Baan Jompra

ชื่อกระทู้: บ่อพันขัน บ่อน้ำมหัศจรรย์ [สั่งพิมพ์]

โดย: kittiphob    เวลา: 2016-10-31 08:26
ชื่อกระทู้: บ่อพันขัน บ่อน้ำมหัศจรรย์
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kittiphob เมื่อ 2016-10-31 08:34

                                                                                                       บ่อพันขัน
บ่อน้ำที่ตักเป็น ร้อยขัน พันขัน ก็ไม่มีวันหมด

คนในย่านนี้จึงเรียกว่า บ่อพันขัน

ไหว้ศาลเจ้าปู่ผ่าน
บ่อพันขัน

บ่อพันขัน ตรงนั้น มีตำนาน               แต่โบราณ เรียกว่า จำปาขัน
เป็นเมืองเก่า เล่าลือ ระบือกัน            จำปาขัน ได้ข่าว ลูกสาวมี
ชื่อคำแพง แต่งเห็น เป็นพี่เลี้ยง          รูปเกลาเกลี้ยง นามธิดา ว่าแสนสี
เคยฟังดู รู้ชัด ประวัติมี                     สาวแสนสี สาวคำแพง แห่งจำปา
นางนั่งเรือ เล่นน้ำ ตามทะเล              ต้องเสน่ห์ ท้าวอุธร นอนผวา
ฮาดคำโปง ชื่อนี้ มีมนต์ตรา               ต้องเข่นฆ่า รักเกี้ยว สาวเดียวกัน
ทางเจ้าเมือง ทราบเรื่อง จึงออกปาก    เรียกฝูงนาค มาหา จำปาขัน
เจาะบาดาล พ่นพิษ ฤทธิ์อัศจรรย์        พิษนาคนั้น กระจายเต็ม เค็มเหมือนเกลือ
ปูปลาหอย พลอยตาย ไม่วายนับ        กลิ่นเหม็นอับ ทั่วไป ทั้งใต้เหนือ
นกอินทรี สองผัวเมีย อิ่มเหลือเฟือ      กินจนเบื่อ อยากกินเนื้อ มนุษย์จัง
พระพุทธองค์ ทรงสั่ง โมคคัลลาน์       ขอให้มา ปราบกุสุมา ใจโอหัง
ไล่เข้าถ้ำ จีวรปิด ใช้ฤทธิ์บัง               ชี้นิ้วสั่ง บ่อครกหิน น้ำกินมี

ที่ตั่งและประวัติโดยย่อ บ่อพันขัน

ตั้งอยู่ในเขตตำบลเด่นราษฎร์ กิ่งอำเภอหนองฮี จังหวัดร้อยเอ็ด บริเวณทางด้านตะวันออก ของห้วยเค็มประมาณ100 เมตร ลักษณะทางกายภาพเป็นลานหินทรายแดงกว้างใหญ่ในพื้นที่ ประมาณ1กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่บริเวณห้วยเค็มทั้งฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก โดยทางฝั่งตะวันตกเป็นพื้นที่ตำบลจำปาขัน อ.สุวรรณภูมิ ส่วนฝั่งตะวันออกเป็นพื้นที่ของต.เด่นราษฎร์ กิ่งอำเภอหนองฮี

โดยพื้นที่ทั้งสองฝั่งยังมีแนวหินทรายต่อเนื่องขึ้นไปอีกบางส่วนจมอยู่ใต้ดิน แนวลำน้ำเค็มจากบ่อพันขัน ไปถึงลำน้ำเสียวประมาณ 2กิโลเมตร ในฤดูน้ำหลากพื้นที่บริเวณบ่อพันขันบางส่วนมักจมอยู่ใต้พื้นน้ำแต่ในฤดูแล้ง พื้นที่บริเวณบ่อพันขันจะปรากฏแนวพื้นหินทรายกว้างใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ บริเวณกว้าง โดยมักจะมีร่องรอย ของความเค็มของดินปรากฏโดยทั่วไป ลักษณะเป็นสีขาวของเกลือ และราษฎรในบริเวณนี้มักจะใช้เป็นสถานที่ ผลิตเกลือสินเธาว์ ต่อเนื่องกันมาหลายชั่วอายุ เป็นทั้งผลผลิตที่ใช้บริโภคในหมู่บ้านใกล้เคียง และเป็นสินค้าออกไปยังจังหวัดใกล้เคียง เช่น ศรีษะเกศ สุรินทร์ อุบลราชธานี เป็นต้น โดยมีพ่อค้ามารับซื้อถึงที่ผลิต คือ บ่อพันขันนั่นเอง ในบริเวณบ่อพันขันปรากฏพื้นที่ลักษณะพิเศษ คือมีบ่อน้ำจืดธรรมชาติ ที่มีน้ำพุดขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา โดยไม่มีวันหยุด มีขนาดกว้างประมาณ 6-8 นิ้ว ลึก 6-8 นิ้ว จึงเป็นที่มาของ บ่อพันขัน  ชาวบ้านเรียกอีกอย่างว่า “น้ำสร่างครก” เพราะมีลักษณะคล้ายครกต้ำข้าว น้ำบริเวณบ่อพันขัน ไม่มีใครรู้ว่ามันเริ่มไหลออกมาเมื่อใด และจะหยุดไหลเมื่อใด อาจจะเป็นเรื่องของระบบน้ำใต้ดิน ที่ไหลซึมอกมาตลอดเวลาตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่ในความเชื่อ ของชาวบ้านในเรื่องความอัศจรรย์และความศักดิ์สิทธิ์ นับเป็นวิถีชีวิตของผู้คนในดินแดนแห่งทุ่งกุลาร้องไห้ ที่จริงๆ ไม่เคยร้องไห้ เพราะความอุดมสมบูรร์ของพื้นที่ เพียงเราจะจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อชุมชนเท่านั้น แต่สิ่งที่ปรากฏและยังอยู่ในความทรงจำ ของผู้คนบริเวณนี้คือ การเป็นพื้นที่แหล่งต้มเกลือสินเธาว์ ที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน โดยพื้นที่รอบๆ มีแต่ความเค็มของเกลือในฤดูแล้ง แต่มีพื้นที่เพียงจุดเล็กๆ ที่มีน้ำจืดไหลออกมาตลอดเวลา ตักเป็นพันขันก็ไม่หมด ท่ามกลางพื้นที่ ที่มีแต่ความเค็มตลอดฤดูแล้ง นับตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ จนถึงเดือน พฤษภาคม ของทุกปี

