Baan Jompra

ชื่อกระทู้: ลพ.โต. บางกระทิง [สั่งพิมพ์]

โดย: oustayutt    เวลา: 2016-9-18 19:47
ชื่อกระทู้: ลพ.โต. บางกระทิง
[attach]13836[/attach][attach]13835[/attach][attach]13834[/attach]
http://www.pralanna.com/boardpage.php?topicid=58969

โดย: Sornpraram    เวลา: 2016-9-19 06:26

โดย: Sornpraram    เวลา: 2016-9-19 06:31
เมื่อกล่าวถึงพระหลวงพ่อโต บางกระทิง  อยุธยา นักนิยมพระรุ่นเก่า ร้องอ๋อ  พระนักเลงได้น้อง ห้อยแล้วชอบมีเรื่อง   สำหรับนักเลงโดยเฉพาะ หรือสำหรับคนนิยมของแรง ๆ  พุทธคุณทางอยู่ยงคงกระพัน เลือกพระกรุนี้ไว้ใช้ไม่ผิดหวัง          ย้อนไปเมื่อประมาณ 11 ปี ก่อนครั้งแรกที่ผมเริ่มจะเช่าพระ  พระองค์แรก คือพระวัดปากน้ำ รุ่น  6 องค์ละ 300 บาท เช่ามาห้อยอย่างหรูเลย แต่เป็นอย่างไรไม่ทราบรู้สึกถูกชะตากับพระหลวงพ่อโต บางกระทิง  ทั้งพิมพ์ทรงประสบการณ์  ตอนนั้นเรียนอยู่ มัธยมปีที่ 5 ศรัธทาพระหลวงพ่อโต มาก เก็บเงินค่าขนมได้ อยู่ 700 บาท ก็ตั้งใจว่าจะฝากพ่อไปเช่าพระหลวงพ่อโต ซักองค์ ฝากไปทีไร เวลาพ่อผมเข้าท่าพระจันทร์ ก็ไม่เห็นเช่ามาให้ซักที ตอนหลังมารู้ว่าแกเก็บแต่พระเกจิอาจารย์ พระกรุดุไม่เป็น  
           ถึงขนาดผมไปด้วยที่วัดราชนัดดา  พบเซียนพระแต่ไม่ค่อยมีขื่อเสียงเท่าไร แต่เล่นพระดี ซื่อตรง  พอบอกว่าผมอยากได้พระหลวงพ่อโต ครับ  ลุงมีอยู่หรือเปล่า  จะเช่ามีงบ 700 บาท แกส่ายหัวไปมา พร้อมมองหน้าพ่อผม  แล้วพูดว่า  " อย่าเอาไปเลยหนุ่ม  ลุงปล่อยไปให้แต่ละคน นำไปใช้ นำมาขายคืนทุกที  "  เพราะเอาไปห้อย แล้วมีเรื่องตีกับเขาอยู่เรื่อย  เจ็บตัวเปล่า หาอย่างอื่น ซิ นี้หลวงพ่อโตเหมือนกัน

พอเห็นพระองค์ที่แกเสนอให้   ผมบอก " โฮ้พระอะไรครับลุง น่ารักเชียว  ทรงหลวงพ่อโต บางกระทิง ซะด้วยแต่ทำไมไม่ดุ เลย ดูน่ารัก "  แกบอก เฮ้อ ๆ  นี่แหละน้องน่าเอาไปห้อยมากกว่า หลวงพ่อโตหลวงปู่นาค วัดระฆังสร้าง  เนื้อผงพุทธคุณร้อยแปด  เมตตาดี ไม่มีบู๊  ห้อยแล้วปลอดภัยหายห่วง "  ตกลงก็วันนั้นเช่าหมด  4 องค์ ๆ ละ 150 บาท ยืมเงินพ่อเช่าด้วย   เอามาเก็บไว้ตอนหลังก็ปล่อยไป องค์ละ 600 บาท หมดเหมือนกัน  
           ผ่านมาหลายปี ผมเล่นพระเจอหลวงพ่อโต หลายสภาพทั้งสึก ทั้งสวย ทั้งเก๊ มีหมด โดนหมด เพราะเล่นแบบแลกหมัดกันเลย ไม่ต้องมีครูโดน เป็นโดน  บางองค์ที่ผมโดนมาแสบ ขนาดหนังสือพระบางเล่มเอาไปลงเป็นองค์ครู เปรียบเทียบเก๊แท้กันเลย แล้วอย่างนี้คนเล่นพระรุ่นหลังจะเป็นไหมเนี่ย  ก็คิดดูถ้าดูแต่รูปตำหนิต่าง ๆ  องค์ที่ผมโดนเก๊ คนต้องชอบแน่นอน ธรรมชาติดีมาก ๆ  แต่เก๊คือเก๊ ครับ เซียนรุ่นเก่าชั้นเซียน ปรมาจารย์ เขาเห็นเยอะตั้งกะองค์ละ 5 บาท  เห็นปั๊บ เก๊นะไอ้น้อง

    ก็ไม่เป็นไร เก๊ก็เอาไว้เป็นครู เราเกิดไม่ทันช่วงพระออกจากกรุ ซะนี้ ต่อมาเห็นหนังสือพระเขียน ว่าพระหลวงพ่อโต แม้จริงไม้ได้เป็นพระนักเลง อะไรทั้งนั้นคิดกันไปเองทั้งสิ้น   ผมก็เห็นด้วย  คงไม่ใช้อย่างนั้นหรอก แหมพระอะไรห้อยแล้วร้อน ชอบมีเรื่อง    ผมจึงปล่อยพระหลวงพ่อโต ให้กับคนรู้จักแถวบ้าน แกก็ชอบ บอกพระประสบการณ์ดี  คนใช้มาเยอะ โม้แหลก แกบอกหยุดไม่ต้องโม้มาก พระนี้แกเคยเห็นในหนังสือมาแล้ว  เป็นพระนิยมจริง เช่าไว้ 1 องค์สภาพสึก 1200 บาทเอง
           หายไปประมาณ 1 อาทิตย์ แกกลับมาหาผมอีก ผมเห็นแกมาก็เตรียมเสนอพระอีกคราวนี้ว่าจะเอาพระหูยานชินเขียวเลย จะได้เอาไปคู่กันกับหลวงพ่อโต จะได้นำไปรบกันให้สุดใจไปเลย  ผมเชื่อว่าปล่อยพระให้เฮียคนนี้ให้ตายอย่างไร ก็ไม่มีเรื่อง  เพราะอุปนิสัย ของเฮียคนที่เช่าพระกับผมนี้เป็นคนเรียบง่าย  พูดจานิ่มนวล บางคนดูแกเป็นเกย์ด้วยซ้ำ  คำพูดแรกที่แกพูด "  เฮ็ฮ......ชื่อผม... เห็นเขาว่าห้อยพระหลวงพ่อโต  แล้วชอบมีเรื่อง จริงหรือ "  สิ้นคำพูดนี้  ผมหน้าเสีย ก็สังเกตุดูหน้าตาแกทันทีว่า มีบาดแผลหรือเปล่าก็ไม่มีนี้  เลยถามว่า ทำไมเหรอครับเฮีย ๆ  ไปมีเรื่องกับใครมาเหรอครับ แกบอกเกือบตาย หลังจากแกเช่าพระกับผมไปห้อย มีอยู่วันหนึ่งแกต้องไปพบเพื่อนเที่ยว ที่ผับตะวันแดง  ด้วนกัน ให้น้องชายไปส่ง พอถึง แกก็ลงจากรถมอเตอร์ไซด์ ตามปรกติ   มีชายหลายคนเดินเข้ามาหาเลย ประมาณ 10 คน  พร้อมถาม  " เฮ้ย ไอ้น้อง มึงใหญ่มาจากไหนวะ  ทำไมมาขับมอเตอร์ไซด์ เสียงดังอย่างนี้  อยากมีปัญหาหรือไง "


