ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2966
ตอบกลับ: 6
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงปู่เปลื้อง ปัญญวันโต วัดบางแก้วผดุงธรรม ~

[คัดลอกลิงก์]

หลวงปู่เปลื้อง ปัญญวันโต
วัดบางแก้วผดุงธรรม
ต.ท่ามะเดื่อ อ.บางแก้ว จ.พัทลุง


ประวัติและปฏิปทา

“หลวงปู่เปลื้อง ปัญญวันโต” หรือ “พระครูวิจิตรกิตติคุณ” อดีตเจ้าอาวาสวัดบางแก้วผดุงธรรม มีนามเดิมว่า เปลื้อง มุสิกอุปถัมภ์ เกิดเมื่อวันที่ 15 กันยายน พุทธศักราช 2446 ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 10 ปีมะโรง ณ อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายอ้น และนางเอี่ยม มุสิกอุปถัมภ์

ท่านอุปสมบทเป็นพระภิกษุครั้งแรกเมื่ออายุได้ 20 ปีบริบูรณ์ แล้วลาสิกขาออกมามีครอบครัว แต่ในขณะเป็นฆราวาสท่านก็ปฏิบัติอยู่จนภรรยาของท่านถึงแก่กรรม และท่านก็รอให้ลูกๆ ของท่านโตก่อนจึงได้อุปสมบทอีกครั้งเมื่ออายุได้ 60 ปี เมื่อปี พ.ศ. 2506 ในช่วงอุปสมบทครั้งที่ 2 ท่านเล่าไว้ว่า

“อาตมาบวชเมื่ออายุล่วงกาลผ่านวัยมามาก เมื่อบวชแล้วได้เพียรพยายามประพฤติปฏิบัติอย่างจริงจังไม่ท้อถอย มีความตั้งใจมั่นคงในชีวิตพรหมจรรย์อย่างที่ท่านกล่าวว่า อุรํ ทตฺวา ถวายกายตั้งสัจจาอธิฐานเป็นเดิมพันเพื่อพิสูจน์หลักคำสอนในพระพุทธศาสนา เมื่อปฏิบัติไปก็ได้ผลจริง...”

โดยการปฏิบัติของท่านอย่างหนึ่งก็คือท่านจะถือเนสัชชิกธุดงค์ คือการถือไม่นอนเป็นวัตร อันมีมูลเหตุที่ว่า เมื่อบวช 10 ปี มีอยู่วันหนึ่งท่านง่วงนอนมากจึงคิดว่า

“เมื่อไม่นอนกลางวัน แต่มันอยากนอนมากนัก ก็ไม่นอนกลางคืนด้วยเสียเลย”

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-14 11:50 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ท่านจึงตั้งสัจจะไว้ไม่นอน 3 เดือน เมื่อตั้งสัจจะได้เพียง 7 วัน ท่านป่วยกระทันหัน มีอาการเส้นท้องตึงแข็ง และมีโรคแทรกซ้อนสารพัด หมอ พระเณรต้องขอให้ท่านนอนถึงจะหาย ท่านบอกว่าได้อธิฐานไว้แล้วจะไม่นอน ถ้าชาตินี้ไม่จริง ชาติหน้าก็ไม่จริง ถ้าจะตายก็ให้ตายไปเลย ท่านจึงไม่ยอมนอนต้องนั้งรักษากันไป อาการป่วยก็เป็นมากขึ้น ท่านต้องคลานไปคลานมาในกุฏิ ทรมาน 2 เดือนกว่า มีหมอนวดมานวดเส้นจนถูกเส้นท่านเข้า ท้องหย่อนนิ้มลง หายเป็นปกติรวมถึงโรคสารพัดที่ท่านเคยเป็นอยู่ หลังจากนั้นท่านก็ตั้งสัจจะจะไม่นอนตลอดชีวิต

