ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 4068
ตอบกลับ: 3
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

หลวงพ่อพระสุริยมุนี

[คัดลอกลิงก์]
หลวงพ่อพระสุริยมุนี



พระครูศิลกิตติคุณหรือหลวงพ่ออั้น  คนฺธาโร  แห่งวัดพระญาติการาม ตำบลไผ่ลิง อำเภอพระนครศรีอยุธยา  และอดีตเจ้าคณะตำบลหันตรา  ศิษย์เอกผู้สืบทอดวิทยาคมจากหลวงพ่อกลั่น  ซึ่งมีอยู่มากมายหลายรูปอาทิ  พระอาจารย์เภา  พระครูอุทัยคณารักษ์  หลวงปู่สีและหลวงปู่ดู่  วัดสะแก ฯลฯ  ในสมัยที่หลวงพ่อเป็นเจ้าอาวาสอยู่นั้น  ได้ทำนุบำรุงวัดพระญาติ ฯ  ต่อจากหลวงพ่อกลั่น  จนกระทั่งมีความเจริญรุ่งเรืองมาก

        เวลาต่อมาถึงแม้ว่าหลวงพ่ออั้นท่านจะเป็นพระเถระที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วไป  และมีลูกศิษย์ลูกหาอยู่มากมายก็ตาม  แต่อิทธิวัตถุมงคลของหลวงพ่อกลับไม่มีมาก  นอกจากเหรียญหลวงพ่อกลั่น  สองสามรุ่น  กับเหรียญรูปหล่อของท่านอีกสองรุ่น  นอกจากนั้นก็เป็นพระเครื่องอีกประมาณสองชนิดคือ  พระขุนแผนเคลือบที่นักพุทธนิยมรู้จักดีกับพระสุริยมุนี  ซึ่งเป็นพระเครื่องเนื้อดินพิมพ์นาคปรก  ซึ่งหลวงพ่ออั้นได้ปลุกเสกร่วมกับหลวงพ่อจง  วัดหน้าต่างนอก

ผู้ที่ทำให้ชื่อเสียงของพระสุริยมุนีเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายคือ  นายพวง  อุณจักร  นายสถานีรถไฟอยุธยากับคณะ  ซึ่งเวลานั้นเป็นช่วงประมาณปี พ.ศ. 2475  ได้ช่วยกันรวบรวมพระพุทธรูปที่ชำรุดปรักหักพัง  ที่ถูกทิ้งอยู่เกลื่อนกราดในบริเวณ  วัดหัวกระบือ  อันเป็นวัดเก่าแก่โบราณซึ่งอยู่ในเขตที่ดินของรถไฟ  โดยนำมาตั้งเรียงกันและทำหลังคาบังแดดบังฝนไว้ คุณพวง  อุณจักร  เล่าว่าเมื่อประมาณปี 2475 ท่านย้ายจากทุ่งสง  มาดำรงตำแหน่งนายสถานีอยุธยา โดยปกติ คุณพวงฯ  เป็นคนมีใจบุญสุนทานอยู่แล้ว  ได้เห็นโคกแห่งหนึ่งในเขตย่านสถานีอยุธยา  เต็มไปด้วยป่าสะแก รกรุงรังมาก  เป็นที่พักเลี้ยงควายของชาวบ้าน  เพราะที่โคกนี้ฤดูน้ำท่วมไม่ถึง  คุณพวงฯ  เห็นชิ้นส่วนองค์พระพุทธรูปทิ้งกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป  บางส่วนมีมูลควายทับถมอยู่  บางชิ้นเป็นที่นั่งเล่นของชาวบ้าน  เมื่อพบพระพุทธรูปชำรุดที่จมอยู่ในสิ่งโสโครก ในที่แวดล้อมเช่นนี้ก็มีความรูปสึกสังเวช จึงได้เก็บมารวบรวมไว้เป็นที่  แล้วถากถางบริเวณที่รกรุงรังให้สะอาดตาขึ้นตามสมควร  นำชิ้นส่วนมาประกอบติดต่อกันเท่าที่จะทำได้  ผู้ที่สนใจร่วมกันในคราวนั้น  จึงพากันขนานนามว่า “หลวงพ่อคอหัก”  และชื่อนี้ยังใช้กันมาอยู่จนทุกวันนี้