    ขณะนั้นเฮียแกไม่เข้าใจ ว่าแกไปทำอะไรให้พวกมันหรือ มันถึงตรงดิ่งเข้ามาอย่างนี้    แต่ใจหึกเหิม อาจหาญพร้อมที่จะสู้แบบไว้ลาย แต่ 1 ต่อ 10 แบบนี้จะตายแทนมากกว่า เลยคิดแก้ปัญหา ใช้สติ ใช้ความอ่อนน้อมสยบความแข๊งกร้าว  ดังนั้น จึงไห้วพวกมัน และบอกว่าผมขอโทษ ไม่ได้ตั้งไจไม่ทราบว่าจะดังมากรบกวนพวกพี่ ๆ    ฝ่ายนักเลง ก็มีน้ำใจ เอ้อ ไม่เป็นไร แต่คราวหน้าอย่าดังอย่างนี้อีก  แล้วก็เลิกกันไป           
           จบเรื่องที่แกเล่า ผมวูบทันที กลัวโดนด่า หาว่าไม่บอกก่อน ว่าห้อยพระหลวงพ่อโต แล้วชอบมีเรื่อง ก็หนังสือพระเขาบอกเองว่าคิดกันไปเอง ทั้งนั้น แล้วทำไมเป็นอย่างนี้หว่า  สุดท้ายนอกจากแกไม่โกรธผมแล้ว  ยังเช่าเพิ่มอีก 2 องค์เพราะเชื่อในพระพุทธคุณแล้ว ว่า มีเรื่องจริง มาเองเลยแบบดิลิเวอรี่ พิซซ่า  มาหาเอง
           ปัจจุบันบางครั้งผมห้อยพระหลวงพ่อโต บ้างบางครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่ง ห้อยไปทานข้าวต้มแถวบ้าน ห้อยไปก็พะวง ไปด้วยว่าท่านจะแสดงปฏิหาริย์  อย่างที่ลูกค้าผมโดนหรือเปล่า คือรีบกินรีบกลับ ดีกว่า จะได้ปลอดภัย เพราะยังอยากอยู่ดูพระต่อไปอีกนาน ๆ  ครับ  
           เพื่อน ๆ ฟังเรื่องนี้แล้ว ก็อย่าเชื่อผมมาก  เพราะหนังสือเขาบอกแล้วว่าห้อยแล้วปรกติ  ที่มีเรื่องนะคิดกันไปเองทั้งนั้น ครับ    สวัสดี

http://forum.uamulet.com/view_topic.aspx?bid=2&qid=727

โดย: Sornpraram    เวลา: 2016-9-19 06:33


อันว่าพุทธศาสนิกชนและพวกนักอนุรักษ์ที่นิยมการสะสมพระเครื่องอย่างพวกเรา ๆ ทั้งหลายนั้นมีความเชื่อสืบต่อกันมาเนิ่นนานแล้ว ว่าพุทธคุณของพระเครื่องที่นิยมเล่นหาสะสมกันนั้นมีอยู่จริง

          เริ่มต้นจากคนตั้งกระทู้ Jorawis เองนั้น รู้จักพุทธคุณและชื่อเสียงเรียงนามของพระเครื่องครั้งแรกจากหนังสือจ้า ในหัสนิยายชุดสามเกลอ หรือพล นิกร กิมหงวน ของสุดยอดนักประพันธ์ อย่างท่าน ป. อินทรปาลิตร ที่เขียนไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2483 เป็นต้นมา ( ไม่ได้อ่านในการพิมพ์ครั้งแรกนะ เดี๋ยวจะหาว่าJorawis แก่ขนาด !!! มาได้อ่านตอนพิมพ์ครั้งหลัง ๆ โดยมีการพิมพ์ต่อเนื่องอีกหลายครั้ง โดยสำนักพิมพ์ผดุงสาส์นจ้า)  อ่านตั้งแต่เด็กจนจำได้ว่า ตัวละครในเรื่องนี้หลายคนมีพระยอดนิยมประจำกาย เช่น เจ้าคุณปัจจนึกฯ มีพระกริ่งปวเรศฯ และพระปิดตาแร่บางไผ่  อาเสี่ยกิมหงวน ไทยเทียม มีพระสมเด็จวัดระฆังฯ พล  พัชราภรณ์  มีพระปิดตาท้ายย่าน ที่เช่ามาจากคนรับใช้ประจำตัวจอมแสบอย่างเจ้าแห้ว โหระพากุล ในราคาแพงมาก(ในสมัยนั้น) ถึง 30 ห่อ (มาตรการแลกเปลี่ยนพระในสมัยนั้น เทียบจากมูลค่าของใบชาจากต่างประเทศอย่างดี ที่ห่อด้วยแผ่นดีบุกห่อละ 1 ชั่ง ห่อละ 1 บาท ซึ่งต่อมาแผ่นดีบุกผสมตะกั่วนี้เองที่กลับกลายมาเป็นวัสดุหาได้ง่ายตามวัดทั่วไป ที่พระเกจิอาคมขลังมากมายในยุคก่อนใช้เป็นวัสดุหลักในการสร้างตะกรุด หรือพระเครื่องในยุคแรกที่เริ่มสร้างหรือลองพิมพ์พระที่เรามาเรียกกันว่าพระเนื้อตะกั่วยุคต้นนั่นเอง)

ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้Jorawis เริ่มสนใจใฝ่รู้ถึงขนาดยืนแอบอ่านหนังสือพระยอดนิยมในยุคนั้น อันได้แก่ ลานโพธิ์ พระเครื่องปริทรรศน์ หรือแม้กระทั่งหนังสือยอดนิยมปกแข็งเล่มค่อนข้างหนาที่ลงภาพสีสันสดสวยคมชัดที่สุดในยุคนั้น คือ ชาตรีในร้านแพร่พิทยา ที่วังบูรพา หรือ ตามแผงหนังสือเก่าแถวหลังพระแม่ธรณีบีบมวยผม เป็นชั่วโมง ๆ หนักเข้าถึงขนาดครึ่งค่อนวัน หรือทั้งวันก็เคย แทนที่จะไปเช่าจักรยานหัดขี่เหมือนเด็กทั่วไปที่นิยมไปสนามหลวงกัน เพื่อหัดขี่จักรยาน วิ่งว่าว หรือ เล่นกีฬากลางแจ้งออกกำลังกายกัน

ผลก็คือ ตัวยิ่งเล็กจิ๋ว ผอมหัวโต  ยิ่งได้ดูหนังเรื่องเสาร์5 ที่สร้างและเข้าฉายใน พ.ศ. 2519 ที่พระเอกแต่ละคนมีพระเครื่องประจำตัว ทำให้คงกระพันยิงไม่ออกฟันไมเข้า เท่าที่พอจำได้ก็มี

ด้วยความเป็นเด็ก จำได้ว่าหลังจากดูหนังเรื่องนี้ Jorawis เริ่มต้นเข้าห้องพระรื้อหาพระที่เห็นในหนังมาห้อย คว้าได้พระนางพญามาองค์นึง นำไปเลี่ยมชูคอด้วยความภูมิใจอยู่นาน จนมารู้ภายหลังว่า เป็นพระแจกกฐิน ผ้าป่า จ้า 5555