ดังที่ท่านได้เขียนไว้เป็นคำกลอนว่า

ถือธุดงค์ ข้อสิบสาม ตามคำสอน
ตัดการนอน ผมทนนั้ง จนหลังแข็ง
วันที่แปด ธันวา ผมแสดง
พ.ศ.แจ้ง สองห้าหนึ่งสี่ ตอนปีปลาย
หลักการสอน ตัดการนอน คือตัวทุกข์
ของเป็นสุข ยังตัดได้ ไม่ขัดขืน
สละสุข ทุกข์ดับ สุขกลับคืน
จิตชุ่มชื่น อยู่ในธรรม ประจำวัน
ผมผู้เขียน ขอแนะนำ ทำมาแล้ว
จิตผ่องแผ้ว สุขสบาย ไม่ใช่ฝัน
ยังปฏิบัติ ฝึกหัดตน จนทุกวัน
จิตตั้งมั่น อดทน จนวันตาย
เว้นไว้แต่ ประสบยาม ความอาพาธ
พญามัจจุราช สั่งงด หมดความหมาย
ถึงหมดแรง หมดฤทธิ์ จิตไม่คลาย
รักษาไว้ ซึ่งความสัตย์ ปฏิญาณ


ท่านพูดเป็นคำคมว่า “คนทั่วไปนอนแล้วสบาย พระปฏิบัติไม่นอนแล้วสบาย”

คำกลอนหลวงปู่เกิดขึ้นเนื่องมาจากการปฏิบัติ เมื่อธรรมะเกิดขึ้นท่านจะเขียนจดไว้ตามเศษกระดาษหรือสมุดใกล้ตัวท่าน แล้วศิษย์จึงรวบรวมพิมพ์เป็นเล่มขึ้นมา ปัจจุบันองค์ท่านหลวงปู่ได้มรณะภาพแล้วเมื่อไม่นานมานี้ เกศาของท่านกลายเป็นพระธาตุมีลักษณะเป็นทองคำ



.............................................................

คัดลอกเนื้อหาบางตอนมาจาก ::
หนังสือประวัติและธรรมะของหลวงปู่เปลื้อง ปัญญวันโต
ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่เปลื้อง
โดย เรือเอกประมาณ ตาทฤศโธรัยห์
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-14 11:50 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ปฏิปทาของหลวงพ่อเปลื้อง

“พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก” แห่งวัดป่าสุนันทวนาราม อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี เล่าว่า ครูบาอาจารย์ที่มีปฏิปทาน่าศึกษาก็มีองค์หนึ่ง ซึ่งพระอาจารย์มิตซูโอะได้เคยไปกราบสนทนากับท่าน คือ “หลวงพ่อเปลื้อง ปัญญวันโต” วัดบางแก้วผดุงธรรม จังหวัดพัทลุง ประวัติท่านน่าสนใจน่าศรัทธา ท่านอุปสมบทเมื่ออายุ 60 ปี ท่านอธิษฐานข้อวัตร 8 อย่าง หนึ่งใน 8 ข้อนี้คือ ไม่นอนกลางวันตลอดชีวิต หมายความว่า ท่านตั้งใจไม่ทำตามกิเลสความง่วงนอน ความขี้เกียจ อย่างน้อยกลางวันก็ไม่นอนตลอดชีวิต

เมื่อท่านปฏิบัติใหม่ๆ บวชใหม่ๆ ท่านก็อายุ 60 ปีแล้ว ในพรรษาท่านอธิษฐานไม่นอนกลางคืนตลอด 3 เดือน หมายความว่าในพรรษานั้นท่านไม่นอนตลอดพรรษาทั้งกลางวันและกลางคืน อยู่เนสัชชิกอุกฤษฏ์นี่แหละ ยืน เดิน นั่ง ไม่ให้นิวรณ์ครอบงำจิต ต่อสู้ อธิษฐานแล้ว ยืน เดิน นั่ง ไม่นอน ท่านก็ต่อสู้ ปฏิบัติอยู่อย่างนั้น

เหลืออีก 7 วันจะออกพรรษา กล้ามเนื้อในท้องของท่านได้เกร็งขึ้นๆ ๆ หมอตรวจแล้วขอให้ท่านนอน ให้ท่านเอนกาย ท่านบอกว่าไม่นอน ตายดีกว่าเสียสัจจะ เพราะท่านได้ สมาทาน ไม่นอน ยืน เดิน นั่ง ตลอด 3 เดือน บัดนี้อีก 7 วันก็จะออกพรรษาแล้ว หมอก็เลยเกิดศรัทธาถวายนวดให้ นวดกล้ามเนื้อที่ท้องนี่แหละ ในที่สุดก็คลาย ท่านก็สามารถรักษาความตั้งใจจนออกพรรษา ตั้งแต่นั้นท่านก็ปฏิบัติมาเรื่อยๆ

