ภาพถ่ายเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ยังปรากฏร่องรอยช่องประตูของประตูมงคลพิศาล
ที่มา | ศิลปวัฒนธรรม ฉบับ มีนาคม 2551 | ผู้เขียน | ปรีดี พิศภูมิวิถี | เผยแพร่ | วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2560 |
แนวกำแพงล้อมรอบพระราชวังหลวง กรุงศรีอยุธยาที่ปรากฏหลักฐานให้เห็นในปัจจุบันบ่งชี้ว่ามีการแบ่งเขตแนวภายในพระราชวังหลวงออกเป็น ๓ ชั้น คือ ชั้นนอก มีท้องสนามหน้าจักรวรรดิ์เป็นพื้นที่ใหญ่ ชั้นกลางประกอบด้วยหมู่พระมหาปราสาทต่างๆ และชั้นใน เป็นพระที่นั่งประทับและเขตพระราชอุทยาน เขตแนวเหล่านี้มีประตูใหญ่-น้อยกั้น ซึ่งบางแห่งยังปรากฏให้เห็นร่องรอยและซากปรักของประตูด้วย เช่น ประตูบวรเจษฎานารี ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ติดกับด้านหลังของวัดพระศรีสรรเพชญ์ อาจเป็นประตูที่พระสงฆ์ใช้เข้า-ออก เขตพระราชฐาน ส่วนแนวกำแพงรอบพระราชวังหลวง มีป้อมก่อที่มุมกำแพง และที่ย่านกลางของแนวกำแพงเพื่องรักษาความปลอดภัยโดยรอบ ป้อมต่างๆ เหล่านี้มีชื่อปรากฏในคำบรรยายภูมิสถานอยุธยาและในกฎมณเฑียรบาล เช่นป้อมท่าคั่น ป้อมศาลาสุมงคลบพิตร ป้อมวัดสีเชียง ป้อมสวนองุ่น และมีประตูน้ำ ประตูบกอีกจำนวนมาก ทั้งที่ปรากฏร่องรอยในปัจจุบันและยังไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด ที่ด้านทิศใต้ของพระราชวังหลวงมีโบราณสถานที่สำคัญหลายประการคือ ร่องรอยของป้อมที่ย่านกลางของวัดพระศรีสรรเพชญ์ และป้อมที่มุมวัดพระศรีสรรเพชญ์ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ป้อมดังกล่าวมีสภาพสมบูรณ์พอใช้ กล่าวคือแสดงให้เห็นว่าเป็นป้อมที่ก่อย่อเก็จออกไป ตั้งแนวเชิงเทิน มีไต่เตี้ย และใบเสมา อาจเป็นไปได้ว่า ป้อมมี ๒ ชั้น เหตุเพราะชั้นล่างมีการเจาะรูขนาดพอเหมาะกับลำกล้องปืนใหญ่ที่วางสอดไว้ เพื่อโจมตีข้าศึกทางด้านล่าง ส่วนประตูทางด้านทิศใต้มีหลายประตู ดังคำบรรยายภูมิสถานว่า “ด้านทักษิณ ประตูวิจิตรพิมล ๑ ประตูมงคลพิศาล ๑ สุดท้องสนามหน้าจักรวรรดิ์ ถึงประตูหูช้างชื่อ ฤทธิ์ไพศาล ขุนนางเข้าถือน้ำพิพัฒน์วัดพระศรีสรรเพชญ์ ๑ มาถึงป้อมปืนกลางตรงวัดสีเชียง ๑ มาถึงประตูบวรนิมิตร สำหรับพระมเหษีพระราชบุตรี นางข้างใน ออกถวายเพลิง ๑ มาถึงป้อมปืนมุมวัดพระศรีสรรเพชญ์ ๑ สุดด้านทักษิณ” ในที่นี้แสดงว่าด้านตะวันออกของทิศใต้ เริ่มจากป้อมมุมป้อมหนึ่ง ซึ่งในกฎมณเฑียรบาลเอ่ยชื่อว่าป้อมมุมศาลาศาลบัญชี (ปัจจุบันคงเป็นบริเวณลานจอดรถหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑) ต่อมาเป็นแนวกำแพง และมีประตู ๒ ประตู คือ ประตูวิจิตรพิมล และประตูมงคลพิศาล อันเป็นประตูสำหรับเข้าท้องสนามหน้าจักรวรรดิ์ทางด้านทิศใต้ ประตูมงคลพิศาล นับเป็นประตูพระราชวังประตูหนึ่งที่มีความสำคัญเพราะเป็นทางเข้าท้องสนามหน้าจักรวรรดิ์ทางด้านทิศใต้ ซึ่งจะมีพระที่นั่งจักรวรรดิ์ไพชยนต์ประดิษฐานอยู่บริเวณแนวกำแพงกั้นแบ่งเขตพระราชฐานชั้นนอกและชั้นกลาง ที่ประตูนี้มีถนนสายหลักยืนยาวลงมาทางทิศใต้จรดแม่น้ำเจ้าพระยาที่บริเวณประตูไชย ถนนหลวงหรือถนนมหารัถยา สายนี้เป็นสายสำคัญมากเพราะบรรดาราชทูตต่างประเทศที่เข้ามาเจริญพระราชไมตรีกับอยุธยาต่างก็จะเริ่มตั้งกระบวนพระราชสาส์นที่ปากประตูไชยแล้วแห่แหนมาจนสุดที่ประตูมงคลพิศาลทั้งสิ้น แม้เอกสารจดหมายเหตุเรื่องคณะทูตลังกาเข้ามาประเทศสยามก็ระบุความในทำนองเดียวกันว่า “ในวันที่ราชทูตจะเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวนั้น เมื่อเดินทางทางเรือมาถึงประตูกำแพงใหญ่ก็ลงจากเรือเดินเข้าประตูไปสู่ถนนสิตะเนน และขึ้นรถม้า เมื่อราชทูตขึ้นรถม้ามาถึงประตูกำแพงชั้นในก็ลงจากรถและเดินเข้าประตูไป” ประตูที่อยู่สุดถนนป่าตองในแผนที่พระราชวังโบราณ คือประตูวิจิตรพิมลซึ่งเป็นประตูสำหรับการเข้า-ออกท้องสนามจักรวรรดิ์ทางด้านทิศใต้ ทางด้านซ้ายมือของประตูนี้ ในแนวระนาบกำแหงวัดพระศรีสรรเพชญ์ คือช่องประตูมงคลพิศาลที่หายไป (ทั้งจากในแผนที่และจากสถานที่จริงในปัจจุบัน)พระยาโบราณราชธานินทร์ อธิบายเพิ่มเติมว่าถนนสายนี้เป็นถนนใหญ่ตรงไปจากหน้าพระราชวังไปหักเลี้ยวที่มุมพระราชวังด้านใต้ แล้วเลี้ยวซ้ายตรงไปทางใต้ถึงประตูไชย ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำด้านใต้ เคยแห่รับพระราชสาส์นพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งกรุงฝรั่งเศสกับปรากฏว่าเป็นที่ชุมนุมทัพเรือ ท่าประตูไชยนับเป็นหนึ่งในท่าเรือที่มีความสำคัญอย่างมากเช่น พระราชพงศาวดารฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) บันทึกว่า เมื่อสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เมื่อครั้งเป็นออกญากลาโหม ได้นำทัพเรือ ๑๐๐ ลำ เศษและพลอีกราว ๓,๐๐๐ มาขึ้นบกที่ประตูนี้แล้วขึ้นมานำพลไปถึงศาลพระกาฬ คอยเวลาจน ๘ ทุ่มได้เวลาจึงยกพลเข้าฟันประตูพระราชวังแล้วปราบดาภิเษกขึ้นครองราชสมบัติ
|