โดย: Sornpraram    เวลา: 2016-9-19 06:34
ต่อมาโตขึ้นมาอีกหน่อยตอนเรียนชั้นมัธยม(ที่สมัยนั้นเรียกกันว่า ม.ศ – มัธยมศึกษาปีที่ 1-5 ที่โดนยกเลิกและเปลี่ยนเป็น ม.1-6 แทน โดยชั้น ม.ศ.5 รุ่นสุดท้ายจบการศึกษาในปี พ.ศ. 2525)  เนื่องจากในละแวกโรงเรียนที่ Jorawis เรียนอยู่นั้น มีแหล่งชุมนุมนักสะสมพระอยู่ 2 แห่ง ที่อยู่ใกล้กัน

จุดแรกได้แก่ ร้านกาแฟ ออน ล็อก หยุ่น  ทุกเช้าไปจนสาย ๆ จะมีเซียนพระรุ่นใหญ่(ในสมัยนั้น) มานั่งส่องพระจิบกาแฟกัน ไอ้เรามันเด็กนักเรียน ก็เลยนั่งกินขนมปังปิ้ง กับนมชงชนิดใส่น้ำแดงที่เรียกว่านมเย็น ตามแบบวายร้ายในหนังไทย ตอนนั้นได้แต่นั่ง อ้าปากฟังท่านผู้อาวุโสเหล่านั้นคุยเรื่องพระและประสบการณ์มากมาย   แต่ที่มีโอกาสซักถามและท่านได้กรุณาเล่าให้ฟังชนิดตัวต่อ ด้วยความเอ็นดูด้วยเห็นว่าเป็นเด็กน้อย แต่ช่างซักช่างถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก็คือเซียนพระอาวุโสท่านนึง ที่มีนิวาสสถานอยู่แถว เชิงสะพานพุทธ ฝั่งธนบุรี ที่ปัจจุบันถึงแก่กรรมไปแล้ว ท่านได้เล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ของพระหลวงพ่อโต  กรุบางกระทิง เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีมาแล้วที่ร้านของท่านว่าวันหนึ่งช่วงบ่าย ๆ มีคนอยู่ในร้านหลายคน  มีเด็กวัยรุ่นคนนึงถือพระหลวงพ่อโตบางกระทิง เข้ามาปล่อยให้เช่า ขณะที่กำลังรุมส่องพระกันอยู่ เกิดมีคู่อริของเด็กนั้น เดินผ่านมาแล้วจำได้ จึงวิ่งเข้ามาในร้านพร้อมกับชักมีดจ้วงแทงไม่นับ  แล้วหนีไป เล่นเอาวงพระที่กำลังส่องพระกันอย่างเพลิดเพลินแตกกระเจิงกันเลยทีเดียว หลังจากเหตุการณ์สงบ วงพรี่แตกกระจายจึงกลับมารวมตัวกัน และมีผู้เข้าไปดูอาการของผู้ถูกแทง ที่นอนแน่นิ่งไป น่าแปลกที่ไม่มีบาดแผลให้เห็น แต่เสื้อกลับขาดกระจุย เรื่องนี้เป็นที่ร่ำลือกันอยู่นานทีเดียวในครั้งนั้น จนทำให้หลายต่อหลายคนยอมรับในพุทธคุณของพระหลวงพ่อโต กรุวัดบางกระทิงว่าสุดยอดคงกระพันสมคำร่ำลือเพียงใด และอยู่ในความทรงจำของJorawis มาจนทุกวันนี้ และพระหลวงพ่อโต  กรุบางกระทิงนี้เอง ที่Jorawis เก็บเงินเช่ามาเป็นพระองค์แรกในชีวิตจนกระทั่งได้เจอประสบการณ์จริงกับตัวเองในเวลาต่อมาจ้า  



โดย: Sornpraram    เวลา: 2016-9-19 06:35
ย้อนกลับมาถึงแหล่งชุมนุมเซียนพระอีกแห่งนึงในละแวกเดียวกัน สถานที่แห่งนี้เรียกกันว่า “มะขามแสควร์” อยู่บริเวณด้านหลังโรงหนังเฉลิมกรุง นับเป็นที่ชุมนุมเจ้ายุทธจักร  หลากหลายสาขาทั้งสาขาการแสดง ตั้งแต่ คนเขียนบท ผู้กำกับ(ภาพยนตร์) ผู้อำนวยการสร้าง(นั่งรอนายทุน) ดารา ตัวประกอบ ที่หน้าตาคุ้น ๆ กันในจอภาพยนตร์ ไปจนถึงนักพากย์ และคนฉายหนัง และที่ขาดไม่ได้ก็คือแผงพระ  เซียนพระใน มะขามแสควร์ จะเป็นคนละกลุ่มกับที่ร้าน ออน ล็อก หยุ่น ในสายตาเด็กนักเรียนของ Jorawis ในยุคนั้น เซียนพระที่นี่ แต่งตัวแปลกตา บางคนดูสง่าสุขุมนุ่มลึก มาดหรูดูน่าเกรงขาม  ราคาเช่าหาของพระ ณ ที่นี้สูงมาก เป็นหลักหมื่นหลักแสนแทบทุกองค์ ก็ได้แค่ดูห่าง ๆ เวลาเค้าเปิดกล่องเปิดราคาเช่าพระกัน  แต่ก็มีหลายครั้งที่ได้เห็นเค้าตุ๊งพระหลัก ๆ ชุดเบญจภาคีกัน โห!!!!ตื่นเต้นมาก เปิดราคาที่ 3 องค์ เกือบ 1 ล้านบาท ยืนแอบ ๆเมียง ๆ มองๆ ดูอยู่ห่าง ๆ กลัวจะไปแกะกะเค้า  ลุ้นตั้งแต่ต้นจนจบ จนได้รู้ว่าจบในราคา 3 องค์ ราคาเช่า 850 บาทถ้วน พร้อมตลับเสตนเลส อย่างดีทุกองค์!!!!!!5555555
หลังจากนั้นก็ยังแวะเวียนไปอยู่บ่อย ๆ จนมีผู้ใหญ่ใจดีท่านนึง มาชี้ทางสว่างให้ ว่าถ้าสนใจใฝ่รู้ในศาสตร์พระเครื่องนี้จริง ๆ  ให้เปลี่ยนแหล่งหาพระชมเถิด ไอ้หนูเอ๋ย  อยู่แถวนี้เดี๋ยวจะเข้ารกเข้าพง  ชะดีชะร้ายเกิดไปพบอาจารย์ผู้ทรงคุณเข้า จะพากันกระโดดลงเหว ทั้งศิษย์และอาจารย์จะเป็นบาปเป็นกรรมเสียเปล่า ๆ สมัยนั้นผู้คนในสังคมยังตราหน้าพวกวงการพระอยู่ว่าเป็นพวก “ขายพระกิน”  ไม่ได้เป็น  “นักอนุรักษ์” อันเป็นที่เชิดหน้าชูตาของสังคมแบบในปัจจุบัน

ภาพประกอบศาลาเฉลิมกรุง ในปี พ.ศ.๒๕๒๓ แทบไม่แตกต่างกับสภาพปัจจุบัน  
(ภาพ: ศูนย์ข้อมูล เมืองโบราณ / ประเวช ตันตราภิรมย์)


โดย: Sornpraram    เวลา: 2016-9-19 06:36
ในยุคนั้นยังมีอีกแหล่งที่มีผู้คนนิยมไปเช่าหาแลกเปลี่ยนพระจนกลายเป็นแหล่งรวมแผงพระขนาดใหญ่ ซึ่งJorawis ค้นพบเข้าโดยบังเอิญจากความตะกละ คือ สนามบริเวณลานโพธิ์ภายในวัดมหาธาตุ  เหตุจากการพบนั้นเกิดจากมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า มีร้านข้าวแช่ อร่อยมากอยู่ร้านนึง อยู่บริเวณลานโพธิ์ วัดมหาธาตุ ตรงข้ามกับท่าพระจันทร์นี้เอง

