Baan Jompra

ชื่อกระทู้: ~ ศีล ๕ คืออุบายสร้างความรัก ~ [สั่งพิมพ์]

โดย: kit007    เวลา: 2013-7-29 15:20
ชื่อกระทู้: ~ ศีล ๕ คืออุบายสร้างความรัก ~
ศีล  ๕  คืออุบายสร้างความรัก
โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย



แสดงธรรมที่มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต กรุงเทพฯ
เมื่อ พ.ศ ๒๕๓๒


          ขอโอกาสต่อครูบาอาจารย์  ขอแสดงเมตตาจิตต่อบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย  และขอกล่าวว่า  ขอแสดงความยินดีที่เราท่านทั้งหลายมีชีวิตรอดจากอันตรายมาจนกระทั่งจวบถึงวันขึ้นปีใหม่




          ปีเก่าที่ผ่านไป  เราได้สร้างคุณงามความดีโดยอาศัย  กาย  วาจา  และใจ  เป็นพื้นฐานแห่งการสร้างคุณงามความดี เพราะอาศัยคุณงามความดีนั้น ๆ เราจึงมีอายุผ่านพ้นอันตรายมาได้ด้วยดีเพราะอาศัยการที่เรามีคุณงามความดีคือบุญกุศล  ส่งให้เรามีชีวิตยืนยาวมาถึงขนาดนี้  ทุกท่านไม่ควรประมาทในการที่จะบำเพ็ญทาน  ศีล  ภาวนา  ทาน  ศีล  ภาวนา  เป็นแผนการสร้างคุณงามความดี


          โดยปกติแล้ว กายกับใจของเราเป็นสภาวธรรมอย่างหนึ่ง  ซึ่งจัดเข้าในหมวดหลักธรรม  ซึ่งเรียกว่า  “สังขาร”  สังขารตัวนี้เรียกว่า  อุปาทินกสังขาร  คือสังขารที่มีใจครอง ตราบใดที่กายของเรายังมีใจครองอยู่  กายของเราก็เป็นอุปาทินกสังขาร  ถ้าใจตัวนี้อุตริทิ้งกายหนีไปเสีย  ร่างกายก็จะกลายเป็นเพียงวัตถุธรรมอย่างหนึ่งทอดทิ้งทับถมแผ่นดินมีแต่จะเน่าเปื่อยผุพังลงไปตามสภาพความเป็นจริงของดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  ที่เราอาศัยอยู่  ณ  ปัจจุบันนี้ก็คือ  ดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  ที่มาเป็นกายของเรานี้เอง  ดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  ภายนอกเป็นเครื่องอุปกรณ์บำรุงเลี้ยงดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  ภายในให้ทรงชีพอยู่  อาหารที่เราบริโภคสักครู่นี้เป็นธาตุดิน  น้ำที่ดื่มเข้าไปเป็นธาตุน้ำ  ความอบอุ่นที่ได้จากดวงอาทิตย์เป็นธาตุไฟ  ลมหายใจเข้า – ออกเป็นธาตุลม  ทั้งภายนอกและภายในอาศัยซึ่งกันและกัน




           สังขารที่เราได้มา  คือกายกับใจ  เราได้มาด้วยบุญเพราะเราเชื่อมั่นในคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า  บุญเป็นสิ่งที่เกื้อหนุนให้เรามีชีวิตอยู่  คนจะมีอายุสั้น  อายุยาว  มีโรคภัยไข้เจ็บ  มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์  เพราะอาศัยบุญเป็นเครื่องเกื้อหนุน  คนทำปาณาติบาตมีอายุสั้น  คนดื่มสุราเมรัยมีสติปัญญาเสื่อมทราม  ดังนั้น  หลักการที่เราจะปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลชนิดหนึ่งขึ้นมา ซึ่งเรียกว่าบุญ  ได้แก่  การให้ทาน  การรักษาศีล  การเจริญภาวนา  ทาน  ศีล  ภาวนานี้ถ้าท่านผู้ใดสามารถที่จะบำเพ็ญให้เกิดผล  จนสะสมเอาไว้ในจิตในใจมากมายพอสมควร  บุญกุศลนั้นจะมีพลังงานกลายเป็นตัวสังขารชนิดหนึ่ง   สังขารตัวนี้เรียกว่า  “ปุญญาภิสังขาร”  สังขารร่างกายของเราเกิด  แก่  เจ็บ  ตาย  ในเมื่อเกิดมาแล้วย่อมเป็นไปตามกฎของบุญของกรรม  เราตกแต่งไม่ได้เพราะบุญกรรมเก่าเราแต่งมาอย่างนั้น  เรามีอายุสั้นเพราะอาศัยบุญที่เราตกแต่งมาน้อย  เรามีอายุยาวเพราะอาศัยบุญที่เราตกแต่งมามาก  เมื่อเป็นเช่นนั้น เกิดมาชาตินี้ภพนี้  ชีวิตเราผ่านพ้นอันตรายมาได้แล้วปีหนึ่ง  เราก็ควรจะได้สร้างบุญ  สร้างกุศลมาก ๆ