พื้นที่ บริเวณนี้จมอยู่ใต้น้ำมากว่า 20 ปี นับตั้งแต่ปี 2524 พอในปี 2547 ชาวบ้านในพื้นที่ได้ร่วมแรงรวมใจกัน ฟื้นฟูสภาพของบ่อพันขัน ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง และคงอยู่กับจังหวัดร้อยเอ็ดตลอดไป

ประวัติ ทุ่งกุลาร้องไห้ เมืองจำปาขัน บ่อพันขัน
ทุ่งกุลาร้องไห้ เมืองนครจำปาขัน บ่อพันขัน


ทุ่งกุลาร้องไห้สมัยที่ยังคงความแห้งแล้ง

ทุ่งกุลาร้องไห้ เป็นที่ราบที่มีอาณาเขตกว้างขวางใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน มีเนื้อที่ประมาณ 2,107,691 ไร่

มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัด คือ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ มหาสารคาม ศรีสะเกษ และ ยโสธร ส่วนพื้นที่ที่ต่อเนื่องกันมากที่สุด กว้างยาวที่สุดนั้น เริ่มตั้งแต่อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคามเรื่อยขึ้นไปทางตะวันออก ส่วนกว้างที่สุดอยู่ในท้องที่อำเภอปทุมรัตต์ เกษตรวิสัย สุวรรณภูมิ โพนทราย มีเนื้อที่ประมาณ 847,000 ไร่ ส่วนทุ่งที่มีชื่อลือนามว่า ทุ่งกุลาร้องไห้นั้น อยู่เขตอำเภอเกษตรวิสัย และอำเภอสุวรรณภูมิจังหวัดร้อยเอ็ด และอยู่ในเขตอำเภอท่าตูม อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ ถ้าเรายืนอยู่ในใจกลางทุ่งแถบนี้แล้วเหลียวมองไป รอบ ๆ ตัวเราจะเห็นแต่ทุ่งหญ้าจดขอบฟ้าสุดสายตา เมื่อประมาณ 60-70ปีมาแล้วไม่มีต้นไม้ขึ้นอยู่เลยมีแต่ป่าหญ้าแท้ๆสูงแค่ศรีษะคนมาบัดนี้ เห็นมีต้นไม้ขึ้นบ้างเป็นแห่งๆตามเนินสูงทั่วๆไป แต่ก็มีบางตามากสภาพของทุ่งไม่ราบเรียบเสมอกันมีเนินมีแอ่งสูงๆต่ำๆมีลำห้วย เล็กใหญ่ไหลผ่านหลายสายเช่นลำเสียวเล็กลำเสียวใหญ่ลำเตาลำพลับพลาเป็นทาง ระบายน้ำออกจากทุ่งในฤดูฝนลงสู่แม่น้ำมูลสองฝังลำห้วยเหล่านี้เป็นดินทามฤดู ฝนน้ำหลากทุ่งฤดูแล้งน้ำแห้งขอด ประชาชนได้อาศัยจับปลาตามลำน้ำเหล่านี้เป็นอาหาร ในฤดูแล้งที่น้ำลดลง เมื่อราว พ.ศ. 2460 ถอยหลังขึ้นไปมีสัตว์ป่าอาศัยอยู่หลายชนิด เช่น กว้าง ละมั่ง อีเก้ง อยู่กันเป็นฝูงๆมีนกตัวใหญ่ๆ มาอาศัยอยู่ก็มาก เช่น นกหงส์ นกกระเรียน นกกระทุง นกเป็ดน้ำ อยู่กันเป็นฝูงใหญ่ๆ แต่เวลานี้สัตว์ป่าเหล่านั้นได้หายสาบสูญไปสิ้นแล้ว

มีตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่าเมื่อหลายพันปีมาแล้วดินแดนทุ่งกุลาร้องไห้เคย เป็นทะเลสาบมาก่อนกว้างยาวสุดลูกหูลูกตาไม่มีต้นไม้ใหญ่สสักต้นเพราะน้ำลึก มาก เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำนานาชนิด ในสมัยนั้นมีเมืองสำคัญอยู่เมืองหนึ่งคือ เมืองจำปาขัน หรือเมืองจำปานาคบุรี อยู่ทางทิศตะวันตกของทะเลสาบ
ปัจจุบันก็คือเทศบาล ตำบล จำปาขัน อำเภอ สุวรรณภูมิ จังหวัด ร้อยเอ็ด คือเมือง จำปานาคบุรี    หรือ เมือง จำปาขัน นั้นเอง


โดย: kittiphob    เวลา: 2016-10-31 08:30
ดังตำนานคำกลอนภาษาอีสานกล่าวไว้ว่า

"ท่งกุลาเดิมเค้ามันเป็นทะเลใหญ่            หัวเมืองไกลเทียวค้าเฮือข่วมท่องเที่ยว
ทะเลสาบคดเคี้ยวฟองแก่งแฮงกระแส     หมู่ชาวแฮือชาวแพซ่อยขนสินค้า
ปัจจิมพ้นจำปานคเรศ                               เขตเวนตกก้ำพี้เมืองบ้านน่านนคร"