เมื่อไปถึงจึงพบว่าในบริเวณเดียวกันนี้มีแผงพระมากมาย ทั้งยังมีเซียนพระอาวุโส รุ่นเก่า ๆ หลายต่อหลายท่าน  ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าสนามนี้มากมาย เท่าที่พอจำได้ ว่าเคยได้พูดคุยขอความรู้จากท่านเหล่านี้ ก็มีน้าลิ(ไม่แน่ใจว่าในวงการเรียกลิใหญ่หรือลิเล็ก เพราะมีอยู่ด้วยกันทั้งสองลิในยุคเดียวกัน)   อาจารย์เภา ศกุนตะสุต ปรมาจารย์เหรียญผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุคนั้น หรือแม้กระทั่ง อาจารย์ปรีชา  ดวงวิชัย Jorawis ก็เคยได้ขอความรู้จากท่านเหล่านี้  อีกทั้งหลายท่านได้เมตตาสั่งสอนมารยาทในการขอชมพระ และการจับต้ององค์พระอย่างทนุถนอมให้ถูกวิธีอีกด้วย  ซึ่งJorawis ก็นำมาปฎิบัติจนกระทั่งปัจจุบัน

ตอนนั้นนอกจากสนามพระวัดมหาธาตุและบริเวณท้องสนามหลวงในวันมีตลาดนัดเสาร์อาทิตย์แล้ว    ยังมีอีกสนามหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลกันนัก เรียกว่าไม่ขึ้นรถให้เสียสตางค์ก็พอเดินถึง ขนาดแค่เหงื่อซึมแผ่นหลัง ได้แก่ย่านบางลำพู  ที่มีแผงเล็กแผงน้อยอยู่รวมกับร้านเลี่ยมและซ่อมพระแถวริมถนนสิบสามห้างข้างวัดบวรฯ และที่จัดว่าเป็นแหล่ง “ไฮโซ” ของยุคก็มีในร้านทองริมถนนพระสุเมรุอีกหนึ่ง และติดกับโรงแรมเวียงใต้ในถนนตะนาว ศูนย์นี้เรียกได้ว่าเป็นศูนย์พระเครื่องแห่งแรก ๆ ที่มีร้านตั้งอยู่เป็นที่เป็นทางเป็นหลักเป็นฐาน  ถ้าจำไม่ผิด น่าจะมีร้านของเจ้าพ่อเครื่องราง น้าเชาว์ หนองแขม(ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) และคุณระวิ  เลิศนานาวงศ์ อยู่ที่นี่ด้วย




โดย: Sornpraram    เวลา: 2016-9-19 06:36
อ่านมาถึงตอนนี้ หลายคนคงสงสัยแล้วว่า แล้วสนามท่าพระจันทร์ ไปไหนทำไมไม่เห็นพูดถึง???  ก็ต้องเล่าแจ้งแถลงไขกันว่า ในตอนนั้น สนามท่าพระจันทร์ยังมีสภาพเป็นตลาดสด และเพิ่งจะมาเป็นศูนย์รวมร้านพระเครื่องยอดนิยม ก็เมื่อหลังจากที่ทางวัดมหาธาตุต้องการปรับสภาพภูมิทัศน์ ให้เรียบร้อยสง่างาม  ให้เหมาะสมกับเป็นพระอารามหลวงและสมกับที่เป็นสนามสอบบาลีของสมณะรูปจากภูมิภาคต่างๆ งานนี้งานช้างขนาดเป็นเรื่องใหญ่ เป็นรองแค่ข่าวการย้ายตลาดนัดสนามหลวงไปอยู่ชานเมือง(ตอนนั้น)เท่านั้น บรรดาแผงพระซึ่งมีจำนวนร้อยในยุคนั้นไม่ยอมออกไป  ร้อนถึงโปลิศ ที่ได้รับแจ้งความจากทางวัด ต้องเข้ามากระชับพื้นที่ และรื้อถอนบรรดาสิ่งปลูกสร้างจนเป็นข่าวเกรียวกราวกันพักนึงในยุคนั้น  จนกระทั่งมีการย้ายที่ไปจับจองแผงกันใหม่ในตลาดท่าพระจันทร์ ซึ่งเฟื่องฟูหรูหราขนาดถนนเส้นทางพระทุกสายมุ่งสู่ท่าพระจันทร์ โดยถ้าจำไม่ผิดมีแผงเสี่ยใบแดง เป็นแผงหมายเลข1 และสาวสวย(ในยุคนั้น) อันได้แก่ เจ๊ติ๋ม ที่ยังยืนยงและคงใช้ฉายาเดิมจนปัจจุบัน และ เจ๊น้อย ขายอาหารตามสั่ง และเจ๊แก้วที่ขายข้ามต้ม เป็นดาวประดับสนาม และที่สนามท่าพระจันทร์นี้เอง ใครที่เคยไปเดินยุคนั้นคงจะจำชุดโต๊ะหินอ่อนท้ายสนาม ที่ใช้เป็นที่สำหรับขาใหญ่ และบรรดาเซียนใหญ่( จริงๆ ) ตุ๊งพระหลักมูลค่าสูงกันได้  แต่ก็มีแผงพระบางส่วนที่แยกไปอยู่ในบริเวณ วัดราชนัดดา หรือแยกย้ายกันไปตั้งศูนย์พระเครื่องตามภูมิลำเนาถิ่นที่อยู่ของตน


โดย: Sornpraram    เวลา: 2016-9-19 06:37
และในช่วงดังกล่าวนี้เอง บ่ายวันหนึ่ง ขณะที่ Jorawis เดินเล่นอยู่แถวห้างแก้วฟ้าพลาซ่า ในละแวกบางลำพู  กำลังจด ๆจ้อง ๆ จะข้ามถนน พลันก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นชายคนหนึ่งวิ่งตัดหน้ารถในระยะกระชั้นชิด ทำให้รถที่ผ่านมาเบรกไม่ทันชนเข้าเต็มแรงจน เสียงดังสนั่น หมอนั่นกระเด็นไปกองอยู่ริมทางแน่นิ่งไป  จากที่เห็นคิดว่าตายแล้วแน่นอน ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงวิ่งเข้าไปดูใกล้ ๆ น่าแปลกที่ไม่มีเลือดออกซักหยดทั้ง ๆ ที่เสื้อผ้าขาดเพราะแรงชน  จนหายจุกนายคนนั้นจึงลุกขึ้นนั่ง  พร้อมกับยกมือท่วมหัว  เห็นในมือมีสร้อยที่ขาดและพระเนื้อผงสีขาวองค์เล็ก ๆ  รูปห้าเหลี่ยมที่หักไปครึ่งองค์อยู่ในกรอบ  ด้วยความอยากรู้จึงถามพวกไทยมุงที่รุมล้อมกันอยู่ จนได้คำตอบว่า พระองค์ที่หักนั้น คือ  “พระหลวงปู่ภู วัดอินทร์ ”
ครั้งนั้นนับเป็นครั้งแรก ที่Jorawis ได้ประจักษ์แจ้งในพุทธานุภาพของพระเครื่อง ชนิด “เต็ม 2 ตา”!!!!