โดย: kit007    เวลา: 2013-7-29 15:20
ทีนี้แผนการสร้างบุญกุศลก็คือ  การให้ทาน  การรักษาศีล  การเจริญภาวนา  เรานับถือพระพุทธศาสนา  มีพระพุทธเจ้าเป็นองค์ประธาน  พระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ดีรู้ชอบด้วยพระองค์เอง  และรู้กฎความจริงของธรรมชาติชนิดหนึ่งซึ่งเป็นไปตามกฎธรรมดา  ซึ่งเรียกว่า  อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา  ทุกสิ่งเกิดมา  มีความเกิดขึ้น  ทรงตัวอยู่ชั่วขณะหนึ่ง  ในที่สุดก็สลายตัว  กฎอันนี้ใครคัดค้านไม่ได้ปฏิเสธไม่ได้  จะต้องประสบกันอยู่ทุกคน  เพราะมันเป็นกฎธรรมดาชนิดหนึ่ง




          เมื่อเราได้รับฟังโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าในข้อที่ว่า  เรามีกรรมเป็นของตน  มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม  เราจะทำกรรมอันใดไว้  ดีก็ตาม  ชั่วก็ตาม  เราจะต้องได้รับผลของกรรมนั้นแน่นอน


          คนเรามีกายกับใจ  ทำอะไรลงไปโดยเจตนาคือความตั้งใจ   เจตะนาหัง  ภิกขะเข  กัมมัง  วะทามิ   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม


          ในศาสนาอื่น ๆ ศาสนาคริสต์ พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก  สร้างมนุษย์  และสร้างสัตว์ทั้งหลาย  ศาสนาพราหมณ์พระพรหมเป็นผู้สร้างโลก  สร้างมนุษย์  และสร้างสัตว์ทั้งหลาย   แต่พระพุทธเจ้าของเรานี้ไม่เคยประกาศกล่าวอ้างว่าพระองค์ได้สร้างอะไรขึ้นมาในโลกนี้  แต่พระองค์ประกาศท้าทายว่าพระองค์รู้ความจริงของโลก   นี้เป็นมติของพระพุทธเจ้า




          พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สร้างอะไรจริง ๆ แต่พระองค์รู้ความจริงของโลก  รู้ว่าสัตว์เกิดมาเพราะอะไร  สัตว์มีความสุขความเจริญเพราะอะไร  สัตว์ทั้งหลายมีประเภทต่าง ๆ กันเพราะอะไร  กัมมัง  สัตเต  วิภะชะติ  กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เป็นต่าง ๆ กัน



          เมื่อเป็นเช่นนั้น  พระพุทธเจ้าทรงทราบหลักและกฎแห่งความจริงอันหนึ่ง  หลักและกฎความจริงอันนั้นเป็นสิ่งที่เป็นจริงโดยกฎของธรรมชาติ  และใครจะปฏิเสธไม่ได้ ส่วนกฎความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงทราบนั้น  พุทธบริษัทควรสนใจและทำความเข้าใจ  ได้แก่บทบัญญัติที่ให้เราปฏิบัติตาม  และกฎอันนี้เมื่อใครละเมิดล่วงเกินแล้วเป็นบาปทันที  ถ้าจะว่าบาปก็เป็นบาปทันที  เมื่อทำลงไปแล้ว ภายหลังมาเรารู้สึกสำนึกขึ้นมาว่าอันนี้มันไม่ดี  เราทำเล่น ๆ แต่เราไม่ต้องการผลตอบแทน  มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้  เพราะเป็นกฎธรรมชาติ  เปรียบเหมือนเราเอามือจี้ลงไปในกองไฟหรือเอามือไปหยิบถ่านไฟแดง ๆ ร้อนๆ  ในเมื่อหยิบแล้วในใจเรานึกว่า  เราปรารถนาความเย็น  ต้องการความเย็นจากถ่านไฟหรือไฟที่กำลังลุกโชนอยู่นั้น เราก็จะไม่ได้ความเย็น  เราจะได้แต่ความร้อน  เพราะธรรมชาติของไฟมันมีแต่ความร้อน อันนี้กฎที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติให้เราประพฤติปฏิบัติ  ซึ่งเป็นกฎความจริงโดยธรรมชาตินั้นก็เช่นเดียวกัน

