ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

มาติดตามข่าวสารต่างๆที่น่าสนใจกันครับ

[คัดลอกลิงก์]
81#
โพสต์ 2015-11-4 05:26 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ต่างมุม-ม.44กับคดีจำนำข้าว
วันที่ 03 พฤศจิกายน  พ.ศ. 2558 เวลา 00:52 น.




มีความเห็นที่แตกต่างจากรัฐบาล และคสช. ต่อการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ต่ออายุและคุ้มครองบุคคล-คณะบุคคล ที่บริหารจัดการข้าวในสต๊อกและดำเนินการหาผู้รับผิดชอบ

แม้รัฐบาลชี้แจงว่ามาตรการดังกล่าวเพื่อช่วยการระบายข้าวเร็วขึ้น และปกป้องเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่ทำตามหน้าที่อย่างสุจริต

แต่ก็ยังมีข้อถกเถียงถึงการใช้อำนาจที่ถือเป็นที่สุด ที่นำมาใช้กับการสอบสวนคดีความ












เอกชัย ไชยนุวัติ
นักวิชาการด้านนิติศาสตร์










   กรณีใช้มาตรา 44 เพื่อคุ้มครองบุคคลและคณะบุคคลคดีจำนำข้าว มองว่าไม่มีความจำเป็นต้องใช้มาตรา 44 คุ้มครองผู้ที่รับผิดชอบ การสอบสวนความผิดปกติ หรือทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวที่ผ่านมา

   เนื่องจากถ้าอ่านประกาศ คสช. ฉบับนี้จะต้องมี 2 เงื่อนไขที่สำคัญ คือ 1. เจ้าหน้าที่นั้นต้องมีอำนาจหน้าที่

   และ 2.ต้องทำโดยสุจริต ดังนั้น แม้จะไม่ใช้มาตรา 44 เจ้าหน้าที่ก็พ้นความรับผิดชอบอยู่ดี เพราะเป็นการทำหน้าที่ตามกฎหมาย










   เพียงแต่การประกาศใช้มาตรา 44 เพื่อให้พ้นจากการตรวจสอบจากองค์กรใดๆ ทั้งสิ้น ในทางกฎหมายจึงไม่จำเป็นต้องใช้

   ส่วนทางการเมืองนั้นคำสั่งฉบับนี้ทำให้ทัศนคติของคนไทยโดยทั่วไป เกิดความเคลือบแคลงสงสัยต่อการดำเนินการสอบสวนโครงการจำนำข้าว มาตรา 44 ที่ใช้นี้ทำให้เกิดความสงสัย

   ส่วนสาเหตุที่มีการหยิบยกมาตรา 44 มาใช้กับคดีโครงการจำนำข้าวนั้นไม่ทราบว่ามาจากสาเหตุใด แต่คุณสมบัติพิเศษของมาตรา 44 คือความเป็นที่สุด หมายความว่าในทางกฎหมายไม่มีผู้ใดจะไปโต้แย้งประกาศนี้ได้


   ในส่วนของความจำเป็นที่ต้องใช้มาตรา 44 ต่อกรณีดังกล่าว มองว่าคดีโครงการรับจำนำข้าวเป็นการตรวจสอบตามกระบวนการทางกฎหมาย ที่มีผู้กล่าวหา ประเด็นที่กล่าวหา ผู้โต้แย้งสิทธิ

    และองค์การภายนอกซึ่งสำคัญมาก ที่ต้องตรวจสอบข้อพิพาทนี้โดยยุติธรรมและต้องใช้กฎหมายเท่านั้นในการตัดสินข้อพิพาท ซึ่งมาตรา 44 ทำให้ข้อสุดท้ายนี้หายไป

    ทั้งนี้ เชื่อว่าคนทั่วไปคงมีข้อสงสัยว่าทำไมต้องใช้มาตรา 44 กับกรณีนี้ ในเมื่อเป็นคดีที่อยู่ในศาลแล้ว


   จึงน่าเป็นห่วงเรื่องความไว้วางใจ ของประชาชนต่อผู้มีอำนาจ





สมบัติ บุญงามอนงค์
บ.ก.ลายจุด


   มองได้ 2 แง่มุม แง่แรกการออกมาตรการนี้อาจ เกิดปัญหาในกระบวนการทำงานของทางรัฐบาล เจ้าหน้าที่อาจไม่ยอมปฏิบัติตามเนื่องจากกลัวว่าจะถูกฟ้องร้องกลับหากไปจบที่ศาลชี้ว่าไม่ผิด

   เพราะกรณีนี้นับว่าแปลกประหลาด สุ่มเสี่ยงจะถูกฟ้องกลับได้สูง รัฐบาลจึงต้องหามาตรการเพื่อคุ้มครองป้องกันให้ผู้ปฏิบัติงานไม่มีความกังวลที่จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่

   ส่วนอีกแง่หนึ่งมองว่าเรื่องนี้จะเป็นปัญหาทางหลักนิติธรรม อะไรที่รัฐบาลดำเนินการแล้วถูกก็จะมีความชอบธรรม แต่สำหรับกรณีนี้เหมือนชกอยู่ฝ่ายเดียว การใช้มาตรา 44 ออกคำสั่งรอบนี้ทำให้ 2 ฝั่ง ยืนอยู่บนคนละกติกา


   การใช้ ม.44 โดยอ้างว่าเป็นกฎหมายโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการทางนิติบัญญัติ แล้วไปทำลายกฎหมายตามกระบวนการยุติธรรม ประโยคที่ว่า “ทุกคนต้องทำตามกฎหมาย” จะไร้ความศักดิ์สิทธิ์และกลายเป็นเรื่องตลกเพราะมันทำลายหลักการ

   เช่น ใช้อำนาจพิเศษนี้เพื่อทำให้โครงการรัฐที่ดำเนินอยู่ไม่ต้องสำรวจผลกระทบทาง สิ่งแวดล้อม ทั้งที่กฎหมายบังคับเอาไว้ แต่กรณีจำนำข้าวจะกลายเป็นปัญหามากกว่า

   อีกความรู้สึกเหมือนว่าคดีจำนำข้าวที่รัฐบาลกำลังผลักดันการฟ้องร้องอยู่เกิดมีความไม่มั่นใจ เหมือนรัฐบาลเองก็รับรู้อยู่แล้วว่าฟ้องไปก็จะแพ้ จึงต้องออกคำสั่งคุ้มครองผู้ปฏิบัติงาน


   ผลจากการฟ้องร้องนี้น่าจะมีประโยชน์เพียงการใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเท่านั้น เพราะในทางกฎหมาย หากคดีนี้ถูกชี้ว่าผิดก็จะยิ่งกลายเป็นบรรทัดฐานที่จะเป็นปัญหาในอนาคต เช่น หากใครบอกว่าการบินไทยทำให้เกิดความเสียหายปีละ 50,000 ล้านบาท ก็สามารถไปฟ้องรัฐบาลได้ใช่หรือไม่ เพราะความผิดทางกฎหมายต้องชี้ชัดว่าผิดตรงไหนอย่างไร

   ไม่เพียงเท่านี้ หากพิจารณาโครงการรัฐแต่ละอย่างจะพบว่าแทบจะไม่มีโครงการใดที่ไม่เกิดความเสียหาย หมายความว่าเราฟ้องทุกโครงการของรัฐบาลได้หรือไม่
   
  เชื่อว่ากรณีนี้จะส่งผลให้มีแรงกระเพื่อม เพราะปฏิกิริยาจากฝ่ายการเมืองอย่างพรรคเพื่อไทยชัดเจนว่าไม่พอใจ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าอาจจะบานปลายหรือไม่




สมลักษณ์ จัดกระบวนพล
อดีตกรรมการป.ป.ช.


