็เหมือนคนเดินข้ามห้วยขาข้างหนึ่งอยู่ฟากห้วยทางนี้อีกขาหนึ่งอยู่ฟากห้วยทางโน้นเข้าใจแล้วล่ะว่าห้วยฝั่งทางโน้นก็มีฝั่งทางนี้ก็มีแต่ไปไม่ได้ถอนมาที่บุรุษผู้นั้นเข้าใจว่าฝั่งทางโน้นก็มีฝั่งทางนี้ก็มีนี่คือโคตรภูบุคคลหรือโคตรภูจิตแปลว่ารู้เข้าไปแต่ไปยังไม่ได้ถอนกลับมา เมื่อรู้แล้วว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่มาดำเนินไปสร้างบารมีไปมาบำเพ็ญเข้าไปเห็นว่ามันแน่นอนมันเป็นอย่างนั้นจะต้องตรงไปทางนั้นพูดง่ายๆ สภาพที่เราพากันมาประพฤติปฏิบัติอยู่เดี๋ยวนี้ถ้าพิจารณาตามเรื่องราวจริงๆแล้วมันมีหนทางที่จะต้องไปคือเรารู้หนทางในเบื้องแรกว่าความดีใจหรือเสียใจไม่ใช่หนทางที่เราจะเดินเราต้องรู้จักอย่างนี้ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆเพราะถ้าไปดีใจมันก็ไม่ใช่ทางเกิดทุกข์ได้ไปเสียใจก็เกิดทุกข์ได้นั่นคือเราคิดได้อย่างนี้แต่ว่ายังละไม่ได้

4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-3-5 11:18 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ทีนี้ตรงไหนที่มันถูกให้นำเอาความดีใจและเสียใจไว้สองข้างพยายามเดินตรงกลางเอาติดไว้เท่านั้นอันนี้ถูกหนทางเรากำหนดรู้อยู่แต่ยังทำไม่ได้เมื่อเรายังทำไม่ได้ถ้าติดสุขหรือทุกข์เราก็รู้จักอยู่เสมอว่ามันติดเมื่อนั้นแหละเราจะถูกได้เมื่อจิตติดสุขอยู่อย่างนี้ก็ไม่ได้สรรเสริญมันเมื่อจิตติดทุกข์ก็ไม่ได้ดูถูกมันเราจะได้ดูมันล่ะทีนี้สุขก็ผิดทุกข์ก็ผิดเข้าใจอยู่ว่ามันไม่ใช่หนทางรู้น่ะรู้อยู่แต่ยังละไม่ได้ยังละไม่ได้แต่รู้อยู่รู้แล้วไม่ได้สรรเสริญสุขไม่ได้สรรเสริญทุกข์ไม่ได้สรรเสริญทางทั้งสองนั้นไม่ได้สงสัยรู้ว่าไม่ใช่หนทางเหมือนกันทางนี้ก็ไม่ใช่ทางนั้นก็ไม่ใช่เอาทางกลางนี่เป็นอารมณ์อยู่เสมอเลยทีเดียวถ้าหากจิตพ้นจากทุกข์สุขเมื่อใดแล้วจะเกิดอันนี้ขึ้นเป็นหนทางใจเราย่องเข้าไปรู้เสียแล้วแต่ว่าไปเลยไม่ได้ถอนออกมาปฏิบัติเมื่อสุขเกิดขึ้นมามันติด ให้เอาสุขนั้นขึ้นมาพิจารณาเมื่อทุกข์เกิดขึ้นมามันติด ก็ให้เอาทุกข์นั้นขึ้นมาพิจารณาจนมันรู้เท่าความสุขเมื่อใดจนมันรู้เท่าความทุกข์เมื่อใดนั่นเอง มันจึงจะวางสุขมันจึงจะวางทุกข์วางดีใจนี้วางเสียใจนี้วางโลกทั้งหลายเหล่านี้เป็น"โลกวิทู"ได้ เมื่อตัวผู้รู้มันวางได้เมื่อใดมันก็ลงที่นั่นเลยทำไมมันถึงลงที่นั่นเพราะมันเดินเข้าไปแล้วที่นั่นมันรู้แล้วแต่มันไปไม่ได้เมื่อจิตติดสุขติดทุกข์ก็ไม่หลงมันพยายามคุ้ยออกพยายามเขี่ยออกเสมออันนี้อยู่ตรงระดับเป็น"พระโยคาวจร"ผู้เดินทางยังไม่ถึงที่
