ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

มาติดตามข่าวสารต่างๆที่น่าสนใจกันครับ

[คัดลอกลิงก์]
51#
โพสต์ 2015-7-15 07:04 | ดูโพสต์ทั้งหมด
สุดสลด! ตำรวจอินเดียใช้ผู้เสียหายคดี "ข่มขืน"
เป็นเหยื่อล่อจนโดน "ข่มขืนซ้ำสอง"



NDTV (New Delhi Television)  สื่ออินเดียรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐมหาราษฎระ ของอินเดียได้ยืนยันว่า เหยื่อคดีข่มขืนวัย 17 ปี  ในเมืองจัลนา ถูกข่มขืนซ้ำอีกรอบ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้เธอเป็นเหยื่อล่อเพื่อจับตัวคนร้าย  โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ส่งเธอไปให้คนร้ายถูกนำตัวมาสอบสวนแล้ว




จากข้อกล่าวหา เหยื่อรายนี้ถูกข่มขืนครั้งแรกในวันที่ 7 กรกฎาคม  ขณะที่เธอเดินทางออกไปหาเพื่อนชายก่อนถูกคนร้ายใช้มีดจี้บังคับขืนใจ  โดยคนร้ายถูกกล่าวหาว่าใช้มือถือถ่ายคลิปขณะร่วมเพศไว้เพื่อนำมาข่มขู่เหยื่อด้วย

ทั้งนี้รายงานมิได้ระบุว่าคนร้ายมีความเชื่อมโยงประการใดกับเพื่อนชายที่เหยื่อสาวเดินทางไปพบ

วันต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งหญิงสาวที่ตกเป็นเหยื่อไปยังจุดเกิดเหตุอีกครั้งแต่ไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้เนื่องจากรถของเจ้าหน้าที่อยู่ใกล้จุดดังกล่าวเกินไปทำให้คนร้ายไหวตัวและวันถัดมาตำรวจยังส่งตัวไปเป็นเหยื่อล่ออีกครั้งและด้วยการสื่อสารที่ผิดพลาดทำให้เหยื่อต้องถูกข่มขืนซ้ำอีกครั้ง ซึ่ง วิชวาส ปาติล ผู้บังคับบัญชาตำรวจเขตออรังกาบัดกล่าวว่า  การกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผิดโดยเฉพาะการใช้เยาวชนเป็นเหยื่อ

เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในปฏิบัติการครั้งดังกล่าวอ้างว่าเหยื่อสาวได้เดินทางออกไปหาคนร้ายโดยไม่ได้แจ้งพวกเขาก่อนโดยคิดเอาเองว่ารถตำรวจกำลังติดตามเธอไป ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะสามารถจับกุมคนร้ายได้ภายหลังที่สถานีรถไฟหลังได้ทราบเบาะแสการหลบหนีของคนร้าย

ด้านวินอดเอจจัปวาร์เจ้าหน้าที่ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้นำในการปฏิบัติการโดยใช้ผู้เสียหายเป็นเหยื่อล่อได้ถูกสั่งพักราชการแล้วโดยรายงานการสอบสวนการปฏิบัติหน้าที่ของเขาคาดว่าจะใช้เวลาในการประเมินราว20 วัน



http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1436847074
52#
โพสต์ 2015-7-15 07:07 | ดูโพสต์ทั้งหมด

สุดสลด อดีตหญิงบำเรอกามคับแค้น "ชีวิตนรก"
ถูกทหารญี่ปุ่น 50 นาย ขืนใจทุกวัน-ทุกวันนี้อยากตาย!












สำนักข่าวต่างประเทศเดลี เมล์ รายงานว่า  นางลี อ๊ก ซอน อดีตหญิงบำเรอกองทัพญี่ปุ่นหรือ "Comfort Woman" ชาวเกาหลีใต้ วัย 87  ปีได้ออกมาฟ้องร้องรัฐบาลญี่ปุ่นและเรียกเงินชดเชยจำนวน 16 ล้านยูโร หรือราว 604 ล้านบาท  สำหรับความทุกข์ทรมานที่ได้รับจากการถูกบังคับให้เป็นหญิงบำเรอของกองทัพญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่  2





ภายหลังที่ญี่ปุ่นออกมากล่าวว่าผู้หญิงพวกนี้ไม่ได้ถูกบังคับและขายร่างกายของพวกเธอเองเพื่อเงินนอกจากนี้อดีตหญิงบำเรอคนอื่นๆอีก11คนก็ออกมาร่วมฟ้องเรียกเงินชดเชยเป็นเงิน1.3 ล้านยูโรอีกด้วย

รายงานระบุว่า นางลี อ๊ก ซอน ได้เล่าถึงอดีตของเธอว่า  เธอถูกฉุดและถูกบังคับให้เป็นหญิงบำเรอกองทัพเมื่อตอนอายุ 15 ปี  โดยถูกคุมตัวให้อยู่ในค่ายทหารที่เมืองเยี่ยนจิง ประเทศจีน ซึ่งอยู่ใกล้กับพรมแดนเกาหลีเหนือ  ซึ่งที่นั่นนางลีได้พบกับเด็กสาวๆมากมายที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศและถูกทารุณกรรม  โดยนางลีต้องรับใช้ทหารญี่ปุ่นถึง 50 นายต่อวันเป็นเวลาถึง 3 ปี เธอกล่าวว่า "มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมากและลำบากมากๆ ที่ต้องยืนหยัดมีชีวิตอยู่  ขณะที่หลายต่อหลายคนฆ่าตัวตาย  ทั้งกระโดดน้ำตายและไปที่ภูเขาเพื่อแขวนคอ"

นอกจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศแล้วนางลียังเล่าว่าเธอยังโดนทหารญี่ปุ่นตบตีโดยเธอกล่าวว่า"พวกเขาบอกกับฉันว่าฉันเป็นผู้หญิงอวดดีและเขาก็จะฆ่าฉันพวกเขาตบเตะและทุบตีฉันยิ่งเป็นทหารยศสูงเท่าไหร่พวกเขาก็ยิ่งอำมหิตมากเท่านั้น"โดยครั้งหนึ่งนางลีเคยพยายามที่จะหนีออกจากค่ายแต่เธอถูกจับได้และผู้คุมค่ายก็ใช้มีดฟันที่แขนของเธอซึ่งได้กลายเป็นแผลเป็นติดตัว