โดย: Sornpraram    เวลา: 2016-9-19 06:37
เมื่อมีครั้งแรก ก็ต้องมีครั้งต่อไป ครั้งหลังนี้เกิดขึ้นหลังจากครั้งแรกหลายสิบปีอยู่จำได้ว่าตอนนั้นทำงานแล้ว กำลังเฟื่อง เพิ่งจะมีรถ ทั้งที่เริ่มทำงานได้ไม่กี่ปี ตอนนั้นอยู่ในช่วงบอลโลกฟีเวอร์ ปีอะไรจำไม่ได้รู้แต่ว่า ปีนั้นจัดที่อิตาลี ขณะนั้นถนนสุวินทวงศ์กำลังก่อสร้าง รถวิ่งผ่านออกไปถึงบางปะกงได้แล้วแต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี ตอนนั้นแต่งตัวเนี๊ยบใส่สูทผูกเน็กไท ใส่สแล็คเป็นหนุ่มออฟฟิต  เรื่องพระเพลาลงแยะเพราะมีกิเลสอื่นมาบังตามากมายไปหมด ค่านิยมในการคล้องพระหลายองค์หมดไป ในคอจึงมีเพียงสร้อยทองเคเส้นเล็ก ๆ ตามสมัยนิยม และพระแก้วมรกต แบบพระฉีดลอยองค์ทรงเครื่องฤดูร้อน ลงสีเขียวบนผิวพระแบบที่พบเห็นตามร้านพระนับร้อยในท่าพระจันทร์หรือร้านทองทั่วไป ขนาดองค์เล็ก ๆ ตามขนาดของสร้อยพร้อมเลี่ยมจับขอบทองอยู่หนึ่งองค์
อันพระแก้วองค์นี้ Jorawis จำได้ว่าได้รับจากมือของหลวงพ่อขอม แห่งวัดไผ่โรงวัว เมื่อครั้งนั่งเรือไปเที่ยวที่วัดไผ่โรงวัว (ในช่วงนั้นจะไปเที่ยววัดไผ่โรงวัว จะต้องนั่งเรือไปแต่เช้าจาก ท่าช้าง โดยผ่านประตูน้ำ และสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งเช่น แวะดูนกปากห่าง ที่วัดไผ่ล้อม ในจังหวัดปทุมธานี ) โดยก่อนหน้าที่จะไปกราบหลวงพ่อขอมนั้น Jorawis ไม่ได้ห้อยพระ แต่ห้อยจี้ขนาดเล็กรูปบ้องกัญชาขนาดเล็กทำด้วยเงิน ที่มีเพื่อนคนนึงซื้อมาฝาก ไอ้เจ้าจี้บ้องกัญชาเจ้ากรรมดันแลบออกนอกคอเสื้อ ตอนที่ไปก้มลงกราบหลวงพ่อท่านจึงถามด้วยความเมตตาว่า

“เอ็งคล้องพระอะไรหรือลูก ไหนขอหลวงพ่อดูหน่อยซิ???”


เวรกรรมจริง ๆ ตอนนั้นยังเด็ก ๆ ไปเที่ยวกับครอบครัว หันมามองตาผู้ใหญ่แล้วไม่กล้าขัด จึงจำใจถอดสร้อยพร้อมจี้อันนั้น ส่งให้หลวงพ่อท่านไป

          “ มันเป็นอะไรหรือลูก ไอ้ที่ห้อยอยู่เนี่ย หน้าตาพิกล?”


เมื่อโดนถามหนัก ๆ เข้า ก็ต้องกราบเรียนท่านไปตามตรง ท่านจึงบอกว่า

      “อย่าไปคล้องคอเลยลูก มันเป็นของไม่ดี??”      


                พอพูดจบเท่านั้นท่านก็ยึดไว้แล้วพูดต่อว่า

“เอาแบบนี้ไปคล้องดีกว่า หลวงพ่อให้ แล้วขอแลกสร้อยเก่าที่ลูกคล้องมาก็แล้วกัน”


ว่าแล้วท่านก็ส่งพระองค์เล็ก ๆ เลี่ยมพลาสติกไว้ มีสร้อยคอ สเตนเลส ขนาดเล็ก ๆ มาให้พร้อมกันเสร็จสรรพ
เสียดายของก็เสียดาย ของรักของหวงซะด้วยไอ้ครั้นจะไม่ยอมแลก ก็เกรงใจผู้ใหญ่ที่ตั้งตนเป็นกองเชียร์อยู่รอบข้างก็เลยต้องยอมแลกไปในที่สุด
และพระองค์นี้เมื่อกลับมาจากวัดจึงนำไปเลี่ยมทองจับขอบไว้ เก็บลืมไปนานหลายปี เมื่อถึงยุคใส่สร้อยทองเส้นเล็ก สั้นติดคอจึงนำมาใส่ด้วยขนาดที่เล็ก และเป็นพระเลี่ยมทองอยู่แล้วจึงเข้าชุดกันพอดี

วันที่จะเกิดเรื่อง Jorawis มีธุระด่วนต้องขับรถกระบะไปตามถนนสุวินทวงศ์ กลางดึก ในช่วงเวลานั้นถนนเส้นที่ว่านี้ตลอดสานมีหลายช่วงหลายตอนที่มีการซ่อมสร้างผิวจราจรต้องขับเปลี่ยนเลนไปมาตลอด ก่อนเข้าช่วงโค้งใหญ่สุดท้ายก่อนเข้าเขตจังหวัดฉะเชิงเทรา มีฝนตกพรำๆ ทางข้างหน้ามีดสนิท ไม่มีรถ  ส่วนด้านหลังมีรถบรรทุกแบบพ่วงขับตามกันมา ทิ้งระยะห่างพอสมควร เนื่องจากผิวทางด้านซ้ายค่อนข้างขรุขระ จึงเปลี่ยนเลนมาขับในช่องทางด้านขวาแทน ช่วงนั้นเองเป็นจังหวะที่รถพ่วงด้านหลังกำลังจะเร่งแซง เมื่อJorawis เปลี่ยนเลนมาทางขวา จึงต้องแซงทางด้านซ้ายแทน แต่ทางข้างหน้ากำลังจะเข้าทางโค้งด้านขวา  เมื่อรถพ่วงเร่งแซงแล้วจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนเลนมาทางขวาทันที เมื่อรถเปลี่ยนเลนกะทันหันทำให้ช่วงท้ายของรถตัวพ่วงฟาดเข้ากับ ประตูด้านข้างคนขับของรถกระบะที่Jorawis ขับอยู่   เสียงดังสนั่นจนแก้วหูลั่นเปรี๊ยะ  แรงปะทะทำให้รถกระบะเสียหลัก พลิกคว่ำหลายสิบตลบไปอยู่ในถนนฝั่งตรงข้าม ที่มีคูร่องน้ำกั้นอยู่ตรงกลาง ประตูด้านคนขับฉีกขาดออกด้วยแรงอัดจากแรงปะทะของประตูฝั่งตรงข้าม ตัวของJorawis ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยจึงกระเด็นออกจากในรถพร้อมกันกับประตู กระเด็นไปคนละทาง ห่างจากจุดที่รถหยุดเกือบ 70 เมตร  เมื่อหายจุกJorawis  จึงลุกมาสำรวจบาดแผลตามร่างกายของตัวเอง น่าแปลกที่มีแค่เพียงบาดแผลเหนือหัวคิ้วด้านขวาเป็นรอยเล็กๆ ความยาวไม่ถึง 2 ซ.ม และแผลฉีกขาดไม่ใหญ่นัก จากเศษโลหะมีคมของประตูที่ฉีกขาดออกมาจากแรงปะทะ ที่บริเวณเหนือเข่าด้านซ้าย และที่เหลือเชื่อกว่านั้นก็คือ !!!! สร้อยทองเคเส้นบางๆ ขนาดน้ำหนักไม่เกิน 3 กรัม และพระแก้วเลี่ยมจับขอบทององค์นั้น ยังอยู่เป็นปกติในคอเหมือนเดิม หลังจากนั้นอีกไม่นานนัก ก็มีรถกู้ภัยของมูลนิธิร่มไทร เจ้าของพื้นที่ก็มาถึงก่อนเพื่อน และมีอีก  มูลนิธิตามมาติด ๆ  ส่วนไอ้เจ้ารถพ่วงคู่กรณีนั้น ไม่ต้องพูดถึง ห้อตะบึงหนีไปตามระเบียบ ( ไม่รู้ว่าใคร??? เกิดอุบัติเหตุทีไรก็หนีไปตามตาคนนี้ทุกที) เมื่อเห็นสภาพรถที่เหมือนกระดาษโดนขยำจนไม่เหลือสภาพรถในที่เกิดเหตุแล้วต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า