โดย: kit007    เวลา: 2013-7-29 15:20
กฎธรรมชาตินั้นคืออะไร  ท่านเคยคิดหรือไม่  กฎธรรมชาติอันเป็นหลักปฏิบัติโดยตรง  และดูเหมือนจะมีไม่มาก  มีเพียง  ๕  ข้อเท่านั้น  คือ  ศีล ๕  ที่ท่านได้สมาทานมาแล้ว  การประพฤติผิดศีล  ๕  ข้อ  คนสมาทานศีลประพฤติผิดก็บาป  คนไม่สมาทานศีลประพฤติผิดก็บาป  คนในศาสนาคริสต์ประพฤติผิดก็บาป  พระพรหมผู้สร้างโลกสร้างมนุษย์ประพฤติผิดก็บาป  ทำแล้วบาปทันที  เพระเป็นกฎธรรมชาติ  พระพุทธเจ้าทรงทราบความจริงอย่างนี้  ฆ่ากันบาปทันที ขโมยของกันบาปทันที  จี้ปล้นฉ้อโกงบาปทันที  ข่มเหงน้ำใจคือละเมิดลูกเมียของใครซึ่งเขาหวงแหนบาปทันที  โกหก  หลอกลวง  ทำให้ผู้อื่นต้องเสียเกียรติยศ  ทรัพย์สินสมบัติ  ชื่อเสีย  บาปทันที  มัวเมาในสิ่งที่จะทำให้เราเสียผู้เสียคนบาปทันที  ทำลงไปแล้วนึกว่าฉันทำเล่น ๆ ไม่เอาบาป  มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะมันเป็นกฎธรรมชาติ




          นี่คือความจริงในกฎแห่งการปฏิบัติ  และนักปราชญ์ทั้งหลายยอมรับศีล ๕ ประการนี้เป็น   มนุษยธรรม    เป็นธรรมประจำมนุษย์  พระพุทธเจ้าจะมีหรือไม่ก็ตาม  ยังมีผู้ปฏิบัติศีล  ๕  อยู่  ถึงไม่ทั่วไปแต่ก็ยังมีคนปฏิบัติอยู่ไม่ขาดทุกยุคทุกสมัย  ดังนั้น  ท่านจึงยอมรับว่าเป็นมนุษยธรรมที่เรียกว่าเป็นมนุษย์ธรรม  ก็เพราะมันเป็นคุณธรรมปรับพื้นฐานความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์


          และมีอีกประเด็นหนึ่งที่เราจะต้องทำความเข้าใจทำไมพระพุทธเจ้าย้ำนักย้ำหนาให้เราปฏิบัติศีล  ๕  โดยวิสัยของพระพุทธเจ้าทรงไว้ซึ่งพระมหากรุณาคุณทรงเมตตาสงสารสัตวโลก  ที่พระพุทธเจ้าชักจูงให้เราปฏิบัติศีล  ๕  ก็เพราะปรารถนาความรัก  คนเราทุกคนต้องการความรัก  ถ้าไปมองดูหน้าใครเขาทำหน้าบึ้ง  ๆ  ทำทีแสดงท่าทางโกรธ  เราชักจะไม่พอใจ  เพราะรู้แล้วว่าเขาไม่มีความรัก  เขามีแต่ความโกรธ   พระพุทธเจ้าปรารถนาให้มนุษย์มีความรักกัน  จึงชักชวนให้ปฏิบัติศีล  ๕  เพราะการไม่ฆ่าก็เป็นเหตุให้รักกัน  การไม่ลักขโมยจี้ปล้นฉ้อโกงก็เป็นเหตุให้รักกัน  การงดเว้นมุสาวาท  สุรา  ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดความรักกัน  เมื่อมนุษย์ต่างมีความรักกันก็มีแต่ความสงบสุข  ดังนั้น  ศีล  ๕  จึงเป็นคุณธรรมป้องกันไม่ให้มนุษย์เกิดมีการฆ่ากัน




          และศีล  ๕  ประการนี้เป็นคุณธรรมสำหรับตัดกรรม ตัดเวร  ตัดผลเพิ่มของกิเลส  เคยได้ยินว่ามีผู้ทำพิธีตัดกรรมตัดเวร  ในเมื่อพูดถึงเรื่องการตัดกรรม  ตัดเวร  บางท่านอาจมีความสงสัย  กรรมนี้มันตัดได้หรือเปล่า  กรรมที่ทำลงไปแล้ว  ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม  ไม่มีทางที่จะทำพิธีตัดกรรมตัดเวรนั้นได้  ถ้าใครต้องการจะตัดกรรม  ตัดเวรให้เป็นสิ่งที่แน่นอนกันจริง ๆ  ก็ให้มีศีล  ๕ ศีล  ๕  แต่ละข้อลงท้ายว่า  “เวรมณี”   เวระ  แปลว่า  เวร  เวรก็คือสิ่งที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ผูกพยาบาท  เมื่อมีการผูกพยาบาทอาฆาตก็ต้องมีการฆ่ากัน  ประทุษร้ายซึ่งกันและกัน  ถ้าใครอยากหมดกรรมหมดเวรต้องมีศีล  ๕  เพราะศีล  ๕  เป็นอุบายตัดกรรมตัดเวร  และศีล  ๕  ยังเป็นขอบเขตของการใช้กิเลสให้เกิดประโยชน์โดยความเป็นธรรม