   คำสั่งตามมาตรา 44 เป็นมาตราที่ให้อำนาจไว้กับคนคนเดียว ที่สามารถมีคำสั่งในทางใดก็ได้ไม่ว่าจะเป็นทางบริหาร นิติบัญญัติและตุลาการ หมายความว่าอะไรที่เป็นความผิดก็สามารถสั่งให้ไม่ผิดได้

   ถ้าดูตามกฎหมายก็ต้องบอกว่ามาตรานี้ขัดต่อหลักนิติธรรม นักกฎหมายทั่วไปก็คงไม่อยากให้ใช้ไม่ว่าในกรณีใด แต่เข้าใจว่าในสถานการณ์ บ้านเมืองที่ไม่ปกติ ผู้มีอำนาจย่อมต้องการมีเครื่องมือที่ใช้บริหารจัดการประเทศ

   แต่สิ่งที่บรรดานักกฎหมายเคยเตือนมาตลอดว่าการใช้อำนาจตามมาตรานี้ควรใช้เฉพาะกรณีจำเป็นจริงๆ อย่านำมาใช้บ่อย โดยเฉพาะการไปแทรกแซงอำนาจตุลาการในกระบวนการยุติธรรม เพราะอาจจะกลายมาเป็นสิ่งที่ทำจนเป็นบรรทัดฐานได้


   ซึ่งตามหลักกระบวนการยุติธรรมทั่วไปที่เคยมีมา หากมีการตรวจสอบในเรื่องใดแล้วพบว่าไม่ได้เป็นไปตามที่กล่าวหา ผู้เสียหายหรือจำเลยย่อมมีสิทธิ์จะฟ้องร้อง

   การป้องกันการฟ้องกลับเช่นนี้เหมือนกับเป็นการทำลายกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง เพราะไปปิดกั้นโอกาสผู้เสียหายไม่ให้มีหนทางเรียกร้องสิทธิ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องระมัดระวังว่าจะไปกระทำการใดๆ ที่เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพในกระบวน การยุติธรรม

   อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ชัดว่าคำสั่งนี้จะอยู่ต่อไปหรือไม่ แต่ฝ่ายที่มีอำนาจพิจารณาว่าอาจเป็นการขัดต่อกระบวนการยุติธรรมก็คือศาล แต่อยู่ที่ว่าจะมีใครทำหรือไม่


   ส่วนเหตุการณ์ลักษณะนี้จะมีนัยยะอะไรหรือไม่นั้น ไม่ทราบข้อเท็จจริง แต่ภาษากฎหมายจะมีคำพูดในทำนองว่ากรรมย่อมเป็นเครื่องชี้เจตนา

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1446483909


82#
โพสต์ 2015-11-5 06:44 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ครม.อนุมัติ1.2หมื่นล้านช่วยชาวสวนยาง คงไม่มีใครคิด"ขาดทุน-รัฐเสียหาย"นะจ๊ะ
วันที่ 05 พฤศจิกายน  พ.ศ. 2558 เวลา 00:01 น.

ข่าวข้นคนเข้ม

สันตะวา



หนังสือพิมพ์ข่าวสด สิทธิ เสรีภาพ ประชาธิปไตย เป็นของปวงชนชาวไทยทุกคน ฉบับนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2558 แรม 9 ค่ำ เดือน 11 ปีมะแม...










สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯไปทรงเปิดนิทรรศการและพระราชทานรางวัลการประกวดภาพถ่ายทั่วประเทศชิง ถ้วยพระราชทาน ครั้งที่ 28 ณ แฟชั่น ฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน เวลา 09.00 น....










ประเทศไทยมาถึงจุด โพล ขออนุญาตเอ่ยนาม "สวนดุสิตโพล" ระบุ คนไทยหนุนท่านผู้นำปิดประเทศ ด้วยความเคารพในสิทธิ เสรีภาพของทุกความคิดเห็น ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วว่า ประเทศไทยยังไม่พร้อมกับประชาธิปไตย อย่างที่พยายามให้เชื่อมาตั้งแต่ปี 2475 !!?...

ปล่อย พี่ป้อม ประวิตรออกมาช่วยแปลไทยเป็นไทย หยุดความแตกตื่น โกลาหล วิตกกังวลได้ระดับหนึ่ง หลังประชุมครม.วันอังคาร นายกฯประยุทธ์ เลยปิดประเด็นปิดประเทศด้วยประโยค "ผมจะปิดทำไมเล่า" จบนะ...










ปู่มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ. อธิบาย การเลือกตั้งส.ส.แบบจัดสรร ปันส่วนผสม ที่หมายมั่นปั้นมือบังคับใช้ในรธน.ใหม่ "ครอบครัวหนึ่งมีสมาชิก 10 คน แต่ละวันมีกับข้าวได้เพียง อย่างเดียว แล้วให้ลงคะแนนกัน 4 คนกินแกงเผ็ด, 3 คนกินแกงจืด, 2 คนกินผัดผัก, 1 คนไม่ลงคะแนน ถ้าใช้หลักการนี้ทุกคนต้องกินแกงเผ็ดไปทั้งอาทิตย์ ดังนั้นจึงต้องหาแนวทางว่าจะทำอย่างไรใน 1 อาทิตย์ จะมีแกงจืด 2 วัน ผัดผัก 1 วัน ที่เหลือจะกินแกงเผ็ดไปอีก 4 วันก็ไม่ว่ากัน" นี่คือการอธิบายของ นักกฎหมาย หรือ นักโต้วาที กันหนอ...


เอา รธน. เปรียบ ของกิน อย่างนี้ เลยเกิดคำถาม ทำไมต้องตั้งต้นด้วยโจทย์ "มีกับข้าวอย่างเดียว" แล้วบังคับให้เลือก (เพื่อจะได้อ้างถึงจุดอ่อน จุดด้อย จุดเสีย) ทำไมไม่ตั้งโจทย์ "มีกับข้าวหลากหลาย" แบบ พาแลงอีสาน ขันโตกเหนือ สำรับใต้ หรือ โต๊ะจีน โต๊ะแขก บุฟเฟ่ต์ฝรั่ง ไม่ว่าจะเลือกแบบใดก็ได้กิน กับข้าวคุณภาพครบ 5 หมู่ ตั้งโจทย์แบบ ปู่มีชัย ฟังไปฟังมาไม่ต่าง อดีตนายกฯคนหนึ่ง เคยยกตัวอย่าง...

หมู่บ้านโจรลงมติกัน แล้วเสียงข้างมากของโจร ถือว่าชอบธรรมอย่างนั้นหรือ... พูดไปพูดมาก็เห็นประชาชนเจ้าของประเทศ จน โง่ เลือกไม่เป็น...


