ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2509
ตอบกลับ: 5
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

วันนี้ มาว่ากันด้วยเรื่องเกี่ยวกับ ผลไม้

[คัดลอกลิงก์]
รู้จักผลไม้รักษาโรค

มีหลายคนอยากทราบว่าผลไม้ใดรักษาโรคอะไรได้บ้างภาควิชาเทคนิคเภสัชกรรม วิทยาลัยสาธารณสุขสิรินธร ชลบุรี รวบรวมไว้ดังนี้

มะม่วง ใช้มะม่วงสุก ปอกเปลือก ฝานเนื้อออกเป็นแผ่นๆ วางบนตะแกรงผึ่งแดด ใช้ผ้าขาวบางคลุมป้องกันแมลงวัน ผึ่งจนแห้ง นำมาใส่ชาม เทนมสดลงไปให้ท่วมเนื้อมะม่วง ทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง นำมาคนให้คนป่วยดื่ม เป็นยาบำรุงกำลังอย่างดี หรือใช้เนื้อมะม่วงสุกดองกับน้ำมันพืช โรยผงมัสตาร์ด 1/2 ช้อนชา ทิ้งไว้ 1 คืน รับประทานกับอาหาร ใช้เป็นยาระบายได้เป็นอย่างดี หรือนำมะม่วงพันธุ์ที่มีรสเปรี้ยวจัด เก็บจากต้นใหม่ๆ เป็นมะม่วงดิบ มาต้มทั้งผลจนเหลวเละ ตักเปลือกและเม็ดออก คนให้ข้นเหมือนน้ำซุป ดื่มแก้โรคประสาท แก้เบื่ออาหาร แก้อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ช่วยให้ร่างกายกระชุ่มกระชวยขึ้น

แตงโม น้ำแตงโมดื่มในขณะที่เป็นไข้ตัวร้อน จะช่วยลดความร้อนในร่างกายได้ ส่วนเม็ดแตงโมกินแก้โรคตับ เป็นยาถ่ายพยาธิ หรือถ้ามีอาการปวดกระเพาะปัสสาวะ ให้กินเม็ดแตงโมมากๆ ช่วยบรรเทาได้ สำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วน กินแตงโมได้ตามสบาย เพราะแตงโมมีแคลอรีต่ำ มีธาตุโพแทสเซียม และมีแร่ธาตุอื่นๆ รวมทั้งวิตามินที่มีคุณประโยชน์ ส่วนน้ำคั้นจากแตงหอม หรือที่เรียกว่าแคนตาลูป ผสมน้ำกลิ่นกุหลาบ เจือน้ำตาลเล็กน้อย ใช้แทนยาลดไข้ได้เหมือนกัน เม็ดแตงหอมก็นำมาแช่น้ำเกลือ แล้วตากแห้ง แกะเปลือกออก กินเนื้อ แก้โรคตับ ปัสสาวะไม่ออก แก้โรคเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะ

สับปะรด สารพัดสรรพคุณ ตั้งแต่ใช้บำรุงผิว โดยล้างหน้าให้สะอาด แล้วใช้เนื้อสับปะรดสุกสับละเอียด พอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออก จะช่วยลดความมันบนใบหน้า ทำให้ผิวหน้าสดใส หรือน้ำสับปะรด 2 ช้อนโต๊ะ ผสมไข่แดงดิบ 1 ฟอง น้ำส้มสายชู 1/4 ช้อนชา คนให้เข้ากัน ใช้แช่เล็บ 30 นาที หนังบริเวณรอบๆ เล็บจะอ่อนตัว ทำให้ตัดแต่งหนังรอบเล็บได้ง่าย

นอกจากนี้ สารเอนไซม์ในสับปะรด ช่วยขจัดกลิ่นอาหารคาวที่ติดปากให้หมดไป ควรรับประทานสับปะรดเป็นผลไม้หลังรับประทานอาหารแล้ว และสับปะรดช่วยระบบย่อยอาหาร ป้องกันท้องผูกได้ หรือใช้เนื้อสับปะรด เป็นยากำจัดหูด โดยตัดเนื้อสับปะรดแปะลงบนหูด ปิดทับด้วยพลาสเตอร์ ทิ้งไว้จนเนื้อสับปะรดเละจึงเปลี่ยนใหม่ ทำเช่นนี้บ่อยๆ หูดจะอ่อนตัวและหลุดหายไปเอง

