ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 4717
ตอบกลับ: 19
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

อย่าคิดว่าตัวเก่งกว่าใคร

[คัดลอกลิงก์]
อย่าคิดว่าตัวเก่งกว่าใคร



ทุกชีวิตที่เกิดมาในโลกนี้ ล้วนต้องแสวงหาความรู้ด้วยกันทั้งนั้น และความรู้ในโลกนี้ มีอยู่มากมายหลากหลายสาขาวิชา ต่างคนต่างแสวงหาความรู้เพิ่มเติมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อจะได้เป็นปัจจัยสนับสนุนในการเลี้ยงชีพของตนเองและครอบครัว ส่วนใหญ่ทำกันมาเช่นนี้ทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและจะมีต่อไปในอนาคต แต่จะมีใครรู้บ้างว่า ความรู้ที่แท้จริง คือความรู้ที่มาจากภายใน ซึ่งเกิดจากใจที่หยุดนิ่งอย่างสมบูรณ์ เป็นความรู้อันเกิดจากปัญญาบริสุทธิ์ที่อยู่ภายใน ที่สามารถทำให้เราบริสุทธิ์ทั้งกายวาจาใจ และเป็นความรู้ที่ยิ่งศึกษายิ่งมีความสุข และที่สำคัญสามารถทำให้เราหลุดพ้นจากอวิชชา หลุดพ้นจากการบังคับบัญชาของพญามารได้ ซึ่งการที่จะศึกษาความรู้อันบริสุทธิ์นี้ได้ ต้องตั้งใจปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิภาวนา

มีธรรมภาษิตที่ปรากฏในมังคลัตถทีปนี ความว่า...

ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายกล่าวว่า ปัญญาแลประเสริฐสุด ดุจพระจันทร์ประเสริฐล้ำกว่ามวลหมู่ดาราทั้งหลาย ศีลอย่างหนึ่ง ศิริอย่างหนึ่ง ธรรมของสัตบุรุษอย่างหนึ่ง ย่อมเป็นไปตามบุคคลผู้มีปัญญา”

คนบางคนเมื่อจบการศึกษาสูงมาจากสถาบันที่มีชื่อเสียงแล้ว เกิดความคิดขึ้นว่าเราเก่ง เราแน่ เรามีความรู้ไม่น้อยหน้าใคร แล้วเกิดทิฐิมานะขึ้นมา จึงเที่ยวพูดจาข่มเหงดูหมิ่นคนอื่น และไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของใคร เอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ แท้ที่จริงแล้ว ความรู้ที่เล่าเรียนมา เป็นแค่ความรู้ที่สืบต่อกันมาเท่านั้น ยังไม่ใช่ความรู้ที่สมบูรณ์ที่สุด และคนที่เรียนจบการศึกษาสูง ใช่ว่าจะมีคุณธรรมสูงเสมอไป เพราะคุณธรรมภายในใจ เขาวัดกันที่ความประพฤติดีมีศีลมีธรรม มีความเคารพอ่อนน้อมถ่อมตนต่างหาก ดังเรื่องของปริพาชกผู้ถือดีคนหนึ่ง ที่คิดว่าตนเองเก่งและมีความรู้มาก จึงเที่ยวโอ้อวดโต้วาทะกับคนทั่วแว่นแคว้น เรื่องมีอยู่ว่า...


*มก. วิคติจฉชาดก เล่ม ๕๗/๔๙๘
*ปริพาชกคนหนึ่งในครั้งพุทธกาล เที่ยวไปยังเมืองต่างๆ เพื่อค้นหาคนที่จะโต้วาทะกับตน แต่หาใครที่พอจะโต้วาทะด้วยไม่ได้ วันหนึ่งเดินทางมาถึงเมืองสาวัตถี จึงถามชาวเมืองว่ามีใครบ้างไหม ที่มีความรู้พอจะโต้ตอบวาทะกับตนได้ เพราะพื้นปฐพีนี้ยังหาผู้ที่มีฝีปากพอที่จะโต้วาทะด้วยไม่ได้ ถ้าใครรู้ช่วยบอกหน่อย ชาวเมืองจึงบอกว่า “พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้นที่สามารถจะโต้วาทะกับท่านได้ ตอนนี้พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่วัดพระเชตวันมหาวิหาร ท่านจงไปหาพระองค์เถิด”
เมื่อปริพาชกรับทราบแล้ว จึงเดินทางไปที่วัดพระเชตวันพร้อมกับชาวเมืองทันที ขณะไปถึงวัด ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่พระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาให้แก่พุทธบริษัทสี่อยู่ที่ศาลา จึงเข้าไปเฝ้าแล้วทูลบอกวัตถุประสงค์ที่ตนอุตส่าห์เดินทางไกลมาเพื่อหาคนโต้ตอบวาทะด้วย ซึ่งชาวเมืองบอกว่าพระพุทธองค์ทรงสามารถโต้วาทะด้วยได้ ตนจึงมาเข้าเฝ้าเพื่อวัตถุประสงค์นี้ พระบรมศาสดาตรัสบอกว่า ...