โดย: kit007    เวลา: 2013-7-29 15:21
กฎความจริงของสังคมโลก  ทั้งอดีต  ปัจจุบัน  และอนาคต มนุษย์เรามีความต้องการอยู่เพียง  ๔  อย่าง คือ

          ๑.   ความมีลาภ
          ๒.   ความมียศ
          ๓.   ความมีสรรเสริญ
          ๔.   ความมีสุข

          ในทางตรงกันข้าม  เราไม่ปรารถนาความเสื่อมลาภความเสื่อมยศ  นินทา  ความทุกข์  จริงหรือเปล่า  เราลองพิจารณาดูซิว่าเป็นความจริงหรือเปล่า


           คนเราทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสวงหาลาภ  ยศ  สรรเสริญ  ด้วยกันทั้งนั้น  ใครมีความคิด  สติปัญญาเพียงใด  แค่ไหน  ย่อมมีความทะเยอทะยานกันไป  แต่ว่าการแสวงหาลาภ  ยศ  สรรเสริญ  สุข  ควรมีขอบเขต  ขอบเขตของการแสวงหาสิ่งเหล่านี้ก็คือ  ศีล  ๕  อีกนั่นแหละ  โดยเอาขันติความอดทนขึ้นมาเป็นประธานไว้ก่อน  พระพุทธเจ้าทรงเทศนามาตลอดเวลา  ๔๕  ปี  เมื่อสรุปหลักคำสอนที่เป็นแนวทางปฏิบัติ  ก็มารวมอยู่ที่ขันติคือความอดทน   ขันติ  ปะระมัง  ตะโป  ตีติกขา  ความอดกลั้น  ความทนทาน  เป็นตบธรรม  คือความเพียรเผาบาปอย่างยิ่ง   ปฏิบัติได้โดยอาศัย  ศีล  ๕  เป็นหลัก




           เวลาโกรธให้นึกถึงปาณาติบาตเอาไว้  ทีนี้ถ้าโกรธมาแล้ว  ใจคิดอยากจะด่า  อยากจะฆ่า  อยากจะตี  อดทนเอาไว้  โดยนึกว่าพระพุทธเจ้าฆ่าด่าตีไม่เป็น  เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าแล้วเราต้องปฏิบัติตาม




           เมื่อเกิดความโลภขึ้นแล้ว ถ้านึกออกไปว่าอยากจะแสวงหาผลประโยชน์ในทางที่ไม่ชอบด้วยเหตุผลและธรรมก็ให้นึกถึงศีลข้ออทินนาทานเอา  พระพุทธเจ้าขโมยไม่เป็นฉ้อโกงไม่เป็น ลักจี้ปล้นไม่เป็น  เราก็หยุดทันที




           หากจิตใจออกนอกลู่นอกทาง  ไม่อยู่ในขอบเขต  เช่นสามีนอกใจภรรยา  ก็ให้นึกถึงศีลข้อ  กาเมสุมิจฉาจารเอาไว้  พระพุทธเจ้าท่านไม่ปฏิบัติเช่นนั้น  เราก็ไม่ควรปฏิบัติ



           ถ้าช่วงใดนึกสนุกขึ้นมา  อยากจะโกหกหลอกลวงคนโน้นคนนี้  นึกถึงศีลข้อมุสาเอาไว้  พระพุทธเจ้าไม่ปฏิบัติเช่นนั้น  เราก็ต้องปฏิบัติตาม

โดย: kit007    เวลา: 2013-7-29 15:21
หากสิ่งใดที่มันมัวเมาเกินไป จนทำให้เราเสียผู้เสียคน  มัวเมาในการพนัน มัวเมาในการเที่ยว  มัวเมาในการใช้จ่ายโดยไม่มีขอบเขต  นึกถึงศีลข้อสุราเอาไว้  สุราตัวนี้ไม่เฉพาะแค่ดื่มเหล้าอย่างเดียวนะ  ความเมานี้โดยปกติคนเรามีความเมาอยู่  ๒๕ เปอร์เซ็นต์ทุกคน  เมื่อเรามีความเมาเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว  เอาสิ่งซึ่งไปทำลายประสาทเพิ่มเข้าไป  ก็จะทำให้เกิดความมึนเมายิ่งขึ้นไปอีก  เมื่อเราเกิดความเมาแล้วจะปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า   จะเอาดีกับพระพุทธเจ้า  ก็ต้องนึกถึงศีลข้อนี้  โดยอาศัยความอดทน