สตรอเบอร์รี่ นำใบสตรอเบอร์รี่ สดมาแช่น้ำทิ้งไว้ค้างคืน แล้วนำมาอมบ้วนปาก ใช้เป็นยาแก้กลิ่นปากได้อย่างดี ทำให้ลมหายใจสดชื่น เหงือกแข็งแรง แก้โรคปากเป็นแผล หรือใช้กลั้วคอ แก้อาการเจ็บคอ หรือนำใบ สตรอเบอร์รี่ และรากที่ตากแห้งแล้ว มาใส่โถปั่น ปั่นจนเป็นผงใช้แทนยาสีฟัน ทำให้ฟันขาวเป็นเงางาม หรือนำใบและรากสตรอว์เบอร์รี่ตากจนแห้ง ชงกับน้ำเดือด ดื่มแทนน้ำชา โดยใช้ใบและรากสตรอว์เบอร์รี่ 2 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำเดือด 1 กาขนาดกลาง สำหรับสตรีที่ประจำเดือนมาไม่ปกติ ไม่สม่ำเสมอ จะหายเป็นปกติ

สำหรับสตรอเบอร์รี่ สดมีคุณประโยชน์สำหรับผู้ที่เพิ่งฟื้นไข้ คนป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกับตับ โรคเหน็บชา หรือโรคปวดตามข้อ โรคเกาต์ และโรคความดันโลหิต หรือใช้ใบสตรอเบอร์รี่ ซ้อนกันหลายๆ ใบ นำมาประคบแก้รอยช้ำบวมบนร่างกาย

ขอขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของสสส.
และวิชาการดอทคอม www.thaihealth.or.th







2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-7 23:19 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-7 23:19 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-7 23:20 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ผลไม้ไทย 10 อันดับที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง

กรมอนามัยวิจัย 10 ผลไม้ไทย มีสารต้านมะเร็งสูง นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการทำวิจัย “องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซีวิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้” ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิดพบว่า

ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูงคือ
1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
2. มะเขือเทศราชินี
3. มะละกอสุก
4. กล้วยไข่
5. มะม่วงยายกล่ำ
6. มะปรางหวาน
7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง
8. มะยงชิด
9. มะม่วงเขียวเสวยสุก
10. สับปะรดภูเก็ต
ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม
ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย
1. แก้วมังกร
2. มะขามเทศ
3. มังคุด
4. ลิ้นจี่
5. สาลี่

10 อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ
1. ฝรั่งกลมสาลี่
2. ฝรั่งไร้เมล็ด
3. มะขามป้อม
4. มะขามเทศ
5. เงาะโรงเรียน
6. ลูกพลับ
7. สตรอเบอร์รี่
8. มะละกอสุก
9. ส้มโอขาว
10. แตงกวา
11. พุทราแอปเปิล

การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกคือ
1. ขนุนหนัง
2. มะขามเทศ
3. มะม่วงเขียวเสวยดิบ
4. มะเขือเทศราชินี
5. มะม่วงเขียวเสวยสุก
6. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
7. มะม่วงยายกล่ำสุก
8. แก้วมังกรเนื้อสีชมพู
9. สตรอเบอร์รี่
10. กล้วยไข่

- ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิล

- ส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว (เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและวิตามินอี)ค่อนข้างสูงคือ มะเขือเทศราชินี

ทั้งนี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอีเป็นกลุ่มของสารอาหารที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด
สารทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะ เบต้าแคโรทีนจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยงการเป็นต้อกระจก มะเร็งและหัวใจได้จึงควรรับประทานผลไม้ในปริมาณมากพอสมควรทุกวัน หรืออย่างน้อยวันละ 4 ส่วนของอาหารที่
รับประทาน เพื่อสุขภาพที่ดี