“ปริพาชกเธออยากถามอะไรถามมาเถิด”

ปริพาชกจึงถามปัญหาซึ่งเป็นปัญหาที่ยากสำหรับปุถุชนทั่วไป แต่สำหรับพระบรมศาสดาแล้วถือว่าเป็นปัญหาพื้นๆ ฉะนั้น จึงทรงแก้ปัญหาของปริพาชกได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง

จากนั้น พระพุทธองค์ทรงตรัสถามปัญหาสั้นๆ กับปริพาชกบ้างว่า อะไรชื่อว่าหนึ่ง ปริพาชกฟังคำถามจากพระพุทธองค์แล้ว จึงหาคำตอบ แต่เมื่อขบคิดทบไปทวนมา คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก จนหมดปัญญาที่จะหาคำตอบมาทูลวิสัชนา จึงรู้สึกเสียหน้า รีบลุกขึ้นเดินลงจากศาลาทันที มหาชนเห็นอาการของปริพาชกแล้ว ก็กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปริพาชกคนนี้นึกว่าตนเองเก่ง พอเอาเข้าจริงๆ แค่ถูกถามปัญหาเพียงข้อเดียวก็หมดภูมิปัญญา ยังไม่ทันได้ตอบปัญหาเลย รีบลุกหนีไปเสียแล้ว”

พระบรมศาสดาตรัสตอบว่า “อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย อย่าว่าแต่ในชาตินี้เลย ที่เราข่มปริพาชกผู้นี้ด้วยปัญหาเพียงข้อเดียว แม้ชาติที่ผ่านๆ มา ก็ถูกเราข่มด้วยปัญหาแค่ข้อเดียวมาแล้วเหมือนกัน” จากนั้น พระบรมศาสดาทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่าให้พุทธบริษัทฟังว่า ในอดีตกาล ครั้งที่พระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในเมืองพาราณสี ชาตินั้นพระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์ในแคว้นกาสี ครั้นเติบโตขึ้น ด้วยบุญกุศลที่เคยบำเพ็ญเนกขัมมบารมีมาหลายภพหลายชาติ พิจารณาเห็นด้วยสติปัญญาว่า เพศฆราวาสไม่มีสาระแก่นสารอะไร จึงเกิดความเบื่อหน่าย แล้วออกบวชเป็นฤๅษี เข้าไปอาศัยอยู่ที่ภูเขาหิมพานต์

เมื่อฤๅษีพระโพธิสัตว์อาศัยอยู่ในที่แห่งนั้นนานวันเข้า อยากจะออกจากป่ามาอยู่ชานเมืองบ้าง ท่านจึงได้มาอาศัยอยู่ที่บรรณศาลาใกล้ริมฝั่งแม่น้ำที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ครั้งนั้นมีปริพาชกคนหนึ่งคิดว่าตนเองมีความรู้มาก ได้เล่าเรียนศึกษามาอย่างดี จึงเกิดความทะนงตนเที่ยวไปยังเมืองต่างๆ เพื่อหาคนที่จะโต้วาทะด้วย แต่ยังหาคนที่จะโต้ตอบวาทะไม่ได้ จนกระทั่งเดินทางมาถึงหมู่บ้านที่พระโพธิสัตว์พักอาศัยอยู่ และได้ถามกับชาวบ้านว่า ที่หมู่บ้านแห่งนี้ มีใครที่มีความรู้ พอจะโต้วาทะกับตนได้บ้าง

ชาวบ้านบอกว่า...

“มีฤๅษีอยู่ท่านหนึ่งอาศัยอยู่ที่บรรณศาลาใกล้แม่น้ำ ฤๅษีท่านนี้มีความรู้ความสามารถพอที่จะโต้ตอบวาทะกับท่านได้ ท่านจงไปหาเขาเถิด”

พอปริพาชกฟังชาวบ้านพูดจบ รีบชักชวนชาวบ้านจำนวนมากเดินทางไปที่บรรณศาลาทันที เมื่อไปถึงได้ขึ้นไปหาพระฤๅษี พระโพธิสัตว์กระทำการต้อนรับเชื้อเชิญให้นั่ง ปริพาชกบอกวัตถุประสงค์ที่ตนมาให้ท่านทราบ
ฤๅษีพระโพธิสัตว์จึงถามปัญหากับปริพาชกขึ้นก่อนว่า...

