|
เมื่อเราบวชเข้ามาอยู่ในความหลอกลวงของอารมณ์ทั้งหลายเราก็สบายสบายกันอยู่อาศัยอารมณ์นั้นเป็นอยู่อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้นถ้าเราปฏิบัติกันมีความสบายผมก็ถามว่า"มันสบายอย่างไรมันสบายเพราะว่ามีอาการเสียสละทางใจหรือ"อย่างนี้ความเป็นจริงความสบายนั้นมันมีพิษอยู่ในนั้นมันสบายอยู่กับสิ่งที่เราชอบใจสิ่งที่ไม่ชอบใจเราก็ไม่สบายอันนี้ก็เป็นเครื่องกำบังของพระภิกษุสามเณรผู้ประพฤติปฏิบัติอยู่เหมือนกันเท่ากับว่าเราไม่ได้ปฏิบัติถ้าถูกอารมณ์อันใดที่ไม่ชอบใจมันก็ใจไม่สบายถูกอารมณ์บางอย่างที่เราชอบใจเราก็สบายอย่างนี้ยังไม่เห็นพื้นฐานอะไรเลย
พูดว่ายังไม่เห็นพื้นฐานอะไรเหมือนเด็กมันเล่นตุ๊กตามันยังไม่เห็นพื้นฐานของทุกข์เลยไม่เห็นพื้นฐานของตุ๊กตาที่อาจจะพังได้มันก็ติดอยู่อย่างนั้นอารมณ์ที่พวกเราทั้งหลายติดตามมันอยู่ด้วยความชอบใจมันก็เป็นอยู่อย่างนั้นมันก็มีความหลงงมงายอยู่ในตุ๊กตาเหมือนเด็กนี้เรียกว่างมงายอยู่ในอารมณ์เหมือนเด็กนั้นเมื่อถึงเวลามันเปลี่ยนแปลงมันเป็น สัญญาวิปลาสเมื่อสัญญาวิปลาสคือสัญญาความจำนี้เปลี่ยนมันเปลี่ยนจากที่เก่าของมันอย่างเราเห็นบาตรของเราอยู่อย่างนี้มันก็เป็นวิปลาสอันหนึ่งอยู่ตอนบาตรไม่ร้าวไม่แตกเมื่อบาตรเราแตกมันก็เป็นสัญญาวิปลาสขึ้นอีกอันหนึ่งจิตมันจะเปลี่ยนทันทีนี้เรียกว่าจิตไปอาศัยอามิสอยู่ไม่อาศัยเนกขัม-มธรรมอาศัยอามิสคือ สิ่งของอาศัยบาตร อาศัยจีวรอาศัยเสนาสนะอยู่มันก็เพลินมันก็ติดอยู่ด้วยอามิสไม่อาศัยเนกขัมมะ(การออกจากกาม,การออกบวช, ความปลอดโปร่งจากสิ่งล่อเร้าเย้ายวน)อยู่ภายใน
อย่างกิจของบรรพชิตที่ท่านสวดกันวันนี้(บทสวดปัจจัยปัจจ-เวกขณะคือบทพิจารณาปัจจัย๔ ก่อนบริโภค)เป็นประโยชน์มากเหลือเกินไม่ใช่ว่าไม่เป็นประโยชน์แต่สูตรนี้มันก็อาภัพอยู่ในตำรับตำราของมันเหมือนกับไม่มีอะไรถ้าเราเอาสูตรนี้มาพิจารณามันก็มีข้อความออกมามันก็มีความหมายเราได้ฟังก็เป็นเช่นนั้นเพราะฉะนั้นบริขารชิ้นใดชิ้นหนึ่งจะเป็นบาตร จีวรเสนาสนะ เภสัชอะไรก็ตามในวันนี้เรามักไม่ได้พิจารณาแล้ววันพรุ่งนี้ก็ต้องพิจารณาเราห่มจีวรใส่สังฆาฏิเราฉันบิณฑบาตเราอุ้มบาตรเข้าไปในบ้านอย่างนี้ที่อยู่ที่อาศัยอย่างนี้วันนี้ตอนเช้าเรายังไม่ได้พิจารณาอดีตมันล่วงมาแล้วนั้นต่อมานี้ท่านจึงให้พิจารณาพิจารณาถึงอามิสทั้งหลายนี้ว่ามันเป็นอามิสมันเป็นวัตถุบัดนี้เรามองเห็นตัวตาเราก็สบายใจอีกวันหนึ่งเราไม่ได้มองเห็นด้วยตาเราก็จะเป็นทุกข์นี้เรียกว่าอามิสสุขมันสุขอยู่ด้วยอามิสพระพุทธเจ้าจึงให้เราทั้งหลายพิจารณาให้มากที่สุดเรื่องจีวรบิณฑบาต เสนาสนะเภสัช