นอกจากนี้การถูกทารุณที่ค่ายนั้นมีผลกระทบต่อสุขภาพของเธอไปทั้งชีวิตโดยเธอสูญเสียประสาทการรับรู้ต่างๆและยังไม่สามารถมีลูกได้อีกด้วย เธอกล่าวว่า "ฉันสูญเสียการมองเห็น การได้ยิน  รวมถึงฟันที่หลุดออกไปตอนโดนซ้อม" ปัจจุบัน นางลีอาศัยอยู่ใน "บ้านแห่งการแบ่งปัน" หรือ "House of Sharing" ซึ่งเป็นศูนย์พิเศษสำหรับหญิงบำเรอทหารที่รอดชีวิต




รายงานระบุว่า  ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาหลังสงครามสิ้นสุดลง ญี่ปุ่นได้ออกมาตระหนักถึงความทุกข์ทรมานของผู้หญิงกลุ่มนี้  และในปี 1993 เลขานุการหัวหน้าคณะรัฐมนตรี นายโยเฮอิ โคโน  ได้แถลงการณ์ขออภัยสำหรับความทุกข์ทรมานและบาดแผลทางใจที่พวกเธอได้รับ  

แต่เมื่อปีที่แล้วรัฐบาลชินโซะ อาเบะ กล่าวว่าพวกเขาจะพิจารณาการแถลงการณ์ขออภัยใหม่  โดยชี้ว่ารัฐบาลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจับตัวหญิงสาวและบังคับให้เป็นหญิงรับใช้ในค่าย  อีกทั้งยังอ้างว่าเงินชดเชยนั้นถูกจ่ายให้เกาหลีใต้ไปแล้วในปี 1965  โดยเป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญาระหว่างญี่ปุ่นและเกาหลี  แต่เกาหลีใช้เงินส่วนใหญ่ที่ได้รับไปในโครงการขั้นพื้นฐานต่างๆ  มากกว่าให้เป็นเงินชดเชยแก่หญิงบำเรอที่รอดชีวิต




โดยนางยู ฮีนัม วัย 88 ปี   อดีตหญิงบำเรออีกคนหนึ่งที่อาศัยในบ้านแห่งการแบ่งปันได้ออกมาวิพากษ์ทัศนคติของญี่ปุ่นที่มีต่ออดีตหญิงบำเรอเธอกล่าวว่า "อาเบะไม่ได้ตระหนักเลยว่าพวกเราถูกบังคับให้มาเป็นทาสกามเขาบอกว่าพวกเราได้เงินและทำอย่างเต็มใจพวกเราโกรธมากจริงๆคำพูดของเรากลายเป็นคำโกหกเพราะพวกเขาบอกว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเลยดังนั้นเราจะทำการฟ้องร้อง"

นอกจากนี้นางยูยังได้เล่าประสบการณ์อันเศร้าสลดของเธออีกว่า"มันเป็นเรื่องเจ็บปวดใจมากจริงๆ พวกเขาทุบตีเรา มันน่าอนาถใจมาก  ผู้หญิงเกาหลีได้รับการปฏิบัติเหมือนพวกเราไม่ใช่มนุษย์  พวกเขาปฏิบัติกับเราเหมือนเราเป็นเพียงสุนัข"

เช่นเดียวกับหญิงคนอื่นๆ ยู ปกปิดอดีตอันน่าอับอายของเธอกับครอบครัว แต่หลังจากที่เธอได้พูดความจริงออกไปแล้ว เธอกล่าวว่า "ลูกๆ ของฉันบอกว่าพวกเขารู้สึกอับอาย ดังนั้น ตอนนี้ฉันอยากจะตายๆ  ไปเร็วๆ"

ทั้งนี้ เวลาสำหรับอดีตหญิงรับใช้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2  ที่จะเรียกร้องความยุติธรรมกำลังจะหมดไป เพราะตอนนี้มีเพียง 49 คนที่รอดชีวิตเท่านั้น  และอายุเฉลี่ยของพวกเธอนั้นก็เกือบๆ 90 ปี ดังนั้น เวลาของพวกเธอจึงเหลือน้อยเต็มที

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1435731110

แสดงความคิดเห็น

สงครามไม่ว่ายุคใดสมัยใดย่อมฝากความทรงจำอันเลวร้ายไว้ตลอดไป...  โพสต์ 2015-7-15 10:27
53#
โพสต์ 2015-7-18 07:05 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ศาลฮ่องกงตัดสินเอาผิดผู้ประท้วงหญิงฐาน
"ใช้นมทำร้ายเจ้าหน้าที่"





จากรายงานของ South China Morning Post  สตรีรายหนึ่งผู้เข้าร่วมการประท้วงต้านการค้าข้ามพรมแดนเมื่อวันที่ 1  มีนาคมที่ผ่านมาถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดฐานทำร้ายเจ้าพนักงานโดยใช้หน้าอกปะทะร่างกายเจ้าหน้าที่




รองหัวหน้าศาลแขวงตวนมุน นายไมเคิล ชาน ปิก-กุย ได้ตัดสินว่า  นางอึ้ง  ไล-ยิง วัย 30 ปี ใช้หน้าอกของเธอชนไปที่แขนขวาของผู้บังคับบัญชาการตำรวจ นายชาน กา-โป  ซึ่งพยายามควบคุมเหตุวุ่นวายที่เกิดขึ้นในวันดังกล่าว

นอกจากนี้แฟนหนุ่มของ นางสาวอึ้ง ไล-ยิง,  นักศึกษามหาวิทยาลัย นายปูน เซ-ฮัง วัย 22 ปี  ยังถูกตัดสินให้มีความผิดฐานขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่อีกด้วย