ชีวิตของนักปฏิบัติก็ต้องกำจัดความง่วงนอนอยู่แล้ว ถ้าจะเจริญสมาธิ ก็ต้องกำจัดนิวรณ์ 5 อย่าง คือ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ และวิจิกิจฉา กามฉันทะ คือ จิตคิดไปรักใคร่ในกามคุณ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ พยาบาท คือ จิตคิดอาฆาตพยาบาท

ถีนมิทธะ คือความง่วงเหงาหาวนอน อุทธัจจะกุกกุจจะ คือ ความคิดฟุ้งซ่าน คิดนี่คิดโน่นคิดสารพัด คิดอย่างไม่มีระเบียบ วิจิกิจฉา คือ คิดลังเลสงสัย สงสัยในข้อวัตรปฏิบัติ สงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สงสัยสารพัด 5 อย่าง นี้เรียกว่านิวรณ์ ถ้านิวรณ์ 5 อย่างนี้หายไป จิตก็สงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ

เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญสมาธิจึงต้องพยายามไม่ให้นิวรณ์เข้ามาในจิตใจ ถ้ามีต้องต่อสู้ ปฏิบัติอย่างนี้จึงจะเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง ถ้าเรามีความง่วงนอน เราต้องต้อสู้เต็มที่ หลวงพ่อเปลื้องตอนนี้เป็นหลวงปู่แล้ว เดี๋ยวนี้คง 80 ปีแล้ว ท่านได้อธิษฐานจิตตั้งแต่วันอุปสมบทว่า ท่านจะปฏิบัติเต็มที่ ต่อสู้เต็มที่กับความง่วงนอน ท่านก็ปฏิบัติเรื่อยๆ มา

ท่านบอกว่าเดี๋ยวนี้ท่านนอนหลับวันละ 10 กว่านาทีทุกวัน เมื่อจะนอนท่านก็ค่อยๆ เอนกายลงนอน หลับ 10 กว่านาที แล้วก็รู้สึกตัวขึ้นมานอกจากนั้นก็ไม่นอน ท่านก็ไม่เป็นอะไร อาจารย์ศรัทธาในองค์ท่านช่วงที่บวชใหม่ๆ อ่านหนังสือพบประวัติของท่าน ท่านบอกว่าท่านไม่นอน

ท่านปวารณากับทุกคน ใครอยากสนทนากับท่าน ขอเชิญมานิมนต์ได้ทุกเวลา ไม่ใช่เฉพาะกลางวัน 5 ทุ่มก็ยินดี ตี 1 ตี 2 ตี 3 ตี 5 ตลอดวันตลอดคืน ท่านปวารณา ใครสนใจจะกราบท่านหรือสนทนาธรรมกับท่าน ท่านเชิญทุกเวลา เพราะท่านบอกว่าท่านไม่นอน ท่านไม่จำเป็นต้องปิดประตูนอน ใครจะมาก็เชิญ
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-14 11:51 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระอาจารย์มิตซูโอะสนใจท่านอยู่นานแล้ว แต่เพิ่งจะมีโอกาสไปกราบท่านที่วัดเมื่อ 3 ปีก่อน ดูท่านผ่องใสดี หน้าตาร่างกายลักษณะผอม แต่ผิวพรรณผ่องใสดี นมัสการถามท่านว่า “ได้ยินว่าท่านไม่นอนจริงหรือเปล่า” ท่านบอกว่า ทุกวันนี้นอนเพราะไม่อยากนอนแล้ว ความอยากนอนไม่มี ท่านจึงนอนสบายๆ พูดง่ายๆ ก็คือ หมดความอยากนอนแล้ว ท่านนอนไม่กี่นาที องค์นี้เป็นองค์หนึ่งที่เอาชนะความง่วงนอนได้

เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ต้องกลัวว่านอนน้อยจะอันตรายต่อสุขภาพ บางทีเราก็วิตกกังวล กลัว..... สมัยก่อนเราเคยนอน 8 ชั่วโมง 10 ชั่วโมง ถ้าเราไม่นอน กลัวสมองเสีย กลัวประสาทเสีย อันนี้เราค่อยๆ ทำไป ความจริง ความง่วงนอนก็เป็นกิเลสนิวรณ์ชนิดหนึ่งที่เราต้องกำจัดออกจากจิตใจ