มันเป็นเรื่องข้องเกี่ยวกับเรื่องสมณะทั้งหลายอยู่เท่านั้น..๔.อย่างคือจีวร บิณฑบาตเสนาสนะ เภสัชเป็นบริขารและเป็นปัจจัยจำเป็นที่พวกเราทั้งหลายจะต้องอาศัยอยู่ตลอดเวลาเหมือนกันกับพระพุทธเจ้าและพระอริยะทั้งหลายมันเป็นของจำเป็นของสมณะทั้งหลายที่จะอยู่อาศัยจนกว่าชีวิตจะหาไม่ฉะนั้น ท่านกลัวว่าเราทั้งหลายจะไปเพลินในอย่างอื่นเสียจะไม่ได้พิจารณาอันนี้ได้อาหารก็เพลินกับอาหารได้จีวรก็เพลินกับจีวรได้บาตรก็เพลินกับบาตรได้กุฏิที่ดีที่สวยก็เพลินเสียได้ยาบำบัดโรคฉันเข้าไปมันหายโรคก็เพลินเสียกลัวพวกท่านทั้งหลายจะเป็นผู้เพลินอยู่ด้วยสิ่งทั้งหลายเหล่านี้โดยปราศจากสติไม่มีสติ ก็เป็นเหตุให้เพลินให้หลงใหลตามสิ่งทั้งหลายเหล่านี้
สตินี้มันเป็นธรรมอันหนึ่งแต่ว่าเราก็พยายามให้มีธรรมเหล่าอื่นเกิดขึ้นมารวมกันหลายๆอย่างเช่น มีสติ แล้วต่อไปก็มีสัมปชัญญะรู้ตัวพูดง่ายๆเรียกว่าสติ ความระลึกได้เมื่อมีความระลึกได้ความรู้ตัวมันก็พร้อมกันมาเมื่อมีความรู้ตัวเกิดขึ้นมาเราก็หาที่พึ่งที่หลักเรียนหาที่ปฏิบัติต่อไปก็ให้วิจัยปัญญาก็เกิดสิ่งทั้งสามนี้มันจะต้องพร้อมเพรียงกันอยู่เสมอทีเดียวถ้าเรามีสติอยู่สัมปชัญญะก็เกิดขึ้นเมื่อสัมปชัญญะเกิดแล้วก็ดึงเอาปัญญามาสติดึงเอาสัมปชัญญะมาระลึกแล้วก็รู้ตัวรู้ตัวแล้วก็พิจารณาปัญญาเกิดถ้าหากปราศจากธรรม๓ ประการนี้แล้วก็ตกลงว่าเราทั้งหลายอยู่ในความประมาทพระพุทธองค์ท่านตรัสว่า
"ผู้ไม่มีสติก็คือคนประมาทคนที่ประมาทนั้นก็คือคนตาย"
แม้มีชีวิตอยู่ก็เรียกว่าตายแล้วเพราะจิตใจมันตายไม่มีอะไรแล้วเป็นผู้ประมาท
"ปมาโท มจฺจุโนปทํคนประมาทแล้วเหมือนคนตาย"
นี่ตายในภาษาธรรมะตายในภาษาด้านปรมัตถ์ไม่ใช่ตายในร่างกายของเราเกิดในร่างกายของเราเป็นผู้ตายในภาษาธรรมะไม่ใช่เป็นภาษาคนธรรมดาถ้าเป็นภาษาคนธรรมดาตายก็ลมหายใจไม่มีนี่ก็เรียกว่าเขาฟังกันออกเขารู้กัน แต่ตายโดยธรรมะก็เรียกว่าผู้ไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะไม่มีปัญญาฉะนั้น เมื่อไม่รู้จักอันนี้เราก็เห็นว่าเราเป็นอยู่เสมอไม่เห็นว่าเราตายทีนี้เมื่อคนตายจะเป็นอย่างไรเมื่อตายมันก็หมดแล้วหมดความรู้สึกหมดอะไรหลายๆอย่างไม่เกิดประโยชน์นั่นคือคนตายถ้าพวกเราทั้งหลายเป็นอยู่อย่างนั้นมันก็เป็นคนตายดังนั้นพระพุทธเจ้าของเราท่านจึงไม่ให้ประมาทในอามิสทั้งหลายท่านกลัวพวกเราจะติดกันให้รู้จักอามิสกลัวพวกเราทั้งหลายจะติดอามิสคือสิ่งของเพราะว่าพวกเราทั้งหลายนั้นจะมีโอกาสที่จะอยู่กับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จนถึงวันตาย
