เมตตาพรหมวิหาระภาวนา (มหาเมตตาใหญ่)
หลวงปู่มั่น ภูริฑัตโต
“พระคาถาเมตตาหลวง” พระคาถาบทนี้ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านมักจะใช้ภาวนาเจริญเมตตา ไปยังสรรพสัตว์ไม่มีประมาณ ให้หมู่มนุษย์ และเทวดาได้รับความร่มเย็นเป็นสุขโดยทั่วกัน
พระคาถาบทนี้ หลวงปู่ขาว อนาลโย แห่งวัดถ้ำกลองเพล ได้รับถ่ายทอดไว้ และได้มอบให้กับพระญาณสิทธาจารย์ หรือหลวงปู่เมตตาหลวง (สิงห์ สุนทโร) แห่งวัดเทพพิทักษ์ปุณณาราม อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เพื่อใช้เป็นบทเจริญเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั่วทุกทิศานุทิศ
พระคาถาเมตตาหลวงนี้เป็นการเจริญกรรมฐานที่มีอานิสงส์ ทำให้จิตตั้งมั่นได้ถึงระดับ อัปปนาสมาธิ คือ เมตตา กรุณา มุฑิตา จิตสามารถตั้งมั่นในระดับฌาณ ๓ ส่วน อุเบกขา จิตสามารถตั้งมั่นในฌาณ ๔ ในหมวดกรรมฐาน ๔๐ กอง บทนี้เรียกว่า พรหมวิหาร ๔ หรือ อัปปมัญญา ๔
หลวงปู่ขาว อนาลโย
พระญาณสิทธาจารย์หรือ หลวงปู่เมตตาหลวง
พระคาถานี้ศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริฑัตโต ใช้แสดงโปรดเทวดา และพระคาถานี้ไม่มีศิษย์รูปใดของหลวงปู่มั่น จดจำได้นอกจาก หลวงปู่ขาว อนาลโย เพียงรูปเดียวที่สามารถจดจำได้ และต่อมาได้ถ่ายทอดให้ พระญาณสิทธาจารย์หรือ หลวงปู่เมตตาหลวง
พระคาถาเมตตาหลวง ประกอบด้วย บทเมตตา กรุณา มุฑิตา และอุเบกขา และแผ่เมตตาเป็น ๓ สถาน คือ แผ่แบบ อโนทิศ , โอทิศ และ ทิสาผรณะ คือ แผ่เมตตามิได้เฉพาะก็ดี เฉพาะก็ดี แผ่ทั่วทิศทั้ง ๑๐ ก็ดี มีเมตตาจิตให้เป็นประโยชน์แก่สรรพสัตว์ทั้งปวงเบื้องบนถึงภวัคคพรหมเป็นที่สุด เบื้องต่ำตลอดอเวจีนรก โดยปริมณฑลทั่วอนันตสัตว์อันอยู่ในอนันตจักรวาล
อธิบายเพิ่มเติม
การแผ่ให้แบบอโนทิศ หรือไม่เจาะจงด้วยอาการ ๕ ได้แก่
๑. สัตตา [สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง] : อันว่าสัตว์ทั้งหลายอันยังข้องอยู่ในรูปปาทิขันธ์ด้วยฉันทราคะ
๒. ปาณา [สัตว์มีลมปราณ(ลมหายใจ)ทั้งปวง] : อันว่าสัตว์อันมีชีวิตอยู่ด้วยอัสสาสะ ปัสสาสะ (ลมหายใจเข้า – ออก) มีปัญจขันธ์ (ขันธ์ ๕ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) บริบูรณ์ทั้งปวงบทประกอบเหมือนกันเป็นอาการอัน ๑