แต่บางทีใหม่ๆ ก็มีอาการหลายอย่างเกิดขึ้นเหมือนกัน เช่น บางคนก็ปวดหัว หรือมีความรู้สึกที่น่ากลัว ทำให้คิดว่าเรากำลังจะเป็นบ้า ไม่นอน อดนอนจะทำให้เราเป็นบ้า ทำให้เราเป็นโรคประสาท อันนี้ก็เกิดขึ้นได้เหมือนกัน แต่ก็เป็นเรื่องชั่วคราวนะ ถ้าเราค่อยๆ ปฏิบัติไป ก็จะกลายเป็นธรรมดา ตอนแรกๆ เมื่อร่างกายยังไม่เคยชิน มีการฝืน ก็มีความรู้สึกต่างๆ เป็นธรรมดา เช่น ถ้าเราเลื่อยไม้ เราไม่เคยเลื่อยไม้ วันนี้เราเลื่อยไม้ 2 ชั่วโมง 3 ชั่วโมง ก็จะปวดแขนไปหลายวัน เพราะเราไม่เคยใช้กล้ามเนื้อในการเลื่อยไม้มาก่อน หรือทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งที่เราไม่เคยทำก็ปวดกล้ามเนื้อ

ถ้าเราทำไปๆ เป็นปกติ ความเจ็บปวดก็ค่อยๆ หายไป การปฏิบัติของเราก็เช่นเดียวกัน การอดนอนเนสัชชิก ช่วงแรกอาจจะเกิดความรู้สึกหลายอย่าง เกิดทุกขเวทนา ทำไปๆ ทำไปเรื่อยๆ เมื่อร่างกายชินแล้วความรู้สึกเหล่านั้นก็หายไปเอง เราปฏิบัติจนหาย จนเป็นปกติปกติแล้วก็ไม่เป็นอะไร

ไม่นอนกลางคืนเป็นปกติ ร่างกายก็เป็นปกติ จิตใจก็เป็นปกติ จิตไม่ง่วงเป็นปกติ กายก็สบาย จิตก็สบาย เป็นปกติ ปกติก็คือศีล ศีลสมบูรณ์ สมาธิก็เกิด

พูดถึงการนอน หลายสำนักหลายครูบาอาจารย์ก็สอนหลายอย่าง ถ้าเราศึกษาดูจากพระพุทธเจ้าพระศาสดาของเรา ปกติท่านก็ให้ปฏิบัติกลางวัน กลางวันก็ให้ปฏิบัติ ตอนเย็นก็พยายามนั่งสมาธิเดินจงกรม 4 ทุ่มนอนพักผ่อน ตื่นนอนตี 2 คือให้นอน 4 ชั่วโมง 4 ทุ่มถึงตี 2 เรียกว่า มัชฌิมยาม เมื่อตื่นนอนตี 2 ก็ปรารภความเพียร นั่งสมาธิ เดินจงกรม กำจัดความง่วงนอน นั่นก็อธิบายในพระสูตรหลายครั้ง

สำหรับพระพุทธเจ้าหรือพระอริยสาวก การนอนช่วง 4 ทุ่ม ถึงตี 2 ไม่ใช่นอนอย่างพวกเรา ท่านนอนสมาธิ นอนสมาธิให้ร่างกายพักผ่อน จิตก็อยู่ในสมาธิ อันนี้เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าหรือพระอริยสาวก ท่านมีสมาธิ ท่านก็นอนสมาธิ สำหรับผู้ที่ยังมีถีนมิทธะนิวรณ์ ยังนอนหลับอยู่ ก็นอนพักผ่อนประมาณ 4 ชั่วโมง หลายสำนักปฏิบัติกลางวัน มัชฌิมยามให้พักผ่อน 4 ทุ่ม ถึงตี 2 หลายสำนักก็ปฏิบัติอยู่อย่างนั้น



............................................................

