ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2248
ตอบกลับ: 1
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

เจ้าคณะจังหวัดสอบสวน หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง จ .นครปฐม

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2022-3-20 09:06

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง



เจ้าคณะจังหวัด พร้อมด้วยเจ้าคณะตำบล และคณะผู้ติดตาม เดินทางมาสอบสวนถึงวัดตาก้อง เมื่อมาถึงกุฏิดี ก็เลยนำบางส่วนมาแชร์ต่อครับ]ของสมภารกร่ายได้ให้พระลูกวัดไปนิมนต์หลวงพ่อแช่มมาพบที่กุฏิ ทว่าพระลูกวัดได้กลับมารายงานว่า หลวงพ่อแช่มไม่ยอมมาพบ และได้ฝากข้อความมาว่า ตัวของท่านเป็นจำเลยอยู่แล้ว มีคดีร้ายแรงอย่างใดก็ขอให้ไปที่กุฏิของท่าน หากผิดจริงจะได้จับสึกกันเสียทีเดียวที่กุฏิของท่าน

คณะของเจ้าคณะจังหวัดจึงได้ไปยังกุฏิของหลวงพ่อแช่มเพื่อทำการสอบสวนเรื่องร้องเรียนของสมภารกร่าย เมื่อมาถึงกุฏิที่หลวงพ่อแช่มปลูกเป็นศาลา พบหลวงพ่อแช่มนุ่งสบงผืนเดียวนั่งขัดสมาธิคอยอยู่บนพื้นกระดานแผ่นใหญ่ที่ปูอยู่กับพื้นดิน มีไม้ขอนวางรอง
ไร้เฟอร์นิเจอร์ใดๆ ทั้งสิ้น กระทั่งเสื่อปูรองก็ไม่มี

เจ้าคณะตำบลที่มาด้วยเห็นเช่นนั้นก็ได้บอกให้หลวงพ่อแช่มไปครองจีวรเสียให้เรียบร้อยและชี้แจงให้รู้จักว่า นั่นเจ้าคุณเจ้าคณะจังหวัดให้นมัสการกราบไหว้เสีย เพราะท่านเป็นเจ้าคณะใหญ่ผู้ปกครองสงฆ์ชั้นสูง หลวงพ่อแช่มยังคงเฉย และกล่าวต่อเจ้าคณะตำบลว่า "ผมมันไม่ใช่พระใช่เจ้าอะไรแล้ว เป็นจำเลยให้เขาฟ้องร้อง มีตุลาการมาสอบสวน ก็อยากให้สอบสวนกันอย่างนี้ ดีร้ายจะได้ถอดสบงสึกกันง่ายๆ ไม่ต้องครองไตรจีวรให้เสียเวลา"

ซึ่งเจ้าคณะตำบลได้กล่าวปลอบชี้แจงว่า ยังไม่ใช่นักโทษ เพียงแต่ถูกอธิกรณ์ข้อกล่าวหา จะต้องสอบสวนกันก่อน ถ้าผิดจึงจะลงโทษ ถ้าไม่ผิดก็ไม่มีโทษอะไร เจ้าคณะท่านเป็นพระผู้ใหญ่มา ควรครองไตรจีวรให้เรียบร้อย เพื่อแสดงความเคารพท่าน หลวงพ่อแช่มก็กล่าวว่า "ถ้าหากผมนุ่งสบงตัวเดียวอยู่วัดอย่างนี้ ผมไม่ใช่พระหรืออย่างไร ถ้าหากผมครองไตรจีวรเรียบร้อยแล้ว ผมมีศีลด่างพร้อย ต้องอาบัติปาราชิก ผมจะเป็นพระเพราะครองไตรจีวรหรือ"