อาการเหล่านี้เพ่งดูในขณะจิตของเจ้าของไม่ต้องสอบสวนอารมณ์อะไรเลยทีเดียวเมื่อมันติดอยู่ในทั้งสองอย่างนี้ให้รู้เสียว่าอันนี้มันผิดอยู่แน่ๆทั้งสองอย่างมันติดอยู่ในโลกนั่นเองสุขก็ติดอยู่ในโลกทุกข์ก็ติดอยู่ในโลกนั่นมันติดอยู่ในโลกโลกมันตั้งขึ้นได้ก็เพราะไม่รู้เท่าทันนั่นแหละไม่ใช่เกิดจากอะไรอื่นเพราะไม่รู้เท่าทันมันก็เข้าไปหมายไปปรุงไปแต่งเป็นสังขารเลยนั่นมันสนุกอยู่ตรงนี้แหละการปฏิบัติติดตัวไหนมันก็กระหน่ำอยู่ไม่วางติดสุขมันก็กระหน่ำสุขเลยจิตของเรามันไม่ได้ปล่อยตัวติดทุกข์อย่างนี้มันจับบึ่งเลยพิจารณาเลยมันจะเข้าด้ายเข้าเข็มมันไม่วางหรอกอารมณ์ทั้งหลายเหล่านี้มันไม่มาต้านทานได้หรอกถึงแม้มันผิดรู้จักว่าผิดจิตไม่ได้ประมาทจิตใหญ่ๆนั้นไม่ได้ประมาทคล้ายกับว่าเราเดินเข้าไปเหยียบหนามเราไม่อยากเหยียบหรอกหนามระวังเต็มที่แต่มันเหยียบไปเหยียบแล้วพอใจไหมก็ไม่พอใจ เมื่อเรารู้จักหนทางแล้วว่าอันนี้มันเป็นโลกอันนี้มันเป็นทุกข์อันนี้มันเป็นตัววัฏฏะเรารู้จักแต่ว่ามันเหยียบเข้าไปเสียมันก็ไปกับความสุขความทุกข์คือความดีใจเสียใจอย่างนี้เป็นต้นแต่มันก็ยังไม่พอใจนะมันพยายามทำลายสิ่งเหล่านี้ออกทำลายโลกออกจากใจอยู่เสมอเลยทีเดียวจิตขณะนี้แหละสร้างอยู่นี้นะปฏิบัติตรงนี้สร้างอยู่นี่บำเพ็ญอยู่นี่นี่เรื่องทำความเพียรเรื่องปฏิบัติมันสนทนาอยู่อย่างนี้พิจารณาอยู่อย่างนี้เรื่องข้างในของมันสิ่งเหล่านี้เมื่อมันถอนโลกแล้วมันก็ค่อยขยับตัวเข้าไปเรื่อยๆทีนี้ผู้รู้ทั้งหลายเหล่านี้แหละเมื่อรู้แล้วรู้อยู่เฉยๆรู้เท่านั้นรู้แจ้ง ไม่รับส่วนกับผู้ใดไม่รับเป็นทาสใครไม่รับส่วนกับใครรู้แล้วไม่เอารู้แล้ววางรู้แล้วละสุขก็มีอยู่เหมือนกันทุกข์ก็มีอยู่เหมือนกันอะไรก็มีอยู่เหมือนกันแต่ไม่เอา
เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วก็รู้จักว่าเออ! จิตเป็นอย่างนี้อารมณ์เป็นอย่างนี้จิตพรากจากอารมณ์อารมณ์พรากจากจิตจิตเป็นจิตอารมณ์เป็นอารมณ์ถ้ารู้จักสิ่งทั้งสองเหล่านี้แล้วเข้ากันเมื่อใดเราก็รู้มันเมื่อนั้นเมื่อจิตประสบกับอารมณ์เมื่อใดก็รู้เมื่อนั้นเมื่อการปฏิบัติของพระโยคาวจรเจ้าทั้งหลายขณะยืน หรือเดินหรือนั่ง หรือนอนนั้นมีความรู้สึกอยู่อย่างนี้เสมอแล้วอันนี้ท่านเรียกว่า"ผู้ปฏิบัติปฏิปทาเป็นวงกลม"เป็นสัมมาปฏิปทาลืมตัวไม่ได้ลืมไม่ได้ ไม่ใช่ดูแต่ของหยาบดูของละเอียดข้างในข้างนอกมันวางเอาไว้ทีนี้ก็ดูแต่กายกับจิตดูแต่อารมณ์กับจิตนี้ดูมันเกิด ดูมันดับดูเกิดแล้วก็ดับไปดับแล้วก็เกิดขึ้นมาดับเกิด