“คนขับไม่น่ารอด สงสัยต้องเดินตามเก็บชิ้นส่วนกันอีกแล้ว”


  ทั้ง ๆ ที่คนขับก็ยืนหมดสภาพอยู่ข้าง ๆ นั่นเอง!!!!

ที่ว่าสภาพรถเละไม่ต่างจากกระดาษที่โดนขยำนั้น ไม่เกินความจริงไปจนโอเวอร์หรอกจ้า เพราะหลังจากนั้น Jorawis  ต้องไปเคลียร์เรื่องรถกับบริษัทประกัน ตามกรมธรรม์คุ้มครอง เป็นประกันชั้น1 ซ่อมห้าง บริษัทตีมูลค่าการซ่อมรถที่เละเทะขนาดเครื่องยนต์ทะลักออกมานอกฝากระโปรงถึง 250,000 บาท(ราคาเมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้ว) เลยกัดฟันขายคืนซากรถไปแค่ 75,000 บาท

น่าเสียดายว่าต่อมา อีก 2-3 ปีหลังจากเกิดอุบัติครั้งนั้น พระแก้วเลี่ยมทององค์นั้น ได้หายไปไม่แน่ใจว่าตกหล่นหรือโดนขโมยไป จนบัดนี้ยังหาไม่พบเลยจ้า

                    

โดย: Sornpraram    เวลา: 2016-9-19 06:38
ครั้งล่าสุดที่ทำให้ Jorawis ประจักษ์แจ้งถึงพุทธคุณของพระเครื่องนั้น เกิดเมื่อประมาณ7-8 ปีที่ผ่านมานี้เองจ้า  จำได้ว่าเป็นช่วงใกล้สิ้นปีเต็มที ตอนนั้นน้องชายคนนึงที่รักกันมาก เกิดอยากจะได้พระหลวงพ่อโตกรุบางกระทิงไว้อาราธนาติดตัวซักองค์  หลังจากที่พยายามหาพระแท้ดูง่าย สภาพพอสวยราคาไม่สูงนักตามใบสั่ง ก็เดินหาไปเรื่อยจนไปพบเข้าองค์นึง  เมื่อได้มาแล้วจึงแจ้งให้เจ้าน้องคนนั้นทราบ แล้วก็เลยนัดกันว่าจะไปส่งให้ถึงบ้านที่อยู่ไม่ไกลจากกันมากนัก และเคยไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ทีนี้ไอ้ช่วงเวลานั้นใครๆ ก็วิ่งส่งของเพื่อให้ได้รับทันก่อนวันปีใหม่  ช่วงระยะทางจากบ้านของ Jorawis ไปยังบ้านน้องที่ต้องไปส่งพระ ก็ต้องผ่านบ้านญาติของ Jorawis อีกคนที่คิดไว้ว่าจะไปส่งของขวัญปีใหม่ให้ทัน เมื่อคิดได้ดังนี้ งั้นอย่าให้เสียเที่ยวเลย ออกจากบ้านครั้งเดียวแวะไปส่งของได้ 2 บ้านก็น่าจะดี ว่าแล้วก็รีบกระหืดกระหอบออกจากบ้านเพราะเวลามีจำกัด จนลีมคล้องสร้อยพระที่อาราธนาอยู่เป็นประจำออกไปด้วย  คนเราเวลามีเคราะห์มักจะมองข้ามความปลอดภัยหรือประมาทเลินเล่อเสมอ
หลังจากจอดรถที่หน้าบ้านของญาติคนนี้ Jorawis จึงสอดมือเข้าไปล้วงกลอนเพื่อเปิดประตูตามความเคยชิน เนื่องจากบ้านนี้ไม่เคยมีหมา  ทั้งๆ ที่เจ้าของรักน้องหมาเป็นชีวิตจิตใจ แต่มีอาชีพการงานที่ต้องเดินทางอยู่ตลอดเวลาจนไม่อาจมีสัตว์เลี้ยงไว้ในบ้านให้เป็นภาระได้ เมื่อแง้มประตูบ้านขณะที่กำลังจะเปิดประตูก้าวเข้าบ้าน พลันหูก็ได้ยินเสียงคำราม ด้วยสัญชาตญาณJorawis จึงยกแขนขึ้นกั้นระหว่างหน้ากับคอ  ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็คือ หมาร็อตไวเลอร์ ตัวดำมะเมี่อมไซส์ยักษ์ พุ่งหัวโตขนาดบาตรพระเพื่อขย้ำคอหอยตามสัญชาติญาณ เคราะห์ยังดีที่ Jorawis ยกแขนกั้นไว้ จึงโดนขย้ำแค่ช่วงท้องแขน  ขณะกำลังชุลมุนวุ่นวายกันอยู่นั้น  มีเสียงคุ้นหูตะโกนเรียกชื่อน้องหมาตัวขนาดลูกควายอยู่เป็นระยะ  ๆ ปล้ำกันอยู่พักใหญ่ น้องลูกควายจึงยอมเปิดปากปล่อยแขน Jorawis ให้เป็นอิสระ ญาติจึงพาไปล้างแผลที่มีแต่คราบน้ำลายเป็นฟองฟ่อดไปหมด น่าแปลกที่เมื่อล้างคราบน้ำลายจึงพบว่าที่ท้องแขนมีแต่รอยเขี้ยวเป็นหลุม แต่หนังไม่ขาดไม่มีเลือดออกซักหยด ซึ่งทั้งเนื้อทั้งตัวของ Jorawis มีเพียงพระหลวงพ่อโต กรุบางกระทิงในกระเป๋าเสื้อที่จะต้องไปส่งให้น้องเพียงองค์เดียวเท่านั้น  เมื่อสอบถามญาติถึงที่มาของน้องมาขนาดยักษืที่จู่ ๆ ก็โผล่ขึ้นมาจึงได้ถึงบางอ้อ ว่าเป็นหมาของข้างบ้านที่เจ้าของบ้านและครอบครัวบินไปฉลองปีใหม่กันในต่างประเทศ เลยฝากเลี้ยงไว้ชั่วคราวเพราะเห็นว่าคุ้นเคยกันดี  ความซวยต้อนรับปีใหม่ ส่งท้ายปีเก่าจึงตกมาอยู่กับJorawis ผู้มาส่งของขวัญ หลังจากล้างแขน ต่อจากนั้นหลายวันต่อมาจึงพึ่งสังเกตเห็นว่า ท้องแขนช่วงที่โดนขย้ำ เป็นรอยช้ำเป็นปื้น ๆ ใต้ผิวจนกลายเป็นสีม่วงช้ำไปซีกนึง ประมาณ 2-3 เดิอนจึงจางลง ที่น่าตกใจก็คือ หลังจากโดนขย้ำจนแขนเขียวช้ำ ซักอาทิตย์ กว่า ๆ Jorawis ต้องไปโรงพยาบาลเพราะหมอนัด