ครม.อนุมัติงบ 12,000 ล้านบาท ชดเชยต้นทุนการผลิตชาวสวนยาง โดยแบ่งให้ เจ้าของสวน 900 บาท คนกรีด 600 บาท คิดเป็นสัดส่วน 60 ต่อ 40 โดยชดเชยเฉพาะผู้มีเอกสารสิทธิ ขอแสดงความยินดีกับชาวสวนยางที่ราคากำลังตกต่ำหนัก 3 กิโลฯ ไม่ถึง 100 บาท การช่วยเหลือครั้งนี้หวังว่าคงไม่มีใครคิดเรื่อง ขาดทุน-กำไร-ไม่คุ้มค่า-ทำให้รัฐเสียหาย นะจ๊ะ...


ข่าวข้น คนเข้ม วันนี้, 13.00 น. พจนา ภาคสุข ผู้บริหารบริษัท สยาม เฮลท์ กรุ๊ป จำกัด เปิดตัว "ปาล์มเมอร์" ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวยอดขายอันดับ 1 จากสหรัฐ ห้องพิมานแมน อนันตรา สยาม... 13.30 น. วิจารย์ สิมาฉายา รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ และ กรัณย์ แสงไฟ ผู้บริหาร บริษัท คิมเบอร์ลี่ย์-คล๊าค ประเทศไทย จำกัด เปิดงาน Reduce Today Respect Tomorrow ปี 8 มอบประกาศเกียรติคุณให้องค์กรที่เลือกใช้กระดาษทิชชูที่ผ่านกระบวนการผลิต ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ห้องเลิศวนาลัย สวิสโฮเต็ล ปาร์คนายเลิศ... 14.00 น. สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ ร่วมกับ เอออน ฮิววิท ประเทศไทย เปิดตัวโครงการค้นหาสุดยอดนายจ้างดีเด่นประจำปี 2559 ห้องรอยัลฮอลล์ ศศปาฐศาลา ศศินทร์...


ที่มา..http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1446651322


83#
โพสต์ 2015-11-14 14:02 | ดูโพสต์ทั้งหมด
kit007 ตอบกลับเมื่อ 2015-11-14 09:37
ทบ.ตั้ง กก.สอบสร้างอุทยานราชภักดิ์ เร่ง 1 สัปดาห์รู้ผ ...

ขอบคุณครับ
84#
โพสต์ 2015-11-16 06:00 | ดูโพสต์ทั้งหมด


รธน.ฝืนธรรมชาติ สุมไฟ "การเมือง" ยิ่งนาน-ยิ่งร้อน

การร่างรัฐธรรมนูญภายใต้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรธ. นำโดย นายมีชัย ฤชุพันธุ์  ยังคงความร้อนแรงทุกขณะจิต

ก่อนหน้านี้ผลการศึกษาของอนุกรรมการ กรธ. เรื่องระบบการเลือกตั้งที่เห็นชอบให้ใช้บัตรเลือกตั้งเดียว แต่ใช้คะแนนเลือกตั้งมาคัด  ส.ส.ทั้งระบบเขตและระบบบัญชีรายชื่อ

ก่อเกิดเป็นความเห็นที่แย้งขัด แต่ด้วยลีลาของ กรธ. ที่เยือกเย็น แยบยล จึงยึดที่จะผลักดันระบบการเลือกตั้งแบบนั้น

เพียงแต่ในรายละเอียด  อาจมีเปลี่ยนแปลง เช่น คะแนนที่ใช้คัด ส.ส.บัญชีรายชื่อ จะนำเอาคะแนนเขตเฉพาะผู้สมัครที่แพ้  หรือจะนำเอาคะแนนทั้งหมดมาใช้

หรือจะมีอะไรอื่นปลีกย่อยก็สุดแท้แต่จะดำเนินการ

หากในที่สุุด กรธ. ก็ยังยึดที่จะใช้บัตรเลือกตั้งเดียว และใช้ทุกคะแนนเสียง

นำมาเลือก  ส.ส.เขต และเลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อ

ยังยืนยันที่จะเลือกระบบ "จัดสรรปันส่วนผสม" อยู่ดี..



การร่างรัฐธรรมนูญในวาระต่อมา มีขีดขั้นการพิจารณา  โดยวกไปศึกษาและบัญญัติองค์ประกอบพร้อมหน้าที่ขององค์กรอิสระ

มีการกำหนดให้ กกต. มีจำนวน 7 คน  มีวาระการดำรงตำแหน่ง 7 ปี

กำหนดให้ศาลเป็นผู้พิจารณาใบแดง

ขณะเดียวกัน  กรธ.ก็วกกลับมาพิจารณาผลการศึกษาของอนุกรรมการ กรธ. เรื่องที่มานายกรัฐมนตรีอีกครั้ง

คณะอนุกรรมการ กรธ. เสนอ 3 สูตรการเลือกนายกรัฐมนตรี

สูตรแรก นายกรัฐมนตรีมาจาก ส.ส. คือ ต้องลงเลือกตั้งด้วย  แบบนี้ประเทศออสเตรเลีย ประเทศสิงคโปร์ ใช้อยู่

ส่วนไทยใช้ในรัฐธรรมนูญปี 2475 ปี 2517 ปี 2534 ปี 2540 และปี 2550

สูตรสอง นายกรัฐมนตรีมาจาก ส.ส.หรือคนนอกก็ได้ แบบนี้ประเทศอังกฤษใช้กันอยู่

ส่วนไทยใช้ในรัฐธรรมนูญปี 2502 ปี 2511 ปี 2515 และปี 2519

สูตรสาม  นายกรัฐมนตรีมาจากบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองประกาศไว้ก่อนเลือกตั้ง พรรคละไม่เกิน 5 คน

หลังจากเลือกตั้งกันแล้วให้ ส.ส.เลือกบุคคลตามบัญชีที่ประกาศไว้

แบบนี้ประเทศที่ใช้คืออิสราเอล  ส่วนไทยยังไม่เคยลอง

กรธ.พิจารณากันแล้วมีแนวโน้มว่าสนใจจะใช้สูตรอิสราเอล ทำให้หลายฝ่าย  โดยเฉพาะฝ่ายการเมืองออกมาคัดค้าน และแสดงความข้องใจในมุมมองหลากหลาย

รวมทั้งข้องใจว่าทำไมต้องมี "คนนอก" ด้วย

น่าสังเกตว่า ขณะที่ กรธ. ขับเคลื่อนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไปเรื่อยๆ  ได้ปรากฏเสียงคัดค้านดังขึ้นเป็นรายทาง

ทุกคนทุกพรรคต่างมีความเห็น

พรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วยกับแนวทางที่กรธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งระบบเลือกตั้ง และที่มานายกรัฐมนตรี

พรรคประชาธิปัตย์ยังนำเสนอในนามพรรคแบบตามหลักการ  ประชาธิปไตย

พรรคชาติพัฒนาเห็นด้วยกับการเปิดโอกาสให้มีนายกฯคนนอก หากแต่ต้องใช้ในห้วงวิกฤต  มีเวลากำหนด และรัฐสภาเป็นผู้เลือก

เป็นต้น

การแสดงความคิดเห็นในนามพรรค  ยังไม่รุนแรงเท่าการให้ความเห็นเป็นการส่วนตัว

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. วิจารณ์  ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อว่า "ไม่มีประโยชน์"

ส่วน นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย มองว่า  ระบบเลือกตั้งใหม่ ต้องการทำให้พรรคการเมืองโดยรวมอ่อนแอ  และเป็นเงื่อนไขที่จะให้ได้ประโยชน์ในการได้คนนอกมาเป็น

นายกฯ

แต่คนที่วิจารณ์ออกมารุนแรงที่สุดเห็นจะเป็น นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ แกนนำพรรคประชาธิปัตย์  ที่เปรียบการเสนอชื่อ "คนนอก" มาเป็นนายกรัฐมนตรีว่าผิดธรรมชาติ

เป็นความคิดวิตถาร!