เกิดดับดับแล้วเกิดเกิดแล้วดับผลที่สุดก็ดูแต่ความดับเท่านั้นล่ะทีนี้"ขัยยะวัยยัง"ความสิ้นไปเสื่อมไปเป็นธรรมดาของมันเป็นขัยยะวัยยังจิตใจเมื่อเป็นอยู่อย่างนี้จิตไม่ไปสืบสาวเอาอะไรหรอกมันจะทันของมันล่ะทีนี้เห็นก็สักแต่ว่าเห็นรู้ก็สักแต่ว่ารู้มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นอันนี้ปรุงไม่ได้อันนี้แต่งไม่ได้
ฉะนั้น การปฏิบัติของเราอย่าไปมัวงมมันอย่าไปสงสัยการรักษาศีลของเราก็เหมือนกันเหมือนกับที่ว่ามานี้ล่ะพิจารณาดูซิว่ามันผิดหรือไม่ผิดดูแล้วเลิกอย่าไปสงสัยการทำสมาธิก็เหมือนกันทำสงบ...สงบไปทำไปๆ สงบไป มันจะคิดก็ช่างมันให้เรารู้จักเรื่องของมันบางคนนะอยากให้สงบแต่ไม่รู้จักความสงบไม่รู้จักความสงบจิตความสงบนั้นมีสองอย่างสงบเรื่องสมาธิอันหนึ่งสงบเรื่องปัญญาอันหนึ่ง
สงบเรื่องสมาธินี่หลงหลงมากๆเลยสงบเรื่องสมาธินี่คือปราศจากอารมณ์มันจึงสงบไม่มีอารมณ์มันก็สงบก็ติดสุขล่ะทีนี้แต่เมื่อถูกอารมณ์ก็งอเลยกลัว กลัวอารมณ์กลัวสุข กลัวทุกข์กลัวนินทา กลัวสรรเสริญกลัวรูป กลัวเสียงกลัวกลิ่น กลัวรสสมาธินี่กลัวหมดถึงได้ไม่อยากออกมากับเขาถ้าคนที่มีสมาธิแบบนี้อยู่แต่ในถ้ำนั่นเสวยสุขอยู่ไม่อยากออกมาที่ไหนมันสงบก็ไปซุกไปซ่อนอยู่อย่างนั้นทุกข์มากนะสมาธิแบบนี้ออกมาอยู่กับผู้อื่นเขาไม่ได้มาดูรูปไม่ได้ได้ยินเสียงไม่ได้มารับอะไรไม่ได้ต้องไปอยู่เงียบๆอย่างนั้นไม่ต้องให้ใครเขาไปพูดไปจาสถานที่ต้องสงบ
สงบอย่างนี้ใช้ไม่ได้สงบขั้นนั้นแล้วให้เลิกถอนออกมา พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้บอกให้ทำอย่างนั้นถ้าทำอย่างนั้นแล้วให้เลิกถ้ามันสงบแล้วเอามาพิจารณาเอาตัวสงบมาพิจารณาเอามาต่อกับอารมณ์เอามาพิจารณารูปก็ดี เสียงก็ดีกลิ่นก็ดี รสก็ดีโผฏฐัพพะพวกนี้ธรรมารมณ์พวกนี้เอาออกมาเสียก่อนเอาตัวความสงบนั้นมาพิจารณาเป็นต้นว่ามาพิจารณาเกสา โลมา นขาทันตา ตโจ อะไรต่างๆเหล่านี้พิจารณา อนิจจังทุกขัง อนัตตาพิจารณาโลกทั้งสิ้นทั้งปวงนี่เองเอามาพิจารณาแล้วถึงคราวให้สงบก็นั่งสมาธิให้สงบเข้าไปแล้วก็มาพิจารณาให้มาหัด ให้มาฟอกเอามาต่อสู้มีความรู้แล้วเอามาต่อสู้เอามาฝึกหัดเอามาทำ เพราะไปอยู่ในนั้นไม่รู้จักอะไรหรอกนั่นมันไปสงบจิตเฉยๆเอามาพิจารณาข้างนอกก็สงบเข้าไปเรื่อยๆถึงข้างในจนมันเกิดความสงบอย่างยกใหญ่ของมัน

5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-3-5 11:19 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ความสงบของปัญญานั้นเมื่อจิตสงบแล้วไม่กลัวรูปเสียงกลิ่นรส โผฏฐัพพะและไม่กลัวธรรมารมณ์ไม่กลัว กระทบมันเดี๋ยวนี้รู้มันเดี๋ยวนี้กระทบมันเดี๋ยวนี้ทิ้งมันเดี๋ยวนี้กระทบมันเดี๋ยวนี้วางมันเดี๋ยวนี้เรื่องสงบของปัญญาเป็นอย่างนี้