พระ เจ้าแผ่นดินผู้ครองเมืองนครนั้นมีธิดาอยู่องค์หนึ่งชื่อว่า นางแสนสี และมีหลานสาวคนหนึ่งชื่อว่า คำแพง นางทั้งสองเป็นหญิงสาวรุ่นราวคาวเดียวกันและมีรูปร่างหน้าตาสาวงามพร้อมทั้ง ลักษณะเท่ากับนางอัปสรมีวัย 15 หยกๆ 16 หยอนๆพระราชารักเหมือนดวงพระเนตรและได้จัดให้มีคนดูแลรักษาอย่างดี ผู้ดูแลรักษามีชื่อว่า จ่าแอ่น เมื่อนางทั้งสองจะไปที่ใด จ่าแอ่นก็จะติดตามไปด้วยทุกหนทุกแห่ง ในเมืองจำปานาคบุรีนี้มีพญานาคอยู่ฝูงหนึ่ง เป็นพญานาคที่มีฤทธิ์มากถ้าชาวเมืองได้รับความเดือดร้อน พญานาคนี้จะให้ความช่วยเหลือทุกอย่าง จึงมีชื่อว่า นาคบุรี ในสมัยเดียวกันนั้น มีเมืองอีกเมืองหนึ่งชื่อว่า บูรพานคร ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของทะเลสาบ มีโอรสชื่อ ท้าวฮาดคำโปง ละมีหลานชายชื่อ ท้าวอุทร ทั้งสองได้ออกไปเรียนวิชาศิลปศาสตร์สำนักเดียวกันเมื่อเรียนจบแล้ว อาจารย์อยากจะให้ลูกศิษย์ลองวิชาดูว่าจะมีความสามารถเพียงใด จึงเรียกลูกศิษย์ทั้งสองเข้ามาหาแล้วสั่งว่า ให้เจ้าทั้งสองไปสู้รบกับพญานาคที่เมืองจำปานาคบุรี และกำชับว่า พญานาคนั้นมีฤทธิ์มากหากเจ้าทั้งสองชนะพญานาคได้ก็หมายความว่าวิชาที่เจ้า ได้ร่ำเรียนมานั้นเป็นผลสำเร็จ ศิษย์ทั้งสองก็ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของอาจารย์ จึงพากันกราบลาอาจารย์ออกจากสำนักไปยังเมืองจำปานาคบุรี เมื่อไปถึงท้าวทั้งสองยังมิได้ลองวิชาแต่อย่างไร แต่ได้ทราบว่าเจ้าเมืองจำปานาคบุรีนั้นมีพระธิดาและหลานสาวที่สาวงามมาก จึงเป็นเหตุให้ชายหนุ่มทั้งสองหันมาให้ความสนใจสาวงามมากกว่าการที่จะสู้รบ ทดลองวิชากับพญานาค จึงได้พยายามติดต่อกับนางทั้งสอง แต่มองไม่เห็นหนทางที่จะสำเร็จได้ เพราะนางทั้งสองมีผู้ดูแลรักษาอย่างเข้มงวด จึงหาโอกาสติดต่อได้ยาก แต่หนุ่มทั้งสองก็มิได้ละความพยายามแต่อย่างใด และได้สืบทราบมาว่าทุกๆเจ็ดวันนางทั้งสองจะพาบ่าวไพร่และผู้ดูแลรักษาออกไป เล่นน้ำทะเลสักครั้งหนึ่งจึงคิดว่าจะใช้วิชาที่ได้ร่ำเรียนมาเข้าช่วย

อยู่ มาวันหนึ่ง พระนางทั้งสองพร้อมด้วยบริวาร และจ่าแอ่นผู้ดูแลรักษา ได้พายเรือลงไปเล่นน้ำทะเล ท้าวทั้งสองเห็นเป็นโอกาสดีจึงเสกผ้าเช็ดหน้าให้กลายเป็นหงส์ทองลอยไปข้าง หน้าเรือของนางทั้งสอง เมื่อนางทั้งสองเห็นหงส์ทองลอยน้ำมาก็อยากได้ไว้ชม จึงอ้อนวอนจ่าแอ่นให้พายเรือติดตามเอาหงส์ทองมาไห้ได้ แต่ยิ่งตามไปใกล้เท่าไรหงส์ทองก็ยิ่งลอยออกไปไกลทุกที ครั้งชะลอฝีพายลงหงส์ทองก็ลอยช้าลงด้วย ทำท่าจะให้จับตัวได้ เมื่อยิ่งตามไปเรือของนางทั้งสองก็ตกอยู่กลางทะเลใหญ่ ท้าวฮาดคำโปงและท้าวอุทรเห็นเป็นโอกาสดี จึงแล่นเรือสำเภาของตนซึ่งจอดรอคอยอยู่แล้วออกสกัดหน้าเรือของนางทั้งสอง แล้วเอานางทั้งสองพร้อมด้วยบริวารขึ้นเรือสำเภาของตน แล้วแล่นออกไปในทะเลใหญ่

โดย: kittiphob    เวลา: 2016-10-31 08:30
ดังตำนานคำกลอนภาษาอีสานกล่าวว่า

"บ่าวสำน้อยท้าวฮาดคำโปง                       ท้าวอุทรกะลงสู่สำเภาลอยน้ำ
คึดอยากไปเทียวก้ำจำปานคเรศ                  อยากเห็นเนตรยอดฟ้าสาวหล้าซาวไกล
หลายเพลาขวบได้เฮือแล่นตามลม             หมายซิชมเอานางต่างเมืองมาซ้อน
สำเภามาจวนค่อยจำปาเมืองใหญ่               เขาจอดเฮืออยู่ใกล้มนต์ร่ายใส่เสน่ห์
เสกเป็นหงส์ทองเอ้ลงท่าลีลา                     ใช่เป็นสาส์นหงส์มาล่อเอานางน้อย
ตอนนั่นคำแพงสร้อยแสนสีน้องพี่               ลงวารีอาบล้างหน้าน้อยค่อยละมัย
เห็นหงส์ทองอยากได้เอิ้นใส่ทาสา              ให้จ่าแอ่นนั่นมาไล่หงส์บ่พอได้
ทำมาอยากกรายใกล้ไหวดีล่อหลอก           ออกมาหวิดเขตน้ำกรายก้ำบ่อนสิคืน
บังคับสาวให้ขึ้นเฮือแล่นหนีไป"