นายนิพิฏฐ์แสดงความคิดเห็นถึงระบบเลือกตั้งแบบใหม่ที่ให้ประชาชนกาบัตรเลือกตั้ง1ใบ ได้ทั้ง ส.ส.เขต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายกรัฐมนตรี ในวันต่อมาว่าเหมือนกาแฟสำเร็จรูป "ทรี อิน  วัน"

นายนิพิฏฐ์ตอกย้ำว่า ความคิดเช่นนี้ "วิตถารหนักเข้าไปอีก"

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ระบบเลือกตั้ง  และระบบการเลือกนายกรัฐมนตรีที่ดังกระหึ่มขึ้น ทำให้ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ต้องนัดแถลงด่วน  เพื่อทำความเข้าใจ

ปรากฏการณ์นี้ย่อมวัดอุณหภูมิทางการเมืองในปัจจุบันได้

ร้อนขึ้น  ร้อนขึ้น เป็นลำดับ



ขณะที่ประเทศไทยกำลังครื้นเครงกับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่  ที่ประเทศพม่ามีการจัดการเลือกตั้งขึ้นมาแล้ว

การเลือกตั้งครั้งนี้มีประชาชนชาวพม่าใช้สิทธิเลือกตั้ง 80 เปอร์เซ็นต์  ผลการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคเอ็นแอลดี ของ นางออง ซาน ซูจี กวาดที่นั่ง 70 กว่าเปอร์เซ็นต์

เป็นการเลือกตั้งที่นานาชาติตอบรับด้วยท่าทีเป็นมิตร  มีน้ำเสียงแสดงความยินดีดังกึกก้อง

รัฐบาลทหารพม่าเองก็ออกมายอมรับ  ทำให้ภาพลักษณ์ของพม่าในสายตาสากลเป็นไปในทางบวก

ถูกมองในมุมบวกเพราะพม่ายอมรับฟังเสียงประชาชน

เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทยหลังจากวันที่22 พฤษภาคม 2557 นานาชาติมีมุมมองในเชิงลบ

เมื่อฟังจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์นับตั้งแต่มีรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวเกิดขึ้นก็ออกมาในเชิงตั้งคำถาม

โดยเฉพาะเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในมาตรา35

เรื่อยมาจนถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์บทบัญญัติในร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่คณะกรรมาธิการยกร่าง ซึ่งมี นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน

รวมถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญที่  กรธ.กำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน

เสียงที่วิจารณ์  ฟังคล้ายกับว่าฝ่ายมีอำนาจไม่อยากให้ฝ่ายที่เพิ่งถูกยึดอำนาจได้อำนาจกลับคืน

แม้ประเทศไทยต้องมีประชาธิปไตยประเทศไทยต้องมีเลือกตั้ง แต่ผลการเลือกตั้งที่ออกมาต้องสอดคล้องกับความต้องการของผู้มีอำนาจ

แม้ว่าสิ่งที่ผู้มีอำนาจต้องการ อาจไม่ใช่สิ่งที่ประชาชนต้องการก็ตาม

ดังนั้น  หากผลที่ออกมาไม่ตรงตามความต้องการของประชาชน  ผลที่ปรากฏย่อมผิดธรรมชาติของประชาธิปไตย

ความผิดปกติอาจก่อให้ความขัดแย้ง  ความขัดแย้งจะนำไปสู่อุณหภูมิทางการเมืองที่รุ่มร้อน

ยิ่งปล่อยให้ความผิดปกติดำรงอยู่ได้นานเท่าใด ความร้อนก็จะยิ่งทวีมากขึ้น มากขึ้น เท่านั้น

มากขึ้นไปเรื่อยๆ จนไปถึงจุดหนึ่ง ซึ่งยากจะคาดเดาว่าไปถึงจุดใด

ระหว่างจุดเดือด  กับทะลุจุดเดือด

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1447564531
85#
โพสต์ 2015-11-18 05:36 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ยูเอ็นเอชซีอาร์ แถลงตำหนิไทย
ส่งตัว 2 นักกิจกรรมกลับจีน ทั้งที่ได้สถานะผู้ลี้ภัย






วันที่ 18 พฤศจิกายน  พ.ศ. 2558 เวลา 00:46 น.

เมื่อวันที่ 17 พ.ย. การ์เดียนรายงานว่า สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) แถลงว่าไม่สบายใจอย่างรุนแรงกับการที่ไทยส่งตัวผู้ลี้ภัย 2 คนที่ได้รับการรับรองแล้วกลับไปยังประเทศที่พวกเขาลี้ภัยมา ทั้งที่ผู้ลี้ภัยทั้งสองรายได้รับการรับรองให้ตั้งรกรากได้นอกประเทศไทยและจีน และอยู่ระหว่างรอการเดินทางในอีกไม่กี่วันนี้ แต่กลับถูกส่งตัวกลับจีนโดยไม่แจ้งล่วงหน้า เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

"การกระทำของไทยเป็นสิ่งที่น่าผิดหวังอย่างรุนแรงและเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงช่องว่างที่มีอยู่อย่างยาวนานในกฎหมายไทย ที่จะต้องรับรองการดูแลบุคคลที่ต้องการความคุ้มครองจากนานาชาติอย่างเหมาะสม" ยูเอ็นเอชซีอาร์ระบุ

ทั้งนี้ ประเทศไทยไม่ได้ลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย ค.ศ. 1951 และมิได้ยอมรับสถานะของผู้ลี้ภัย และผู้อพยพที่หนีภัยจากประเทศบ้านเกิด  แต่รัฐบาลไทยระบุว่าได้ยึดถืออนุสัญญาดังกล่าวเป็นแนวปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัย

สาเหตุของการเนรเทศตัวผู้ลี้ภัยทั้งสองรายของไทยยังไม่ปรากฏเป็นที่แน่ชัด ขณะที่ยูเอ็นเอชซีอาร์ระบุว่า การเนรเทศดังกล่าวยังคงเกิดขึ้นแม้ว่านานาชาติ รวมถึงตัวแทนของยูเอ็นเอชซีอาร์ ในประเทศไทย พยายามทักท้วง

ก่อนหน้านี้ เว็บไซต์เรดิโอ ฟรี เอเชีย รายงานว่า ทางการไทยส่งกลับชาวจีน 5 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลจีน 2 คนที่ได้รับสถานะเป็นผู้ลี้ภัยจากสหประชาชาติแล้ว ได้แก่ นายเจียง อี้เฟย (Jiang Yefei) และนายตง กวงพิง (Dong Guangping) ถูกจับกุมในไทยเมื่อวันที่ 28 ต.ค. เนื่องจากเข้าประเทศโดยไม่มีวีซ่าที่ถูกต้อง