ทั้งนี้ ระหว่างการพิจารณาคดี จำเลยทั้งสองได้ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาโดย นางสาวอึ้ง อ้างว่า นายชาน ได้ยื่นแขนขวามาที่บริเวณไหล่ของเธอ ก่อนที่มือของเขาจะไปโดนที่หน้าอกของเธอ  ทำให้เธอร้องตะโกนว่า นายชาน "กระทำอนาจาร" เธอ

แต่หลังการพิจารณาหลักฐาน  ศาลกลับไม่รับฟังข้ออ้างของเธอ พร้อมโจมตีเธอว่าโกหกสร้างเรื่องขึ้นมาเอง  

"คุณใช้อัตลักษณ์ของสตรีเพศเพื่อสร้างเรื่องขึ้นมาว่าเจ้าหน้าที่ลวนลามคุณ  นี่ถือเป็นการกระทำที่มุ่งร้าย" ศาลกล่าว พร้อมเสริมว่า  การกระทำของนางสาวอึ้งได้ทำลายภาพลักษณ์อันดีงามของเจ้าหน้าที่

"ใครก็ตามที่ถูกทำร้ายเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ต้องได้รับการคุ้มครอง" ผู้พิพากษาชานกล่าว

จำเลยทั้งหมดจะถูกตัดสินโทษอีกครั้งในวันที่ 29 กรกฎาคมนี้ โดยขณะนี้ได้ถูกควบคุมตัวระหว่างรอการพิจารณาเพื่อหาการลงโทษที่เหมาะสมต่อไป



http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1437143880
54#
โพสต์ 2015-7-21 06:23 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ความสิ้นไร้ไม้ตอกของการต่อรอง


โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์


หัวหน้า คสช.ยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่า  ที่เราส่งชาวอุยกูร์กว่า 100 คนกลับจีนนั้น ไม่ใช่เพราะถูกจีนกดดัน แต่ทำตามกฎหมายไทย  กล่าวคือส่งผู้ลักลอบเข้าเมืองกลับประเทศต้นทาง ในขณะที่จีนประกาศว่าอย่างน้อย 13 คน  ในกลุ่มชาวอุยกูร์เหล่านี้ กระทำผิดกฎหมายความมั่นคงของจีน


คสช.รู้มาก่อนหรือไม่ว่า  การกระทำเช่นนี้จะถูกประท้วงและประณามไปทั่วโลก ผมคิดว่ารู้ แต่คงไม่คิดว่าจะรุนแรงขนาดนี้  อันที่จริงแม้ประเทศไทยไม่มีกฎหมายผู้ลี้ภัย  แต่รัฐบาลไทยหลายสมัยมาแล้วรู้ว่าการผลักดันผู้ลี้ภัยกลับประเทศทำให้ถูกประณามหรือประท้วงจากนานาชาติ  เหตุดังนั้น หากจะทำก็มักพยายามทำอย่างลับๆ (แต่ข่าวก็มักรั่วไหลไปถึงสื่อต่างชาติจนได้ แต่สื่อไทยแบ๊ะๆ  ตามเคย) หรือในกรณีที่ไม่มีพรมแดนติดกันไม่อาจผลักดันได้  ก็มักกักตัวไว้ให้เดินทางไปประเทศที่สาม

ดังนั้น จึงไม่น่าสงสัยแต่อย่างใดว่า คสช.ถูกจีนกดดัน  ซึ่งหัวหน้า คสช.จะกล่าวว่าถูกจีนกดดันแก่ผู้สื่อข่าวไทยก็ไม่ได้ จึงเฉไฉไปน้ำขุ่นๆ  อย่างนั้น

ความจำเป็นจะต้องส่งชาวอุยกูร์กลับจีนจึงไม่จำเป็น  หากเป็นการส่งตัวตามกฎหมายผู้ร้ายข้ามแดน  เป็นภาระของฝ่ายจีนต้องพิสูจน์ให้ศาลไทยเชื่อว่าบุคคลผู้นั้นกระทำความผิด  (ตามที่กฎหมายไทยบัญญัติไว้ว่าเป็นความผิด) จริง  บุคคลคนหนึ่งอาจต้องใช้เวลาดำเนินคดีกันหลายปี

การที่ไทยซึ่งเป็นประเทศเล็กถูกมหาอำนาจกดดันให้ทำหรือไม่ทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นเป็นเรื่องที่ใครๆก็คาดได้หากมหาอำนาจไม่เคยกดดันไทยเลยสิ เป็นเรื่องประหลาดและไม่น่าเชื่อ ปัญหาจึงอยู่ที่ว่ารัฐบาลที่ผ่านๆ  มาต้องทำให้พอดูได้ว่าการกระทำตามแรงกดดันเป็นความสมัครใจของไทยเอง  เพื่อมิให้นานาชาติเห็นว่าไทยไม่เหลืออำนาจอธิปไตยในฐานะรัฐเอกราชอีกแล้ว และที่สำคัญกว่านั้น  คือทำให้คนไทยเองไม่รู้สึกขัดเคืองกับแรงกดดันนั้น

รัฐบาลของ  คสช.ทำไม่เป็น



คสช.มีฝีมือจะทำหรือไม่ ยกไว้ก่อน แต่  คสช.ตกอยู่ในเงื่อนไขที่ทำให้แม้มีฝีมือก็ทำได้ยาก หรือทำไม่ได้เลย เพราะ  คสช.ไม่ประสบความสำเร็จที่จะดึงประชาชนส่วนใหญ่เข้ามาสนับสนุน พลังการต่อรองของประเทศเล็กๆ  กับมหาอำนาจนั้นอยู่ที่ประชาชน ถ้าไม่สามารถขับเคลื่อนประชาชนให้เข้ามาหนุนนโยบาย  ก็ยากที่จะบ่ายเบี่ยงต่อรองกับมหาอำนาจได้

แม้แต่ประเด็นปัญหาว่าจะทำอย่างไรกับอุยกูร์จำนวนหลายร้อยซึ่งถูกกักตัวอยู่ที่สงขลาก็ไม่เคยเปิดให้ประชาชนเข้ามาพิจารณาร่วมกันแม้แต่การที่ประเทศตุรกีเปิดรับอุยกูร์เหล่านี้ให้อพยพไปได้ก็ไม่เคยเปิดเผยมาก่อนเพิ่งมารู้กันเมื่อได้ส่งตัว