เมื่อ เจ้าเมืองจำปานาคบุรีได้ทราบข่าวว่านางทั้งสองหายไปก็ตกพระทัยเป็นอัน มาก แต่พระราชาองค์นี้มีพญานาคเป็นสหาย เคยสัญญากันไว้ว่า ถ้าเกิดศึกสงครามแก่บ้านเมืองเวลาใด ให้ตีกลองชัยจะได้มาช่วย เมื่อเกิดเหตุกระทันหันขึ้นดังนี้ พระราชาจึงใช้ให้มหาดเล็กตีกลองชัยขึ้น เมื่อพญานาคได้ยินเสียงกลองของพระราชาก็ได้จัดกองทัพขึ้นมา แต่ไม่เห็นข้าศึกจึงถามพระราชาว่า มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจึงได้ตีกลองชัย พระราชาจึงบอกว่า มีหนุ่มวิทยาคมสองคนได้ลักพาพระธิดาและหลานสาวทั้งสองหายไปในทะเลสาบจึงขอ ให้ท่านช่วยเหลือด้วย พญานาคเป็นผู้มีฤทธิ์จึงบันดาลให้ทะเลสาบแห้งเหือดทันที

ดังตำนานคำกลอนภาษาอีสานกล่าวว่า

"เจ้าเมืองคึดสงสัยว่าลูกสาวตายคึกน้ำ             ลูกบ่ฟังความห้ามเสียใจเครียดใหญ่
อุกพระทัยคั่งแค้นพอม้วยละแม่งตาย                 จั้งฮู้ว่าผู้ร้ายมาแย่งชิงนาง
หลูตนเด๊คิงบางพรางไกลเมืองบ้าน                   ขอให้นาคดั้นด้นดินปิ้นไป่
ทะเลแห้งแต่ครั้งนาคก่นนำสาว                          ตามประวัติเรื่องรากล่าวกลอนมาไว้"

เรือ สำเภาของท้าวฮาดคำโปงและท้าวอุทรแล่นต่อไปไม่ได้ท้าวทั้งสองจึงนำจ่า แอ่นผู้ดูแลนางทั้งสองไปซ่อนไว้ในดงแห่งหนึ่ง ต่อมาได้เรียกชื่อว่า ดงจ่าแอ่น และได้กลายเป็นที่ตั้งของ บ้านจ่าแอ่น ซึ่งปัจจุบันนี้เรียกว่า บ้านแจ่มอารมณ์ ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด

และนำ นางแสนสีไปซ่อนไว้ในดงแห่งหนึ่งต่อมาได้ชื่อว่า ดงแสนสี และได้กลายเป็นที่ตั้งของ บ้านแสนสี ปัจจุบันนี้ ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด ส่วนนางคำแพงผู้เป็นหลานได้นำไปซ่อนไว้ในดงแห่งหนึ่ง ต่อมาได้เรียกชื่อว่า ดงป่าหลาน และได้กลายเป็นที่ตั้ง อำเภอบาหลาน ปัจจุบันนี้เรียกว่า อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม
     เมื่อน้ำทะเลได้แห้งเหือดหมดแล้วนั้นบรรดาสัตว์น้ำต่างๆ มี ปู ปลา กุ้ง หอย เหรา แข้ เต่า และตะพาบน้ำที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบนั้นได้ตายหมด แล้วเน่าเหม็น               ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งฟ้าขึ้นไปถึงพระนาสิกของพระอินทร์บนสวรรค์ ชั้นฟ้า พระอินทร์ทนไม่ไหว จึงใช้นกอินทรีสองผัวเมียลงมากินซากสัตว์ที่ตายให้หมด นกอินทรี ได้กินอยู่ประมาณครึ่งเดือนจึงหมด และได้ถ่ายมูลไว้เป็นกองใหญ่มาก ทุกวันนี้เรียกว่า โพนขี้นก ปรากฏอยู่ที่กลางทุ่งกุลาร้องไห้ ( โรงเรียนบ้านโพนครกน้อย ) ในเขตตำบล    หินกอง อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ดังตำนานคำกลอนภาษาอีสานกล่าวว่า


"กล่าวเถิงท่งครั้งนั่นลมปั่นมาตี                      เหลียวเบิ่งน้ำบ่มีหาดดินหินก้อน
ปูปลาหอยตายข่อนกองกันเป็นเถ้า                 ลางบ่อนแข่นเส้าเง้าฮาวเล้าท่อโพน
เปลือกหอยตายกองขึ้นเป็นขี่นกอินทรี           นกมันมีฤทธิ์เซนลงแต่เทิงฟ้า
กินหอยปลาแล้วขี่บินหนีไปบ่อนใหม่              ขี่กองน้อยกองใหญ่มันกะมีจั่งเว้า
ท่งมันกว้างต่อกว้างสุดขั่วแสงตา                   พระอินทร์ใซ่ลงมาคาบกินให้มันล่อน
ว่าให้กินปลาข่อนอย่าให้มันเน่าเหม็น             เดี่ยวนี่เหม็นอูดเอ้าไปสู่เมืองสวรรค์
เมินปูหอยปลาแล้วเทียวขี่ใส่จนเป็นโพน        จักว่าโดนปานไหั่นเล่ามาเท่าสู่มื้อ"