คัดลอกบางตอนมาจาก ::
หนังสือทุกขเวทนา โดยพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=6&t=20113
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-14 11:51 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงปู่เปลื้อง ปัญญวันโต
อริยสงฆ์ผู้อธิษฐานไม่นอนตลอดชีวิต

“เหนือลิขิต ประกาศิตฟ้าดิน” ฉบับนี้จะพาท่านผู้อ่านไปพบพระเถระผู้อยู่เหนือธรรมชาติ คือ ไม่นอนตลอดชีวิต เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นได้แต่ก็เป็นไปแล้ว และปรากฏเป็นจริงจนเป็นที่กล่าวขวัญกันตลอดมา

นาวาอากาศเอกอภิชัย ศักดิ์สุภา แห่งกองทัพอากาศเล่าว่า เมื่อครั้งที่ไปรับตำแหน่งผู้บังคับกองทัพทหารอากาศโยธินกองบิน ๕๖ กองพลบินที่ ๔ จังหวัดสงขลา ได้พบพระเถระผู้ทรงศีลเป็นเลิศท่านหนึ่ง ชื่อ “หลวงปู่เปลื้อง ปัญญวันโต” ท่านเป็นพระเถระที่อธิษฐานจิตไม่นอนตลอดชีวิตมุ่งนั่งบำเพ็ญเพียรภาวนาตลอดเวลาจนบรรลุธรรมชั้นสูง มีอยู่ครั้งหนึ่ง นาวาอากาศเอกอภิชัย ศักดิ์สุภา เล่าว่า

เรื่องที่ผมประสบด้วยตัวเองก็คือ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ ผมได้พาภรรยากับน้องชายของภรรยาไปกราบ หลวงปู่เปลื้อง ปัญญวันโต ที่วัดบางแก้วผดุงธรรม เนื่องจากเมื่อวานผมได้ไปงานทอดกฐินสามัคคีที่วัดนาทวี อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา ก็ได้ถ่ายรูปไว้จำนวนหนึ่ง คาดว่าคงจะถ่ายได้อีกสัก ๑๒ รูป ซึ่งผมก็ได้ถ่ายรูปอิริยาบถต่างๆ ของหลวงปู่เปลื้องไว้ ก็ไม่เห็นท่านว่าอะไร

พอผมเข้าไปขออนุญาตให้ภรรยากับน้องชาย นั่งด้านล่างที่พื้นข้างหน้าท่านเพื่อถ่ายรูป ท่านกลับทักผมว่า “มันจะติดหรือ? มันไม่มีไอ้นั่นน่ะ” ผมก็เข้าใจว่าไอ้นั่นที่พูดถึงคือแฟลช ผมจึงตอบท่านว่า “ติดครับ แต่อาจจะไม่ชัดนัก” แล้วผมก็ถ่ายรูปไว้ ๑ รูป จากนั้นผมก็ให้ภรรยามาเป็นคนถ่ายรูปให้ผมบ้าง ซึ่งท่านก็ทักอีกเป็นครั้งที่ ๒ ว่า “มันจะติดหรือ?” ผมกับภรรยาก็ยืนยันว่าติดแน่นอน ภรรยาของผมจึงถ่ายรูปไว้อีก ๑ รูป

หลังจากที่ออกจากวัดบางแก้วผดุงธรรมแล้ว ผมได้พาภรรยากับน้องชายไปเที่ยวน้ำตกโตนงาช้าง โดยผมให้กล้องถ่ายรูปไปด้วย พร้อมบอกว่าให้ถ่ายรูปให้ฟิล์มหมดม้วนไปเลย ส่วนผมของีบในรถ ครึ่งชั่วโมงต่อมาภรรยากับน้องชายก็กลับมา และบอกว่าถ่ายไปประมาณ ๑๐ รูป แล้วฟิล์มยังไม่หมดสักที

ผมรับกล้องมาด้วยความสงสัย จึงเปิดฝาหลังกล้องดู ปรากฏว่าไม่มีฟิล์มอยู่ในกล้อง! ผมกับภรรยาถึงกับหัวเราะกันยกใหญ่ หัวเราะที่ว่าหลวงปู่ท่านก็ทักแล้วถึง ๒ ครั้ง ผมยังดันทุรังถ่ายรูปอยู่ได้