อุยกูร์กลับไปให้จีนแล้ว ทั้งหมดเหล่านี้หากเปิดให้เป็นประเด็นสาธารณะมาแต่ต้น ก็จะเป็นข่าวในนานาประเทศ  ไทยก็จะถูกกดดันจากประเทศอื่นไปพร้อมกันว่าไม่ควรส่งคนเหล่านี้กลับจีน จีนไม่อาจกดดันได้ตามใจ อย่างน้อย  คสช.ก็อ้างได้ว่าเป็นปัญหาละเอียดอ่อน ไม่สามารถฝืนมติของสังคมไทยและสังคมโลก พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ  อย่าปล่อยให้แรงกดดันมาจากทิศทางเดียว แต่เปิดให้มาจากหลายทิศทาง  แรงกดดันจากแต่ละทิศทางก็จะเบาไปเอง

ส่วนที่จีนจะขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน  ก็มาพิสูจน์กันในศาล

ในโลกที่มีมหาอำนาจหลายขั้ว บางเรื่องประเทศเล็กๆ  อย่างไทยก็เล่นยาก แต่บางเรื่องก็เล่นง่ายขึ้น เช่น การถ่วงดุลอำนาจของมหาอำนาจ  อย่าปล่อยให้ใครโดดเด่นมาข่มเราได้ฝ่ายเดียว

อาเซียนเองก็ใช้นโยบายอย่างนี้ คือเปิดให้ทั้งสหรัฐ,  อียู และออสเตรเลีย เข้ามาถ่วงดุลกับการบีบลงมาของจีน แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่เป็นปรปักษ์กับจีน  เพราะอาจใช้อำนาจจีนมาถ่วงดุลมหาอำนาจฝ่ายอื่นได้ พม่าเคยถูกบีบให้ต้องเอียงไปหาจีนมากเกินไป  แต่เมื่อโอกาสเปิด พม่าก็รีบนำผลประโยชน์ของมหาอำนาจฝ่ายอื่นไปถ่วงดุลกับจีนบ้าง  การหันมาปรองดองกันของสมเด็จฯ ฮุน เซน กับนายสม รังสี  ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดความสงบในการเมืองกัมพูชาเท่านั้น  แต่ก็เท่ากับเปิดประตูให้แก่มหาอำนาจฝ่ายอื่นเข้ามาถ่วงดุลจีนในกัมพูชาเช่นกัน




55#
โพสต์ 2015-7-21 06:23 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ผู้นำไทยในอดีตนั้นไม่สุ่มเสี่ยงเล่นไพ่หน้าเดียวจนถึงเผด็จการสฤษดิ์ธนะรัชต์ท่านปรีดีพนมยงค์ ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากฝ่ายสัมพันธมิตร แต่เมื่อสิ้นสงคราม  ท่านก็เปิดพื้นที่ประเทศให้แก่การกู้เอกราชของเพื่อนบ้าน  เท่าที่จะไม่ให้ดูเป็นอริกับเจ้าอาณานิคมเก่าจนเกินไป เพราะท่านคาดสถานการณ์ได้ถูกแล้วว่า  อย่างไรเสียไทยก็ต้องอยู่กับเพื่อนบ้านหน้าใหม่ (หรือหน้าเก่าก่อนที่จักรวรรดินิยมยึดไป)  ปัญหาคือจะอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านหน้าใหม่เหล่านี้อย่างไรให้เป็นสุขและเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่ายด้วย

จอมพลป.พิบูลสงครามคือผู้ลงนามในสนธิสัญญาร่วมมือทางทหารและเศรษฐกิจกับสหรัฐใน 2492 ซึ่งหมายความว่าหน้าฉาก ไทยกลายเป็นฝ่ายเดียวกับสหรัฐในสงครามเย็น แต่ท่านก็วางสายของท่าน  (คุณสังข์ พัธโนทัย) ไว้ในประเทศจีนคอมมิวนิสต์ คุณสังข์เข้านอกออกในกับผู้นำจีนถึงระดับสูงได้  หมายความว่าช่องทางการเจรจาของไทยกับผู้นำจีนในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เปิดกว้างอยู่ตลอดเวลา  ไม่ว่าสงครามเย็นจะลงเอยอย่างไร ประเทศเล็กๆ อย่างไทยก็ยังพอมีช่องให้ขยับขยายปรับเปลี่ยนไปได้  ตามแต่ผลประโยชน์ของไทยในช่วงนั้นจะกำหนดให้เดินไปอย่างไร

อย่าลืมว่าสงครามเย็นนั้นเราไม่ได้เป็นผู้เปิดฉากและเราจึงไม่ใช่ผู้ปิดฉากเมื่อมันสิ้นสุดลงแล้วเราไม่ควรตกอยู่ในตาอับที่ขยับไปไหนไม่ได้ ต้องทิ้งชะตากรรมบ้านเมืองไว้กับสหรัฐจนหมดตัว



จนถึงยุคสฤษดิ์ ธนะรัชต์  นายทหารสาย จปร.ล้วนๆ (ตอนนั้นยังใช้ชื่อโรงเรียนนายร้อยทหารบก)  ไม่เคยเห็นโลกกว้างที่ไหนมาเลยจนเมื่อมีอำนาจในกองทัพแล้ว  ซ้ำยังเป็นโลกที่สหรัฐเป็นผู้เปิดให้ชมฝ่ายเดียวเสียด้วย  บทบาทของไทยในสงครามเย็นจึงกลายเป็นสมุนของสหรัฐเต็มตัว  สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือคำรับรองเป็นลายลักษณ์อักษรจากสหรัฐว่าจะช่วยปกป้องไทย หากถูกรุกราน  (ข้อตกลงถนัด-รัสค์) เมื่อเขาได้มา  ก็ไปหลงคิดว่ากระดาษแผ่นนั้นคือความมั่นคง