ฉะนั้น เมื่อเราใกล้ชิดสิ่งทั้งหลายเหล่านี้อยู่พระพุทธเจ้าท่านจึงทรงให้พิจารณาให้มากระวังให้มากระมัดระวังเมื่อมีความระมัดระวังก็มีความสำรวมเมื่อมีความสำรวมก็มีความระมัดระวังเมื่อเราระมัดระวังอยู่เมื่อใดสติเราก็มีอยู่เมื่อนั้นสัมปชัญญะเราก็มีอยู่ปัญญาเราก็มีอยู่ถ้าเราระวังอยู่การสังวรการสำรวมระวังนี้มันจะเป็นศีลถ้าพูดง่ายๆตัวนี้มันจะเป็นตัวศีลอาการของศีลถ้ามันเป็นอย่างนี้มันจะรอบคอบของมันอยู่ระมัดระวังของมันอยู่มีความอายเมื่อมีความอายแล้วก็มีความกลัวเมื่อผิดพลาดไปทำอะไรพลาดไปเช่นเมื่อเดินไปสะดุดหัวตอหรือเมื่อสิ่งของอะไรที่เราหยิบเช่นว่า กระโถนที่เราหยิบมามันพลัดจากมือเราไปเสียอย่างแก้วน้ำเรานี้เราทำมันพลัดตกแตกหรือเราไปทำอะไรที่เสียงมันดัง"เคร้ง" ขึ้น ก็มีความละอายแล้วผู้ปฏิบัตินั้นมีความละอายมากแล้วมีความสำรวมแล้วมีความรู้แล้วมีความเห็นแล้วมองเห็นข้อปฏิบัติของเราแล้วมองเห็นความเป็นอยู่ของเราว่ามันขาดอะไรต่ออะไรนี่คือมันละอายอยู่และระมัดระวังอยู่ถ้ามันละอายมากๆก็ระวังมากๆเมื่อระวังมากสติมันก็ดีขึ้นมาสัมปชัญญะก็มากขึ้นมาปัญญาก็เกิดขึ้นมามันอยู่ในสายเดียวกันนี้
ฉะนั้น พวกเราทั้งหลายซึ่งมาอยู่ในที่นี้เป็นกันอยู่สองอย่างคืออามิสสุขและ นิรามิสสุขสุขอย่างหนึ่งเพราะมีอามิสอาศัยอามิสอยู่สุขอีกประเภทไม่ต้องอาศัยนี่เป็น นิรามิสสุขสุขอันนั้นผสมกันในความสงบทีนี้พวกเราทั้งหลายปฏิบัตินี้ก็ต้องแยกพิจารณาพิจารณาแยกเช่น การห่มผ้าก็พิจารณาการเที่ยวบิณฑบาตก็พิจารณาการฉันบิณฑบาตก็พิจารณาการอยู่เสนาสนะก็พิจารณาการฉันยาบำบัดโรคก็พิจารณาการพิจารณาอย่างนี้ให้คุมปัจจัยทั้งหลายเหล่านี้อยู่ในวัดนี้ก็ให้วัดนี้สะอาดให้วัดนี้น่าอยู่แต่ก็อย่าไปติดมันอันนี้เป็นเรื่องของโลกเสนาสนะกุฏิหลังนี้ท่านให้เราอยู่เราก็ต้องรักษาเสนาสนะนั้นให้เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติไม่ใช่ว่าเราปฏิบัติเสนาสนะอันนั้นเพื่อให้เราไปติดในเสนาสนะอันนั้นอันนี้มันเป็นของสงฆ์แต่คนเราก็ชอบถ้าเป็นของๆตัวก็ทำให้ดีมากของคนอื่นก็ชอบวางเฉยๆเสียนิสัยกิเลสทั้งหลายก็ต้องเป็นอย่างนี้
ฉะนั้นการเสียสละนี้ไม่มีเมื่อไรก็ไม่ถึงธรรมะเมื่อนั้นการทำกิจเล็กๆน้อยๆทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องของคนนั้นเป็นเรื่องของคนนี้เป็นเรื่องของคนโน้นอย่างนี้เช่น จับกระโถนของท่านอาจารย์เหลี่ยมไปเทจับเอากาน้ำไปกรองน้ำก็เข้าใจว่าเอากระโถนไปเทให้ท่านอาจารย์เหลี่ยมอย่างนี้เป็นต้นก็ดีอยู่แต่ว่ามันน้อยไปเอากระโถนนี้เอากาน้ำนี้ไปกรองน้ำใส่ให้ท่านอาจารย์ชูนี่ก็ถูกไปอย่างหนึ่งเหมือนกันแต่ว่าถ้าหากว่าไม่ใช่ของอาจารย์ชูแล้วก็จะไม่เอาไปเทกระมังไม่ใช่ของอาจารย์เหลี่ยมก็ไม่เอาไปเทกระมังอันนี้เช่นนี้มันก็ดีไปส่วนหนึ่งแต่ว่ายังไม่เลิศไม่ประเสริฐมันมีความมุ่งหมายในนั้นมีความยึดมั่นถือมั่นอยู่เราควรทำเพื่อธรรมะเราทำเพื่อเสียสละกระโถนใบนี้เราก็ทำเพื่อเราเองนั่นแหละกิจการงานอันนี้เราทำเพื่อเราเองไม่ได้ทำให้ใครทั้งนั้นทำเพื่อธรรมะถ้าจิตเราเป็นอย่างนี้ไปอยู่ที่ไหนเราก็เสียสละปฏิบัติก็ถึงธรรม
|
|