นาวาอากาศเอกอภิชัย เล่าว่า เป็นเรื่องที่หลวงปู่ล่วงรู้ได้เหมือนตาเห็น และอีกเรื่องหนึ่งคือ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๘ ทอ. ได้ย้ายเครื่องบิน T-๓๓ ทั้งหมดมาประจำการที่ กองบิน ๕๖ฯ จังหวัดสงขลา เนื่องจากเครื่องบิน T-๓๓ มีอายุการใช้งานมานาน สภาพและสมรรถนะของเครื่องยนต์ก็เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ถึงแม้ว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายช่างฯ จะทำการบำรุงรักษาและซ่อมให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้อย่างดีที่สุดแล้วก็ตาม ยังปรากฏว่าเครื่องบิน T-๓๓ มักจะประสบอุบัติเหตุบ่อยๆ ทำให้นักบินต้องเจ็บ-ตายไปหลายคน

ในปี พ.ศ. ๒๕๓๔ ทางกองบิน ๕๖ฯ จึงได้นิมนต์หลวงปู่เปลื้องจากวัดบางแก้วผดุงธรรม มาทำพิธีและพรมน้ำมนต์ให้กับเครื่องบิน T-๓๓ นอกจากนี้ทางกองบิน ๕๖ฯ ยังขอเส้นเกศาของหลวงปู่เปลื้องมาติดไว้ในห้องนักบินทุกเครื่อง เพื่อเป็นสิริมงคลและรอดพ้นจากภัยอันตรายทั้งปวง และที่น่าทึ่งเป็นที่สุดก็คือ หลังจากหลวงปู่เปลื้องไปทำพิธีและติดเส้นเกศาของท่านในเครื่องบิน T-๓๓ แล้ว ไม่เคยปรากฏว่ามีเครื่องบิน T-๓๓ ประสบอุบัติเหตุตกอีกเลย จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๕๓๘ ทอ. จึงได้ปลดประจำการเครื่องบิน T-๓๓ นี้จนหมดสิ้น รวมอายุการใช้งานใน ทอ. ไทยก็ ๔๐ ปี พอดี

หลวงปู่เปลื้อง ปัญญวันโต หรือพระครูวิจิตรกิตติคุณ นามเดิมท่านชื่อ เปลื้อง มุสิกอุปถัมภ์ บิดาชื่อ นายอ้น มุสิกอุปถัมภ์ มารดาชื่อ นางเอี่ยม มุสิกอุปถัมภ์ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง ตรงกับวันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๔๔๖ ที่อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง

เมื่ออายุ ๕-๖ ขวบ ได้เรียนหนังสือที่วัดห้วยลึก อำเภอปากพะยูน เรียนอยู่ปีเศษก็สามารถอ่านและเขียนได้หมด ตอนเด็กๆ ท่านลำบากมาก ตัวเล็กและขี้โรค พอท่านโตขึ้นมาก็ยังเจ็บป่วยบ่อยๆ เป็นโรคนานาชนิด ไม่คิดว่าจะอายุยืนถึง ๓๐ ปี แต่เวลาเจ็บป่วยครั้งใด จะมีเทวดามาบอกยาให้ไปทำกิน แล้วจะหายทุกครั้ง ยาที่เทวดาบอกมี ๒-๓ ขนาน (ส่วนใหญ่เป็นสมุนไพรมีพิษ)
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-8-14 11:52 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เมื่ออายุ ๑๙ ปี ได้บวชเป็นสามเณรที่วัดโตนด อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง และเมื่ออายุ ๒๐ ปี ก็ได้ญัตติเป็นพระภิกษุ โดยมีพระธรรมจักรราม เป็นพระอุปัชฌาย์ อยู่วัดประดู่หอม ท่านบวชอยู่ ๒ พรรษา สอบได้นักธรรมตรี แต่ไม่ได้ปฏิบัติ ท่านขยันเรียนมาก แต่ไม่มีที่เรียนต่อใกล้ๆ ต้องไปเรียนกรุงเทพฯ จึงได้สึกออกมา เมื่ออายุ ๒๔ ปี มารดาจัดให้แต่งงาน มีบุตร ๓ คน

ขณะที่เป็นฆราวาสท่านชอบถือศีล ๘ เป็นคนใจบุญสุนทาน ชอบไปวัดไปช่วยงานสัปเหร่อเผาศพ คอยพลิกศพ สมัยนั้นเขาจะพลิกศพบนกองฟอน ต้องมีคนคอยพลิกศพไปมา ศพจะได้ไหม้ทั่วๆ จนหมด

