ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

>> ตะกรุดอาถรรพ์เทพคุ้มดวง คู่บารมี <<

[คัดลอกลิงก์]
31#
โพสต์ 2015-6-8 10:29 | ดูโพสต์ทั้งหมด
เทพแห่งตำนานเล่าว่า บนสรวงสวรรค์นั้นมีสงครามแย่งชิงอำนาจ ระหว่างอสูรกับเทวดา ซึ่งเหล่าเทพมักเสียท่า(แพ้)ให้พวกอสูรอยู่เสมอๆ จึงพากันไปร้องเรียนกับพระนารายณ์ พระองค์แนะนำให้ทำพิธี “กวนเกษียรสมุทร” เพื่อให้ได้น้ำอมฤตดื่ม แล้วจะทำให้มีฤทธิ์เดชเป็นอมตะ....


   อสูรกับเทพ จึงตกลงสมานฉันท์ หยุดสงครามไว้ชั่วคราว ร่วมแรงร่วมใจกันทำพิธีกวนเกษียรสมุทร โดยมีพระวิษณุเสด็จเป็นองค์ประธาน ใช้มันทรคีรีมาเป็นแกน ในการกวนน้ำในมหาสมุทรกลศะ แล้วใช้พญานาควาสุกรี มาแทนเชือกพันรอบภูเขามันทระ
โดยออกอุบายให้เกียรติพวกอสูร ที่มีพละกำลังกว่าดึงฝั่งเศียรพญานาค โดยมีทศกัณฑ์เป็นแม่ทัพ ส่วนเหล่าเทวดาผู้มีฤทธิ์น้อย(แต่ฉลาดแกมโกง) ซึ่งมีสุครีพเป็นแม่ทัพ เลือกดึงฝั่งหางพญานาค...

   ในระหว่างพิธีกวนเกษียรสมุทรนั้น เกิดการสั่นสะเทือนไปทั้งสามโลก มันทรคีรีก็เริ่มเอียงค่อยๆจมลงไปในมหาสมุทร เพราะมีอสูรมัจฉามาแทะแผ่นดิน เพื่อเปิดทางให้น้ำอมฤตไหลเข้าสู่โลกมนุษย์
พระนารายณ์ ต้นคิดพิธีกรรม จึงอวตารมาเป็นเต่ายักษ์ “กูมาวตาร” ช่วยปราบพวกอสูรมัจฉา แล้วไปหนุนเขามันทระ ให้ตั้งตรงดังเดิมจนไม่ทะลุมายังโลกมนุษย์...

   ฝ่ายเทพและอสูร ก็ดึงหางฉุดหัวพญานาคกันอย่างแข็งขัน เพื่อเร่งให้ภูเขามันทระหมุน กวนสมุนไพรให้เข้ากับน้ำนมในทะเล เมื่อพญาวาสุกรีนาคราช ลำตัวร้อนเพราะถูกแรงเสียดสีกับภูเขา บาดเจ็บจนทนไม่ไหว อ้าปากพ่นพิษเป็นไฟกรด “หาลาหล” ออกมา โดนพวกอสูรที่ดึงทางหัวอ่อนแรงไปตามๆกัน พวกอสูรก็สำรอกพิษออกมา จนฟองหาลาหลกระจายไปทั่วมหาสมุทร...
   พระพรหมเห็นท่าไม่ดี จึงไปขอให้พระศิวะ ลงมาช่วยกลืนพิษหาลาหลไว้ในตัว เพราะถ้าพิษนั้นไหลมายังโลกมนุษย์แล้ว สรรพสัตว์ก็จะตายกันหมด ส่วนเหล่าเทวดาก็ไม่โดนไฟพิษพญานาค เพราะเลือกดึงทางฝั่งหาง มิหนำซ้ำยังมีพระลักษมีปติ มาช่วยบันดาลฝนให้โปรยปรายชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา...
   มหาพิธีกวนเกษียรสมุทรในครั้งนั้น ใช้เวลาเป็นพันๆปี จนสัตว์ในมหาสมุทรฉีกขาดเป็นชิ้นเป็นท่อน เมื่อกวนไปกวนมา น้ำในมหาสมุทรกลศะ ก็เข้มข้นเป็นน้ำนม เรียกว่า “เกษียรสมุทร” หรือ “ทะเลน้ำนม” เกิดสิ่งต่างๆอีกมากมาย...อาทิเช่น นางอัปสรา...ราหูอมจันทร์....ฯลฯ
พอแล้วล่ะ ! ตอนต่อไปเก็บไว้เล่าต่อ เมื่อช่างแกะสลักภาพกวนเกษียรสมุทร ที่ฐานพระศิลาเสร็จสมบูรณ์ !
ภาพสลักหินตำนาน กวนเกษียรสมุทร จากผนังระเบียงคด ในปราสาทนครวัด (ภาพเชิงเปรียบเทียบ)
พระวิษณุ ใช้ภูเขามันทระ เป็นแกน พระนารายณ์ อวตารมาเป็นเต่ายักษ์ (ภาพจาก BG เฟิงสุ่ย)
สุครีพ นำเหล่าเทวดา ดึงหางพญานาควาสุกรี (ภาพจาก BG sea-sand-n-star)
ทศกัณฑ์ นำเหล่าอสูร ดึงหัวพญานาควาสุกรี (ภาพจากเน็ท siamensis.org)
  