ในวิหารแห่งนี้  มีพระพุทธรูปซึ่งซ่อมปฏิสังขรณ์ได้ 9 องค์  โดยปาฏิหาริย์มาจากที่ต่างๆ ดังกล่าวแล้วในตอนต้น  มีพระพุทะรูปองค์หนึ่ง  เป็นพระพุทธรูปนาคปรกทำด้วยหินทรายสีเขียว ( นอกนั้นเป็นหินทรายสีแดงทั้งนั้น)  ผู้เชียวชาญทางพระพุทธรูปหลายท่านกล่าวว่ามีพุทธลักษณะแบบทวาราวดี  แกะนูนออกมาจากแผ่นศิลา  ใบหน้ามีรอยกะเทาะหลุดออกทำให้เศียรขาด  ส่วนตั้งแต่คอลงมาจนถึงฐานอยู่ในลักษณะดี  ศีรษะพญานาคชำรุดซีกหนึ่ง  ตั้งอยู่หน้าพระพุทธรูปทุกองค์  ในลักษณะเป็นพระประธาน  เมื่อชำรุดอยู่นั้นได้รับการปิดเป็นทองเด่นกว่าทุกองค์  ประชาชนมักพุ่งความศรัทธาต่อพระพุทธรูปองค์นี้เป็นพิเศษ  พระพุทธรูปปางนาคปรกที่มีผู้ขนานนามว่าพระสุริยมุนี  เป็นพระพุทธรูปสลักจากศิลาเนื้อละเอียดสีเขียวเข้มเจือดำสันนิษฐานว่าเป็นพระพุทธรูปสมัยทวาราวดี

มีขนาดหน้าตักกว้าง  69 ซ.ม.  สูง 89 ซ.ม. ที่น่าแปลกก็คือส่วนสัดขององค์พระไม่ว่าจะวัดจากมุมใดจะตกเลข “ 9 ”

ทั้งนั้น  อาทิ  แทน ประทับกว้าง 89 ซ.ม.  ช่วงพระอังสาวัดได้ 39 ซ.ม.  ช่วงพระกัปประวัดได้ 49 ซ.ม. ฯ

ประดิษฐานอยู่ที่วิหารขนาดย่อมตรงข้ามสถานีรถไฟอยุธยา

ในจำนวนพระพุทธรูปทั้งหมด  มีอยู่องค์หนึ่งที่งามเป็นพิเศษ  นั่นก็คือพระสุริยมุนีหรือที่ชาวบ้านเรียกท่านว่า “หลวงพ่อคอหัก”  ซึ่งปรากฏอภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ขึ้น  เมื่อนายพวง  อุณจักรกับพวกพนักงานรถไฟ  ได้พากันไปอธิษฐานขอให้ถูกสลากกินแบ่ง  ที่ตนและเพื่อนร่วมหุ้นกันซื้อไว้ 1 ใบ ๆ ละบาท

  โดยออกเงินคนละ 10 สตางค์  แล้วจะสร้างวิหารถวายพร้อมกับทำสะพานไม้  เพื่อให้ผู้ศรัทธาได้ข้ามไปนมัสการโดยสะดวก  ซึ่งน่าอัศจรรย์ยิ่งเมื่อถึงกำหนดออกรางวัล  สลากใบนั้นตรงกับเลขรางวัลที่ 1 ได้รับเงินถึง 80,000  บาท  แบ่งหุ้นกันคนละ 8,000  บาท  ค่าของเงินจำนวนนี้นับว่ามากโขในสมัยนั้น  คุณพวง  อุณจักร์  กับคณะที่ถูกลอตเตอรี่ก็ได้ช่วยกันออกเงินสร้างวิหารถวายทำด้วยไม้  สิ้นเงินไปประมาณสองพันบาทเศษ  ทุกคนช่วยกันทะนุบำรุงรักษาหลวงพ่อตั้งแต่นั้นมายิ่งกว่าแต่ก่อน  และหาช่างมาซ่อมแซมหลวงพ่อต่อเศียรขึ้น  3 องค์  แต่ก็ยังมีชิ้นส่วนที่เหลืออยู่ประกอบเข้ากันไม่ได้อีกหลายชิ้น  พระพุทธรูปทั้งหมดที่อยู่ในวิหารไม้นี้ เป็นพระพุทธรูปหินทราย

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็มีผู้ศรัทธาเลื่อมใส  พากันมาสักการบูชาอธิษฐานขอพรกันมากขึ้นเรื่อยๆ  กิติศัพท์ความศักดิ์สิทธิ์ก็เลื่องลือออกไปไกล  ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาโดยเฉพาะทางรถไฟ  มักจะยกมือขึ้นสักการะขอพรเสมอๆ  และมีผู้รวมกันปวารณาเป็นศิษย์ของหลวงพ่อใช้นามว่าคณะศิษย์หลวงพ่อคอหัก