ท่านเจ้าคณะจังหวัดซึ่งได้นิ่งฟังอยู่เป็นนานแล้ว ได้กล่าวกับหลวงพ่อแช่มว่า "นี่แน่ะท่านแช่ม ถ้าท่านเป็นพระถือศีลบริบูรณ์อยู่ ให้ท่านไปห่มจีวรให้เรียบร้อยก่อน เรื่องผิดถูกค่อยพูดกันทีหลัง" หลวงพ่อแช่มจึงลุกขึ้น คว้าจีวรห่มนั่งลงที่เดิม ไม่ได้นิมนต์ให้เจ้าคณะจังหวัดนั่ง ซึ่งท่านก็ได้นั่งลงเองพร้อมๆ กับพระภิกษุรูปอื่นๆ

ต่อเมื่อได้นั่งมองสังเกตไปรอบๆ กุฏิของหลวงพ่อแช่ม ที่ปลุกเป็นศาลาโรงดิน หลังคามุงจาก เปิดฝาผนังโล่งทั้ง 4 ด้าน ไม่มีพื้นกระดาน นอกจากแผ่นกระดานใหญ่ที่ปูนอนอยู่บนพื้น และเป็นที่นั่งรับแขก สักครูหนึ่ง เจ้าคณะจังหวัดจึงได้เอ่ยขึ้น "ที่มาวันนี้ก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาสอบสวนอะไร ไม่ได้คิดว่าท่านแช่มจะทำผิดศีลวินัยอะไร แต่อยากจะมาดูให้รู้กับหูกับตาว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะมีคำร้องฟ้องกล่าวโทษไปหลายข้อ" ว่าแล้วก็หยิบคำฟ้องจากย่ามขึ้นมาอ่านให้ฟัง แล้วถามเป็นข้อๆ

ต่อข้อกล่าวหาที่ว่า ไม่ยอมอยู่ในปกครองของเจ้าอาวาส หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"ผมก็อยู่ในเขตวัดตาก้อง เจ้าอาวาสก็อยู่ในกุฏิของท่าน ผมก็อยู่ในกุฏิของผม ต่างคนต่างอยู่ ไม่เคยพบหน้ากัน เจ้าอาวาสไม่เคยมาว่ากล่าวตักเตือนสั่งสอนอะไรผม ไม่เคยสั่งห้ามอะไร ผมก็ไม่เคยฝ่าฝืนข้อห้ามข้อใดเลย แล้วจะว่าผมไม่อยู่ในปกครองได้อย่างไร ธรรมดาพ่อแม่ปกครองลูก ก็ต้องดูแลว่ากล่าว ตักเตือน สั่งสอน ห้ามปราม นี่ไม่เคยเลย ผมก็ไม่เคยทำอะไรฝ่าฝืน จะว่าฝ่าฝืนข้อไหน ท่านไม่มาปกครองผมเองต่างหาก"

ต่อข้อกล่าวหาที่ว่า ไม่บอกเล่าให้ทราบว่าไปไหน ทำอะไร หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"เมื่อสมภารไม่มาปกครองผม ปล่อยผมตามใจ ผมก็ปกครองตัวเอง จะไปไหนก็ไปเอง กลับเอง ทำอะไรก็ทำเอง ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการของวัด ข้อนี้ผมมีความผิดธรรมวินัยของสงฆ์อย่างไร"

ต่อข้อกล่าวหาว่า หายหน้าไปจากวัดเสมอ ครั้งละหลายๆ วัน ไม่ทราบว่าไปทำผิดทำชั่วทำความเสื่อมเสียแก่คณะสงฆ์อย่างไร หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"ผมออกจากวัดไปเสมอจริง ไปครั้งละหลายๆ วันจริง ก็ไปทำกิจส่วนตัวที่ชาวบ้านเขานิมนต์เป็นกิจส่วนตัว ไม่ได้ไปทำผิด ทำชั่ว ทำความเสื่อมเสียอะไร ถ้าหากว่าไปทำผิดทำชั่วจริง คงจะมีคนจับได้ คงจะถูกฟ้องร้อง ถูกเจ้าหน้าที่จับตัวเข้าคุกตะรางไปแล้ว แต่นี่ก็ไม่มีใครพบเห็นว่าทำผิดทำชั่วที่ไหนเลย อย่างนี้จะผิดธรรมวินัยข้อไหน"