ท่านฝึกพูดแต่คำจริงอยู่ ๒๐ ปี ถึงจะสมบูรณ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ คือทุกอย่างที่พูดออกมาเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น ดั่งภาษิตที่ท่านบอกว่า ของดีหาได้ยากในโลกมี ๔ อย่าง คือ

“ช้างเผือกในป่า สมณะนอกวัฏ”

“ผู้สมบูรณ์คุณสมบัติ คฤหัสถ์พูดจริง”

เมื่อภรรยาอายุ ๕๒ ปี ได้ถึงแก่กรรมลง ท่านจึงออกบวชครั้งที่สองที่วัดท่ามะเดื่อ ตำบลท่ามะเดื่อ อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๖ โดยมีพระราชธรรมมุนี (เปลื้อง จัตตาวิโล) เจ้าคณะจังหวัดภูเก็ต (ในขณะนั้น) เป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาท่านได้มาพำนักอยู่ที่วัดบางแก้วผดุงธรรม และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส จนกระทั่งเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโทที่ พระครูวิจิตรกิตติคุณ

ในช่วงที่ท่านบวชครั้งที่สอง ท่านเล่าให้ฟังว่า “อาตมาบวชเมื่ออายุล่วงกาลผ่านวัยมามาก เมื่อบวชแล้วได้เพียรพยายามประพฤติปฏิบัติอย่างจริงจังไม่ท้อถอย มีความตั้งใจมั่นคงในชีวิตพรหมจรรย์” อย่างที่ท่านกล่าวว่า อุรทตวา ถวายกายตั้งสัจจาธิษฐานเอาชีวิตเป็นเดิมพัน

เมื่อท่านบวชได้ ๕ ปี ท่านได้เดินทางไปยังวัดเสนหา จังหวัดนครปฐม ท่านไปพักอยู่กับพระครูวิบูลย์ศีลขันธ์ (เทศน์ นิเทสโก) ในตอนกลางคืนท่านเฝ้าสังเกตอยู่ว่า เวลาท่านตื่นขึ้นมาทีไรก็จะเห็นท่านพระครูวิบูลย์ศีลขันธ์นั่งสมาธิอยู่ทุกครั้ง ด้วยความสงสัยจึงได้ถามท่านพระครูถึงเหตุที่ท่านนั่งสมาธิอยู่ทุกคืน โดยที่ท่านพระครูไม่นอน ท่านพระครูจึงบอกว่า “ผู้ปฏิบัติต้องนอนน้อย” ท่านจึงคิดว่าการนอนน้อยทำความเพียรคงเป็นสิ่งที่ดี และท่านรู้สึกประทับใจในพระครู จึงเป็นมูลเหตุให้ท่านถือเนสัชชิกธุดงค์ในภายหลัง

เมื่อบวช ๑๐ ปี มีอยู่วันหนึ่งท่านง่วงนอนมาก จึงคิดว่า “เมื่อไม่นอนกลางวัน แต่มันอยากจะนอนมากนัก ก็ไม่นอนกลางคืนด้วยเสียเลย” ท่านบอกว่าได้อธิษฐานไว้แล้วว่าจะไม่นอน ถ้าชาตินี้ไม่จริง ชาติหน้าก็ไม่จริง ถ้าจะตายก็ให้ตายไปเลย ท่านจึงไม่ยอมนอน

หลวงปู่เปลื้อง ปัญญวันโต มรณภาพเมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ รวมอายุได้ ๙๔ พรรษา ในวันฌาปนกิจศพท่านมีผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายสงฆ์และฝ่ายฆราวาสมาร่วมงานอย่างคับคั่ง หลังจากไฟมอดแล้ว พวกเจ้าหน้าที่ที่เป็นศิษย์ของท่านก็ทำการเก็บอัฐิและเถ้าอัฐิจนหมดเกลี้ยง สำหรับผู้ที่ต้องการไปกราบและชมอัฐิของหลวงปู่เปลื้อง ขอเชิญได้ที่ วัดบางแก้วผดุงธรรม อำเภอบางแก้ว จังหวัดพัทลุง



.............................................................

คัดลอกบางตอนมาจาก ::
หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 21 มิถุนายน 2551

ที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=20767

กราบนมัสการครับ

ขอบพระคุณข้อมูลครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้