“ท่านเคยดื่มน้ำในแม่น้ำคงคา อันมีสีและกลิ่นอบอวลบ้างไหม”

ปริพาชกฟังปัญหาแล้วจึงกล่าวขึ้นว่า “อะไรคือคงคา คงคาทราย คงคาน้ำ คงคาฝั่งนี้ หรือคงคาฝั่งโน้น”

ฤๅษีพระโพธิสัตว์กล่าวโต้กลับไปว่า “ท่านปริพาชก เมื่อท่านแยกน้ำกับทรายของฝั่งนี้และฝั่งโน้นออกจากกันเสียแล้ว อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นแม่น้ำคงคาได้อย่างไรกัน”


ปริพาชกฟังคำพูดของฤๅษีพระโพธิสัตว์ คิดทบไปทวนมา ถึงจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก หมดปัญญาที่จะหาคำตอบมาแก้ปัญหา จึงรู้สึกเสียหน้ามาก รีบลุกขึ้น เดินลงจากบรรณศาลาหนีไปทันที

พระโพธิสัตว์จึงแสดงธรรมให้กับมหาชนที่นั่งอยู่ว่า “บุคคลเมื่อได้เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้าแล้ว ยังไม่พอใจปรารถนาสิ่งนั้น บุคคลยังไม่เห็นสิ่งใด แต่เขากลับปรารถนาสิ่งนั้น เราเข้าใจว่าบุคคลนั้นจักท่องเที่ยวไปอีกยาวนาน เมื่ออยากได้สิ่งใด จักไม่ได้สิ่งนั้นอีกเลย บุคคลได้สิ่งใดแล้ว ยังไม่ยินดีด้วยสิ่งนั้น แม้ปรารถนาสมบัติอันใด แต่ยังติเตียนสมบัติที่ตนได้มาอีก ความปรารถนาของบุคคลนั้นไม่มีที่สิ้นสุด เราขอนอบน้อมแด่ผู้ปราศจากความปรารถนา” เมื่อมหาชนฟังธรรมจบแล้ว ต่างซาบซึ้งกันเป็นอย่างมาก แล้วกราบลาฤๅษีพระโพธิสัตว์ และแยกย้ายกันกลับบ้าน

เราจะเห็นได้ว่า คนที่มีความรู้แค่นิดหน่อย แล้วเกิดความคิดว่าตนเองมีความรู้มาก เพราะได้เล่าเรียนศึกษามามาก มีอุปนิสัยโอ้อวด เที่ยวเอาความรู้ข่มเหงผู้อื่น หากยังไม่เจอผู้ที่รู้จริงและพูดจาโต้ตอบได้ ยังเที่ยวพูดจาข่มผู้อื่นอยู่เรื่อยไป แต่พอเจอท่านผู้รู้เข้า จะถอยร่นไม่เป็นท่า นี้แสดงให้เห็นว่านอกจากจะไม่รู้จริงแล้วยังมากไปด้วยทิฐิมานะ คนประเภทนี้มักจะไม่ค่อยยอมรับความจริง หรือเมื่อรู้ความจริงแล้วไม่อยากจะยอมเข้าใจ ยังคงยึดถือความคิดเห็นเดิมๆ ของตน แล้วทำให้เกิดความเข้าใจผิดขยายไปในวงกว้าง ส่วนคนที่รู้จริง มักจะมีอุปนิสัยเจียมเนื้อเจียมตัว มีปกติอ่อนน้อมถ่อมตน คนประเภทนี้ เหมือนกับน้ำที่เต็มขวด เวลาเขย่าจะไม่มีเสียงดัง ซึ่งเราควรจะเป็นบุคคลประเภทหลังดีกว่า และให้คิดเสมอว่าสิ่งที่เรายังไม่รู้ ยังไม่ได้ศึกษายังมีอยู่อีกมากมาย โดยเฉพาะการศึกษาความรู้ภายใน เป็นสิ่งที่เราต้องตั้งใจศึกษา เพราะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับตัวเรา เป็นความรู้ที่จะทำให้เราเอาชนะกิเลสอาสวะได้ กระทั่งหลุดพ้นไปสู่อายตนนิพพาน



ที่มา..http://thaidhamma.blogspot.com


ขอบคุณครับ สาธุ
ท่านเคยดื่มน้ำในแม่น้ำคงคา อันมีสีและกลิ่นอบอวลบ้างไหม”
ยังไม่สำนึกตัว ออกอาการร้อนตัวอีกหรือ มีเบอร์พี่ใช่มั๊ยโทรมาคุยใด้นะ
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-17 22:57 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระโพธิสัตว์จึงแสดงธรรมให้กับมหาชนที่นั่งอยู่ว่า ..