ต่อข้อกล่าวหา ไม่ปฏิบัติกิจของสงฆ์ เช่น ไม่สวดมนต์ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น ร่วมกับพระภิกษุสงฆ์องค์อื่น หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"การทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น ผมก็ทำของผมองค์เดียวเพราะผมอยู่องค์เดียว ผมเป็นพระป่า เคยออกธุดงค์เดินป่า ก็ทำวัตรสวดมนต์องค์เดียวมาตลอด พระอรหันต์ท่านไปอยู่ป่า อยู่ถ้ำ ท่านก็สวดมนต์ภาวนาองค์เดียว การสวดมนต์องค์เดียวผิดศีลวินัยข้อไหน"

ต่อข้อกล่าวหาว่า ไม่ลงโบสถ์ฟังพระสวดพระปาติโมกข์ในวันพระ หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"วันพระผมก็สวดพระปาติโมกข์เอง สวดเอง ฟังเอง เหมือนพระสงฆ์อื่นๆ ที่ท่านให้ลงโบสถ์ฟังพระสวดพระปาติโมกข์นั้น สำหรับพระที่สวดพระปาติโมกข์เองไม่ได้ จะได้ฟังเอาบุญก็ผมสวดเองได้ จะต้องไปฟังใครสวดอีกเล่า พระอื่นๆ เสียอีกที่สวดพระปาติโมกข์ไม่ได้นั่นแหละจะสู้ผมไม่ได้ ถ้ามาว่าพระปาติโมกข์แข่งกัน"

ซึ่งเจ้าคณะจังหวัดได้แย้งว่า "การฟังพระปาติโมกข์นั้น ฟังจบแล้วก็ได้ฟังคำสั่งสอนอบรมของเจ้าอาวาสด้วย" หลวงพ่อแช่มจึงตอบกลับว่า "ผมสวดพระปาติโมกข์จบแล้วก็นั่งเจริญสมาธิภาวนา อบรมจิตของตนเป็นการบำเพ็ญภาวนา ดีเสียกว่านั่งฟังครูอาจารย์สั่งสอบอบรมเสียอีก คนเราลองถ้าได้สงบจิตเตือนใจของตนได้แล้ว ใครเล่าจะวิเศษไปกว่าตนของตนเตือนตน"

ต่อข้อกล่าวหาว่า รดน้ำมนต์ ให้หวย ทำเสน่ห์เป็นหมอยารักษาไข้ หลวงพ่อแช่มได้ตอบว่า

"รดน้ำมนต์ ผมรดจริง เพื่อสงเคราะห์คนที่เขามีทุกข์ พระอาจารย์ทั้งหลายก็รดกันอยู่ทั่วไป จะผิดศีลวินัยข้อไหน ก็คงผิดกันมาก อุปัชฌาย์อาจารย์ก็ไม่เคยบอกว่ารดน้ำมนต์ผิดวินัย หลวงพ่อของผมท่านก็รดน้ำมนต์ให้ใครๆ อยู่เรื่อยๆ"





2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2022-3-20 09:02 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2022-3-20 09:09








"เรื่องให้หวยเล่า" เจ้าคณะจังหวัดถาม


หลวงพ่อแช่มตอบไปว่า "หวยก็ให้ เมื่อมีคนเขามาถามว่าหวยงวดนี้ออกตัวอะไร ก็บอกให้เขาไปเล่นกัน รัฐบาลท่านอนุญาตให้เล่นหวยกัน พระสงฆ์ก็ต้องบอกหวยได้"

เจ้าคณะจังหวัดถามต่อว่า "เห็นตัวเลขจริงหรือ"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "เข้าสมาธิภาวนา จิตเป็นหนึ่งก็เหมือนน้ำใส ไม่มีตะกอน ไม่มีละรอกคลื่นก็มองเห็นเงาในน้ำได้"

"เห็นอย่างไร" เจ้าคณะจังหวัดถามต่อ

หลวงพ่อแช่มจึงตอบว่า "เห็นเป็นตัว ก. ตัว ข. เห็นเป็นตัวม้า ตัวเรือ" (สมัยนั้นเป็นหวย ก. ข.)

