ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี วัดหินหมากเป้ง ~

[คัดลอกลิงก์]
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-22 22:00 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ในปี พ.ศ. 2475 นับเป็นพรรษาที่ 10 ของหลวงปู่ ท่านอาจารย์สิงห์ได้เรียกให้ลูกศิษย์
ที่อยู่ทางขอนแก่น ลงไปโคราช หลวงปู่ซึ่งขณะนั้นได้ออกจาการจำพรรษา ที่อำเภอพล
และอยู่ที่อำเภอพล จึงได้ออกเดินทางพร้อมด้วยคณะ ไปพักที่สวนของหลวงชาญนิคม
หลวงปู่ได้พาหมู่คณะจัดเสนาสนะชั่วคราวขึ้น ในเวลานั้นอากาศร้อนจัดมาก
หลวงปู่ซึ่งโดยปกติแล้วไม่ชอบอากาศร้อน แต่ก็ได้กัดฟันอดทนต่อสู้ทำความเพียรไม่ท้อถอย
สติที่อบรมดีแล้วของหลวงปู่สงบอยู่ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน
วันหนึ่งจิตรวมอยู่อย่างน่าประหลาดใจ คือรวมใหญ่เข้าสว่างอยู่คนเดียว แล้วมีความรู้ชัดเจน
จนสว่างจ้าอยู่ ณ ที่เดียว จะพิจารณาอะไรๆ หรือมองดูในแง่ไหนในธรรมทั้งปวง
ก็หมดความลังเลสงสัยในธรรมวินัยนี้ทั้งหมด คล้ายๆกับว่า ถึงที่สุดแห่งธรรมทั้งปวงแล้ว
แต่หลวงปู่ก็มิได้สนใจในเรื่องนั้น มีแต่ตั้งใจไว้ว่า
"ไฉนหนอเราจะชำระใจของเราให้บริสุทธิ์หมดจด"

ในปี พ.ศ.2476 ซึ่งเป็นพรรษาที่ 11หลวงปู่ได้อยู่จำพรรษาที่วัดอรัญญวาสี ท่าบ่อ
เมื่อออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ได้ปรารภกับพระครูสีลขันธ์สังวร (อ่อนสี) และชักชวนกัน
ไปตามหาท่านอาจารย์มั่น ซี่งขณะนั้นปลีกหมู่หนีความวุ่นวายไปอยู่จำพรรษาที่เชียงใหม่
หลวงปู่กับพระครูสีลขันธ์สังวร (อ่อนสี) ได้เข้าไปถึงพม่าไปถึงผาฮังฮุ้งซึ่งเป็นเขตแดน
ของเมืองปั่น ประเทศพม่า โดยเข้าใจว่าท่านอาจารย์มั่น คงจะไปทางนั้น แต่ก็ไม่ปรากฏวี่แวว
ว่าท่านได้ไปทางนั้น การเดินทางครั้งนั้นทำให้หลวงปู่ได้มีโอกาสไปไหว้พระธาตุหล่อง
ซึ่งอยู่บนผาฮังฮุ้ย ซึ่งหลวงปู่กล่าวว่า พระธาตุนี้ขึ้นไปไหว้ยากที่สุด เพราะอยู่สูงบนผาฮังฮุ้ง
และทางขึ้นยากมาก หลังจากได้ไหว้พระธาตุปะหล่องแล้ว จึงได้กลับลงมา
โดยเดินข้ามดอยอ่างขาง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ (ดอยอ่างขางนี้เดิมเขาเรียกว่า
"ดอยมหาขาง" ซึ่งชาวบ้านเขาแปลว่า "ผีหวงที่สุด" )
การเดินทางยากลำบากมาก
ต้องเดินไปตามลำห้วยและหน้าผาชันมาก จนได้เกิดอุบัติเหตุเดินพลาด ก้อนหินล้มลง
หินบาดฝ่าเท้าเป็นแผลเหวอะหวะ หลวงปู่ได้เอาผ้าอังสะพันแล้วเดินทางต่อไป
จนกระทั่งถึงบ้านมโนราห์ มีชาวบ้านบอกว่า มีตุ๊เจ้าองค์หนึ่ง อยู่ที่ป่าเมียง แม่ปั๋ง ชื่อตุ๊เจ้ามั่น
หลวงปู่ได้ถามลักษณะท่าทีและการปฏิบัติ ก็แน่ชัดว่าเป็นท่านอาจารย์มั่นแน่แล้ว
จึงได้ออกเดินทางต่อไปเพื่อพบท่านอาจารย์มั่น การเดินทางได้แวะพักนอนที่ถ้ำดอกคำหนึ่งคืน
แล้วเดินทางต่อจนถึงป่าเมียง แม่ปั๋ง ในเวลาบ่าย หลวงปู่และพระครูสีลขันธ์สังวร
ตามไปถึงที่อยู่ของท่านอาจารย์มั่นราวบ่าย 4 โมง ท่านกำลังเดินจงกรมอยู่ พอท่านมองมา
เห็นหลวงปู่ท่านจำได้แม่นและเรียกชื่อหลวงปู่เลย หลังจากนั้นท่านอาจารย์ ได้พักเดินจงกรม
เดินเข้าไปนั่งในอาศรมของท่าน หลวงปู่และพระครูสีลขันธ์สังวร ได้เจ้าไปกราบนมัสการท่าน
และกราบเรียนถามอุบายธรรมจากท่านอาจารย์มั่น ซึ่งท่านอาจารย์มั่นก็ได้เทศนาให้หลวงปู่ฟัง
เป็นใจความว่า "ถ้าองค์ไหนดำเนินตามรอยของผมจนชำนิชำนาญมั่นคง
องค์นั้นย่อมเจริญก้าวหน้า อย่างน้อยก็คงตัวอยู่ได้ตลอดรอดฝั่ง ถ้าองค์ไหนไม่ดำเนินตามรอยของผม
องค์นั้นย่อมอยู่ไม่ทนนาน ต้องเสื่อมหรือสึกไป