องค์กรสิทธิมนุษยชนระบุว่า นายเจียงเคยถูกจับกุมและถูกทรมานในจีนเมื่อปี 2551 กรณีวิจารณ์รัฐบาลต่อการจัดการเหตุแผ่นดินไหวในมณฑลเสฉวนเมื่อปี 2551 ขณะที่ตงเคยถูกจับกุมเนื่องจากเข้าร่วมการชุมนุมโดยสงบเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์นองเลือดที่จัตุรัสเทียนอันเหมินปี 2532

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1447782552

86#
โพสต์ 2015-11-18 05:43 | ดูโพสต์ทั้งหมด
“นำพล หนองกี่พาหุยุทธ” นักชก 2 แชมป์ชาวบุรีรัมย์
ป่วยวัณโรคปอดนาน 3 ปีร่างกายซูบผอม








วันที่ 17 พฤศจิกายน  พ.ศ. 2558 เวลา 16:43 น.

“นำพล หนองกี่พาหุยุทธ” ขุนเข่าหน้าเปื่อย ดีกรีนักชก 2 แชมป์ชาวจ.บุรีรัมย์ ป่วยหนักเป็น “วัณโรคปอด” นานกว่า 3 ปีหลังเลิกรากับภรรยามาใช้ชีวิตอยู่ลำพังที่บ้านเกิด ปัจจุบันร่างกายซูบผอมมีเพียงหนังหุ้มกระดูก เจ้าตัวยอมรับ รักษาไม่ต่อเนื่องทำให้อาการทรุด ขณะนายอำเภอ ผอ.รพ.และนายกเทศมนตรี รุดเยี่ยมให้กำลังใจ



(17 พ.ย.58)  นายยงยุทธ  จรเสมอ  นายอำเภอหนองกี่  จ.บุรีรัมย์ พร้อมด้วยนายแพทย์บุญโฮม  แก้วชนะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหนองกี่ , นายประพันธ์  บุญชัยสุข  นายกเทศมนตรีตำบลหนองกี่ และเจ้าหน้าที่  ได้เดินทางเข้าเยี่ยมให้กำลังใจนายนำพล  ศรีจันทึก  หรือ “นำพล  หนองกี่พาหุยุทธ”  อายุ 46 ปี  อดีตนักมวยไทยชื่อดัง ฉายา ‘ขุนเข่าหน้าเปื่อย’ ที่เคยสร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัด และประเทศ  มีดีกรีเป็นนักชก 2 แชมป์ “รุ่นไลต์ฟลายเวท และเฟเธอร์เวท”  หลังทราบข่าวว่านายนำพล  ล้มป่วยด้วยโรค “วัณโรคปอด”  มาตั้งแต่ปี 2556  โดยปัจจุบันได้ใช้ชีวิตอยู่ลำพัง ที่บ้านเกิดในบ้านชั้นเดียว เลขที่  37 ม.8  บ้านพัฒนาชน  ต.ทุ่งกระตาดพัฒนา  อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งมีที่นาล้อมรอบเนื้อที่กว่า 70 ไร่  หลังเลิกรากับภรรยา เมื่อเห็นสภาพร่างกายของนายนำพล  ถึงกับตกใจ  เพราะมีร่างกายที่ซูบผอมมากไม่เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก  จนไม่หลงเหลือคราบความเป็นนักสู้บนสังเวียน หากเปรียบเทียบกับรูปถ่ายเมื่อครั้งที่เป็นนักมวย  โดยนายนำพล  พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือไม่มีเรี่ยวแรง  ว่าตนเองได้ล้มป่วยด้วยโรคปอดติดเชื้อ หรือวัณโรคปอด  ตั้งแต่ปี 2556  ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่จ.นครราชสีมา อย่างต่อเนื่อง แต่ระยะหลังขาดการรักษาและไม่ได้กินยาต่อเนื่อง จึงทำให้อาการทรุดหนักและร่างกายซูบผอมอย่างที่เห็น  แต่ยังพอเดินไปไหนมาไหนได้ตามปกติและยังช่วยเหลือตัวเองได้ แต่อาจจะนั่งหรือยืนเป็นเวลานานๆ ไม่ได้จะเกิดอาการเหนื่อย   เมื่อเห็นทางทางอำเภอ และเทศบาลมาเยี่ยม  ก็มีกำลังใจมากขึ้นพร้อมรับปากว่า  หลังจากนี้จะเข้ารับการรักษาและกินยาให้ต่อเนื่องตามที่หมอสั่ง   พร้อมยังระบุด้วยว่า  หากหายจากอาการป่วยและสภาพร่างกายฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติแล้ว   จะกลับไปเป็นครูฝึกสอนมวยให้กับเด็ก  เยาวชน ที่ค่าย “หนองกี่ พาหุยุทธ” ที่เคยปลุกปั้นตัวเองจนเป็นนักชกที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาแล้ว   เพราะอยากให้เด็ก เยาวชน ได้ใช้เวลาว่างหันมาออกกำลังกาย  ทั้งจะได้สืบทอดศิลปะแม่ไม้มวยไทยต่อไปด้วย

นำพล  ยังกล่าวทิ้งท้ายถึงแฟนมวย และคนที่รู้จักคุ้นเคยด้วยว่า  ไม่ต้องเป็นห่วง และขอบคุณทุกกำลังใจทั้งที่มาเยี่ยมด้วยตัวเอง และที่ส่งกำลังใจผ่านทางสื่อออนไลน์ต่างๆ

ด้านนายยงยุทธ  จรเสมอ นายอำเภอหนองกี่  กล่าวว่า  หลังทราบข่าวว่านายนำพล  ล้มป่วยทางอำเภอก็ไม่ได้นิ่งนอนใจได้ประสานกับทางโรงพยาบาล  เพื่อช่วยเหลือดูแลด้านรักษาอาการป่วยอย่างต่อเนื่อง  แต่ที่อาการทรุดหนักลงเนื่องจาก  นายนำพล  ขาดการกินยาที่ต่อเนื่องทั้งไม่ได้ดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเองเท่าที่ควร  ดังนั้นตัวนายนำพล ก็ต้องให้ความร่วมมือในการดูแลรักษาตัวเองด้วย เพื่อให้หายจากอาการป่วยที่เป็นอยู่   ทั้งยังบอกด้วยว่านายนำพล  ถือเป็นบุคคลที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดและประเทศ  ทั้งยังเป็นบุคคลตัวอย่างแก่เด็ก เยาวชน รุ่นใหม่อีกด้วย

ทางด้านนายแพทย์บุญโฮม   แก้วชนะ  ผอ.โรงพยาบาลหนองกี่  ระบุว่า  หลังจากนี้ทางโรงพยาบาลจะได้ทำการรักษาอย่างจริงจัง  โดยจะส่งเจ้าหน้าที่พยาบาลมาดูแลเรื่องการรับประทานยาให้สม่ำเสมอ  พร้อมทั้งดูแลเรื่องอาหารการกิน   เพราะโรคดังกล่าวสามารถรักษาให้หายขาดได้  แต่ผู้ป่วยต้องให้ความร่วมมือในการรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ  เชื่อว่าหากทำการรักษาต่อเนื่องกินยาสม่ำเสมอ  และปฏิบัติตัวตามที่แพทย์สั่ง  คาดว่าประมาณ 4 – 5 เดือน สภาพร่างกายก็จะกลับมาฟื้นตัวและหายเป็นปกติได้