ส่วน นกอินทรีนั้นเมื่อกินสัตว์ที่ตายหมดแล้วจึงไปทูลถามพระอินทร์ว่า ข้าแต่จอมเทพผู้เป็นใหญ่แห่งเทวดาทั้งหลาย พระองค์จะให้หม่อมฉันกินอะไรต่อไปอีกเล่า ครั้นพระอินทร์จะบอกให้กินสัตว์ที่มีชีวิตก็กลัวศีลจะขาดจึงบอกเป็นอุบายว่า ให้ท่านทั้งสองนอนฝันกินเอาเองเถิด ถ้าหากฝันว่าได้กินอะไรก็จงไปกินตามความฝันนั้นเถิด อยู่มาวันหนึ่งนกอินทรีผัวเมียฝันว่า ได้กินพระยาช้างสาร จึงพากันไปสู่ดงใหญ่แห่งหนึ่ง อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลสาบมีชื่อเรียกว่า ดงน้ำเปียกซึ่งเป็นที่อยู่ของพระยาช้างสารคำว่า ดงน้ำเปียก ในที่นี้เพ่งตามภาษาแล้วเข้าใจว่าเป็นภาษาเขมรเช่นคำว่า ตะตึก แปลว่าเปียกน้ำ ในปัจจุบันเราเรียกว่า ดงสะตึก ซึ่งเป็นที่ตั้งของอำเภอสะตึก จังหวัดบุรีรัมย์ ในทุกวันนี้ เพราะดงสะตึกนี้เป็นดงที่ราบต่ำและอยู่ริมทะเลด้วยเป็นดงที่มีช้างอยู่มาก มาย มีเจ้าโขลงชื่อพระยาช้างสาร เมื่อนกอินทรีผัวเมียไปพบพระยาช้างสารแล้วจึงพูดว่า พระอินทร์ได้ให้ข้าพเจ้ามากินท่านเป็นอาหาร พระยาช้างสารไม่เชื่อนกอินทรีเพราะตามปกติแล้ว พระอินทร์จะไม่เบียดเบียนสัตว์โลกทั้งหลายมีแตจะช่วยให้พ้นทุกข์เท่านั้น พระยาช้างสารจึงพูดว่า ท่านจะกินข้าพเจ้าไม่ว่าอะไรแต่ข้าพเจ้าขอผลัดเวลาไว้สักวันหนึ่ง เพื่อจะได้ไปทูลถามพระอินทร์ให้เป็นการแน่นอน นกอินทรีก็ผ่อนผันให้ ครั้นแล้วพระยาช้างสารก็ใช้ให้ พระยาช้างเคล้าคลึง เพื่อนสนิทไปทูลถามพระอินทร์แทนตน ครั้นพระยาช้างเคล้าคลึงไปถึงพระอินทร์ จึงทูลถามว่า ข้าแต่เทพเจ้าผู้เป็นจอมแห่งเทวดา พระองค์ใช้ให้นกอินทรีไปกินพระยาช้างสารหรือ พระอินทร์ตอบไปอย่างฉับพลันว่า ข้าไม่ได้บอกนกอินทรีไปกินพระยาช้างสาร แต่เราได้บอกนกอินทรีผัวเมียนอนเสี่ยงทายฝันกินเอง เมือฝันว่าได้กินอะไรก็ให้ไปกินตามความฝันนั้นเถิด นกอินทรีฝันว่าได้กินอะไรก็เป็นเรื่องของเขาหาใช่เรื่องของเราไม่ พระยาช้างเคล้าคลึงจึงทูลว่า ถ้าเช่นนั้นเมื่อคืนนี้หม่อมฉันฝันว่า ได้นอนร่วมกับนางสุชาดา อัครมเหสีของพระองค์ พระองค์จะให้หม่อมฉันนอนร่วมกับพระนางสุชาดาหรือไม่ ครั้นพระอินทร์จะตอบว่า ให้นอนก็คงจะเสียเปรียบพระยาช้างเคล้าคลึง ถ้าพระองค์จะตอบว่าไม่ให้นอนก็เป็นการเสียสัตย์ ด้วยเหตุนี้พระอินทร์จึงนิ่งเฉยไม่ทรงตอบว่ากระไร จึงเรียกนางเทพธิดามาฟ้อนรำให้พระยาช้างเคล้าคลึงดู พระยาช้างเคล้าคลึงดูความสวยงามอ่อนช้อยของนางเทพธิดาจนเพลิดเพลินและเคลิ้ม หลับไปในที่สุดจนลืมวันที่นัดหมายกับนกอินทรีไว้แล้วนกอินทรีไม่เห็นพระยา ช้างเคล้าคลึงลงมาก็กินพระยาช้างสาร  แล้วคาบเอาเท้าของพระยาช้างสารไปทิ้ง ไว้ใน ดงเมืองศรีภูมิ ชื่อว่า ดงท้าวสาร ปัจจุบันคือที่ตั้งอำเภอ สุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด คาบเอาหัวของพระยาช้างสารไปทิ้งไว้ที่ บ้านหัวช้าง และต่อมาได้ตั้งอำเภอขึ้นครั้งแรก เรียกว่า อำเภอหัวช้าง ครั้นต่อมาท้าวพรมสุวรรณธาดา จึงย้ายไปตั้งที่ทำการใหม่จึงเรียกว่า อำเภอ จตุรพักตร์พิมาน เหตุที่เรียกเช่นนี้ก็เพราะว่า พระพรหมโดยมากมีสี่หน้าจึงเรียกตามชื่อของพระพรหมมาจนถึงปัจจุบันนี้