ทีนี้เมื่อจิตเป็นอย่างนี้มันละเอียดยิ่งกว่านั้นนะจิตจะมีกำลังมากเมื่อมีกำลังมากทีนี้ไม่หนีมีกำลังแล้วไม่กลัวนะเมื่อก่อนเรากลัวเขาแต่เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วเราไม่กลัวรู้กำลังของเราแล้วเราไม่กลัวเห็นรูปเราก็พิจารณารูปได้ยินเสียงก็พิจารณาเสียงเราพิจารณาได้ตั้งตัวได้แล้วไม่กลัว กล้าแม้กระทั่งอาการรูปก็ดีเสียงก็ดี กลิ่นก็ดีเป็นต้นเห็นวันนี้วางวันนี้อะไรๆก็วางได้หมดเห็นสุขวางสุขเห็นทุกข์วางทุกข์เห็นมันที่ไหนวางมันที่นั่นเออ! วางที่นั่นทิ้งที่นั่นเรื่อยๆไปมันไม่เป็นอารมณ์อะไรล่ะที่นี้เอาไว้ที่นั่นเราก็มาอยู่บ้านของเราไปเห็นเราก็ทิ้งเห็นเราก็ดูดูแล้วเราก็วางสิ่งทั้งหลายเหล่านี้หมดราคาไม่สามารถทำอะไรเราได้อันนี้เป็นกำลังวิปัสสนาเมื่ออาการเกิดขึ้นมาอย่างนี้เปลี่ยนชื่อว่าเป็น"วิปัสสนา" รู้แจ้งตามความเป็นจริงนั่น! รู้แจ้งตามความเป็นจริงอันนี้ความสงบชั้นหนึ่งสงบของวิปัสสนาสงบด้วยสมาธินี้ยากยากจริงๆนะ กลัวมาก
ฉะนั้น เมื่อสงบเต็มที่แล้วทำอย่างไร เอามาหัดเอามาฝึก เอามาพิจารณาอย่าไปกลัวอย่าไปติด ทำสมาธินี้ไปติดแต่สุขนั่งเฉยๆก็ไม่ใช่นะถอนออกมา สงครามนั้นท่านว่าไปรบไม่ใช่เราไปอยู่ในหลุมเพลาะหลบแต่ลูกกระสุนเขาเท่านั้นหรอกถึงคราวรบกันจริงๆเอาปืนยิงกันตูมๆอยู่หลุมเพลาะก็ต้องออกมานะถึงเวลาจริงๆแล้วไม่ให้เข้าไปนอนในหลุมเพลาะรบกันนะนี่ก็เหมือนกันไม่ใช่ให้เอาจิตไปหมอบอยู่อย่างนั้นนะอันนี้เบื้องแรกมันจะต้องผ่านมีศีล มีสมาธิจะต้องหัดค้นตามแบบตามวิธีมันก็ต้องไปอย่างนั้น



อย่างไรก็ตามอันนี้กล่าวไว้เป็นเลาๆเมื่อเราผู้ประพฤติปฏิบัติแล้วนั่นแหละอย่าสงสัยเลยเรื่องนี้อย่าไปสงสัยมันมันมีสุขก็ดูสุขมันมีทุกข์ก็ดูทุกข์ดูแล้วพยายามเข่นมันฆ่ามัน ปล่อยมันวางมัน รู้อารมณ์นั้นปล่อยมันไปเรื่อยๆมันอยากนั่งสมาธิหรือเดินจงกรมก็ช่างมันจะคิดไปก็ช่างให้รู้เท่าทันจิตของเราถ้าคิดไปมากๆแล้วเอามารวมมันเสียตัดบทมันอย่างนี้ว่า
"สิ่งที่เจ้านึกมานี้เจ้าคิดมานี้เจ้าพรรณนามานี้เป็นสักแต่ว่าความนึกความคิดเฉยๆหรอกสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา เป็นของไม่แน่นอนหมดทุกอย่าง"
ทิ้งมันไว้นั่น!

ที่มา http://www.ubu.ac.th/wat/ebooks/chahthai/The_Path_to_Peace.html

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้