ประวัตินายนำพล  หรือ “นำพล หนองกี่พาหุยุทธ” หรือฉายา ‘ขุนเข่าหน้าเปื่อย’ เคยโด่งดังไล่ๆ กันกับ ‘สามารถ พยัคฆ์อรุณ’ มีดีกรีเป็นแชมป์ในรุ่นไลต์ฟลายเวท และเฟเธอร์เวท ของเวทีลุมพินี  กระทั่งเมื่อปี 2534 นำพลเกิดอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำ ได้รับบาดเจ็บถูกส่งเข้ารักษาที่โรงพยาบาล  ด้วยเหตุนี้จึงต้องแขวนนวมไปโดยปริยาย หลังแขวนนวม นำพล ได้เปิดกิจการร้านหมูกระทะชื่อ "นำพล หมูย่างเกาหลี" ในตัวเมือง จ.นครราชสีมา  ต่อมากิจการร้านเนื้ออย่างก็ประสบปัญหา ทั้งครอบครัวแตกแยก  หลังจากนั้นก็ไม่ได้ข่าวนำพลเป็นเวลานานหลายปี ล่าสุดได้มีผู้โพส์ตลงเฟสบุ๊ก ว่านำพล ล้มป่วยนอนพักรักษาตัวที่บ้านเกิด  โดยมีร่างกายซูบผอมจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกอย่างเห็น

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1447753808

87#
โพสต์ 2015-11-20 07:50 | ดูโพสต์ทั้งหมด


กลุ่มประชาธิปไตยใหม่ เยือนกลาโหม ล้อเลียนขายอาวุธของเล่น


(19 พ.ย.58) เมื่อเวลา 14.50 น. ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ ได้เดินทางมายังหน้าที่ทำการ กระทรวงกลาโหม  ถนนสนามไชย  โดยมีนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ น.ส.ชนกนันท์ รวมทรัพย์ นายฉัตรมงคล  วัลลีย์ นายรังสิมันต์ โรม นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และน.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว ซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่ม  ได้เดินทางยื่นหนังสือ พร้อมกับนำสิ่งของจำลองแทนยุทโธปกรณ์ต่างๆที่กองทัพใช้งานและประจำการอยู่ อาทิ  เรือเหาะตรวจการณ์ เครื่องตรวจจับระเบิด GT200 เครื่องบินของเล่นที่จำลองว่าเป็นเครื่องบินขับไล่กริพเพ้นท์ เป็นต้น




ทั้งนี้  ตัวแทนกลุ่มฯ ได้ยื่นหนังสือผ่าน พ.อ.วิสุทธิ์ เดชสกุล  เกี่ยวกับความไม่โปร่งใสของกองทัพ

ด้านนายรังสิมันต์ โรม ตัวแทนกลุ่มฯ กล่าวว่า การที่กลุ่มเดินทางมาหน้ากระทรวงกลาโหมในวันนี้  ก็เพื่อล้อเลียนกองทัพ ที่ไม่สามารถจัดการปัญหาการคอร์รัปชั่นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดซื้อจัดจ้าง  ไม่ว่าจะเป็นอาวุธยุทธภัณฑ์ หรือการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1447926306

88#
โพสต์ 2015-11-25 07:30 | ดูโพสต์ทั้งหมด


วิกฤติศรัทธา คสช.

ระยะหลังข่าวการทุจริตคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นใน รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ชักจะหนาหูขึ้นทุกวัน เป็นการเอาคืนจากฝ่ายการเมือง หลังจากที่ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เพ่งเล็งการทุจริตคอร์รัปชันของฝ่ายการเมืองเป็นพิเศษ ประเด็นอุทยานราชภักดิ์ เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะถ้าเรื่องนี้ยังไม่กระจ่าง หรือถูกตัดตอน ฝ่ายการเมืองก็จะเอาไปเปรียบเทียบได้ว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ก็เหมือนกัน
ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง

และกรณีที่มีที่ปรึกษาบางคน หรือมีกระบอกเสียงรัฐบาล มาการันตีความบริสุทธิ์ของคนในรัฐบาลหรือในกองทัพ ทั้งๆที่ยังไม่มีผลการสอบสวนตามกระบวนการยุติธรรมออกมา ยิ่งจะทำให้ภาพของรัฐบาลตกที่นั่งลำบาก
เรื่องนี้ จะมีการกินปูนร้อนท้อง หรือไม่ หรือจำเป็นจะต้องรักษาศรัทธาของรัฐบาลของกองทัพเอาไว้อย่างไร เป็นเรื่องที่ตอบยาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนบุคคลหรือองค์กร แต่เมื่อเรื่องเกิดขึ้นในยุคใดสมัยใด ผู้นำก็จำเป็นต้องรับผิดชอบแม้ไม่ใช่ในฐานะผู้ที่รู้เห็นในการกระทำความผิด แต่ก็ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงให้ปรากฏและดำเนินการตามกฎกติกาด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม

ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดวิกฤติศรัทธาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และไม่ว่าจะเป็นเรื่องเก่าหรือเรื่องใหม่ รัฐบาลชุดนี้ก็ต้องมีหน้าที่ระงับยับยั้ง หรือสืบสวนหาความจริงอยู่ดี อย่างกรณีที่ วิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเปิดโปงความไม่ชอบมาพากลทุกวัน ล่าสุดก็เรื่อง การก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ บริเวณย่านเกียกกายที่ใกล้จะหมดสัญญา แต่การก่อสร้างดำเนินการไปได้แค่ 16% เท่านั้น

เรียกร้องให้ประธานพรเพชร วิชิตชลชัย ออกมาแถลงข้อเท็จจริง
องค์กรภาคเอกชน องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน มีการเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรวจสอบความโปร่งใส ความไม่ชอบมาพากล ที่เป็นแรงกระเพื่อม เป็นคลื่นใต้น้ำท้าทายวิกฤติศรัทธาของรัฐบาล คสช.ในเวลานี้
อย่าลืมว่า รัฐบาล คสช.ยังเดินทางมาได้แค่ครึ่งทาง โรดแม็ปที่จะนำไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ที่ตั้งเป้าจะให้มีการเลือกตั้งภายในเดือน ก.ค.ปี 2560 หากเกิดวิกฤติศรัทธาขึ้น คงไม่เป็นผลดีกับรัฐบาลและประเทศโดยตรง

ถึงช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องตัดสินใจ ว่าจะตัดเนื้อร้ายเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ หรือจะปล่อยให้เกิดปัญหาวิกฤติศรัทธาตามมา
วันนี้ประชาชนอยากเห็นรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์เข้ามา