           ศีล   ๕  นี้  ถ้าใครปฏิบัติได้
           ๑.   ได้บำเพ็ญอภัยทาน
           ๒.   ทำให้จิตเกิดความเมตตาปรานี
           ๓.   ได้ความรัก
           ๔.   ป้องกันไม่ให้เกิดมีการฆ่ากัน
           ๕.   ปรับพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์


           เมื่อเรามีศีล  ๕  บริสุทธิ์บริบูรณ์ดี  ความเป็นมนุษย์ของเราก็สมบูรณ์  กายเป็นปกติ  วาจาก็ปกติ  ในเมื่อกาย  วาจา  ปกติ  ใจก็พลอยปกติไปด้วย  เมื่อเราไม่ฆ่าใคร  ใครหนอจะมาฆ่าเรา  เมื่อเราไม่ประทุษร้ายใคร  ใครหนอจะมาประทุษร้ายเรา  เราเคารพในสิทธิเสรีภาพของมวลมนุษย์ด้วยกัน  คนอื่นเขาก็ต้องเคารพต่อเรา วันทะโก   ปฏิวันทะนัง   ผู้ไหว้ย่อมได้รับการไหว้ตอบ   โปชะโก   ชะพะเตโปชัง   ผู้บูชาย่อมได้บูชาตอบ    นี่คือแผนการปฏิบัติเพื่อละชั่วและเป็นอุบายตัดผลเพิ่มของกิเลส  เป็นอุบายตัดผลเพิ่มของบาปกรรม




            กิเลสมันจะถูกบั่นทอนกำลังลงได้เพราะเรายึดมั่นในการปฏิบัติศีล  ๕  ถ้าใครเคร่งในการปฏิบัติศีล  ๕  โลภ  โกรธ  หลง  มีในใจก็ช่างมัน  อย่าไปสนใจ  แต่เราเอาอย่างเดียวคือไม่ลุอำนาจ  เมื่อโกรธแล้วอดทน  เมื่อโลภแล้วอดทน  ไม่ละเมิดศีล  ๕  ข้อ  ก็จะเป็นการบั่นทอนพลังของความโลภ  ความโกรธ  ความหลงให้น้อยลง  เมื่อเราหัดอดทน  จิตของเราคล่องตัวต่อการอด  อดเสียจนกระทั่งกลายเป็นความเคยชิน  ทีแรกเราตั้งใจอดทน  บางทีก็นึกจะละเมิดเหมือนกัน  แต่ก็อดทนไป  อดไปจนใจมันทนต่อความอด  มันชำนาญต่อความอด  คล่องตัวต่อความอดมันก็กลายเป็นความเป็นไปเองโดยธรรมชาติ  ต่อไปเจตนาก็ตาม  ไม่เจตนาก็ตาม  ตั้งใจก็ตาม ไม่ตั้งใจก็ตามเราจะมีศีล  ๕  เป็นเครื่องประกันความปลอดภัยของสังคมอยู่ตลอดเวลา  นี่คือแผนการปฏิบัติเพื่อละความชั่ว ทีนี้เมื่อเราตั้งใจละชั่วได้โดยเด็ดขาด  มันก็กลายเป็นความดี