ขอบคุณข้อมูลจาก
น.ท. น.พ.จักรพงศ์ไพบูลย์
http://www.thaiclinic.com/antioxidant.html
http://www.thairunning.com/10antiradical.htm







5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-7 23:20 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ผลไม้ล้างพิษ ดีท็อกซ์แบบธรรมชาติ

เคยทำ "ดีท็อกซ์" กันหรือเปล่าครับ...ถ้าหากพูดถึงเรื่องการดูแลสุขภาพแล้ว จะต้องมีเรื่องการล้างพิษในร่างกายด้วยเสมอ ซึ่งที่ได้ยินและเห็นบ่อยๆจากคนรอบข้างทำกันคือ ใช้กาแฟดีท็อกซ์ แบบว่าสวนเข้าทางทวาร ดูน่าหวาดเสียวเกิ๊นจริงๆมันมีวิธีล้างพิษขั้นเบสิกที่ทำได้ง่ายนิดเดียว ไม่สิ้นเปลืองเงินทองสักเท่าไหร่ด้วย...ก็แค่ทานผลไม้ล้างพิษเท่านั้นเอง...

แอปเปิ้ล เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย สารเปกตินในแอปเปิ้ลจะช่วยนำสารพิษไปกำจัดทิ้ง ทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเน่า แอปเปิ้ลยังมีเส้นใยมากจะทำหน้าที่เป็นไม้กวาด ทำความสะอาดลำไส้ ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น กระตุ้นน้ำย่อย นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่

องุ่น เป็นสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับลำไส้ และไตโดยเฉพาะ เนื่องจากองุ่นมีคุณสมบัติรักษาน้ำมูกที่จะออกมาจากเยื่อเมือกต่างๆในร่างกาย องุ่นยังให้พลังงานสูงและนำไปใช้ได้ง่าย เต็มไปด้วยเกลือแร่ ดังนั้นจึงช่วยบำรุงเลือดและซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย

สับปะรด มีเอ็นไซม์โปรเมลินสูง เอ็นไซม์ตัวนี้จะช่วยการทำงาน
ของกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะ และช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น เชื่อกันว่าสับปะรดช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร ช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่างๆที่สึกหรอ ช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อและช่วยกำจัดน้ำมูก

มะละกอ และมะม่วงที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่มะม่วงมีสารสำคัญน้อยกว่ามะละกอเล็กน้อย ผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอ็นไซม์ชื่อปาเปน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร
ดังนั้นมันจึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกับโปรเมลินทั้งมะละกอและมะม่วงดีสำหรับทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหาร เชื่อกันว่ามะละกอยังช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย

แตงโม มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ดังนั้นจึงช่วยฟอกล้างร่างกายได้เป็นอย่างดีใช้รักษาแผลในกระเพาะ ลดความดันเลือดสูง ทำให้สบายท้อง น้ำคั้นจากเปลือกของแตงโมและเมล็ด หากดื่มก่อนกินเนื้อแตงโมในมื้ออาหารสักครึ่งชั่วโมงจะทำให้คุณได้ประโยชน์สูงสุดเนื่องจากเปลือกของมันอุดมด้วย คลอโรฟิลล์ และเมล็ดอุดมด้วยวิตามิน

นับว่าโชคดีเหลือเกินที่เมืองไทยของเราเป็นประเทศที่มีผลไม้
อุดมตลอดทั้งปี ดังนั้นไม่ใช่เรื่องยากที่จะเลือกสรรมารับประทานกันครับ


ที่มา : kobnon - bloggang.com







6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-11-7 23:21 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มารู้จักผลไม้ไทยต้านโรคกันดีกว่า

กินผลไม้พื้นบ้านต้านโรค (Wellbeing & Health Modernmom) เกิดเป็นคนไทยนี้ช่างแสนสบายว่าไหมค่ะ อาหารอุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลาในนามีข้าวในสวนมีผลไม้ ซึ่งแต่ละภาคก็มีผลไม้ที่แตกต่างชนิดกันไปแล้วแต่ช่วงฤดูกาลที่ผลไม้จะทยอยกันออกผลมาให้คนไทยขอย่างเราๆ ได้ลิ้มลอง และที่สำคัญผลไม้เหล่านั้นไม่ใช่แค่อร่อยอย่างเดียว ยังมีประโยชน์ต่อร่างการอีกด้วยว่ากันว่าเป็นยาต้านโรคต่างๆ ได้เลยทีเดียว มาดูกันเลยดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง.....