ต่อมาได้มีการก่อสร้างวิหารเป็นอาคารคอนกรีต  ขึ้นแทนอาคารไม้ของเดิม  เนื่องมาจากนายเฮาะจิว  นิธากร  เจ้าของโรงงานถ่านไฟฉายศรีชัย  ซึ่งสมัยยังหนุ่มได้ไปมาค้าขายระหว่างกรุงเทพ – ปากน้ำโพ  เมื่อนั่งรถไฟผ่านวิหารหลวงพ่อคอหักครั้งไร  ก็ยกมือไหว้อธิษฐานขอให้ทำมาค้าขึ้นจนภายหลังมีฐานะร่ำรวยเป็นเศรษฐี  คุณยุพนา  ธรรมโกวิทย์  บุตรสาว นายห้างเฮาะจิว นิธากร  เจ้าของโรงงานถ่านไฟฉาย  ยี่ห้อ ไบรท์ ตราใบโพธิ์  เล่าว่า  ตามที่ปรากฏจากการนั่งตรวจทางในของ พระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งปรากฏเสียงออกมาว่า “พระสุริยมุนี” พบว่า พระพุทธรูปในวิหารนี้เดิมมีนามว่า “พระสุริยมุนี”  และราวปลายปี พ.ศ. 2507  จึงบริจาคเงินประมาณสองแสนบาท  ขออนุญาตสร้างวิหารหลังใหม่และสะพานคอนกรีตกับบูรณะพระพักตร์ที่ชำรุดอยู่จนเรียบร้อยและได้นิมนต์พระภิกษุที่ทรงญาณ  มาตรวจสอบทางในทราบว่า  พระพุทธรูปองค์นี้เดิมมีนามเรียกว่า “พระสุริยมุนี”  ดังนั้นจึงเปลี่ยนนามจากที่เรียก  หลวงพ่อคอหัก  เสียใหม่ให้ถูกต้อง

หลวงตาคำซึ่งก่อนบวชเป็นนักการของสถานีรถไฟอยุธยา  และคอยดูแลอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ที่มาสักการะพระสุริยมุนี  ที่วิหารมาตั้งแต่แรก  ต่อมาเมื่ออายุมากขึ้นนายคำได้อธิษฐาน  บอกกล่าวแก่หลวงพ่อพระสุริยมุนีว่า  หากถูกสลากกินแบ่งก็จะบวช  และปรากฏว่าถูกรางวัลจริงๆ  นายคำก็เลยบวชที่วัดยม  ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวสถานีรถไฟ
        และเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้สักการบูชาพระสุริยมุนีกันอย่างทั่วถึง

คณะกรรมการจึงสร้างพระสุริยมุนีจำลองขนาดเท่าองค์จริง  จำนวน  9  องค์
นำไปประดิษฐานตามต่างจังหวัดต่างๆดังนี้

องค์ที่  1                ประดิษฐานที่บึงพระราม  สวนสาธารณะ  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

องค์ที่  2                ประดิษฐานที่ ร.ร  วัดพระญาติการาม  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

องค์ที่  3                ประดิษฐานที่วัดป่าสวนเกษตรรังสรรค์  (วัดดงสระพัง) จังหวัดอุดรธานี

องค์ที่ 4                ประดิษฐานที่มณฑปวัดพุทธภูมิ  อ.เมือง จ.ยะลา

องค์ที่ 5                ประดิษฐานที่วัดในจังหวัดชัยภูมิ

องค์ที่ 6                 ประดิษฐานที่ ภาคตะวันออก

องค์ที่ 7                ประดิษฐานที่ ภาคเหนือ

องค์ที่ 8                ประดิษฐานที่ ศาสนาสถาน ค่ายพระนารายณ์มหาราช จังหวัดลพบุรี

องค์ที่ 9                ประดิษฐานที่ จังหวัดอุบลราชธานี

        หลวงพ่อพระสุริยมุนีนอกจากจะอำนวยโชคลาภ  สิริมงคลและความปลอดภัยให้แก่ผู้สักการะอธิษฐานจิต  เมื่อเดินทางผ่านไปมาแล้ว

  น้ำมนต์ของท่านก็ศักดิ์สิทธิ์นัก  ผู้ที่ถูกผีเข้าจ้าวสิงหรือถูกกระทำย่ำยี  ด้วยคุณไสย  เมื่อได้อาบและดื่มกินก็จะหายเป็นสุข

วัตถุมงคลในรูปลักษณ์ของหลวงพ่อพระสุริยมุนี  ซึ่งหลวงพ่ออั้นเป็นผู้ปลุกเสกและบรรจุผงวิเศษที่ใต้ฐาน

  นับเป็นของดีอีกชนิดหนึ่งที่นักพุทธนิยมคงจะลืม หรือเกือบจะลืมไปแล้ว  ส่วนใหญ่จะรู้จักกันแต่เฉพาะพระขุนแผนเคลือบ

  และเหรียญรูปเหมือนของท่าน

ทั้งที่เชื่อได้ว่ามีอานุภาพที่ไม่ต่างกันแต่อย่างไร  ซ้ำจะเหนือกว่าตรงที่อยู่ในรูปจำลองของพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์


ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้