โดย: kit007    เวลา: 2013-7-29 15:21
ในสมัยปัจจุบัน  มีสิ่งที่เราจะต้องระมัดระวังกันอยู่ไม่น้อย  พุทธบริษัทของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักปฏิบัตินี่แหละ  เผลอ ๆ ก็ไปเปลี่ยนศาสนาพุทธให้กลายเป็นศาสนาอื่นโดยไม่รู้ตัว  จุดเริ่มมันอยู่ตรงเมื่อภาวนา  พุทโธ  พุทโธ ……  ยุบหนอ  พองหนอ…….   สัมมาอรหัง……..  พอจิตสงบวูบลงไปเกิดแสงสว่างขึ้นมา  ในช่วงแรก ๆ  ที่จิตสงบ ความสว่างจะพุ่งออกไปข้างนอกจากศูนย์กลางตรงหน้าผากจนเกิดความสว่างไสวไปหมด  ประเดี๋ยวก็เกิดเป็นภาพนิมิตขึ้นมา  บางทีก็ไปเห็นเทวดา  บางทีก็เห็นเป็นภาพพระพุทธเจ้า  เห็นภาพพระอิศวร  พระนารายณ์  บางทีก็ไปเห็นภาพเจ้าแม่กวนอิม  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเจ้าแม่กวนอิม เวลานี้กำลังฮิต  หากใครเพ่งนิมิตออกไปข้างนอก  แล้วสำคัญว่า  อ๋อ  นี่คือผู้วิเศษจะมาช่วยสมาธิ  ช่วยญาณของเราให้แก่กล้าขึ้น  ก็เลยน้อมใจเอาสิ่งเหล่านั้นเข้ามา  เมื่อเราน้อมใจเอาเข้ามาแล้ว  ภาพนิมิตจะก้าวเข้ามา  ก้าวเข้ามา  บางทีก็วิ่งชนเข้ามา  เข้ามาสิ่งสู่อยู่ในใจของเรา  ในเมื่อสิ่งเหล่านั้นเข้ามาสิงสู่อยู่ในใจของเรา จิตที่สงบ เป็นสมาธิ  มีปีติ  มีความสุข  มีความปลอดโปร่ง  จะเปลี่ยนสภาพทันที  หัวใจเหมือนถูกบีบ  จิตใจที่เป็นอิสระจะกลายเป็นสิ่งที่ตกอยู่ในอำนาจของสิ่งนั้น




            ต่อไปอำนาจของภาพนิมิตนั้นจะชักจูงจิตของเราให้เป็นไปสารพัด  โดยจะชักจูงให้จิตของเราเป็นไป  แต่ก็จะสามารถรู้เรื่องอดีต  อนาคต  ปัจจุบัน  ได้เป็นอย่างดี  บางทีอาจจะรู้ว่า  เมื่อก่อนนี้คนโน้นเป็นแม่  คนนี้เป็นลูก  คนโน้นเป็นพ่อ  คนโน้นเป็นอาจารย์  คนนี้เป็นนั่นเป็นนี่หนัก ๆ เข้าก็กลายเป็นผู้วิเศษ  ที่ยิ่งใหญ่ตั้งแต่ชาติก่อน ภพก่อน ในเมื่อถูกวิญญาณมันเข้ามาหลอกลวง เข้ามาโกหกความรู้ในอดีตกับปัจจุบันมันตัดกันไม่ขาด  ถ้าวิญญาณนั้นบอกว่า  ท่านนี้เป็นเจ้าเป็นจอมตั้งแต่ชาติโน้น ๆ ความรู้สึกในปัจจุบันกับอดีต  มันตัดกันไม่ขาด  เลยสำคัญว่าเราเป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่  อย่างบางทีอาตมาเคยเห็นพระอายุพรรษาน้อย  ๆ เกิดมาทีหลัง  อายุยังไม่ถึงไหน  ไม่ถึง  ๔๐   บอกว่าเราเจ้าพ่อ  เป็นหลวงพ่อนั้น  หลวงพ่อนี่  อายุตั้ง  ๑๐๐ ปี  ๒๐๐  ปี  ๓๐๐ ปี  ๑๐๐๐ปีก็มี  คนเกิดมาในภพนี้ชาตินี้ชีวิตนี้ อายุยังไม่ถึง  ๓๐ ปี  แล้วไปกล่าวอ้างว่ามีอายุตั้ง  ๒๐๐ ปี  ๓๐๐ ปี  ความรู้สึกว่ามีอายุ  ๒๐๐ - ๓๐๐ ปีนี้ มาจากอำนาจของวิญญาณที่เข้ามาสิง แล้วลงผลสุดท้ายเราก็เปลี่ยนศาสนาพุทธให้เป็นศาสนาอื่น  นี่คือภัยอันตรายของนักปฏิบัติที่ควรจะสังวรระวัง  อาตมาขอให้คติเป็นเครื่องเตือนใจเอาไว้  สิ่งเหล่านี้ในคัมภีร์ท่านอาจไม่ได้กล่าวเอาไว้  แต่หากเป็นประสบการณ์ที่ครูบาอาจารย์ท่านเคยประสบมาแล้ว