"เขาเอาไปเล่นกันถูกไหม" เจ้าคณะจังหวัดถามต่อ

หลวงพ่อแช่มก็ตอบ "เขามาบอกว่าถูกก็มี ไม่ถูกก็มี"

เจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อว่า "ทำไมจึงมีถูกบ้าง ผิดบ้าง"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "แล้วแต่โชคลาภของคนแทง เพราะเราไม่ได้บอกตรงๆ เราใบ้หวยให้เขาต่างหาก"

"ทำไมต้องใบ้ ทำไมจึงไม่บอกตรงๆ" เจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อ

"ถ้าบอกตรงๆ ก็อวดอุตริมนุสธรรม" เป็นคำตอบจากหลวงพ่อแช่ม

จากนั้นเจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อว่า "เรื่องทำเสน่ห์ว่าอย่างไร"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ไม่เคยทำเสน่ห์ยาแฝด ของลามก มีแต่คนมาขอเสน่ห์ ก็ให้สีผึ้งไปสีปาก"

เจ้าคณะจังหวัดถามต่อ "ใช้สีผึ้งสีปาก แล้วมีเสน่ห์จริงๆ หรือ"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "สุดแล้วแต่ศรัทธาของคน ขี้ผึ้งนี้ก็เสกด้วยคาถาเมตตาจิต ทำด้วยเมตตาจิต ถ้าใช้ด้วยเมตตาจิต ก็เกิดเมตตาจิต มีเสน่ห์"

"คาถาเมตตาจิตว่าอย่างไร" เจ้าคณะจังหวัดถาม

หลวงพ่อแช่มตอบกลับว่า "คาถาต้องเรียนด้วยความเชื่อมั่น มีครูอาจารย์ประสิทธิ์ให้ต้องยกครู กว่าผมจะเรียนได้มาก็ต้องอุตส่าห์พยายาม ไม่ใช่มาบอกคาถากันต่อหน้าธารกำนัลถึงจะบอกไปท่องได้ ถ้าไม่เชื่อถือก็ป่วยการเปล่า"




เจ้าคณะจังหวัดได้ถามต่อว่า "เป็นหมอรักษาไข้ จริงหรือเปล่า"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ผมไม่เคยเป็นหมอรักษาไข้ใคร นอกจากมีคนป่วย ญาติเขามาหาถามอาการดู เห็นว่าพอรักษาได้ ก็ให้คนไปซื้อยามา ผมก็เอาลงหม้อ เสกให้เอาไปต้มกินเท่านั้น"

เจ้าคณะจังหวัดถามต่อว่า "แล้วหายไหมเล่า"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ก็เห็นบอกว่าหายดี"

"เป็นหน้าที่ของสงฆ์หรือเปล่า พระพุทธเจ้าเคยเป็นหมอรักษาใครบ้างหรือเปล่า" เจ้าคณะจังหวัดได้ถามหลวงพ่อแช่มต่อ

คำตอบจากหลวงพ่อแช่ม คือ "การเป็นหมอรักษาไข้ ไม่ใช่หน้าที่ของพระภิกษุสงฆ์ เป็นหน้าที่ของหมอ แต่ถ้าเขาหมดทางรักษา เรามียาอยู่ ควรจะสงเคราะห์เพื่อนมนุษย์ให้เขาพ้นทุกข์ ผมก็ต้องสงเคราะห์ไปจะผิดจะถูกอย่างไรผมก็ยอม ผมไม่ใช่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ผมจะเป็นได้ก็พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีช่วยเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก

ถ้าผมเห็นว่าควรจะสละศีลเพื่อช่วยชีวิตเขา ผมก็จะสละ ถ้าผมคิดว่าจะสละวินัย เพื่อช่วยคนให้พ้นทุกข์ ผมก็จะสละ ถ้าผมพบผู้หญิงกำลังจะจมน้ำตาย ผมก็จะกระโดดน้ำลงช่วยอุ้มเขาขึ้นมาให้รอดตาย ถึงผมจะถูกปรับอาบัติว่าสังฆาทิเสส ผมก็จะยอม ผมจะไม่รักษาศีลบริสุทธิ์ยอมให้คนจมน้ำตายไปต่อหน้า ถ้าผมทำเช่นนั้น ผมก็ไม่รู้ว่าผมบวชเพื่ออะไร"

เจ้าคณะจังหวัดฟังคำตอบแล้วถามหลวงพ่อแช่มต่อว่า "เรื่องอวดอุตริมนุสธรรมต่างๆ จะว่าอย่างไร"

หลวงพ่อแช่มตอบว่า "ผมไม่เคยอวดอ้างความวิเศษอะไรที่ผมไม่มี ถึงความวิเศษที่ผมมีมากกว่าพระภิกษุอื่นๆ ผมก็ไม่เคยอวด นอกจากมีคนมาถาม ผมก็ตอบเขาไป ใครมีพยานหลักฐานว่า ผมอวดฤทธิปาฏิหาริย์อย่างไรบ้าง ก็ยืนยันมาเถิด"

เจ้าคณะจังหวัดว่าต่อ "เช่นเรื่องหนังเหนียว คงกะพันชาตรี ฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก"

หลวงพ่อแช่มกล่าวตอบว่า "ผมไม่ได้อวด แต่ผมบอกว่าอานุภาพของคุณพระนั้น ช่วยป้องกันอันตรายได้จริง มีอานุภาพจริง เช่น ทำให้ผิวหนังเหนียว ฟันไม่เข้ายิงไม่ออก คลาดแคล้ว"

"ของดีที่แจกไป เช่น ตะกรุด ผ้ายันต์ จะกันมีดพร้าอาวุธได้จริงหรือ" เจ้าคณะจังหวัดถามต่อ

หลวงพ่อแช่มได้ตอบไปว่า "ถ้าเขามีศรัทธาเชื่อมั่น แล้วใช้เป็นก็ป้องกันศัสตราวุธได้จริง"

เจ้าคณะจังหวัดถามอีก "ถ้าผมจะลองฟันคุณเดี๋ยวนี้จะได้หรือไม่"

หลวงพ่อแช่มตอบกลับว่า "ยังไม่เคยมีใครมากล้าผมเลย"

เจ้าคณะจังหวัดหัวเราะแล้วกล่าวว่า "ผมก็ไม่กล้าลองคุณเหมือนกัน"

ครั้นแล้วการสอบสวนก็เป็นอันเสร็จสิ้น เจ้าคณะจังหวัดได้บอกว่า "คุณไม่มีความผิดอะไร" จากนั้นก็ได้สนทนากับหลวงพ่อแช่มถึงการเดินธุดงค์ และคาถาอาคมต่างๆ

เทพ สุนทรศารทูล ได้กล่าวถึงตอนท้ายของการสอบสวนหลวงพ่อแช่ม โดยเจ้าคณะจังหวัดในหนังสือ "ประวัติหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง" ว่า

ในที่สุดเจ้าคณะจังหวัด ก็ถามว่า "ไหนคุณว่าคุณมีดีกว่าพระภิกษุอื่น คุณมีดีกว่าอย่างไร"

หลวงพ่อแช่ม ก็ว่าอิติปิโสแปดบทให้ฟัง แล้วก็ว่าอิติปิโสถอยหลังให้ฟัง จบแล้วก็บอกว่า "พระองค์อื่นก็ว่าอิติปิโสเดินหน้าได้อย่างเดียว แต่ผมนั้นเชี่ยวชาญขนาดว่าทะแยงก็ได้ ว่าถอยหลังก็ได้ จะไม่ดีกว่าพระอื่นได้อย่างไร" เจ้าคณะจังหวัดก็เลยพาคณะกลับ

หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง จ .นครปฐม



ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้