โดย: kittiphob    เวลา: 2016-10-31 08:31
เมื่อ นกอินทรีได้กินพระยาช้างสารตามความฝันแล้ว ก็มีใจกำเริบเสิบสานนึกอยากจะฝันกินมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายเป็นอันมากทำให้ มนุษย์และสัตว์จะไปไหนมาไหนก็ลำบากเพราะกลัวแต่นกอินทรีจะกิน จนไม่เป็นอันทำมาหากินในขณะเดียวกันนั้น พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นที่พึ่งของสัตว์โลกทั้งหลายซึ่งประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงแผ่พระสัพพัญญตญาณตรวจดูสัตว์โลกในเวลาปัจจุบันสมัยตามพุทธวิสัยของ พระองค์ ได้ทรงเล็งเห็นความโหดร้ายของนกอินทรีผัวเมียซึ่งกำลังเบียดเบียนสัตว์โลก อยู่ จึงทรงตรัสเรียก พระโมคคัลลานะเข้ามาหาแล้วตรัสว่า ดูก่อนโมคคัลลานะเธอเป็นผู้ได้เอตทัคคะในทางฤทธิ์เธอจะไปช่วยสรรพสัตว์ที่ ได้รับความเดือดร้อนอยู่นั้นเถิด ครั้นแล้วพระโมคคัลลานะก็ถือบาตรและจีวรเหาะเหินมุ่งหน้าสู่ดงท้าวสาร ได้มาพักอยู่ดงท้าวสารเข้าฌาณเตโชกสิณเพ่งไฟเป็นอารมณ์ เกิดเป็นเพลิงลุกโพลงขึ้นไปกระทบทรมานนกอินทรีผัวเมียทั้งสองร้อนแทบใจจะขาด นกอินทรีผัวเมียจึงแผดเสียงร้องขึ้นดังไปไกลได้ร้อยโยชน์สะเทือนไปถึงพื้น บาดาล

ขณะนั้นมีพญานาคอยู่ฝูงหนึ่งซึ่งอยู่ในบ่อแห่หนึ่งไม่ไกลจากดง ท้าวสารได้ยิน เสียงแปลกประหลาดดังจนหวั่นไหวนึกว่าอันตรายจะมาถึงตัว จึงโผล่ขึ้นมาจากพื้นบาดาลพ่นพิษออกไปเป็นควันมืดฟ้ามัวดิน พิษไปถูกลูกตาของมนุษย์ที่อยู่บ้านใกล้เคียงเป็นอันตรายจำนวนมาก บางคนถึงกับลูกตากระเด็นออกมา ต่อมาหมู่บ้านนั้นได้ชื่อว่า บ้านตาเด็น ปัจจุบัน คือ บ้านตาเณร อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
ดังตำนานคำกลอนภาษาอีสานกล่าวว่า
คำกลอนบ่อพันขัน

บ่อพันขัน ตรงนั้น มีตำนาน               แต่โบราณ เรียกว่า จำปาขัน
เป็นเมืองเก่า เล่าลือ ระบือกัน            จำปาขัน ได้ข่าว ลูกสาวมี
ชื่อคำแพง แต่งเห็น เป็นพี่เลี้ยง          รูปเกลาเกลี้ยง นามธิดา ว่าแสนสี
เคยฟังดู รู้ชัด ประวัติมี                     สาวแสนสี สาวคำแพง แห่งจำปา
นางนั่งเรือ เล่นน้ำ ตามทะเล              ต้องเสน่ห์ ท้าวอุธร นอนผวา
ฮาดคำโปง ชื่อนี้ มีมนต์ตรา               ต้องเข่นฆ่า รักเกี้ยว สาวเดียวกัน
ทางเจ้าเมือง ทราบเรื่อง จึงออกปาก    เรียกฝูงนาค มาหา จำปาขัน
เจาะบาดาล พ่นพิษ ฤทธิ์อัศจรรย์        พิษนาคนั้นกระจายเต็มเค็มเหมือนเกลือ
ปูปลาหอย พลอยตาย ไม่วายนับ        กลิ่นเหม็นอับ ทั่วไป ทั้งใต้เหนือ
นกอินทรี สองผัวเมีย อิ่มเหลือเฟือ      กินจนเบื่อ อยากกินเนื้อ มนุษย์จัง
พระพุทธองค์ ทรงสั่ง โมคคัลลาน์       ขอให้มา ปราบกุสุมา ใจโอหัง
ไล่เข้าถ้ำ จีวรปิด ใช้ฤทธิ์บัง               ชี้นิ้วสั่ง บ่อครกหิน น้ำกินมี








