Baan Jompra
ชื่อกระทู้:
เครื่องรางแห่งดินแดนตะวันตก
[สั่งพิมพ์]
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2016-9-15 05:46
ชื่อกระทู้:
เครื่องรางแห่งดินแดนตะวันตก
เครื่องรางแห่งดินแดนตะวันตก
เกือกม้า (Horseshoe)
ในโลกแฟชั่น รูปเกือกม้าปรากฏอยู่ในหลากหลายผลิตภัณฑ์ อาทิ หัวเข็มขัด ห่วง กระเป๋า ลวดลายบนผืนผ้าและเครื่องหนัง เครื่องประดับ สร้อย แหวน กำไล นั่นมิใช่เพียงเพราะรูปทรงอันเป็นเอกลักษณ์และการสะท้อนถึงวิถีชีวิตกลางแจ้งแบบคาวบอยหรือความอิสรเสรีของม้าขณะกำลังควบวิ่งเท่านั้น แต่มันมาจากความเชื่อดั้งเดิมในหลากหลายที่มา
โดยรวมแล้ว เชื่อกันว่าเกือกม้าจะนำโชคดี ความสุขความเจริญ ให้ลาภ ขับไล่สิ่งชั่วร้าย และป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ รวมทั้งบางแห่งยังเชื่อกันมาแต่ยุคอาณาจักรโรมันว่าเครื่องรางเกือกม้าช่วยให้มีโชคในการเล่นพนันขันต่อ โดยเฉพาะในการแข่งม้าละก็ถือว่าเป็นสายตรงเลยทีเดียว
มีตำนานปรัมปราในช่วงศตวรรษที่ 10 เล่าขานกันว่า ในครั้งกระโน้น ซาตานจำแลงกายมาก่อเรื่องชั่วร้าย แต่ท่านอาร์คบิชอป แห่งแคนเทอเบอรี่ ได้ปราบมันด้วยการตอกเกือกม้าลงบนกีบเท้าของซาตาน ทำให้มันเจ็บปวดทุกข์ทรมานจนต้องยอมศิโรราบ และได้ยื่นเงื่อนไขแลกเปลี่ยนกับการขอให้ท่านถอดเกือกม้าออกจากเท้าของมัน ท่านจึงได้ตั้งข้อกำหนดว่าห้ามซาตานสร้างความเดือดร้อนแก่ครอบครัวที่มีเกือกม้าติดอยู่หน้าบ้าน ซึ่งซาตานก็ยอมตกลงตามนั้น เกือกม้าจึงกลายเป็นเครื่องรางขับไล่สิ่งชั่วร้ายด้วยเหตุนี้
อีกตำนานหนึ่งเล่ากันว่า มีปีศาจในร่างม้าตัวหนึ่ง เกือกที่เท้าของมันหลุดหาย จึงไปขอให้ช่างทำเกือกอันใหม่ให้ ช่างผู้นั้นก็ได้ทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนว่า หากบ้านใดมีเกือกม้าแขวนอยู่ ก็ห้ามปีศาจไปรบกวนคนในบ้านนั้น
ฝรั่งบางท้องถิ่นเชื่อกันว่า บรรดาแม่มดทั้งหลายนั้นกลัวเกือกม้า จึงต้องเดินทางด้วยการขี่ไม้กวาดหรือแปลงร่างเป็นอีกา เป็นนกฮูก แล้วบินไป การมีเกือกม้าอยู่ติดบ้านหรือติดตัวจึงป้องกันมนต์ดำจากพวกแม่มดได้
ชาวตะวันตกนิยมติดเกือกม้าไว้หน้าประตูบ้าน เรือนหอ โรงนา ร้านค้า และสถานเริงรมย์ ในสมัยก่อนนิยมเกือกม้าเก่าที่ใช้แล้ว ถ้าเป็นเกือกม้าที่ใช้งานหนักจนหลุดออกมาเองจะยิ่งขลัง และเกือกม้าที่มีรูสำหรับตอกตะปูยึดติดกีบเท้าม้าอยู่ 7 รูนั้น ก็จะตรงกับเลขมงคลตามความเชื่อของฝรั่ง ปัจจุบันการหาเกือกม้าจริงมาทำเครื่องรางนั้นหาได้ยากและพกพาไม่สะดวก จึงมีการทำเกือกม้าขนาดเล็กออกมาในรูปของเครื่องประดับ และใช้โลหะมีค่าเช่นทองหรือชุบทองเพื่อสื่อถึงโชคลาภ