“บุคคลเมื่อได้เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้าแล้ว ยังไม่พอใจปรารถนาสิ่งนั้น บุคคลยังไม่เห็นสิ่งใด แต่เขากลับปรารถนาสิ่งนั้น เราเข้าใจว่าบุคคลนั้นจักท่องเที่ยวไปอีกยาวนาน เมื่ออยากได้สิ่งใด จักไม่ได้สิ่งนั้นอีกเลย บุคคลได้สิ่งใดแล้ว ยังไม่ยินดีด้วยสิ่งนั้น แม้ปรารถนาสมบัติอันใด แต่ยังติเตียนสมบัติที่ตนได้มาอีก ความปรารถนาของบุคคลนั้นไม่มีที่สิ้นสุด เราขอนอบน้อมแด่ผู้ปราศจากความปรารถนา”

เมื่อมหาชนฟังธรรมจบแล้ว ต่างซาบซึ้งกันเป็นอย่างมาก แล้วกราบลาฤๅษีพระโพธิสัตว์ และแยกย้ายกันกลับบ้าน

เราจะเห็นได้ว่า คนที่มีความรู้แค่นิดหน่อย แล้วเกิดความคิดว่าตนเองมีความรู้มาก เพราะได้เล่าเรียนศึกษามามาก มีอุปนิสัยโอ้อวด เที่ยวเอาความรู้ข่มเหงผู้อื่น หากยังไม่เจอผู้ที่รู้จริงและพูดจาโต้ตอบได้ ยังเที่ยวพูดจาข่มผู้อื่นอยู่เรื่อยไป แต่พอเจอท่านผู้รู้เข้า จะถอยร่นไม่เป็นท่า นี้แสดงให้เห็นว่านอกจากจะไม่รู้จริงแล้วยังมากไปด้วยทิฐิมานะ คนประเภทนี้มักจะไม่ค่อยยอมรับความจริง หรือเมื่อรู้ความจริงแล้วไม่อยากจะยอมเข้าใจ ยังคงยึดถือความคิดเห็นเดิมๆ ของตน แล้วทำให้เกิดความเข้าใจผิดขยายไปในวงกว้าง ส่วนคนที่รู้จริง มักจะมีอุปนิสัยเจียมเนื้อเจียมตัว มีปกติอ่อนน้อมถ่อมตน คนประเภทนี้ เหมือนกับน้ำที่เต็มขวด เวลาเขย่าจะไม่มีเสียงดัง ซึ่งเราควรจะเป็นบุคคลประเภทหลังดีกว่า และให้คิดเสมอว่าสิ่งที่เรายังไม่รู้ ยังไม่ได้ศึกษายังมีอยู่อีกมากมาย โดยเฉพาะการศึกษาความรู้ภายใน เป็นสิ่งที่เราต้องตั้งใจศึกษา เพราะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับตัวเรา เป็นความรู้ที่จะทำให้เราเอาชนะกิเลสอาสวะได้ กระทั่งหลุดพ้นไปสู่อายตนนิพพาน


ขอบคุณคร้าบ
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-10-10 20:42 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-10-14 10:07 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
“บุคคลเมื่อได้เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้าแล้ว ยังไม่พอใจปรารถนาสิ่งนั้น

บุคคลยังไม่เห็นสิ่งใด แต่เขากลับปรารถนาสิ่งนั้น

เราเข้าใจว่าบุคคลนั้นจักท่องเที่ยวไปอีกยาวนาน

เมื่ออยากได้สิ่งใด จักไม่ได้สิ่งนั้นอีกเลย

บุคคลได้สิ่งใดแล้ว ยังไม่ยินดีด้วยสิ่งนั้น

แม้ปรารถนาสมบัติอันใด แต่ยังติเตียนสมบัติที่ตนได้มาอีก

ความปรารถนาของบุคคลนั้นไม่มีที่สิ้นสุด

เราขอนอบน้อมแด่ผู้ปราศจากความปรารถนา”

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้