5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-22 21:59 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ที่ได้สงเคราะห์โยมพ่อสมเจตนารมณ์ ต่อมาในปีนั้นโยมพ่อของหลวงปู่เกิดอาพาธ
หลวงปู่ได้คอยให้สติและอุบายต่าง ๆ จนเป็นที่พอใจ และถึงแก่กรรมด้วยอาการมีสติ
สงบอารมณ์อยู่ตลอดจนหมดลมหายใจ หลังจากโยมพ่อของหลวงปู่ถึงแก่กรรม
หลวงปู่ก็ได้อยู่คนเดียว ได้วิเวกและได้กำหนดในใจว่า "ชีวิตและเลือดเนื้อตลอดถึงข้อวัตร
ที่หลวงปู่ทำอยู่ทั้งหมด ขอมอบบูชาพระรัตนตรัยเหมือนกับบุคคลเด็ดดอกไม้บูชาพระฉะนั้น"

แล้วหลวงปู่ก็รีบเร่งปรารภความเพียรอย่างแรงกล้า ตั้งสติกำหนดจิต
มีให้คิดนึกส่งออกไปภายนอก ให้อยู่ในความสงบเฉพาะภายในอย่างเดียว ตลอดวัน
ยันค่ำคืนยันรุ่ง ก่อนจะนอนตั้งสติไว้อย่างไร ตื่นมาก็ให้ได้อย่างนั้น หลวงปู่บอกว่า
แม้บางครั้งนอนหลับอยู่ก็รู้สึกว่าตัวเองนอนหลับ แต่ลุกขึ้นไม่ได้ พยายามให้กายเคลื่อนไหวแล้ว
จึงจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา โดยความเข้าใจในตนเองว่า จิตที่ไม่คิดนึกส่งส่ายออกไปภายนอก
สงบนิ่งอยู่ ณ ที่เดียวนั่นแล คือความหมดจดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ ปัญญาก็เอามาใช้ชำระใจ
ที่ส่งส่ายแล้วเข้ามาหาความสงบนั่นเอง ฉะนั้นจึงไม่พยายามที่จะใช้ปัญญา
พิจารณาธาตุขันธ์อายตนะ เป็นต้น หาได้รู้ไม่ว่า "กายกับจิตมันยังเกี่ยวเนื่องกันอยู่
เมื่อวัตถุหรืออารมณ์อันใดมากระทบส่วนใดส่วนหนื่งเข้าแล้ว มันจะต้องกระเทือนถึงกัน
ทำให้ใจที่สงบอยู่แล้วนั้น หวั่นไหวไปตามกิเลสได้"

ออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ได้ย้อนกลับไปหาพี่ชายและพระอาจารย์เสาร์ที่นครพนม
เนื่องจากได้ห่างจากหมู่เพื่อนและครูบาอาจารย์มาสองปีแล้ว ตั้งแต่พระอาจารย์เสาร์
และท่านอาจารย์มั่นฯ พร้อมทั้งหมู่คณะจากท่าบ่อไป เมื่อไปอยู่ด้วยกับพระอาจารย์เสาร์
หลวงปู่ก็ได้ช่วยท่านอบรมญาติโยม และในปีนั้นหฃลวงปู่ได้ขออาราธานาให้ท่านถ่ายรูปไว้
เป็นที่ระลึก ทีแรกท่านก็ไม่ยอม พอหลวงปู่อ้อนวอนอ้างถึงเหตุผลความจำเป็น
เพื่อให้บรรดาศิษยานุศิาย์และลูกหลานยุคต่อไปได้มีโอกาสกราบไหว้เคารพบูชา
ท่านถึงได้ยอม ซึ่งนับเป็นประวัติการณ์ เพราะแต่ก่อนมาท่านไม่ถ่ายรูปเลย แต่กระนั้น
หลวงปู่ก็ยังเกรงว่าท่านอาจารย์เสาร์จะเปลี่ยนใจ ต้องรีบให้ข้ามไปตามช่างภาพมาจากฝั่งลาว
มาถ่ายให้ หลวงปู่ดีใจมาก ถ่ายภาพท่านอาจารย์เสาร์ได้แล้ว ได้แจกท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์
และท่านพระครูสีลสัมปัน (ภายหลังได้เลื่อนเป็นเจ้าคุณธรรมสารมุนี) รูปท่านอาจารย์เสาร์
ที่หลวงปู่จัดการถ่ายครั้งนั้น ดูเหมือนจะเป็นรูปของท่านครั้งเดียวที่มีโอกาสถ่ายไว้ได้
แม้ท่านอาจารย์มั่นก็เช่นเดียวกัน การถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกเป็นเรื่องที่ท่านปฏิเสธเสมอ
เมื่อหลวงปู่อาราธนาอ้อนวอนบ่อยๆ ท่านก็ว่า "ซื้อขนมให้หมากินดีกว่า" แต่เมื่อหลวงปู่อ้อนวอน
ชี้แจงเหตุผลหนักเข้า สุดท้ายท่านก็ใจอ่อน ทำให้เป็นบุญของคนรุ่นหลัง ๆ ที่ได้มีโอกาส
มีรูปของท่านไว้กราบไหว้สักการะ
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-22 21:59 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม  และปฏิปทา