โอ้โห ! มันร่วมสมัยมากเลยพี่ “สงครามแย่งชิงอำนาจ” ในตำนานกวนเกษียรสมุทร พุทธศตวรรษที่ 17 เหมือนกับว่า กำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้เลยละ...
แต่ผมว่าตำนานเขมร ในศาสนาฮินดู-ไวษณพนิกาย ดูจะเขียนเข้าข้างเหล่าเทวดา(ออกแนวแกมโกง) มากไปหน่อยนะครับ...

พระเอก ก็ย่อมชนะผู้ร้าย คนดี ย่อมชนะคนเลว เป็นเรื่องธรรมดาของตำนาน...
สัจธรรมข้อหนึ่งที่แฝงอยู่ในตำนานนี้ก็คือ...




“ความเป็นอมตะสามารถบรรลุได้



ด้วยการเอาชนะโมหะ คือความลุ่มหลงเสียก่อน”


แล้วพี่คิดว่า กวนเกษียรสมุทร ในยุค 2009 ใครจะชนะ ฝ่ายเทพ หรืออสูร...!!!

ก็แน่ละประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งพระพุทธศาสนา (เราเชื่อว่า) มีเทพดา อารักษ์ คอยปกปักรักษาอยู่...





ธ ร ร ม ะ...ย่ อ ม ช น ะ...อ ธ ร ร ม










ข้อมูลจาก..http://www.oknation.net
32#
โพสต์ 2015-6-13 06:35 | ดูโพสต์ทั้งหมด


การสร้างตะกรุดอาถรรพ์เทพหนุนดวง เพื่อให้ผู้บูชา ระลึกถึงข้อธรรม






เทวตานุสสต          แปลว่า ระลึกถึงความดีของเทวดาเป็นอารมณ์ เทวดา แปลว่า ผู้ประเสริฐ         ความประเสริฐของเทวดามีอย่างนี้ ถ้าพูดกันตามความนิยมแล้ว ท่านที่จะเป็นเทวดาก็ต้องเกิดเป็นคนก่อน         เมื่อเป็นคนก็ต้องศึกษาหลักสูตรของเทวดาว่า จะเป็นเทวดานั้นต้องเรียนรู้แล้วปฏิบัติอะไรบ้าง         หลักสูตรที่ทำคนให้เป็นเทวดานั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่ามี ๒ แบบ คือ