โดย: kittiphob    เวลา: 2016-10-31 08:31
เพราะ พิษของ พญานาคมีรสเค็มจัดยิ่งกว่าเกลือเสียอีก พระโมคคัลลานะอรหันต์ เมื่อเล็งเห็นเหตุการณ์ดังนั้นจึงเข้าฌาณเตโชกสิณ เกิดเป็นเปลวไฟไปปกปิดปาดบ่อที่พญานาคโพล่ขึ้นมาพ่นพิษ ไม่ให้โผล่ขึ้นมาพ่นพิษได้อีก และท่านเกรงว่าพญานาคจะขึ้นมาได้อีก จึงอธิษฐานเท้าซ้ายเหยียบที่ชายจีวร ปัจจุบันยังเหลือให้เห็นเป็นรอยเท้าคนขนาดยาว 1 เมตร กว้าง 40 เซนติเมตร อยู่ระหว่างเนินย่าน้อยบริเวณบ่อพันขัน และอธิษฐานเท้าขวาเหยียบที่ชายจีวรห่างกันไปทางทิศใต้ประมาณ 1 กิโลเมตร ตรงปากน้ำลง ลำน้ำเสียว ( คอคีบ ) มีรอยขนาดเท่ากันยังเหลือปรากฏอยู่เหมือนเดิม ปัจจุบันเป็นที่น่าเสียดายที่ทางราชการได้ปิดบ่อเป็นฝายกั้นน้ำ จึงทำให้น้ำท่วมทั้งสองรอย ต่อมาจีวรของพระมหาโมคคัลลานะ จึงเกิดเป็นแผ่นหินเป็นรูปจีวรและท่านเกรงว่าประชาชนต่อไปจะไม่มีน้ำจืดกิน จึงได้อธิษฐานใช้นิ้วชี้ชี้ลงไปตรงผ้าจีวรผืนนั้น เกิดรอยแตกเท่าขันน้ำมีรัศมีกว้าง 9 นิ้ว ความลึกประมาณ 8 นิ้ว มีน้ำไหลออกมาประจำ ชาวบ้าเรียกว่า น้ำสร่างโครก เพราะมีลักษณะเหมือนครกตำข้าว และบริเวณทั้งหมดทั่วบริเวณนั้น เรียกว่า บ่อพันขัน
เมื่อปราบพญานาคเสร็จแล้วก็แสดงธรรมโปรดชาวเมืองให้ยึดมั่นใน พระรัตนตรัย จากนั้นก็กลับเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ และมิได้กลับคืนมาสู่ดินแดนแถบนี้จนกระทั่งนิพพานข่าวการนิพพานของพระเถระ เจ้าได้แพร่กระจายรู้ถึงชาวเมือง จึงได้ส่งคนให้ไปอัญเชิญพระอัฐิธาตุมาทำสถูปบรรจุไว้ที่ดงเท้าสาร ปัจจุบันสันนิษฐานว่าคงเป็น พระธาตุอรหันต์โมคคัลลาน์ วัดกลาง อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด หรือเป็นอุทเทสิกเจดีย์ให้พวกเราชาวพุทธได้สักการะต่อมาช้านาน
บริเวณ บ่อพันขัน ที่นั้นเป็นลำห้วยมีขนาดกว้างประมาณ 20 เส้นเศษ ยาวประมาณ 30 เส้นเศษ เป็นลำน้ำเล็กไหลลงสู่ลำน้ำเสียว หน้าแล้งน้ำแห้งขอดดินในท้องบ่อจะเป็นส่าเกลือเพราะพิษพญานาคไหลออกมาจาก จีวรเค็มเป็นเกลือ อยู่ที่ดินแดนอำเภอพนมไพรและสุวรรณภูมิจดกัน หน้าแล้งคนสองอำเภอนี้จะพากันขูดเอาผิงดินในท้องบ่อ มากรองเอาน้ำเกลือที่ไหลออกมาต้มเป็นเกลือสินเธาว์ เป็นสินค้าประจำตลอดมา ที่เรียกว่า บ่อพันขัน นั้นเพราะว่าจีวรของพระนั้นนับเป็นขัน จีวรพระที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้มี 7 ขัน และ 9 ขัน แต่จีวรของพระมหาโมคคัลลานะนั้น ท่านทำด้วยฤทธิ์ใหญ่ตั้ง พันขัน จึงปกคลุมพญานาคได้ ผู้คนจึงเรียกบ่อนี้ว่า บ่อพันขัน
จะกล่าวถึงท้าวฮา ดคำโปงและท้าวอุทรเมื่อได้นางแสนสีและนางคำแพงเป็นเมียแล้ว นั้น ท้าวทั้งสองได้เกิดขัดใจกันและได้ชิงดีชิงเด่นกัน เพราะเกิดรักนางแสนสีร่วมกัน เมื่อตกลงกันไม่ได้จึงเกิดการรบพุ่งกันขึ้น ท้าวฮาดคำโปงเป็นฝ่ายปราชัยโดยถูกท้าวอุทรฟันคอขาดและสิ้นชีพไปอย่างอนาถจึง กลายเป็นผีหัวแสง หรือ ผีทุ่งศรีภูมิ เฝ้าทุ่งกุลาร้องไห้ ใครไปคนเดียวในเวลาค่ำคืนจะเห็นแสงไฟออกจากหัวพุ่งขึ้นเหมือนแสงตะเกียงเจ้า พายุออกสกัดลัดต้อนผู้คน จนไม่มีใครกล้าออกบ้านในเวลาค่ำคืนคนเดียวเมื่อเจ้าเมืองจำปานาคบุรีทราบราย ละเอียดดังกล่าว จึงทำให้เกิดความสงสารและให้อภัยโทษ และจัดเสนาข้าราชการไปติดตามเอานางทั้งสอง พร้อมท้าวอุทรกลับเข้ามายังเมืองจำปานาคบุรี พร้อมทั้งประทานไพร่พลให้ท้าอุทรไปสร้าง ดงท้าวสาร ขึ้นเป็นเมืองเท้าสาร ปัจจุบันคือที่ตั้ง อำเภอสุวรรณภูมิ พร้อมทั้งยกนางแสนสีให้เป็นมเหสีท้าวด้วย เมื่อทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล ไดกลายสภาพมาเป็นท้องทุ่งอันกว้างใหญ่ ทำให้มองเห็นดินจดขอบฟ้ามาแล้วเป็นเวลานานเท่าไร ไม่มีใครสามารถจะบอกได้ แต่คนเฒ่าคนแก่ได้เล่าสืบต่อกันมาว่า เมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว ได้มีการไปมาค้าขายติดต่อกับพ่อค้าต่างบ้านต่างเมือง ทั้งที่ใกล้เคียงและห่างไกลกัน มีพ่อค้าหาบสินค้าเที่ยวขายไปตามหมู่บ้านแถบทุ่งกว้าวนี้เป็นประจำโดยเฉพาะ ในฤดูแล้งบรรดาพ่อค้าที่มาค้าขายในเขตทุ่งกุลาร้องไห้นี้ ได้มีพ่อค้าพม่าเผ่าหนึ่งมีชื่อว่า เผ่ากุลา ได้นำสินค้ามาเร่ขาย และมากันเป็นหมู่ หมู่ละ 20 30 คน สินค้าที่นำมาขายได้แก่ สีย้อมผ้า เข็ม เสื้อผ้า ยาสมุนไพร เครื่องถม ซึ่งสารด้วยไม้ไผ่ทารักลงสี ลวดลายสวยงามเป็นกล่องคล้ายกระติบข้าวเหนียว ชาวบ้านนิยมซื้อไว้ใส่บุหรี่แลหมากพลู เวลาเดินทางไปไหนมาไหนพวกพ่อค้าจะนำสินค้าใส่ถึงใบใหญ่ ที่เรียกว่า ถึงกระเทียว มาขายจะหาบเร่ร่อนรอนแรมไปเรื่อย ๆ เป็นแรมเดือนแรมปี ขายหมดที่ใดจะซื้อสินค้าหาบขายไปเรื่อย ๆ
ครั้งหนึ่ง ได้มีกุลาพวกหนึ่งเที่ยวเร่ขายสินค้าจาก อุบลราชธานี ศรีสะเกษ เรื่อยมาจนถึงสุรินทร์พอมาถึงอำเภอท่าตูม พวกกุลาได้ซื้อครั่งเป็นจำนวนมาก เพื่อนำไปขายต่อพอหาบครั่งข้ามแม่น้ำมูล มาได้สักหน่อยหนึ่งก็ถึงท้องทุ่งอันกว้าวใหญ่ หมายใจว่าจะเดินตัดทุ่งไปสู่ เมืองป่าหลาน ( อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย ) มหาสารคาม ขอนแก่น อุดรธานี ขึ้นเหนือไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็ยเส้นทางที่พ่อค้าพวกนี้ยังไม่เคยเดินผ่านทุ่งแห่งนี้มาก่อนทำให้ไม่ ทราบระยะทางที่แท้จริง เพราะมองเห็นเมืองป่าหลาน อยู่หลัด ๆ หาทราบไม่ว่า ใกล้ตาแต่ไกลตีน ( สำนวนภาษาอีสาน แปลว่า มองเห็นเป็นใกล้แต่ต้องเดินไกล ) ขณะเดินทางข้ามทุ่ง รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามากและในช่วงนั้นเป็นฤดูแล้งด้วย น้ำจะดื่มก็ไม่มี ต้นไม้จะอาศัยร่มเงาแม้แต่เพียงต้นเดียวก็ไม่มี ทั้งแดดก็ร้อนจัด ต่างพากันอิดโรยไปตาม ๆ กันครั่งที่หาบมาจะทิ้งก็เสียดาย จึงพากันโอดครวญและคิดว่าคงจะเอาชีวิตมาตายในทุ่งแห่งนี้เป็นแน่แท้ จึงพากันร้องไห้ไปตาม ๆ กัน