เมื่ออุปสมบทแล้ว หลวงปู่ก็ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดสุทัศน์นั่นเอง ในปีนั้น พระอาจารย์สิงห์ฯ
ได้กลับมาจำพรรษาที่เมืองอุบลฯอีก ออกพรรษาแล้วพร้อมด้วยพระมหาปิ่น  ปญฺญาพโล
(น้องชายของท่านอาจารย์สิงห์) และพระอีกหลายรูปด้วยกันได้ออกเดินรุกขมูลไปในที่ต่าง ๆ
เดินตัดลัดป่าดงมูลและดงลิงซึ่งเลื่องลือในสมัยนั้นว่าเป็นป่าช้าง ดงเสือ  ผ่านจังหวัดร้อยเอ็ด
และกาฬสินธุ์ ตลอดจนถึงจังหวัดอุดรธานี หลวงปู่ได้ผจญอันตรายและความยากลำบากต่าง ๆ
แต่ก็ได้รับรสชาติของการออกเที่ยวรุกขมูล จนกระทั่งเดินทางถึงบ้านค้อ อำเภอบ้านผือ
จังหวัดอุดรธานี ได้พบท่านอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล และท่านอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต อยู่ ณ ที่นั่น
ได้เข้าฟังธรรมเทศนาจากท่าน ได้รับความชื่นใจสงบสบายดี ได้พักอยู่กับท่าน 2-3 คืน
จากนั้นท่านอาจารย์สิงห์ ได้พากลับไปจำพรรษาที่บ้านหนองลาด อำเภอสว่างแดนดิน
จังหวัดสกลนคร ในปีนั้นหลวงปู่ได้ทำความเพียรอย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยว มีการทำความเพียร
ภาวนาตลอดวันค่ำคืนรุ่ง พร้อมกันนั้นก็ผ่อนอาหาร ฉันน้อยที่สุดคือ ทำคำข้าวเหนียวเป็นคำๆ
ตั้งแต่ 60 คำ ถอยลงมาโดยลำดับถึง 3 คำ ฉันอยู่ 3 วัน แล้วก็เพิ่มขึ้นโดยลำดับถึง 5 คำ
ฉันอยู่ได้ 5 วัน 10 คำ ฉันอยู่ได้ 10 วัน 15 คำ ฉันอยู่ได้ 3 เดือน
กับข้าวก็มีแต่พริกกับเกลือเท่านั้น ตลอดเวลา 3 เดือน กิจวัตรเป็นต้นว่า บิณฑบาต
ปัดกวาดลานวัด และหาบน้ำ ตลอดถึงอาจารยวัตร ไม่ขาดสักวัน จนกระทั่งออกพรรษาแล้ว
หลวงปู่มั่นได้เรียกตัวให้ไปพบเพื่อกิจของสงฆ์บางอย่าง หลังจากนั้นหลวงปู่ก็ไม่ได้กลับไป
จำพรรษากับพระอาจารย์สิงห์อีก ในปี พ.ศ.2468 ซึ่งเป็นพรรษาที่ 3 ของหลวงปู่
หลวงปู่ได้จำพรรษาที่บ้านนาช้างน้ำ ซึ่งไม่ไกลจากท่าบ่อ ที่ท่านอาจารย์มั่นอยู่
หลวงปู่ได้หมั่นไปฟังเทศน์เสมอ ออกพรรษาแล้วท่านอาจารย์มั่น พร้อมด้วยคณะ
ได้ออกเดินทางลงไปทางสกลนคร หลวงปู่มีความคิดถึงโยมแม่ จึงได้กลับไปบ้าน
เพื่อสงเคราะห์โยมแม่และได้แนะนำให้ท่านนุ่งขาวรักษาศีล 8 ด้วย หลังจากนั้นหลวงปู่
ได้รุกขมูลต่อไปอำเภอพรรณานิคม ซึ่งท่านอาจารย์สิงห์จำพรรษาอยู่ ณ ที่นั่น
ต่อมาพระอาจารย์สิงห์ฯได้พาหมู่พระเณรไปตั้งสำนักสงฆ์ที่บ้านอากาศอำนวย อยู่ไม่นาน
ท่านอาจารย์มั่นได้ตามไปถึง ท่านอาจารย์มั่นได้ให้หลวงปู่ตามท่านไปตั้งสำนักสงฆ์ที่บ้านสามผง
ที่นี้หลวงปู่ได้มีโอกาสถวายการปฏิบัติท่านพระอาจารย์มั่น โดยท่านได้ไปนอนที่ระเบียงกุฏิ
ของท่านอาจารย์ คอยถวายการปฏิบัติท่าน และได้มีโอกาสปฏิบัติความเพียรเดินจงกรม
ทำความสงบฟังเทศน์จากพระอาจารย์มั่น ในพรรษาที่ 6 พ.ศ. 2471 โยมพ่อของหลวงปู่
ซึ่งบวชเป็นชีปะขาวมาได้ 11 ปี ได้มาอยู่จำพรรษากับหลวงปู่ที่ถ้ำพระนาฝักหอก
ทำให้เป็นโอกาสอันดี ที่หลวงปู่ได้มีโอกาสอุปการะโยมพ่อทางธรรม และโยมพ่อของท่าน
ก็ได้ทำภาวนากรรมฐานอย่างสุดความสามารถของท่าน และได้ผลอย่างยิ่ง จนโยมพ่อของท่าน
ได้อุทานออกมาว่า "ตั้งแต่เกิดมาในชีวิตนี้พึ่งได้ซาบซึ้งในรสชาติของพระธรรมในครั้งนี้เอง"
โยมพ่อท่านนั่งภาวนากัมมัฎฐานได้นานเป็นเวลาถึง 3-4 ชั่วโมงทีเดียว ซึ่งทำให้หลวงปู่ดีใจมาก
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-22 21:59 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ประวัติ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือแก้วมณีอีสาน

หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
วัดหินหมากเป้ง  อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย

หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี มีนามเดิมว่า เทสก์ เรี่ยวแรง เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๔๔๕
ปีขาล ณ บ้านสีดา ตำบลกลางใหญ่ จังหวัดอุดรธานี บิดาชื่อ อุส่าห์ เรี่ยวแรง
เดิมเป็นชาวอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย หนีความทุกข์ยากมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านนางิ้ว
ตำบลกลางใหญ่ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี มารดาชื่อ ครั่ง เป็นชาวพวน
ได้อพยพหนีพวกโจรขโมยมาจากทุ่งย่างเมืองฝาง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์
ได้สมรสกับนายอุสาห์ มีบุตรธิดาด้วยกัน ๑๐ คน ท่านเป็นคนที่ ๙ ตายตั้งแต่เด็ก ๒ คน
เป็นหญิงหนึ่ง ชายหนึ่ง เติบโตมาด้วยกัน ๘ คน ชาย ๔ คน หญิง ๔ คน
เมื่อเป็นเด็กอายุได้ ๙จวบ ได้เรียนหนังสือภาษาไทยกับพี่ชายซึ่งบวชเป็นพระ
กับเด็ก ๆ ด้วยกันกว่า ๑๐ คน และได้เรียนหนังสือประถม ก.กา มูลบทบรรพกิจ
เรียนอยู่ปีกว่าพออ่านได้บ้าง แต่ยังไม่คล่อง แต่หนังสือธรรม (โดยเฉพาะธรรมะคำสอน
ของพระพุทธเจ้า ) อ่านได้คล่อง ต่อมาพี่ชายสึกจากพระไม่มีใครสอนเลยเลิกเรียนกันทั้งหมด
แล้วได้ออกจากวัดไปช่วยงานบิดามารดา จนอายุราว ๑๓-๑๔ ปี เกิดนิมิตความฝันว่า
พระธุดงค์ไล่ตีด้วยแส้วิ่งหนีเอาตัวรอด กระทั่งวิ่งเข้าห้องนอนร้องให้บิดามารดาช่วย
ท่านทั้งสองก็เฉยอยู่เหมือนกับไม่มีเรื่องอะไร พระธุดงค์หวดด้วยแส้สะดุ้งตื่นเหงื่อโชกทั้งตัว
ปรากฏรอยแส้ยังเจ็บแสบอยู่ หลวงปู่นึกว่าเป็นจริง ตื่นขึ้นมาจึงรู้ว่าเป็นความฝัน
ต่อนั้นมาหลวงปู่ได้มีความคิดถึงเรื่องอาชีพของมนุษย์ที่กระทำกันอยู่ ตั้งแต่ฝนตกดินชุ่มฉ่ำ
ลงมือทำนา และเรื่องอะไรจิปาถะ ตลอดถึงปีใหม่ ลงมือทำนาอีก อย่างนี้อยู่ตลอดชีวิต
มาคิดเห็นว่าเกิดมานี้แสนทุกข์ลำบากจริง ๆ ทำงานไม่มีเวลาหยุดยั้ง ซึ่งแต่ก่อนมา
หลวงปู่ไม่เคยนึกคิดอย่างนี้เลยสักที มีแต่มัวเมาด้วยการเพลิดเพลินตามประสาคนชนบท