ในตะวันออกกลางและเอเชียบางส่วนก็มีความเชื่อเรื่องเกือกม้าด้วยเช่นกัน
ใบโคลเวอร์สี่กลีบ (Four Leaf Clover)
บางท่านอาจเคยเห็นว่าในการ์ตูนต่างประเทศหรือภาพยนตร์รักโรแมนติกหลายๆ เรื่อง มักจะมีการกล่าวถึงใบโคลเวอร์ ๔ กลีบ หรือ ๔ แฉก ซึ่งปกติแล้วใบหญ้าเล็กๆ ชนิดนี้จะมีใบประกอบย่อยเพียง ๓ ใบ ถ้าใครพบแบบที่มี ๔ ใบ ซึ่งหาพบได้ยาก ก็ถือกันว่าจะโชคดี ฝรั่งเขาเชื่อว่าอย่างนี้
ใบโคลเวอร์สี่กลีบมีพลังยิ่งใหญ่ให้โชคได้ถึง ๔ ประการ แต่ก็ใช่ว่าโคลเวอร์แบบ ๓ กลีบธรรมดาจะไร้คุณค่าไปเสียทีเดียว เพราะในยุคโบราณ มงกุฎ กำไล หรือแหวน ที่ถักร้อยจากใบโคลเวอร์ ๓ กลีบก็เป็นเสมือนตัวแทนคำมั่นสัญญาที่ชายหนุ่มมีให้ต่อหญิงคนรัก เพราะกลีบที่ ๓ นั้นแสดงถึงความสมหวังในรักนั่นเอง
ต้นแชมร็อคนั้นก็คือโคลเวอร์ชนิดหนึ่ง สำหรับชาวไอริชแล้ว นี่คือใบไม้สำคัญระดับชาติเลยดีเดียว ท่านนักบุญแพตทริก ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 432 ถึง 461 ท่านได้ใช้ลักษณะ ๓ แฉกของใบแชมร็อค เป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งสำคัญสูงสุดของคริสต์ศาสนา (Trinty) คือ พระบิดา พระบุตร และพระจิต ในยุคต่อมาใบแชมร็อคจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของวันเซนต์แพททริก (๑๗ มีนาคม) ไปด้วย
ท่านนักบุญแพตทริกผู้นี้เป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้ชาวไอริชนับแสนในยุคนั้นหันมาเข้ารีตเป็นคริสตัง มีเรื่องราวปาฏิหาริย์ของท่านนักบุญแพตทริก คือกล่าวกันว่าการที่เกาะไอร์แลนด์ไม่มีงูอาศัยอยู่เลย เนื่องจากเมื่อครั้งที่ท่านแพตทริกได้อดอาหารบำเพ็ญภาวนาอยู่ถึง ๔๐ วัน ในระหว่างนั้นงูซึ่งถือกันว่าเป็นสาวกของซาตานได้เข้ามารบกวนท่าน ท่านจึงขับไล่พวกงูให้หนีออกไปจากไอร์แลนด์จนหมดสิ้น
นอกจากเป็นสัญลักษณ์แทน Trinity แล้ว ใบแชมร็อคยังเป็นเครื่องรางแห่งความโชคดีอีกด้วย
ตีนกระต่าย (The Rabbit's Foot)
ตีนกระต่ายเป็นเครื่องรางเก่าแก่ ที่นำมาซึ่งโชคดี ความสำเร็จ ความร่ำรวย ความสุขสมบูรณ์ โชคจากการพนัน และช่วยคุ้มกันภัย เนื่องจากกระต่ายเป็นสัตว์ที่มีความปราดเปรียวว่องไว และตื่นตัวอยู่เสมอ ตีนกระต่ายนั้นนิยมนำมาทำเป็นพวงกุญแจพกติดตัว
ในอังกฤษ มีการค้นพบเครื่องรางโบราณที่ทำจากเท้าหน้าของตัวตุ่นด้วย เชื่อกันว่าการแขวนตีนตัวตุ่นไว้ที่เตียงนอนจะช่วยป้องกันให้ไม่เป็นตะคริวหรือโรคปวดข้อในขณะนอนหลับ
ฟันจระเข้ (Crocodile Tooth)