เช่นเดียวกับทหารบ้านนอกทั่วไป ("บ้านนอก"  ของโลกนะครับ ไม่ใช่ของไทย) สฤษดิ์มองเห็นความมั่นคงของไทยอยู่ที่กำลังทหารเพียงอย่างเดียว  ถ้ากำลังทหารไทยไม่พอ ก็ต้องมีกำลังทหารของนักเลงใหญ่ค้ำประกันไว้  แล้ววันหนึ่งนักเลงใหญ่ก็แพ้สงครามเวียดนาม  เผ่นกลับบ้านกันแทบไม่ทัน

แล้วเราก็กลัวนักเลงข้างบ้านที่เอาชนะอเมริกันได้จนตัวสั่น  นายกรัฐมนตรีคุณคึกฤทธิ์ ปราโมช ต้องรีบไปโขกศีรษะที่ปักกิ่ง เพื่อใช้กำลังของจีนมาถ่วงเวียดนาม  จีนพาเราเข้าไปแทรกแซงการเมืองภายในของกัมพูชา แต่คุณคึกฤทธิ์ซึ่งถูกบังคับให้ขับฐานทัพสหรัฐออกไป  ก็ฉลาดพอที่จะแอบร่วมมือกับสหรัฐไว้ เช่น กรณีเรือมายาเกซ เพราะไม่ต้องการให้ไทยซบอยู่กับมหาอำนาจเดียว  และถึงจะแพ้สงคราม สหรัฐก็ยังเป็นมหาอำนาจมหึมาอยู่นั่นเอง

จนถึงทุกวันนี้  เมื่อโลกมีมหาอำนาจหลายขั้วแล้ว นายทหารสาย จปร.ก็ยังคิดเหมือนสฤษดิ์  คือความมั่นคงของประเทศขึ้นอยู่กับกำลังทหารเพียงอย่างเดียว  นี่คือที่มาของการสะสมยุทธภัณฑ์เหมือนเด็กเห่อของเล่น แต่หาก จปร.ได้สอนเรื่องการรบมาบ้าง  นายทหารเหล่านี้ก็คงรู้ดีว่า เรารบกับใครไม่ได้หรอก เพราะกำลังทางทหาร, ทางเศรษฐกิจ และยิ่งหลังจาก  คสช.ยึดอำนาจ แม้แต่กำลังทางสังคมของเราก็ไม่เพียงพอจะรบกับใครได้

ดังนั้น นโยบาย  "แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ" จึงไม่ได้มีไว้เผชิญหน้ากับต่างชาติ  แต่มีไว้สำหรับการสถาปนาอำนาจครอบงำของกองทัพภายในประเทศต่างหาก

อย่างไรเสียก็ปฏิเสธการถ่วงดุลระหว่างมหาอำนาจหลายขั้วไม่ได้แต่ดังที่กล่าวข้างต้นแล้วว่าเกมนี้จะเล่นได้ดีก็ต่อเมื่อต้องได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเพราะการถ่วงดุลจะได้ผลดีก็ต่อเมื่อสามารถต่อรองกับทุกมหาอำนาจได้ระดับหนึ่งด้วย

ในประเทศไทยทุกวันนี้รัฐไม่สามารถผูกขาดการโฆษณาชวนเชื่อไว้ฝ่ายเดียวได้แล้วจึงทำให้ไทยหลีกหนีการเมืองระบบเปิดไม่ได้ตราบเท่าที่ คสช.ยังยึดอำนาจไว้เด็ดขาดเยี่ยงเผด็จการอย่างไม่ยอมคลายเช่นนี้  การรักษาความมั่นคงของประเทศก็จะเหลือแต่เพียงการซื้อเรือดำน้ำและฝูงบิน  กับการโอนอ่อนตามแรงกดดันของมหาอำนาจฝ่ายที่ตนซบอยู่

ในแง่นี้  การส่งอุยกูร์ให้เผด็จการพรรคคอมมิวนิสต์จีน จึงสะท้อนความอ่อนแอของ  คสช.ซึ่งไม่อาจบริหารบ้านเมืองในการเมืองระบบเปิด ถึง คสช.ต่อรองเป็น ก็ไม่มีอำนาจอะไรเหลือให้  คสช.ใช้ในการต่อรอง

เมื่อ คสช.เลือกการเอียงเข้าข้างจีนมาแต่ต้น  ระวังการอิงกับมหาอำนาจเดียวให้ดี เพราะเขารู้แล้วว่า คสช.ไม่มีอำนาจต่อรองอะไรในมือเลย  แรงกดดันต่อไปของเขาคืออะไร?


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1437377632
56#
โพสต์ 2015-7-26 07:01 | ดูโพสต์ทั้งหมด
นักบีบคอมนุษยชน
ชกไม่มีมุม
วงค์ ตาวัน



นาย สุณัย ผาสุข นักสิทธิมนุษยชนที่รู้จักกันดี ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาฮิวแมนไรต์ วอตช์ ได้เตรียมส่งจดหมายทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ไปยังองค์กรสิทธิมนุษยชนสากลและองค์กรระหว่างประเทศทั่วโลก ให้รับทราบถึงข้อกังวลต่อการสรรหาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในไทยชุด ล่าสุด



โดยการสรรหา ทำให้ผู้ที่ได้รับคัดเลือกมา 7 คนนั้น



ยกเว้นนางอังคณา นีละไพจิตร เพียงคนเดียว



นอกนั้นล้วนเป็นบุคคลที่ไม่เคยมีผลงานส่งเสริม คุ้มครองปกป้องสิทธิมนุษยชน



กลับกันในบางคน ได้ให้การสนับสนุนให้ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางและร้ายแรง



นอกจากนี้ยังขอเรียกร้องให้สนช. ไม่ให้ความเห็นชอบรายชื่อกรรมการสิทธิมนุษยชนที่คณะกรรมการสรรหาเสนอ



โดยขอให้มีการสรรหาใหม่ด้วยกระบวนการที่ดีกว่านี้!



