“เณรสำรวม หลวงพ่อบอกเณรว่า ไม่ต้องภาวนาพุทโธ เณรไม่ได้ยินรึ ทำไมไม่เชื่อหลวงพ่อ” ท่านว่านี่คือตัวอย่างบางตอนของคำต่อว่า ซึ่งแน่นอนครับมีต่อมาอีกมากมาย นับไม่ถ้วนถ้าจะถามต่ออีกว่าความรุนแรงขนาดไหน ท่านตอบว่า “ถ้าท่านดำดินได้ คงดำดินหายไปจากโลกนี้แล้ว” จะว่าไปแล้วเรื่องของการรับรู้หรือล่วงรู้วาระจิตใจของคน เป็นเรื่องของผู้ปฏิบัติธรรมอย่างเอกอุและสำเร็จในเรื่องฌาณสมาบัติหรืออภิญญา ผมเองก็ไม่บรรลุในเรื่องแบบนี้อะไรมากนักแต่เท่าที่สอบถามผู้รู้ทั้งหลายพอจะสรุปได้ความว่า ในการรับรู้ด้วยวาระจิตมีสองลักษณะ ซึ่งทั้งสองลักษณะมีความเหมือนกันคือสามารถ “รู้” ได้ แต่ที่แตกต่างกันคือ “วิธีการรู้” อธิบายแบบกระชับระดับตั้งไข่ครับว่า เจโตปริยญาณ คือการรู้ความคิดของบุคคลอื่น เป็นการรับรู้ที่เป็นอัตโนมัติ เปิดปิดการรับรู้ได้ตามใจหมาย ซึ่งผู้ที่จะทำได้ขนาดนี้ต้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานขนาดหนัก ฌาณสมาบัติ คือการรู้ความคิดของผู้อื่นเหมือนกันครับ เพียงแต่หากต้องการจะรู้ต้องใช้วิธีเพ่งดู และก็ไม่อัตโนมัติครับ เปิดปิดเป็นเวลาและต้องลงทะเบียนก่อน แต่ถ้าจะถามผมว่าหลวงพ่อกัสสปมุนีท่านอยู่ในขั้นไหน ผมคงจะตอบไม่ได้ครับ เพราะไม่อาจทราบ”วาระจิตของท่าน” หากแต่ถ้าเราพิจารณาด้าน “จิตใจและคุณธรรม” จากปฏิปทาทางกายกรรมและวจีกรรม เราก็จะเห็นความเป็นคนจริง คนเด็ดเดี่ยว มั่นคง ฯลฯ การสั่งสมบารมีของท่าน เช่น วิริยะบารมี ขันติบารมี สัจจะบารมี ฯลฯ การสละครอบครัวและทรัพย์สมบัติ ตลอดจนการปฏิบัติแบบ “มอบกายถวายชีวิต” ก็คงจะเป็นแนวทางให้ทราบเป็นนัยๆได้ครับว่า “ชั้นอ๋องหัวเมืองใหญ่เป็นอย่างน้อย” หลวงพ่อกัสสปมุนี มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๓๑ อายุ ๗๙ ปี จากวันนั้นจนถึงวันนี้หากหลวงพ่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านจะต้องมีอายุประมาณ ๑๐๐ ปี ปัจจุบันทางวัดยังคงเก็บสรีระของหลวงพ่อเอาไว้ เพราะหลวงพ่อได้เคยกล่าววาจาไว้ว่า “หลวงพ่อจะอยู่จนอายุ ๑๓๐ ปี แต่ต้องเปลี่ยนธาตุขันธ์” จะว่าไปแล้วก็มีแรงจูงใจหลายอย่างครับ ที่ทำให้ลูกศิษย์ของหลวงพ่อทุกคนมั่นใจว่าทุกวันนี้หลวงพ่อกัสสปมุนีท่านยังอยู่และคอยดูแลคุ้มครองพวกเขาตลอดเวลา... โดยเฉพาะกับคนๆนี้ครับ “ป้าเตียง” บ้านของป้าเตียงเป็นร้านขายของชำเล็กอยู่หน้าวัด ในชีวิตของป้าเตียงเคารพนับถือหลวงพ่อกัสสปมุนีมากๆ ชนิดเข้าขั้นแฟนพันธ์แท้ เรื่องแบบนี้มีที่มาที่ไปครับ.... หลังจากที่หลวงพ่อกัสสปมุนีได้มรณภาพลง คืนหนึ่งป้าเตียงฝันว่าหลวงพ่อได้มาบอกให้ป้าเตียงเตรียมตัวเอาไว้เพราะจะมีไฟไหม้ ในวันนั้น เวลานั้น ซึ่งในความฝันป้าเตียงขอร้องให้หลวงพ่อช่วยเหลือ หลวงพ่อตอบว่า.... ”จะพยายามเต็มที แต่มันเป็นวิบากกรรมไม่สามารถห้ามกันได้ ยังไงเสียป้าเตียงต้องได้รับผลแน่นอน” ครั้นพอตื่นจากความฝัน ด้วยความเชื่อมั่นว่าเรื่องที่หลวงพ่อมาบอกคือความจริง ป้าเตียงจึงได้ระดมน้ำสำรองเตรียมตัวไว้เต็มที และในวันดังกล่าวป้าเตียงได้เกณฑ์บรรดาญาติพี่น้องมาคอยเฝ้าบ้าน เฝ้าสวนเต็มอัตราศึก ผลปรากฏว่าเมื่อถึงเวลาดังกล่าวได้เกิดไฟไหม้สวนข้างเคียงและได้ลุกลามเข้ามาถึงสวนของป้าเตียง ชะรอยว่าป้าเตียงเตรียมความพร้อมตลอดเวลา จึงสามารถสยบพระเพลิงได้อย่างสงบราบคาบ แต่กระนั้นก็ตามต้นไม้ในสวนก็ถูกไฟไหม้ไปบ้างแต่เสียหายไม่มากนัก คนที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า พอรุ่งเช้าพบว่ารอบๆบ้านของป้าเตียงหายไปเรียบเหลือแต่บ้านของป้าเตียงเท่านั้นที่ยังยืนเด่นเป็นสง่ามาตราบจนถึงทุกวันนี้..... “สังโฆอัปปมาโณ” คุณของพระสงฆ์หาประมาณมิได้ “เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ” นี่แหละคือสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า หลวงพ่อกัสสปมุนีเคยกล่าวไว้ในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ว่า... “หลวงพ่อมาอยู่ที่นี่ด้วยมือเปล่าและบาตรเปล่า สร้างวัดนี้ได้ทั้งหมดก็ด้วยอานิสงฆ์ของลมหายใจเท่านั้น....” “นะโม อโห โอม กัสสโปมุนิ อะราธะนัง” ขออภิวาทต่อหลวงพ่อกัสสปมุนี ผู้สงบระงับด้วยความนอบน้อม….สวัสดีครับ ขอขอบคุณเอกสารอ้างอิง หนังสือปกิณกสารธรรม “อนุสรณ์ ๑๐ ปีแห่งการมรณภาพของหลวงพ่อกัสสปมุนี” หนังสือ “หกเดือนบนภูกระดึงและเมื่อข้าพเจ้ามาพบที่ใหม่” คุณพรชนก สุขพงษ์ไทย สำหรับภาพถ่าย เพื่อนต่อกับคำแนะนำ คุณสมบูรณ์ ร้านนายฮ้อ สระบุรี สำหรับกำลังใจครับ |