เมื่อหมอเห็นรอยช้ำจึงจับไปตรวจ และเข้าห้องเพื่อ X-Ray หลังการตรวจเสร็จสิ้นกระบวนการ จึงพบว่าบริเวณท้องแขนกล้ามเนื้อฉีกขาดจากแรงกัดและกระชากโดยไม่มีบาดแผลฉีกขาดเลยแม้แต่น้อย  งอมพระรามไปหลายเดือนกว่าจะหาย

          สาธุ!!!!! เชื่อสนิทใจแล้วจ้า ว่าพุทธานุภาพแห่งหลวงพ่อโต กรุบางกระทิง ท่านเด่นดังทางคงกระพันสมคำร่ำลือเลยจริงๆ


โดย: Sornpraram    เวลา: 2016-9-19 06:39
เชื่อว่าเพื่อน ๆ พี่ ๆ หลายต่อหลายคนได้ประสบพบพานมากันตนเอง  แบบเดียวกันกับที่ Jorawis เขียนมาจนยืดยาวและเล่าสู่กันฟังจากความทรงจำล้วนๆ หากมีข้อผิดพลาด ใด ๆ ก็ตาม ขออภัยมาไว้ ณ ที่นี้ด้วยจ้า
ขอเชิญทุกท่านที่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับพุทธคุณของพระเครื่องต่างๆ ลองมาเล่าสู่กันฟัง อย่างน้อยก็เป็นการเผยแพร่ข่าวสารให้คนทั่วไปได้รับรู้ ว่าชาววงการพระฯนั้นไม่ได้มีความเชื่อแบบงมงาย  ไร้สาระ แต่เป็นความเชื่อที่มีพื้นฐานของความเป็นจริงที่เกิดขึ้นทั้งยังมีหลักฐานสามารถสืบค้นเพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูลได้ เช่นเดียวกับกระบวนการสรรหาและคัดกรองข้อมูลจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิ และทุตติยภูมิ เพื่อบันทึกไว้ ตามหลักวิชาการทางสถิติ ไม่วาจะเป็นตัวบุคคล หรือ บางเรื่องมีการบันทึกไว้ลายลักษณ์อักษร มีลงพาดหัวหนังสือพิมพ์รายวันก็มี  ไว้เป็นการเผื่อแผ่ประสบการณ์สำหรับหลายคนที่ยังสงสัยใคร่รู้ หรือเพิ่งจะเริ่มต้นสะสม ให้ทราบว่าพุทธคุณของพระเครื่องที่เป็นที่นิยมเล่นหากันนั้นมีจริง อย่างน้อยก็อาจเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ยอมเสียเวลากันเข้ามาอ่านกระทู้นี้จ้า



http://www.web-pra.com/Forum/Topic/Show/94260/Page/1

โดย: Sornpraram    เวลา: 2016-9-19 06:42
พระประวัติพระหลวงพ่อโต กรุบางกระทิง จ.พระนครศรีอยุธยา



เมืองกรุงเก่า หรือจังหวัดพระนครศรีอยุธยานั้น เด่นดังด้วยพระเครื่องกรุต่างๆที่สร้างสรรค์โดยฝีมือช่างอยุธยา มาตลอดเวลากว่า 400 ปีที่อยุธยาเป็นราชธานี พระกรุเก่าที่แฝงด้วยความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ และเปี่ยมด้วยคุณค่าความงามทางพุทธศิลป์ของอยุธยานั้น ล้วนแล้วแต่มีชื่อเสียงเลื่องลือในหมู่นักนิยมสะสมพระเครื่องตลอดมาและในบรรดาพระเครื่องยอดนิยมของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระหลวงพ่อโต กรุวัดบางกระทิง จัดเป็นพระเครื่องที่มีชื่อเสียงโด่งดังในระดับแนวหน้าอีกพิมพ์หนึ่ง ซึ่งเป็นที่ยอมรับ กันมานาน เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของพระเครื่องเมืองอยุธยาเลยทีเดียว

ความจริงนั้น พระหลวงพ่อโต ได้พบกระจัดกระจายอยู่ทั่วตามกรุต่างๆ ทั้งในอยุธยา เช่น กรุวัดใหญ่ชัยมงคลกรุวัดมเหยงค์ กรุวัดมหาธาตุ กรุวัดราชบูรณะ กรุบึงพระราม และจังหวัดอื่นๆ เช่น ใน กทม.ได้พบที่กรุวัดหนัง วัดระฆัง วัดสระเกศ เป็นต้น นอกจากนี้ก็ยังได้พบที่ นนทบุรี ปทุมธานี รวมไปถึงที่กรุวัดเหนือ จ.กาญจนบุรีก็ยังได้พบพระหลวงพ่อโตขึ้นกรุมาพร้อมกับพระท่ากระดานอีกด้วย ซึ่งเมื่อมีการเปิดกรุครั้งใดก็มักจะพบพระหลวงพ่อโตที่เป็นทั้งพระเนื้อดิน และพระเนื้อชินปะปนอยู่ในกรุเหล่านี้ด้วยเสมอ

ในจำนวนพระหลวงพ่อโตกรุต่างๆเหล่านี้ กรุพระหลวงพ่อโตที่ขุดพบ และมีความยิ่งใหญ่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดนั้นได้แก่ "พระหลวงพ่อโต กรุวัดบางกระทิง" ตำบลหัวเวียง อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งที่นี่ได้พบพระหลวงพ่อโตจำนวนมากที่สุด อีกทั้งยังได้พบแม่พิมพ์ที่ใช้พิมพ์พระหลวงพ่อโตจำนวนมากบรรจุรวมอยู่ในกรุนี้ด้วย หลักฐานสำคัญดังกล่าวจึงทำให้เชื่อว่า ที่กรุบางกระทิงนี้ น่าจะเป็นแหล่งต้นกำเนิดของพระหลวงพ่อโต ส่วนพระที่พบในกรุอื่นนั้น น่าจะเป็นลักษณะของพระที่นำไปฝากกรุในภายหลัง

พระหลวงพ่อโต วัดบางกระทิง จะมีการแตกกรุออกมาเมื่อไรนั้นคงไม่มีใครทราบช่วงเวลาที่แน่ชัดนักเพราะเดิมทีนั้นได้มีผู้พบเห็นพระหลวงพ่อโตตกหล่นอยู่ตามบริเวณพื้นที่รอบๆวัดบางกระทิงมานานแล้วแต่ที่แตกกรุอย่างเป็นทางการและมีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรแน่นอน ก็คือเมื่อปี 2481 เนื่องจากวัดได้รื้อพระอุโบสถหลังเดิมเพื่อสร้างใหม่ จึงได้พบกรุพระหลวงพ่อโตเป็นจำนวนมากมายหลายหมื่นองค์ ซึ่งในครั้งนั้นทางวัดได้แจกจ่ายไปยังผู้ร่วมกุศลทีร่วมกันสร้างโบสถ์ จนเหลือพระอยู่ในราว 10 ปี๊ป ซึ่งพระที่เหลือจำนวนนี้ทางวัดได้นำไปบรรจุที่ฐานชุกชีพระประธานของพระอุโบสถหลังใหม่