๓. ภูตา [ภูติผีทั้งปวง] : อันว่าสัตว์ทั้งหลายอันเกิดใน จตุโวการภพมีขันธ์ ๕ ประการ คือ รูปพรหม แลสัตว์อันเกิดในเอกโวการภพมีขันธ์ ๑ คือ สัญญีสัตว์เป็นอาการอัน ๑
๔. ปุคคะลา [บุคคลทั้งปวง] : อันว่าสัตว์อันจะไปสู่นรกทั้งปวงเป็นอาการ ๑
๕. อัตตะภาวะปะริยาปันนา [สัตว์ในร่างกายเรา] : อันว่าสัตว์อันนับเข้าในอาตมาภาพ เหตุอาศัยขันธ์ทั้ง ๕
อธิบายเพิ่มเติม
การแผ่ให้แบบโอทิศ หรือเฉพาะเจาะจงเป็นส่วนว่าหญิงชายมีอาการ ๗ ได้แก่
๖. อิตถิโย [สตรีเพศ]
๗. ปุริสา [บุรุษเพศ]
๘. อะริยา [พระอริยะเจ้า]
๙. อะนะริยา [ไม่ใช่อริยะเจ้า คือ ปุถุชน]
๑๐. เทวา [เทวดา]
๑๑. มนุสสา [สัตว์ผู้มีใจสูง / มนุษย์]
๑๒. วินิปาติกา [สัตว์นรก อสุรกาย]
และแผ่ไป ทิสาผรณะ หรือ แผ่ไปสิบทิศน้อยใหญ่ มีอาการ ๑๐ ได้แก่
๑. ทิศบูรพา (ตะวันออก)
๒. ทิศปัจฉิม (ตะวันตก)
๓. ทิศอุดร (เหนือ)
๔. ทักษิณ (ใต้)
๕. ทิศอาคเนย์ (ตะวันออกเฉียงใต้)
๖. ทิศพายัพ (ตะวันตกเฉียงเหนือ)
๗. ทิศอีสาน (ตะวันออกเฉียงเหนือ)
๘. ทิศหรดี (ตะวันตกเฉียงใต้)
๙. ทิศเบื้องล่าง
๑๐. ทิศเบื้องบน
คำลงท้ายแบบย่อของแต่ละบทจะมีความแตกต่างกัน ขอยกตัวอย่างให้เห็นคร่าว ๆ ซึ่งท่านสามารถเข้าไปอ่านเรื่องเต็มได้ที่
พระคาถาเมตตาหลวง (คำลงท้ายอาจเปลี่ยนแปลงไวยกรณ์ไปตามแต่กาล)
คำลงท้ายของแต่ละบทแยกไว้ตามหัวข้อ (ยกมาสั้น ๆ )
๑. บทเมตตา : ใช้คำลงท้าย “อะเวรา อัพพะยาปัชฌา อะนีฆา สุขีอัตตานัง ปะริหะรันตุ”
แปลว่า : อย่าจองเวรกัน อย่าผูกพยาบาทอาฆาตกัน อย่าเบียดเบียนกัน อย่าข่มเหงรังแกกัน อย่ามีความทุกข์กายทุกข์ใจ จงรักษาตนให้เป็นสุข
๒. บทกรุณา : ใช้คำลงท้าย “สัพพะทุกขา ปะมุญจันตุ”
แปลว่า : จงพ้นจากความเสื่อมลาภ เสื่อมยศนินทา และความทุกข์ ทั้งปวง
๓. บทมุทิตา : ใช้คำลงท้าย “ลัทธะสัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ”
แปลว่า : อย่าวิบัติ กลาดเกลื่อนจากสมบัติ จากยศ จากความสรรเสริญ และจากความสุขที่ได้แล้ว
๔. บทอุเบกขา : ใช้คำลงท้าย “กัมมัสสะกา กัมมะทายาทา กัมมะโยนี กัมมะพันธู กัมมะปะฏิสะระณา ยัง กัมมัง กะริสสันติ กัลยานัง วาปาปะกัง วา ตัสสะ ทายาทา ภะวิสสันติ”
แปลว่า : มีกรรมเป็นของๆคน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
ที่กล่าวทั้งหมดด้านบนคือ ประวัติบางส่วนของบทเมตตาหลวงอย่างย่อ ๆ ต่อไป
จะขอนำประวัติของ "พระคาถาเมตตาใหญ่"
ที่หลวงพ่อจรัญ บันทึกเรื่องราวไว้