ดังตำนานคำกลอนภาษาอีสานกล่าวว่า

"ตกกลางท่งแล้วล้าเดินฝ่าเทิงหัว                       เห็นแต่ท่งเป็นทิวมือกุมควันกุ้ม
เหลียวไปไสฟ้าหุ้งงุมลงคือสักสุ่ม                       มือกลางเวนจุ้มกุ้มคงไม้กะบ่มี
คักละนอบาดนี่หลงท่งคนเดียว                           ถิ่มฮอดถงกะเทียวย่ามของสินค้า
เหลียวทางหลังทางหน้ากุลายั้งบ่อยู่                   ลมออกหูจ้าวจ้าวไคค้าวย่าวไหล
จนปัญญาแล้วไห้เทิงจ่มระงมหา                         คึดฮอดภรรยาลูกเมียอยู่ทางบ้าน
ลมอัสสวาสกั้นเนื้อสะเม็นเย็นหนาว                    อ้าปากหาวโหยแฮงแข้งลาขาล้า
เพื่อไปนำกองหญ้าเวลาค่ายค่ำ                          ยากนำปากและท้องเวรข่อยจ่องเถิง
ป่าหญ้าแฝกอึ้งตึงกุลาฮ่ำโมโห                           ตายย้อนความโลโภล่องเดินเทียวค้า
ใจคะนึงไปหาโศกาไห้ฮ่ำ                                    คึดผู้เดียวอ้ำล้ำทางบ้านบ่เห็น
ในหนังสือกล่าวไว้บอกว่ากุลา                             หรือแม่นไปทางได้แต่นานมาไว้
ท่งกุลาฮ้องไห้ที่หลังท้ายหมู่                               อยู่โดนมาแต่พ้นพันร้อยกว่าปี"

พวก กุลาต่างพากันร้องไห้ แล้วได้พากันพักพอหายเหนื่อยจึงเดินทางต่อไป แต่ครั่งที่หาบมามันหนักมาก พวกกุลาจึงพากันเทครั่งน้อยทิ้งหมด ( ครั่งน้อย คือ ครั่งที่แยกตัวครั่งออกแล้วราคาไม่คอยดี ) ต่อมากลายเป็นหมู่บ้านชื่อ บ้านดงครั่งน้อย อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด

เมื่อพวกกุลาเดิน ต่อไปอีก รู้สึกอิดโรยมาก ครั้นไปถึงกลางทุ่งจึงตัดสินใจเทครั่งใหญ่ทั้ง หมดทิ้ง ( ครั่งใหญ่ คือ ครั่งที่ยังไม่แยกตัวครั่งออกจากครั่งเพราะเวลาย่อมไหมจะมีสีแดงสดและได้ ราคาดี ) คงเหลือไว้แต่อาหาร เท่านั้น บริเวณที่พวกกุลาเทครั่งทั้งหมดนี้ ต่อมาได้กลายเป็นหมู่บ้านชื่อ บ้านดงครั่งใหญ่ อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด

เมื่อพวกกุลาเดินทางมาพ้นทุ่งแล้ว เข้าสู่หมู่บ้านมีคนมามุงดูเพื่อจะซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก แต่พวกกุลาไม่มีสินค้าที่จะขายให้แก่ชาวบ้าน พวกกุลาพากันเสียใจและเสียดายสินค้าที่ตนได้เททิ้งที่กลางทุ่ง พวกกุลาจึงพากันร้องไห้อีกเป็นครั้งที่สอง ทำให้เกิดเป็นชื่อเรียกท้องทุ่งอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ว่า ทุ่งกุลาร้องไห้ มาตราบเท่าทุกวันนี้








โดย: Sornpraram    เวลา: 2016-11-7 08:37

โดย: Nujeab    เวลา: 2016-11-7 11:02
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆครับ




ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2