เมื่ออายุ ๑๖ปี เจ้าคุณพระญาณวิสิษฎ์ สมิทธิวีราจารย์ (พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม)
ได้เดินรุกขมูล มาถึงวัดบ้านนาสีดา  ตำบลกลางใหญ่ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี
ซึ่งเป็นวัดที่หลวงปู่อุปัฎฐากอยู่ จึงเป็นโอกาสดีที่หลวงปู่ได้มีโอกาสปฏิบัติ
พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาโม แต่เนื่องด้วยวัดเป็นป่าทึบไข้มาลาเรียชุกชุม
พระอาจารย์สิงห์เป็นไข้อยู่ไม่ได้ จึงได้ออกไปจำพรรษาที่อื่นและได้ชักชวนหลวงปู่
ให้ไปจำพรรษากับท่านด้วย ออกพรรษาแล้วพระอาจารย์สิงห์ได้กลับเมืองอุบลฯ
ซึ่งเป็นถิ่นเดิมของท่าน หลวงปู่ได้ติดตามท่านไป โดยก่อนไปหลวงปู่ได้เอาดอกไม้ธูปเทียน
ใส่ขัน แล้วไปขอขมาโทษผู้เฒ่าผู้แก่ที่หลวงปู่คุ้นเคย ซึ่งท่านเหล่านั้นก็ให้ศีลให้พรสำเร็จ
ตามความปรารถนาทุกประการ  หลวงปู่เทสก์ได้ติดตามพระอาจารย์สิงห์ รอนแรมไปในป่า
และบ้านเล็กบ้านน้อย บางครั้งผจญกับไข้ป่าซึ่งเมื่อเป็นไข้ก็พักนอนตามร่มไม้
ไข้สางแล้วก็เดินต่อไป พร้อมกันนั้นก็ทำความเพียรภาวนาไปในตัว เป็นเวลาเดือนกว่า
จึงถึงเมืองอุบลฯ หลวงปู่ได้บรรพชาเป็นสามเณร โดยมีพระอาจารย์ลุย บ้านดงเค็งใหญ่
เป็นพระอุปัชฌาย์ บรรชาแล้วได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม จนสอบนักธรรมชั้นตรี
ได้ในปีที่มีอายุครบ ๒๐ และวันที่ ๑๖พฤษภาคม ๒๔๖๖ จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ
ณ วัดสุทัศน์ อำเภอเมืองอุบลราชธานีโดยมีพระมหารัฐ เป็นพระอุปัชฌาย์
มีพระมหาปิ่น ปญฺญาพโล เป็นพระกรรมวาจาจารย์
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-22 21:58 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
กราบนมัสการหลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี


    การจาริกเพื่อศึกษาธรรมปฏิบัติ
    - พ.ศ. ๒๔๖๖ เมื่อออกพรรษาแล้ว ได้ติดตามพระอาจารย์สิงห์ฯ และพระมหาปิ่นฯ ออกธุดงค์จากวัดสุทัศน์เป็นครั้งแรก เดินทางบุกป่ามาจนถึงจังหวัดอุดรธานี และได้เดินทางไปนมัสการพระอาจารย์มั่นและพระอาจารย์เสาร์เป็นครั้งแรกที่บ้านค้อ อำเภอบ้านผือ ต่อจากนั้นก็ได้จาริกไปจังหวัดต่างๆ
    - พ.ศ. ๒๔๘๙ ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระครูนิโรธรังสี
    - พ.ศ. ๒๕๐๗ เดินทางกลับจากจังหวัดภูเก็ต มาอยู่จำพรรษาที่วัดถ้ำขามกับท่านอาจารย์ฝั้น อาจาโร
    - พ.ศ. ๒๕๐๘ เดินทางไปพักวิเวกอยู่ที่วัดหินหมากเป้ง

    สมณศักดิ์
    - ๕ ธันวาคม ๒๕๐๐ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะสามัญฝ่ายวิปัสสนาที่พระนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาจารย์
    - ๒๘ มิถุนายน ๒๕๒๗ ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดหินหมากเป้ง จังหวัดหนองคาย
    - ๕ ธันวาคม ๒๕๓๓ ได้เลื่อนเป็นพระราชาคณะชั้นราชที่พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษย์ ยติคณิสสรบวรสังฆาราม อรัณยวาสี

    มรณภาพ ที่วัดถ้ำมะขาม จังหวัดสกลนคร เมื่อ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๗
    เวลา ๒๑.๐๐ น. สิริอายุได้ ๙๒ ปี ๗ เดือน ๒๑ วัน

ที่มา http://www24.brinkster.com/thaniyo/archan0145_1.html

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้