เทวดาแบบที่ ๑         
เป็น เทวดาชั้นกามาวจร คือ ชั้นจาตุมหาราช ชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา         ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี ชั้นปรนิมมิตวสวัสดี รวม ๖ ชั้นด้วยกัน ทั้ง ๖ ชั้นนี้         บวกภูมิเทวดาที่เรียกว่าพระภูมิเจ้าที่ และรุขเทวดา พวกเทวดาที่มีวิมานอยู่ตามสาขาของต้นไม้         ที่เรียกว่า นางไม้ เข้ากับเทวดาชั้นจาตุมหาราช เทวดา ๖ ชั้นนี้ ท่านว่าใครจะไปเกิดในที่นั้น         ๆ เพื่อเป็นเทวดา ต้องศึกษาและปฏิบัติตามเทวตาหลักสูตรเสียก่อน คือท่านให้เรียนรู้เทวธรรมที่ทำตนให้เป็นเทวดา         ได้แก่

        ๑. หิริ ความละอายต่อความชั่วทั้งหมด ไม่ทำความชั่วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
        ๒. โอตตัปปะ ความเกรงกลัวผลของความชั่วจะลงโทษ ไม่ยอมประพฤติชั่วทั้งกายวาจาใจ         ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง

ทั้งนี้ก็หมายความว่า ต้องเป็นคนมีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และมีจิตเมตตาปรานี         ตลอดกาลตลอดสมัย ถึงแม้ยังไม่ได้ฌานสมาบัติก็ไม่เป็นไร เอากันแค่ศีลบริสุทธิ์         มีจิตเมตตาปรานีใช้ได้ ท่านว่าใครศึกษาและปฏิบัติหลักสูตรนี้ได้ครบถ้วน เกิดเป็นเทวดาได้         หากปฏิบัติได้อย่างเลิศก็เป็นเทวดาอย่างเลิศ ถ้าปฏิบัติได้อย่างกลางก็เป็นเทวดาปานกลาง         ถ้าปฏิบัติอย่างหยาบ ก็เป็นเทวดาเล็กๆ เช่น ภูมิเทวดา หรือรุขเทวดา พระพุทธเจ้าท่านตรัสหลักสูตรของเทวดาประเภทที่         ๑ ไว้อย่างนี้ ท่านผู้อ่านจงจำไว้ให้ขึ้นใจ จะได้ไม่สงสัยเรื่องเทวดา

* สรุปจากหนังสือไตรภูมิ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน           
เทวดาประเภทที่               ๒ นี้ ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า               พรหม ท่านจัดพรหมรวมทั้งหมด ๒๐ ชั้นด้วยกัน ท่านแยกประเภทไว้ดังนี้

              รูปพรหม มี ๑๖ ชั้น แยกเป็น ๒ ประเภทคือ พรหมที่ได้ฌานโลกีย์ ท่านจัดไว้               ๑๑ ชั้น กับพรหมที่เป็นพระอนาคามี และได้ฌาน ๔ ด้วย ๕ ชั้น รวมพรหมที่มีรูป               ๑๖ ชั้น

              อรูปพรหม มี ๔ ชั้น พรหมที่ไม่มีรูปนี้ เป็นโลกียพรหม ในหนังสือไตรภูมิท่านกล่าวว่า                อรูปพรหมนี้ไม่ได้ตั้งปนอยู่กับพรหม               แล้วก็ไม่ได้อยู่สูงกว่าพรหมที่มีรูป อยู่ในช่องกึ่งกลางระหว่างพรหมชั้นที่               ๘ กับพรหมชั้นที่ ๙

               หลักสูตร รูปพรหม

๑. ได้ฌานที่ ๑ เกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑,                ๒, ๓
              ๒. ได้ฌานที่ ๒ เกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๔, ๕, ๖
              ๓. ได้ฌานที่ ๓ เกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๗, ๘, ๙
              ๔. ได้ฌานที่ ๔ เกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑๐ และ ๑๑

              ทั้งหมดนี้เป็นพรหมชั้นโลกีย์

33#
โพสต์ 2015-6-13 06:39 | ดูโพสต์ทั้งหมด
เทวตานุสสติกรรมฐานถือว่าเป็นอารมณ์ที่สูงสุดในอนุสสติอันหนึ่ง ซึ่งบุคคลใดมีความนิยมในเทวตานุสสติกรรมฐานนี้ไซร้         เราจะพยากรณ์ว่าท่านผู้นั้นควรจะเป็น พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ในชาติปัจจุบันนี้ก็รู้สึกว่าจะต่ำเกินไป         เพราะว่ากำลังใจของท่านมีความพอใจในอนุสสติกรรมฐาน มันเป็นอารมณ์ของพระอรหันต์