แก้ปัญหาตกค้างที่ฝ่ายการเมืองแก้ไม่ได้ อยากเห็นบ้านเมืองสงบสุข ปราศจากการทุจริตคอร์รัปชัน ปฏิรูปประเทศ ตามคำสัญญา ถ้าเสี่ยงปล่อยให้เกิดวิกฤติศรัทธา
ระวังจะตายน้ำตื้น.
หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th





89#
โพสต์ 2015-11-29 04:55 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ข้อสังเกตกรณีจับกุม"กลุ่มป่วน"






วันที่ 27 พฤศจิกายน  พ.ศ. 2558 เวลา 00:45 น.
จำนวนคนอ่านล่าสุด 17012 คน
การจับกุม 2 ผู้ต้องหากลุ่มขอนแก่นโมเดล และอยู่ระหว่างหลบหนีอีก 7 คน

โดยเจ้าหน้าที่ระบุกลุ่มผู้ต้องหามีเป้าหมายเพื่อป่วนเมือง ลอบประทุษร้ายบุคคลสำคัญนั้น

ยังมีคำถามและข้อสงสัยจากสังคมในหลายประเด็น

มีความเห็นจากนักวิชาการ ตัวแทนด้านสิทธิมนุษยชน และภาคประชาสังคม



ยุทธพร อิสรชัย
รองอธิการบดี ม.สุโขทัยธรรมาธิราช

การบุกค้นจับกุมจำเป็นต้องใช้หลักฐานที่แน่นหนา ยึดตามหลักนิติธรรม ยิ่งหนล่าสุดที่ฝ่ายความมั่นคงจับกุมตัวบุคคลด้วยข้อหาร้ายแรงว่า จะก่อวินาศกรรมในกรุงเทพฯ โดยเน้นในช่วงเทศกาลเพราะจะมีคนจำนวนมาก ก็มีความจำเป็นมากที่ต้องแสดงหลักฐานที่ชัดเจน สามารถพิสูจน์ได้

โดยเฉพาะหลักฐานที่อ้างว่าพบจากแอพพลิเคชั่นไลน์ เพื่อให้สังคมได้รับรู้รับทราบ มิเช่นนั้นก็อาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองได้อีก เพราะคนที่ถูกกล่าวหาถูกอ้างว่าพัวพันกับกลุ่มมวลชน นปช.ด้วย

ความปรองดองคือสิ่งที่รัฐบาลต้องการทำให้เกิดขึ้นเมื่อมีการเลือกตั้ง ซึ่งความปรองดองจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายในสังคมมีความไว้วางใจต่อกัน โดยทั้งหมดนี้ต้องมาจากรากฐานที่สำคัญคือ ความเป็นธรรม

เพราะประชาชนทุกคนจะมีความรู้สึกเสมอว่าอยู่ภายใต้กติกาที่เสมอภาคกัน ไม่ถูกเลือกปฏิบัติ ตระหนักในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รู้สึกว่าสังคมมีเสรีภาพ ไม่มีอะไรที่ไร้เหตุผลมาอธิบายได้

จากกรณีล่าสุดที่เกิดขึ้นนี้จึงต้องคำนึงถึงการสร้างความปรองดอง กระบวนการทางกฎหมายจะต้องโปร่งใส

ส่วนการออกมาแสดงความคิดเห็นของ นปช. ว่ากรณีดังกล่าวอาจต้องการเบี่ยงกระแสของรัฐบาลเรื่องอุทยานราชภักดิ์ ที่กำลังถูกตั้งคำถามก็เป็นสิทธิเสรีภาพอย่างหนึ่งที่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ เพราะสถานการณ์นี้ยังถือว่าคลุมเครือ ภาพไม่ค่อยชัดเจน

หากทางรัฐบาลสามารถทำให้กระบวนการนี้โปร่งใสได้ ก็จะทำให้ลดเสียงวิจารณ์ หรือการตั้งข้อสังเกตนี้ลงได้

ดังนั้น การใช้อำนาจจึงจำเป็นต้องคำนึงความเป็นธรรมเป็นสำคัญ เพราะจะสามารถช่วยให้การแก้ปัญหาทุกด้านเป็นไปได้อย่างราบรื่น มิเช่นนั้นแล้วเราก็จะไม่ไปไหน ต้องวนกลับมาที่เดิม

ในจุดที่คนบางฝ่ายยังรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าพวกของตนเป็นฝ่ายถูกกระทำอีกแล้ว



สุณัย ผาสุข
ที่ปรึกษาฮิวแมนไรต์วอตช์ประจำประเทศไทย

การตั้งข้อสังเกตกรณีการจับกุมผู้ต้องหาที่เตรียมจะก่อเหตุร้าย ในแง่การหาข้อเท็จจริงความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ แต่ในมุมมองขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนคงต้องมีการตั้งคำถามถึงรูปแบบและกระบวนการยุติธรรมที่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติต่อผู้ต้องหาว่าเป็นอย่างไร

ตามที่ปรากฏจากสื่อจะพบว่าผู้ต้องหาถูกจับกุมตัวตั้งแต่วันที่ 21 พ.ย. ซึ่งไม่ปรากฏข้อมูลที่ชัดเจนว่าผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวอยู่ที่ไหน การสืบสวนสอบสวนเป็นอำนาจของเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือทหาร

ประเด็นนี้เป็นประเด็นสำคัญเนื่องจากไม่กี่วันก่อนหน้านี้สหประชาชาติ (ยูเอ็น) รวมทั้งองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศได้ตั้งคำถามและวิจารณ์ถึงรูปแบบที่ใช้ค่ายทหารควบคุมตัวผู้ต้องหา

เพราะรูปแบบดังกล่าวค่อนข้างเป็นไปอย่างลับ ตรวจสอบไม่ได้ และไม่เป็นที่แน่ชัดว่าการสอบสวนได้เปิดโอกาสให้มีทนายของผู้ต้องหาเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยหรือไม่ ถ้าไม่มีแล้วการสอบสวนจะมีน้ำหนักต่อสำนวนจนไปถึงการพิจารณาคดีของศาลมากน้อยแค่ไหน

เป็นประเด็นที่องค์กรสิทธิฯ ต่างให้ความกังวลอย่างมากเพราะรูปแบบดังกล่าวถูกใช้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ขอนแก่นโมเดล รวมถึงคดีมือวางระเบิดใจกลางเมือง

การตั้งคำถามขององค์กรสิทธิฯ คือเพื่อต้องการให้กระบวนการยุติธรรมนี้สอดคล้องกับหลักสากล ต้องอย่าลืมว่าทั้งยูเอ็นและองค์กรสิทธิฯระหว่างประเทศต่างกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

และมีความเป็นไปได้ว่าประเด็นที่เกิดขึ้นเหล่านี้จะถูกนำเข้าไปสู่การตรวจสอบของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติในเร็วๆ นี้ ซึ่งฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องให้ความสนใจเพราะถือว่าเป็นพันธกรณีที่ประเทศไทยมีส่วนร่วม

หากภายหลังการตรวจสอบแล้วคณะมนตรีมีความเห็นอย่างหนึ่งอย่างใดในเชิงที่มองว่าประเทศไทยไม่เคารพต่อพันธกรณี ก็อาจทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศต่อระดับสากลถูกมองในมุมที่ไม่ดี