นั่นเป็นท่าทีของนายสุณัย ซึ่งเท่ากับว่า กระแสการคัดค้าน ว่าที่กรรมการสิทธิมนุษยชนชุดใหม่ กำลังจะไปไกลถึงระดับโลกแล้ว



ทั้งขั้นตอนของรายชื่อกรรมการชุดนี้ จะต้องนำเข้าพิจารณาในสนช. เพื่อให้ความเห็นชอบ



ซึ่งนายสุณัยหวังว่า สนช.จะตีตกไป



แน่นอนว่า กรณีอังคณา นีละไพจิตร นั้น ไม่ว่าใครก็ต้องยอมรับ เพราะการทำหน้าที่พิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชนมีมาตลอด



ทั้งยังได้แปรการสูญเสียนายสมชาย นีละไพจิตร ผู้เป็นสามี ให้เป็นการต่อสู้เพื่อหลักการ เพื่อคุ้มครอง ชีวิตอื่นๆ



ไม่ใช่สู้ด้วยความอาฆาตแค้นส่วนตัว!



สู้เพื่อให้มีกฎหมายใหม่ มาคุ้มครองปกป้องไม่ให้เกิดการอุ้มคนหายสาบสูญต่อไปอีก



นี่จึงต้องนับเป็นผู้มีหัวใจเป็นนักสิทธิมนุษยชน ขนานแท้



ยกเว้นคนอื่นๆ โดยเฉพาะบางคน ซึ่งนายสุณัยถึงกับระบุว่า ได้ให้การสนับสนุนให้ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางและร้ายแรง



ทำให้นึกได้อย่างทันทีทันควัน กรณีที่ผู้ได้รับการสรรหาบางรายเป็นแกนนำม็อบ!



ชูเป้าหมายการต่อสู้ว่า ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง แต่ความหมายจริงๆ คือ จะไม่ให้มีการเลือกตั้ง



พร้อมกับไปขัดขวางสถานที่รับสมัครส.ส. ไป ขัดขวางการนำหีบบัตรและบัตรเลือกตั้งออกแจกจ่าย



ไปขัดขวางหน้าคูหาเลือกตั้ง



คุกคามบีบคั้นประชาชนคนอื่นไม่ให้ไปใช้สิทธิ ถึงขั้นบีบคอ



หรือว่าเรากำลังจะได้กรรมการสิทธิ์
ผู้สนับสนุนนักบีบคอมนุษยชนแทน!

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1437754812

57#
โพสต์ 2015-7-26 07:16 | ดูโพสต์ทั้งหมด
[url=][/url]


รวบสาวกปปส.ปล้นปืนด.ต.กองปราบฯ ตามรวบสาวนครศรีธรรมราช ร่วมปล้นปืนพก ด.ต. สน.นางเลิ้ง นำตัวไปกักขังหลังเวทีปราศรัย กปปส.ปลายปี 56                                                                  

                               25 ก.ค. 58  ที่กองบังคับการปราบปราม  พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รรท.ผบก.ป. สั่งการให้ พ.ต.อ.ไพโรจน์ โรจนขจร ผกก.2 บก.ป. พ.ต.ท.ต่อศักดิ์ ปานกลิ่นพุฒ สว.กก.2 บก.ป. เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ป. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.นางเลิ้ง ร่วมกันจับกุม นางวาที หรือ ปู เพ็งหนู หรือ ขวัญสุด อายุ 48 ปี อยู่บ้านเลขที่ 42/2 หมู่ 3 ต.แหลม อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ จ.346/2557 ลงวันที่ 19 มิถุนายน 2557 โดยจับกุมได้ภายในร้านตัดผมไม่มีเลขที่ หมู่ 1 ต.ปากแพรก อ.ดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี

                               ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2556 ขณะที่ ด.ต. ผบ.หมู่งานสืบสวน สน.นางเลิ้ง ขี่รถจักรยานยนต์เข้าไปภายในปั๊มน้ำมัน ถ.หลานหลวง แขวงวัดโสมนัส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กทม.เพื่อเติมลมรถจักรยานยนต์ในปั๊มน้ำมัน ได้มีผู้ชุมนุมกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. จำนวน 5 คน เข้ามารุมทำร้ายร่างกาย จากเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ ด.ต.ได้รับบาดเจ็บที่บริเวณใบหน้า และปืนพกรวมทั้งทรัพย์สินสูญหายไป ก่อนจะถูกนำตัวไปกักขังที่หลังเวทีชุมนุม ถ.ราชดำเนิน

                               ภายหลังเจ้าหน้าที่สืบทราบว่า เหตุการณ์ดังกล่าวมีนางวาทีเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อเหตุ และหลบหนีไปกบดานอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงกระจายกำลังลงพื้นที่ออกหาเบาะแสจนทราบว่าผู้ต้องหาหลบหนีไปซ่อนตัวและพักอาศัยอยู่กับแฟนใหม่ ซึ่งมีอาชีพเป็นช่างตัดผมในพื้นที่ หมู่ 1 ต.ปากแพรก อ.ดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี จึงนำหมายศาลพร้อมกำลังเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นและจับกุมได้ดังกล่าว   

                               จากการสอบสวนเบื้องต้นนางวาทีให้การรับสารภาพว่า เป็นบุคคลตามหมายจับจริง เจ้าหน้าที่จึงแจ้งข้อกล่าวหาปล้นทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะกระทำความผิด หรือพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุมและร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง รับไปดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป



         http://www.komchadluek.net/detail/20150725/210436.html
--------------------

        (หมายเหตุ : ภาพประกอบข่าว)

58#
โพสต์ 2015-7-26 07:24 | ดูโพสต์ทั้งหมด
[url=][/url]



มติแพทยสภาภาคทัณฑ์'หมอพรทิพย์'                                        'หมอพรทิพย์' จ่อร้องศาลปกครอง ทบทวนมติแพทยสภา สั่งภาคทัณฑ์ ชี้คดี 'เสี่ยชูวงษ์' ตรวจสอบไม่ยาก แต่ต้องรอดูรายงานแพทย์ ประกอบกับผลตรวจที่เกิดเหตุ รถยนต์ และสภาพศพ                                                                  