๏  การทรงเทวตานุสสติกรรมฐาน             ไม่ใช่ไปนั่งท่องจำให้จิตมันทรงตัว คิดว่าอะไรมันชั่วเราไม่ยอมทำเราอาย             เรียกว่าเราเป็นคนหน้าบางไม่ใช่คนหน้าด้าน เป็นคนใจบาง ไม่ใช่เป็นคนใจด้าน             และก็กลัว เป็นคนขี้ขลาดในความชั่วทั้งหมดที่จะปรากฏกับใจ
34#
โพสต์ 2015-6-13 06:46 | ดูโพสต์ทั้งหมด

35#
โพสต์ 2015-6-16 06:06 | ดูโพสต์ทั้งหมด
wind ตอบกลับเมื่อ 2015-6-13 08:05
อาจารย์กำชับว่าตะกรุดที่ได้ไป เป็นพรหมก็จง ดำรงวิหา ...

อาจารย์กำชับว่า..


ตะกรุดที่ได้ไป เป็นพระพรหม


ก็จง ดำรงวิหารธรรมแห่งพรหม คือพรหมวิหารสี่


มิใช่หวังผึ่งเพียงแต่ความศักดิ์ในวัตถุที่สร้าง


แต่อนุสติเตือนตนตามแบบอย่างวัตถุที่สร้าง


นี่เป็นหัวใจของการบูชาที่แท้จริง เทวานุสติ. สาธุๆๆ





36#
โพสต์ 2015-9-14 06:34 | ดูโพสต์ทั้งหมด
37#
โพสต์ 2015-9-14 06:59 | ดูโพสต์ทั้งหมด
matmee2550 ตอบกลับเมื่อ 2013-6-11 13:36
อาจารย์บอกมาว่า ถ้าใครอยากได้เร็วเข้ามาท่องคาถาให้ ...

อาจารย์บอกมาว่า ถ้าใครอยากได้เร็วเข้ามาท่องคาถาให้ฟังก่อน ว่าท่องได้หรือเปล่า ถ้าได้ถึงจะทำให้ เรื่องจริงนะไม่ได้โม้


38#
โพสต์ 2015-9-14 06:59 | ดูโพสต์ทั้งหมด
39#
โพสต์ 2016-1-1 06:22 | ดูโพสต์ทั้งหมด
wind ตอบกลับเมื่อ 2015-1-16 15:36
ตอนเข้ามารู้จักสำนักนี้ก็ด้วยอยากได้วัตถุมงคลต่าง ...

ตอนเข้ามารู้จักสำนักนี้ก็ด้วยอยากได้วัตถุมงคลต่างๆ

เพราะเชื่อมั่นศรัทธา

จนเข้ามาเป็นศิษย์ได้เริ่มรู้เริ่มเรียนถึงจะอ่อนด้อยปัญญาก็

ทำให้ได้รู้ว่า....

กระบี่อยู่ที่ใจแม้ไม้ไผ่ก็เป็นอาวุธ.

วัตถุมงคลสำนักนี้มีความพิเศษเฉพาะจริงๆ

แต่ที่เป็นผลพวงเนื้อแท้คือเรื่องของจิตใจล้วนๆ

สุดท้ายของเคล็ดวิชาที่หลวงปู่ และอาจารย์ มอบให้คือเรื่องของจิต

อย่าน้อยใจถ้าไม่ได้อย่างเค้า อย่าเสียใจที่ทำงานแล้วได้ผลตอบแทน  

สิ่งที่ได้มากวัตถุมงคล คือจิตที่เป็นมงคล

กราบคุณครูอาจารย์ที่เมตตาสั่งสอน และฝึกฝนขัดเกลาครับ

แค่ระลึกถึงท่านไม่พกวัตถุก็เป็นมงคลแล้ว





40#
โพสต์ 2016-5-16 09:34 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้