เป็นเครื่องรางที่เชื่อกันว่าจะนำโชคดีในเรื่องเงินๆ ทองๆ มาสู่ผู้เป็นเจ้าของ ทั้งยังโดดเด่นที่สุดในเรื่องการเสี่ยงโชค และการพนันจะประสบชัยชนะ ว่ากันว่า ในสมัยโบราณนักพนันมีการเจิมฟันจระเข้ด้วยน้ำมันศักดิ์สิทธิ์เพื่อเพิ่มความขลังเข้าไปอีกขั้น นอกจากฟันแล้ว ตีนของจระเข้ก็มีผู้นำมาทำเครื่องรางซึ่งเชื่อว่าให้ผลเช่นเดียวกัน
กระดูกอกไก่ (Wishbone)
กระดูกตรงอกไก่และสัตว์ปีกนั้นมีรูปร่างคล้ายตัว y กระดูกชิ้นนี้ถือเป็นเครื่องรางนำโชคที่สามารถบันดาลให้เป็นไปตามคำอธิษฐาน โดยมักจะนำออกมาจากอกไก่งวงที่รับประทานกันในวันขอบคุณพระเจ้า ซึ่งของดีมีน้อยก็ต้องแย่งกันเป็นธรรมดา จึงมีธรรมเนียมว่าให้แย่งกันดึง จนกระดูกนั้นหักออก ใครได้ชิ้นใหญ่กว่าจะขอพรได้สมประสงค์ ใครได้ชิ้นเล็กก็อด
บางท่านก็ว่า เมื่อได้กระดูกทั้งชิ้นมาแล้ว ให้นำมาอธิษฐานขอพร จากนั้นให้นำกระดูกไปเข้าเตาอบจนแห้งกรอบแล้วจึงนำมาเก็บไว้ พรนั้นจะสัมฤทธิ์ผล อีกความเชื่อหนึ่งบอกว่าให้นำกระดูกทั้งชิ้นมาเก็บไว้ ๓ วัน (เลข ๓ เป็นเลขนำโชค) จากนั้นจึงนำมาถือกันคนละข้างแล้วออกแรงดึง ใครได้ชิ้นใหญ่กว่าจะสมหวัง ใครได้ชิ้นเล็กก็กินแห้วไป (เมืองฝรั่งมีแห้วหรือเปล่าหนอ?)
หรือบางคนก็นำกระดูกรูปตัว Y ทั้งชิ้นมาแขวนไว้ในบ้านเพื่อเป็นเครื่องรางประจำบ้าน อีกทั้งในปัจจุบันมีการใช้วัตถุอื่น เช่น โลหะ มาทำเป็นรูปร่างแบบ Wishbone เพื่อใช้เป็นเครื่องประดับนำโชคด้วย
เกลือ (Salt)
เครื่องปรุงแสนธรรมดาอย่างเกลือนี่ฝรั่งก็มีความเชื่ออยู่ไม่น้อย อย่างการทำเกลือหกบนโต๊ะอาหารนี่ถือว่าเป็นเรื่องไม่ดีเอามากๆ จะนำเคราะห์ร้ายมาให้ อาจถึงขั้นสูญเสียคนในครอบครัวกันเลยทีเดียว ที่มาของความเชื่อนี้มาจากเรื่องพระกระยาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซูคริสต์ ในการร่วมโต๊ะเสวยในครานั้น จูดาส์ได้ทำเกลือหก จึงกลายเป็นความเชื่อสืบต่อกันมา (ยังมีตำนานอื่นๆ อีกด้วย)
เมื่อทำเกลือหกไปแล้ว ต้องแก้เคล็ดด้วยการโยนเกลือไปข้างหลัง ซึ่งการโยนเกลือข้ามไหล่ซ้ายไปข้างหลังนี้ยังเชื่อกันว่า เป็นการขับไล่ปีศาจได้ด้วย เพราะถือว่าเป็นการซัดเกลือใส่หน้าใส่ตาปีศาจ
ในหลายๆ ชาติยังเชื่อกันว่าเกลือเป็นตัวแทนความบริสุทธิ์ใช้ไล่ผีและสิ่งอัปมงคลได้ และใช้ในการทำน้ำมนต์ของชาวคริสต์นิกายโรมันแคธอลิกด้วย โดยโรยไว้ตรงทางเข้าบ้าน ขอบประตู ขอบหน้าต่าง ในเอเชียเราเช่นชาวญี่ปุ่นก็เชื่อคล้ายๆ กัน
จาก ทีมงาน "ต่วย'ตูน" เตียวกง
- See more at:
http://www.horonumber.com/blog-2544#sthash.vGVzjPwD.dpuf
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/)
Powered by Discuz! X3.2