                               21 ก.ค. 58  พญ.คุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กล่าวถึงกรณีความเห็นแพทยสภาที่มีมติลงโทษภาคทัณฑ์ จากการเปิดเผยรายงานตรวจพิสูจน์ศพ นายห้างทอง ธรรมวัฒนะ ว่า ตนได้ยื่นขอรายละเอียดมติอย่างเป็นทางการจากแพทยสภา โดยแพทยสภาอ้างราชวิทยาลัยทั้งหมด ซึ่งไม่เคยให้ตนได้เข้าไปอธิบาย หรือชี้แจง อย่างไรก็ตาม เมื่อแพทยสภาลงมติแล้ว จะไม่สามารถอุทธรณ์ได้ ขั้นตอนที่ทำได้ คือ ร้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้แพทยสภาทบทวน โดยอยู่ระหว่างรวบรวมเอกสารมติแพทยสภาเพื่อยื่นร้องต่อศาลปกครอง

                               "ประเด็นที่นำมาอ้าง พูดเรื่องการให้สัมภาษณ์ของหมอ ไม่ใช่เรื่องการประกอบวิชาชีพ ในความเห็นของหมอ มองว่า การให้สัมภาษณ์ไม่ใช่เรื่องวิชาชีพ หมอจะยื่นต่อศาลปกครอง แต่ต้องรอดูข้อมูลจากแพทยสภาก่อน การให้สัมภาษณ์เป็นเรื่องการให้ความเห็นหมอนิติวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เรื่องการรักษาผู้ป่วย แต่เป็นเรื่องการรักษาความยุติธรรม"

                               ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า มติลงโทษดังกล่าว ไม่มีผลกับการทำงานของตนเอง เพราะไม่ได้เป็นหมอรักษาคน แต่เป็นผู้บริหาร และไม่มีผลกับการเกษียณอายุราชการในอีก 2 เดือนข้างหน้านี้

                               พญ.คุณหญิง พรทิพย์ ยังได้ให้ความเห็นกรณีคดีนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง ว่า คดีนี้ในทางนิติวิทยาศาสตร์ ตรวจสอบได้ไม่ยาก ว่าเสียชีวิตก่อนอุบัติเหตุ หรืออุบัติเหตุเกิดก่อนแล้วเสียชีวิต ต้องรอดูรายงานแพทย์ ประกอบกับผลตรวจที่เกิดเหตุ รถยนต์ และสภาพศพ

http://www.komchadluek.net/detail/20150721/210191.html

59#
โพสต์ 2015-7-30 06:26 | ดูโพสต์ทั้งหมด
วันที่ 30 กรกฎาคม  พ.ศ. 2558 เวลา 00:03 น.
จำนวนคนอ่านล่าสุด 507 คน
ข่าวข้นคนเข้ม

สันตะวา


สังคมจะตรวจสอบจนท. กับทุกความเคลื่อนไหวของ"เทพเทือก"

หนังสือพิมพ์ ข่าวสด สิทธิ เสรีภาพ ประชาธิปไตย เป็นของปวงชนชาวไทยทุกคน ฉบับนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พุทธศักราช 2558 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8/8... วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา วันอาสาฬหบูชา ครบองค์สามแห่ง พระรัตนตรัย ประกอบด้วย พระพุทธ, พระธรรม, พระสงฆ์ ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทำบุญ สร้างกุศล ละบาป เลิกอบายมุข เพื่อเข้าถึง แก่นศาสนา สุข สงบ ว่างเปล่า แท้จริง... เรียบร้อยโรงเรียนมะกัน เมื่อทางการสหรัฐจัดให้ ไทย อยู่ใน เทียร์ 3 หรือระดับต่ำสุดของมาตรฐานการจัดการปัญหาค้ามนุษย์ อันเป็นระดับเดิม ถ้าเปรียบกับเรียนหนังสือก็คือ สอบตกซ้ำ จากนี้อีกไม่เกิน 90 วันลุ้นกันต่อ ประธานาธิบดีโอบามา จะมีมาตรการอะไร แค่ไหน อย่างไรกับประเทศไทย... เมื่อต้องอยู่ร่วมโลก ภายใต้กฎกติกาสากล เราต้องยอมรับความจริง ไทยเป็นประเทศเล็ก บารมีไม่เด่น เสียงไม่ดัง แถมภาพลักษณ์ยังติดลบ ดังนั้นการต่อสู้ เคลื่อนไหว เพื่อผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ ควรใช้ ปัญญา บวก อดทน อย่าลืมว่ามาตรการที่ไทยเราอาจถูกเล่นงาน คือ คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ ถ้าโดนดาบนี้ซ้ำอีกก็ กู๊ดบายไทยแลนด์...


กลับมาเป็น เทพเทือก อีกครา หลังจากห่มเหลืองถือศีล 227 ข้อนานนับปี ทันทีที่พ้นประตูวัด สุเทพ เทือกสุบรรณ นำชาวคณะบุกยื่นผบช.ภาค 8 คัดค้านย้ายสำนักงานบช.ภาค 8 จากจ.สุราษฎร์ธานี ไปที่ตั้งใหม่จ.ภูเก็ต รักตำรวจ ห่วงชาวสีกากีขนาดนี้ ช่วยติดตามความคืบหน้า 396 โรงพักร้าง ด้วยสิ... เทพเทือก คืนสู่ยุทธจักร ไม่มีอะไรน่าห่วง ระดับหัวหน้าม็อบนกหวีด ยุงคงไม่กล้าไต่ ไรคงไม่กล้าตอม ฝ่ายที่น่าหนักใจก็ ฝ่ายความมั่นคง เพราะสร้างบรรทัดฐานไว้สูง วางมาตรฐานไว้เข้ม นับจากนี้ทั้งสังคมจะติดตามจับตา ตรวจสอบ บรรทัดฐาน-มาตรฐานเจ้าหน้าที่ กับทุกความเคลื่อนไหวของ สุเทพ เทือกสุบรรณ...


ที่ประชุมคณะกรรมการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจ ประกันภัย (คปภ.) มีมติเลือก สุทธิพล ทวีชัยการ นั่งเก้าอี้เลขาธิการคปภ.คนใหม่ แทน ประเวช องอาจสิทธิกุล ที่หมดวาระเดือนต.ค. ... พลิกแฟ้มชีวิต ดร.สุทธิพล จัดเป็นบุคคลคุณภาพดีหนึ่งประเภทหนึ่ง ดีกรีนิติศาสตรบัณฑิต(เกียรตินิยม) ม.ธรรมศาสตร์ นักเรียนทุนหลวงศิษย์เก่าฮาร์วาร์ด ด๊อกเตอร์จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ผ่านงานผู้พิพากษา-เลขาธิการกกต.-กสทช.-กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ด้วยวัยเพียง 55 ปี เลขาธิการคปภ.คงไม่ใช่ตำแหน่งสุดท้าย... ข่าวข้น คนเข้ม วันนี้, 08.30 น. ศ.นพ.สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ จัดประชุม "ทรัพยากรชีวภาพสู่ผลิตภัณฑ์ระดับโลก ครั้งที่ 2" ห้องแมจิก 3 มิราเคิลฯ... 12.30 น. พนิดา วานิชรัตน์ ผอ.กลุ่มยุทธศาสตร์ฯ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ เปิดงาน "สีสันเชียงใหม่แบรนด์ @เจ.เจ.มอลล์" ลานโปรโมชั่น ชั้น 1 เจ.เจ.มอลล์ จตุจักร ... แจ้งข่าวล่วงหน้า ไปรษณีย์ไทย จัดแสดงตราไปรษณียากรแห่งชาติ 2558 "เปิดมิติใหม่ ซูเปอร์แสตมป์..แสตมป์ที่เป็นมากกว่าแสตมป์" 3-9 ส.ค. ไปรษณีย์กลาง บางรัก...ศูนย์ศิลปาชีพ บางไทรฯ และ ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) จัดนิทรรศการแสดงผลงานการประกวดโครงการหัตถศิลป์ทรงคุณค่า วิจิตรเลิศล้ำเครื่องเบญจรงค์ไทย วันที่ 3 ส.ค. ไลฟ์สไตล์ฮอลล์ สยามพารากอน...

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1438185470

60#
โพสต์ 2015-8-1 07:17 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ต้านสหรัฐ?

ชกไม่มีมุม

วงค์ ตาวัน



ท่าทีของนายกฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อกรณีที่สหรัฐยังคงให้ไทยตกซ้ำชั้นเทียร์ 3 ในปัญหาการค้ามนุษย์ต่อไป ซึ่งออกมาในแนวสุขุมอดทนอดกลั้นนั้น


น่าสนใจพิจารณาอย่างมาก


โดยเฉพาะต่อกรณีที่มีการก่อกระแสต่อต้านสินค้าอเมริกาในหมู่คนไทยบางกลุ่ม เพื่อหวังจะตอบโต้ตามประสาคนเลือดรักชาติขึ้นหน้า


ขณะที่นายกฯ บิ๊กตู่กลับขอร้องว่า อย่าไปโทษสหรัฐเลย ถึงอย่างไรในวันข้างหน้าต้องคบเป็นเพื่อนกันต่อ


อีกทั้งยิ่งไปแสดงท่าที อาจจะยิ่งโดนสหรัฐลงโทษหนักกว่าเดิมอีก


จึงมีแต่ต้องก้มหน้าแก้ปัญหา เพื่อให้ยอมเลื่อนชั้นพ้นเทียร์ 3 ในรอบพิจารณาคราวหน้า


นับเป็นความเยือกเย็นที่ผิดบุคลิกเป็นอันมาก!


  แต่ฟังคำกล่าวของบิ๊กตู่ อธิบายชัดว่า ยิ่งไปขัดแย้งจะยิ่งถูกมาตรการลงโทษหนัก


นั่นก็เป็นคำตอบที่ชัด เหมือนจะบอกว่า เราไม่มีทางเลือก


มองอีกมุม การที่วิจารณ์กันมากว่า การตัดสินของสหรัฐนั้นมีการเมืองกำหนด


แปลได้ว่า ไทยเรายังคงโดนชาติประชาธิปไตยบีบหนัก ให้กลับสู่ระบบเลือกตั้ง


ประเด็นนี้มีความเป็นไปได้สูง และนั่นยิ่งทำให้คสช.หนักใจ


เพราะถ้ายังไม่สามารถทำให้วันเลือกตั้งชัดเจนได้ อาจจะโดนบีบหนักกว่านี้!


  วันนี้คสช.อาจจะยังชั่งใจอยู่ว่า ควรยืดเวลาบริหารบ้านเมืองตามแรงเชียร์และดันของกลุ่มชนชั้นสูง และม็อบนกหวีดต่อไปไหม


ที่อ้างเรื่องปฏิรูปก่อนเลือกตั้งนั่นแหละ


แล้วถ้าหากยอมปฏิรูปไปอีกหลายๆ ปี เพราะการปฏิรูปนั้นเป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ เลื่อนลอย


ถ้าทำอย่างนี้ก็คงโดนบีบหน้าเขียว เศรษฐกิจอาจเข้าสู่ยุคยาจกกันเลยก็ได้!


  อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจวันนี้ ก็ทำให้คสช.เริ่มอยากเลือกตั้งให้เร็วเสียแล้ว


นั่นเป็นเรื่องที่ผู้นำทหารต้องคิดหนัก และเริ่มยอมเลิกทะเลาะกับฝ่ายโลกประชาธิปไตย


ในแง่คนไทยเองเล่า ควรโชว์รักชาติไม่ยอมให้สหรัฐรังแก โดยมีการเมืองแฝงหรือไม่!?


  ก็ต้องถามว่าการเมืองสหรัฐนั้น คือการบีบให้คืนอำนาจสู่ประชาชนส่วนใหญ่


แล้วเราเป็นประชาชนฝ่ายที่ไม่อยากได้อำนาจการเมืองมาสู่มือเราหรือเปล่าล่ะ!!

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=1438362371
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้