สมบัติ บุญงามอนงค์
บ.ก.ลายจุด

การจับกุมในครั้งนี้อ้างว่าได้ข้อมูลการวางแผนมาจากการพูดคุยผ่านโปรแกรมสนทนาทางไลน์ จึงต้องไปดูข้อเท็จจริงว่าเขาพูดเรื่องอะไรกัน

มีการพูดคุยกันแบบไหน เป็นการพูดคุยแบบคึกคะนอง หรือว่าพูดคุยกันแบบจริงจังถึงขั้นวางแผนไปถึงขนาดไหน และคนกลุ่มนี้จะมีศักยภาพในการก่อเหตุได้ขนาดไหน ตรงนี้ยังไม่มีใครรับทราบรายละเอียดของข้อมูล

แต่ถ้าเป็นข้อเท็จจริงตามที่มีหมายจับก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย เพราะการใช้อาวุธสงครามก่อเหตุทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย และไม่สามารถอ้างได้ว่าเป็นการทำเพื่อประชาธิปไตย และไม่สามารถอ้างได้ว่าจะทำเพื่อล้มล้างทหารที่เข้ามาปกครองประเทศด้วยการทำปฏิวัติ

ส่วนจะเป็นขอนแก่นโมเดล เหมือนที่ตำรวจกล่าวอ้างหรือไม่ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ เพราะก่อนหน้านี้เคยเกิดการกวาดล้างชาวบ้านคนธรรมดาเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการทำปฏิวัติครั้งนี้มาแล้ว

ต้องให้ทนายความเข้าไปช่วยเหลือคนที่ถูกจับกุม และเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงที่พูดคุยกันในไลน์ว่าเป็นอย่างไร แต่ส่วนตัวไม่ค่อยเชื่อเท่าไรว่าจะมีใครกล้าทำอะไรแบบนี้ในตอนนี้

ส่วนเสียงวิจารณ์ว่าครั้งนี้เป็นปฏิบัติการใช้ข่าวกลบข่าว เพื่อเลี่ยงกระแสการตรวจสอบจากสังคมกรณีโครงการราชภักดิ์นั้น เชื่อว่าไม่สามารถกลบเรื่องการตรวจสอบทุจริตอุทยาน ราชภักดิ์ได้ และสังคมต้องติดตามเป็น 2 เรื่องพร้อมกัน ทั้งเรื่องสร้างสถานการณ์ความรุนแรง และเรื่องทุจริตสร้างอุทยานราชภักดิ์

ขณะเดียวกันเสียงวิจารณ์อีกมุมที่มองว่า  คนเสื้อแดงใช้ความรุนแรงก็คงไม่สามารถลบภาพนี้ได้ แต่การใช้ความรุนแรงถ้าเป็นข้อเท็จจริงก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่สามารถเหมารวมกลุ่มคนหมู่มากได้

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1448557125

90#
โพสต์ 2015-12-4 07:06 | ดูโพสต์ทั้งหมด








ชกไม่มีมุม

วงค์ ตาวัน




ใครกันแน่ต้องปฏิรูป



มีคนจำนวนไม่น้อย ไม่ค่อยเชื่อสิ่งที่เรียกว่า การปฏิรูปก่อนเลือกตั้งอยู่แล้ว เพราะโดยหลักการนั้น การปฏิรูปต้องดำเนินอยู่ตลอดเวลา ต้องทำกันไปเรื่อยๆ เป็นระยะๆ จะมาบอกว่าต้องปฏิรูปให้เสร็จสิ้นภายใน 2 ปี 3 ปีอะไรแบบนี้ ไม่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง

อีกทั้งคำว่าปฏิรูปก่อนเลือกตั้งที่ชูกันในขณะนี้ หลายคนมองว่า ประเด็นสำคัญคือ จะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้มีการเลือกตั้งเร็วเท่านั้นเอง

นับจากมีการยึดอำนาจมาปีครึ่ง มีการตั้งสภาปฏิรูปแห่งชาติขึ้นมาดำเนินการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง แล้วก็หมดอายุไป จากนั้นตั้งสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศขึ้นมาแทน

คนที่ไม่เชื่อถือคำว่าปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ยิ่งประจักษ์ชัดว่าตนเองคิดถูกต้อง

เพราะเรายังไม่เห็นการปฏิรูปอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน ออกมา

แล้วที่น่าตลกก็คือ คิดอะไรไม่ออก ก็ผลักดันการปฏิรูปตำรวจเอาไว้ก่อนง่ายสุด

แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่มีอะไรเป็นเรื่องเป็นราวอีก!

ล่าสุดสภาขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ หรือสปท. นำเสนอการปฏิรูปตำรวจให้เป็นประเด็นข่าวเกรียวกราวสักหน่อย

ยิ่งได้พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน ที่เพิ่งเกษียณอายุไปอยู่ในสภา อาศัยความช่างคิดช่างพูด เลยมาแนวใหม่ล่าสุด

นั่นคือต้องแก้ไขพ.ร.บ.ตำรวจ ตัดนักการเมือง ออกไป พ้นจากการมีตำแหน่งในองค์กรบริหารบุคคลตำรวจ

เพื่อปลอดพ้นการเมือง

ส่วนตำแหน่งผบ.ตร. ใช้วิธีให้ตำรวจทั่วประเทศลงคะแนนเลือกตั้งไปเลย เพื่อไม่ให้นักการเมืองมามีส่วนแต่งตั้ง!

โดยหลักแล้ว ก็ถือเป็นแนวคิดแปลกใหม่ที่ไม่เลว

อะไรก็ตามที่เปิดให้คนส่วนใหญ่ในองค์กรสามารถมีส่วนร่วมคิดตัดสินใจได้ ย่อมสอดรับกับพัฒนาการของสังคมยุคใหม่ แต่ในทางปฏิบัติจะเป็นจริงหรือไม่ อาจจะต้องศึกษาหาข้อดีข้อเสียอีกมาก

ที่สำคัญ ข้อเสนอสภาขับเคลื่อนปฏิรูปฯนั้น ลงเอยจะเป็นจริงเป็นจังหรือเปล่า

แต่จะว่าไปแล้ว ที่พยายามเสนอกันเหลือเกิน ต้องปฏิรูปตำรวจอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ลองหันมามองดูความจริงที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองทุกวันนี้กันบ้าง

เกิดคดีแอบอ้างสถาบันเพื่อไปหาประโยชน์ มิชอบ เราได้เห็นตำรวจจับตำรวจด้วยกันดำเนินคดีกราวรูด

ระดับผู้บัญชาการและผู้การ ไม่ได้ไปร่วมหากินอะไรกับเขา ยังต้องโดนย้ายเพราะบกพร่อง

บอกชัดว่า องค์กรตำรวจนั้นไม่มีกำแพงอะไรมาปกปิดตัวเอง

หรือเพื่อขวางกั้นไม่ให้ใครสามารถตรวจสอบได้!?

องค์กรตำรวจจะเละเทะอย่างไร แต่ก็เปิดเผย ตรวจสอบได้มากที่สุด

นักปฏิรูปทั้งหลาย ต้องหันไปคิดปฏิรูปหน่วยอื่นที่กำลังมีปัญหาและยากต่อการตรวจสอบมากกว่ากระมัง!

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1449160473
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้