ต่อมาในปี 2510 ได้มีมิจฉาชีพมาลักลอบขุดพระที่บรรจุไว้ที่ฐานชุกชีไปบางส่วน ทางวัดจึงได้นำพระจากใต้ฐานชุกชีที่เหลือขึ้นมาเพื่อป้องกันคนร้ายมาลักลอบขุดอีก และในครั้งนี้ก็ยังได้พบพระหลวงพ่อโตที่ฐานชุกชีอีกกรุหนึ่งโดยบังเอิญ ซึ่งเป็นคนละส่วนกับที่ทางวัดบรรจุไว้เมื่อคราวสร้างโบสถ์ พระหลวงพ่อโตที่พบใหม่นี้ มีจำนวนถึง 84000 องค์ เท่ากับจำนวนพระธรรมขันธ์ตามคติการสรางพระพิมพ์ในสมัยโบราณ และทางวัดได้ให้กรมศิลปากรมาตรวจพิสูจน์พระดังกล่าว กรมศิลปากรได้ลงความเห็นว่า พระหลวงพ่อโตที่พบใหม่โดยบังเอิญนี้ เป็นพระที่สร้างยุคหลังกว่าพระหลวงพ่อโตที่พบครั้งแรก นั่นคือ พระหลวงพ่อโตที่พบในครั้งแรกเป็นพระที่สร้างในสมัยอยุธยา ส่วนที่พบใหม่โดยบังเอิญนี้เป็นพระที่สร้างในสมัยรัตนโกสินทร์

แม้ว่าจะเป็นพระที่สร้างต่างยุคต่างเวลากันก็จริงอยู่ แต่สำหรับวงการนักสะสมแล้ว พระหลวงพ่อโตกรุบางกระทิงทั้งสองยุค จะมีการสะสมรวมกันไม่มีการแบ่งแยกว่าเป็นพระยุคแรกหรือยุคหลัง เพราะเห็นว่าพุทธคุณที่ปรากฏก็เน้นหนักไปทางด้านคงกระพันเช่นเดียวกัน

พุทธลักษณะของพระหลวงพ่อโต เป็นพระประดิษฐานอยู่ในกรอบรูปสามเหลี่ยม ประทับนั่งขัดสมาธิราบ บนฐานบัวคว่ำบัวหงาย มีทั้งปางสมาธิและปางมารวิชัย องค์พระนูนเด่นล่ำสัน พระพักตร์ใหญ่ด้วยลักษณะเด่นเช่นนี้ นักสะสมจึงถวายพระนามท่านว่า "พระหลวงพ่อโต" ส่วนมากแล้วรายระเอียดของเส้นสายลวดลายต่างๆทั้ง ปาก คอ คิ้ว คาง เส้นสังฆาฏิ มักติดพิมพ์คมชัดแทบทุกองค์ ส่วนขนาดนั้นก็แตกต่างลดหลั่นกันเล็กน้อย

พระหลวงพ่อโต กรุวัดบางกระทิง เท่าที่พบ จะเป็นพระเนื้อดินเผาทั้งสิ้น มีทั้งประเภทเนื้อหยาบและเนื้อละเอียด พระที่แตกกรุเมื่อปี พ.ศ. 2481 ตามผิวพระจะไม่ปรากฏคราบกรุ หากแต่มีฝ้ากรุสีขาวหม่นเกาะจับประปราย โดยเฉพาะในองค์ที่ไม่ผ่านการสัมผัสจับต้องมากนักจะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้เป็นเพราะสภาพกรุที่อัดแน่นไปด้วยทรายจึงเป็นตัวป้องกันความชื้นได้เป็นอย่างดี คราบกรุและราดำจึงไม่ปรากฏให้เห็นในพระหลวงพ่อโต กรุวัดบางกระทิง

เนื้อหาของพระหลวงพ่อโต กรุวัดบางกระทิงนั้นมีความแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับสภาพของกรุที่พบ เช่น ในพระหลวงพ่อโตที่แตกกรุเมื่อปี 2481 ซึ่งเป็นพระในสมัยอยุธยานั้น ก็จะมีทั้งประเภทเนื้อที่ค่อนข้างแกร่ง และประเภทเนื้อที่ค่อนข้างฟ่าม แต่โดยรวมแล้วเนื้อของพระหลวงพ่อโตจะต้องไม่แกร่งจนกระด้างและเนื้อต้องแห้งอย่างมีน้ำมีนวล ลักษณะของเนื้อพระหลวงพ่อโต กรุบางกระทิงที่สร้างในสมัยอยุธยา จะมีส่วนของเม็ดทรายเม็ดกรวดเล็กๆ ตลอดจนเกล็ดทรายเงินทรายทองปะปนอยู่ในเนื้อ ลักษณะผิวพระจะไม่เรียบปรากฏเป็นรอยพรุนเป็นแอ่งคลื่นอยู่โดยทั่วไป

ส่วนเนื้อพระสมัยรัตนโกสินทร์ จะมีเนื้อละเอียด เม็ดกรวดเม็ดทรายน้อย และผิวพระค่อนข้างเรียบ มีฝ้ากรุหรือคราบละอองทรายสีขาวเกาะอยู่
ด้านหลังของพระหลวงพ่อโต ส่วนใหญ่มักมีรอยปาด ที่เรียกกันว่า "รอยกาบหมาก" รอยดังกล่าวนี้คือรอยอันเกิดจากการตกแต่งองค์พระด้านหลังด้วยการปาดเอาเนื้อส่วนที่นูนออกไป โดยที่เนื้อพระหลวงพ่อโตมีส่วนรอยดังกล่าวขึ้นมาผสมของเม็ดกรวดทรายอยู่ด้วย เมื่อถูกปาด เม็ดกรวดเม็ดทรายเหล่านี้ก็จะครูดดันไปกับเนื้อพระ ทำให้เกิดเป็นรอยดังกล่าวขึ้นมา

การพิจารณาพระหลวงพ่อโต กรุวัดบางกระทิงนั้น ผู้ชำนาญการหลายๆท่านแนะนำให้ พิจารณาจากเนื้อหาเป็นหลัก อย่าพยายามให้ความสำคัญกับจุดตำหนิพิมพ์ทรงมากนัก ที่เน้นให้ดูเนื้อหาของพระก็เพราะว่าเมื่อคราวเปิดกรุพระหลวงพ่อโตในปี 2481 นั้นได้พบแม่พิมพ์พระหลายชิ้นรวมอยู่ด้วย และแม่พิมพ์ส่วนหนึ่งก็ได้ออกไปอยู่กับพวกมือดีบางพวก ซึ่งได้ใช้แม่พิมพ์ดังกล่าวพิมพ์พระหลวงพ่อโตออกมาด้วย แน่นอนว่าพระปลอมอันที่เกิดจากแม่พิมพ์ชิ้นเดียวกันนี้ ก็ย่อมมีตำหนิและพิมพ์ทรงเหมือนกันกับพระแท้ทุกประการ แต่ส่วนที่พระปลอมยังทำไม่ได้ หรือทำได้ไม่ดีนักก็คือเนื้อหา และธรรมชาติความเก่าในเนื้อพระนั่นเอง เมื่อดูเนื้อหาความเก่าผ่านแล้วจึงค่อยมาดูตำหนิต่างๆดูอีกที อย่าลืมว่าพระหลวงพ่อโตนี้มีของปลอมระบาดมานานแล้ว มีทั้งปลอมจากแม่พิมพ์แท้ และปลอมจากการแกะแม่พิมพ์ออกมาใหม่ หรือไม่ก็ใช้วิธีการถอดพิมพ์ ซึ่งหากเป็น 2 วิธีหลังนี้การพิจารณาจุดตำหนิก็คงง่ายขึ้น







ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2