เมืองไทยมีผลไม้พื้นบ้านราคาย่อมเยาอยู่มากมายที่ให้ประโยชน์และคุณค่าทาง โภชนาการต่อร่างกายในปริมาณสูง อีกทั้ง ยังได้มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้ว ว่าสารเคมีที่อยู่ในผลไม้นั้นมีสรรพคุณเป็นยากระตุ้นการทำงานของระบบต่าง ๆ รวมถึงเสริมสร้างภูมิต้านทานได้อีกด้วย

1.ฝรั่ง
ผลไม้พื้นบ้านราคาถูก และออกผลตลอดปี ทุกสายพันธุ์ล้วนเป็นสุดยอดผลไม้ที่มีวิตามินซี ใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูงมาก ช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคมากขึ้น จึงสามารถป้องกันการเป็นไข้หวัดได้ หรือช่วยสร้างรวมทั้งป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันที่เราเคยท่องจำกันในสมัย เด็ก ๆ ได้อีกด้วย

2.มะเฟือง
นอกเหนือจากความสวยงามแปลกตาในเรื่องรูปทรงแล้วยังให้คุณค่าทางโภชนาการอย่าง เต็มเปี่ยม มะเฟืองอุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ ฟอสฟอรัสและแคลเซียม ช่วยรักษาอาการเลือดออกตามไรฟัน เป็นยาระบายแก้ท้องผูกช่วยขับเสมหะได้

3.ทับทิม
ผลไม้รสหวานอมเปรี้ยว ออกฤทธิ์เป็นยาบำรุงกำลัง แก้เจ็บคอ แก้โลหิตจาง ห้ามเลือด รักษาแผล แก้อาการปวดกระเพาะอาหาร ขับพยาธิในลำไส้ แก้ท้องร่วง นอกจากนี้ หากดื่มน้ำทับทิมตอนเช้าวันละ 1 แก้วจะช่วยลดอาการคลื่นไส้ ในคุณแม่ตั้งครรภ์ได้

4.มะละกอแขกดำ
ผลไม้สุดร่อยที่มีประโยชน์ใช้สอยอีกมากมาย เนื้อมะละกออุดมไปด้วยวิตามินซี มีเบต้าแคโรทีน ไลโคพีน รวมถึงมีแมกนีเซียม ทองแดง โพแทสเซียมและใยอาหาร เมื่อรับประทานเป็นประจำจะช่วยบำรุงให้ผิวพรรณชุ่มชื้น มีเส้นใยอาหารที่ช่วยในการขับถ่าย ขจัดไขมันในผนังลำไส้ ช่วยให้ลำไส้สะอาดดูดซึมอาหารได้ดีขึ้น

5.ส้มโอ
ในส้มโอมีสารเพคติน (Pectin) สูง มีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดและมีสารโมโนเทอร์ปืน ที่ช่วยในการจับสารก่อมะเร็ง นอกจากนั้นหากรับประทานส้มโอหลังมื้ออาหารจะช่วยขับลมในกระเพาะและลำไส้ช่วย ให้ระบบย่อยทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

6.มะขาม
เนื้อมะขามมีสารแอนทราควินิน (Antraquinone) ซึ่งช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ อีกทั้งยังมีกรดอินทรีย์ (Organic Acid) อยู่หลายชนิด เช่น กรดทาร์ทาร์ริก (Tartaric Acid) และกรดซิตริค (Citric Acid) มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ เพิ่มกากใยอาหาร และช่วยให้ขับถ่ายสะดวก

7.มะยม
เป็นผลไม้พื้นบ้านที่ให้รสเปรี้ยวอมฝาด อุดมไปด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ และวิตามินซีสูง มีฤทธิ์ช่วยสมานแผลและใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้อาการหลอดลมอักเสบ

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจากWellbeing & Health Modernmom







ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้