            การภาวนานี้  ถ้าหากว่าเราภาวนาในตอนแรก  เราอาจภาวนา  พุทโธ  พุทโธ  พุทโธ  อันนี้เป็นอารมณ์จิตที่เราตั้งใจนึก  เมื่อจิตสงบก็จะเกิดความสว่าง  ถ้าจิตสว่างและจิตนิ่งอยู่เฉย ๆ ความนิ่งและความสว่างก็เป็นอารมณ์จิต ทีนี้ถ้ากระแสจิตส่งออกไปข้างนอก  ไปเห็นภาพนิมิตต่างๆ  นิมิตนั้นก็เป็นแต่เพียงอารมณ์จิต  ถ้ามันเกิดความรู้ความเห็นพิเศษขึ้นมาก็เป็นเพียงอารมณ์จิต  อาตมานั่งเทศน์อยู่เวลานี้  อาจมองเห็นหัวใจใครสักคนหนึ่ง  อันนี้เป็นเพียงอารมณ์จิต  อย่าไปสำคัญมั่นหมายว่ามันเป็นของดีวิเศษใด ๆ ทั้งสิ้น  ทีนี้ความดีวิเศษที่เราพึงได้จากการภาวนานี้  คือ  จิตของเรา  รู้  ตื่น  เบิกบาน  อัตตาทีปะ  มีตนเป็นเกราะ  อัตตะสะระณา  มีตนเป็นที่ระลึก  อัตตาหิ   อัตตะโน  นาโถ  ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน   อัตตะโน  โจทะยัตตานัง  เมื่อจิตเคลื่อนไหวออกไปรับรู้อารมณ์  มีสติเตือนตน    กำหนดหมายสิ่งรู้ทั้งหลาย  สักแต่ว่าเป็นอารมณ์จิต  รู้ไว้ก็ปล่อยวางไป  ไม่ยึดเอาไว้ให้สร้างปัญหาให้เดือดร้อนหรือทำให้เราเข้าใจผิด

โดย: kit007    เวลา: 2013-7-29 15:22
อีกอย่าง  ในฐานะที่เราเป็นนักปฏิบัติสมาธิภาวนามีพระพุทธเจ้า  พระธรรม  พระสงฆ์  เป็นสรณะที่พึ่ง  ที่ระลึก  ถ้าหากว่าสมมุติว่ามีใครเขาทำพิธีทรงเจ้าเข้าผี  เราอย่าไปว่าเขา  อย่าไปตำหนิเขา  เพราะความเข้าใจและทัศนะคติของเขาเป็นอย่างนั้น   เราดูด้วยความมีสติปัญญา  ถ้าเราต้องการจะแก้ไขเหตุการณ์อย่างนั้น  ให้เราภาวนาทำจิตของเราให้สงบเป็นสมาธิ  ให้จิตสงบ  นิ่ง  สว่าง รู้  ตื่น  เบิกบาน   ฝึกหัดจิตให้สงบนิ่ง  ถ้าจะไม่ให้วิญญาณเข้ามาสิง  ด้วยอำนาจของพุทธะที่มีอยู่ในใจเรานี้  เราอธิษฐานจิตห้ามไม่ให้วิญญาณเหล่านั้นเข้ามาสิง  มันก็เข้ามาไม่ได้  แต่นี่เราหย่อนสมรรถภาพ  ไม่เก่งพอ  ชาวพุทธเราจึงได้แต่ยกโทษกล่าวติเตียนซึ่งกันและกัน  ถ้าหากว่าเราแน่จริง   เก่งจริง  สามารถทำจิตให้เป็นพุทธะ   ผู้รู้  ผู้ตื่น  ผู้เบิกบาน  ได้อย่างแท้จริง  ผีในประเทศไทยจะเข้ามารบ กวนคนไม่ได้ด้วยอำนาจของผู้ที่มีจิตเป็นพุทธะอย่างแท้จริง  เพราะฉะนั้น  เมื่อเราเห็นใคร  ๆ  เขาทำกันอย่างนี้ที่ไหน ๆ   ถ้าเราไปตำหนิเขาว่างมงาย  เราก็ไปขายความโง่  ไปตำหนิว่าเขาทำผิดก็เป็นการประกาศความหย่อนสมรรถภาพของเรา ถ้าเราเก่งจริงก็ต้องทำอย่างที่ว่า  ทำจิตให้เป็นสมาธิแล้วเพ่งกระแสจิตไปหักห้ามเอาไว้  อย่าให้ผีเข้ามารบกวนคน  เพื่อคนทั้งหลายจะได้ปฏิบัติกันให้ถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิกัน




          ศาสนาพุทธเป็นปรัชญาชั้นสูง  ซึ่งมีแต่ปรมัตถธรรมที่เราปฏิบัติกันอยู่นี้เป็นวิธีการ  การให้ทานเป็นวิธีการ  การรักษาศีลก็เป็นวิธีการ  นั่งสมาธิภาวนาก็เป็นวิธีการ แม้แต่การบวชห่มผ้าเหลืองก็เป็นวิธีการ  เนื่องจากศาสนาพุทธมีแต่แก่นธรรม  ตามธรรมดาถ้าต้นไม้มีแต่แก่นจะดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้  ก็ต้องอาศัยเปลือก  อาศัยกระพี้  ท่านทั้งหลายเป็นนักศึกษา   เป็นนักรู้ปัญญาชนพอสมควรแล้วพอจะคิดได้ว่าต้นไม้มันส่งอาหารไปเลี้ยงลำต้นทางไหน มันส่งอาหารไปเลี้ยงลำต้นทางเปลือก  เมื่อก่อนหลวงพ่อเคยเป็นชาวนา  เป็นลูกชาวนา  เคยทำนา  ไปจองไร่จองนาที่ไหนก็เอาขวานไปฟัน ๆ  ตันไม้  ฟันเปลือกรอบ ๆ ออกเพียงแค่นี้ต้นไม้ก็ตาย  เพราะไม่มีทางส่งอาหารไปเลี้ยงลำต้น   ธรรมะที่มีแต่แก่นไม่มีเปลือกหุ้มก็อยู่ไม่ได้  ศาสนาศีลธรรม ปรากฏตัวให้ชาวโลกรู้โดยวิธีการ  เรามาบวชเป็นชีก็แสดงวิธีการ  บวชเป็นเณรก็แสดงวิธีการ  บวชเป็นพระก็แสดงวิธีการ  สำหรับคฤหัสถ์ผู้นับถือพระพุทธศาสนาโดยทั่วไป  ก็มีการปฏิบัติ  ๕  ข้อ  คือ  ศีล  ๕  แม่ชีมี  ๘ ข้อ  สามเณรมี  ๑๐ ข้อ  พระมี  ๒๒๗  ข้อ  อันนี้คือวิธีการ  เป็นเปลือกหุ้มแก่นธรรม  เพราะฉะนั้น   ผู้ที่มุ่งหวังจะปฏิบัติธรรมให้ถึงแก่น  ต้องรักษาเปลือกให้ดี  อย่าไปกระเทาะเปลือกมันเสีย



          ศีลเป็นต้นของพรหมจรรย์  ศีลมีประสิทธิภาพปรับพื้นฐาน  กาย  วาจา  ให้สงบเรียบร้อย  ศีลเป็นสิ่งที่ปรับพื้นฐานความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์  เพื่อรองรับคุณธรรมเบื้องสูงขึ้นไปคือสมาธิและปัญญา  เมื่อมีศีลบริสุทธิ์สะอาดดีแล้ว  กายปกติ  วาจาปกติ  ใจก็ปกติไปด้วย  จะนั่งทำสมาธิอยู่ในป่าในบ้านก็สบายใจ  จะไปนั่งสมาธิหลับนอนที่ไหนก็สบายใจ  เพราะเราไม่ไปทำความเดือดร้อนให้ใคร  เราจึงไม่หวาดระแวงภัย  เมื่อเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์แล้วก็คล้าย ๆ เป็นผู้สละชีวิตเพื่อบูชาพรหมจรรย์  อานุภาพของความเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์  อาตมาจะนำอดีตสักเรื่องหนึ่งมาเล่าให้ฟัง

โดย: kit007    เวลา: 2013-7-29 15:22
ศีลเป็นต้นของพรหมจรรย์  ศีลมีประสิทธิภาพปรับพื้นฐาน  กาย  วาจา  ให้สงบเรียบร้อย  ศีลเป็นสิ่งที่ปรับพื้นฐานความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์  เพื่อรองรับคุณธรรมเบื้องสูงขึ้นไปคือสมาธิและปัญญา  เมื่อมีศีลบริสุทธิ์สะอาดดีแล้ว  กายปกติ  วาจาปกติ  ใจก็ปกติไปด้วย  จะนั่งทำสมาธิอยู่ในป่าในบ้านก็สบายใจ  จะไปนั่งสมาธิหลับนอนที่ไหนก็สบายใจ  เพราะเราไม่ไปทำความเดือดร้อนให้ใคร  เราจึงไม่หวาดระแวงภัย  เมื่อเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์แล้วก็คล้าย ๆ เป็นผู้สละชีวิตเพื่อบูชาพรหมจรรย์  อานุภาพของความเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์  อาตมาจะนำอดีตสักเรื่องหนึ่งมาเล่าให้ฟัง



           มีนักเลงโตคนหนึ่ง  เป็นนักเลงขนาดจี้ปล้น  ภายหลังถูกเจ้าหน้าที่จับไปติดตะรางตลอดชีวิต  แต่ท่านจำคุกได้ ๑๔ ปีก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษออกมา พอออกมาเดินนอกเรือนจำ  ก็เข้าร้านขายผ้าจีวร  ยกมือไหว้ขอบริขารเอาไปบวช  คนขายสบงจีวรก็ให้  เพราะรู้ว่านายคนนี้เป็นโจร  ประเดี๋ยวจะมาประทุษร้ายเอา  ก็ให้ด้วยความจำใจ  พอหมอได้บริขารแล้วก็ไปหาพระอุปัชฌาย์  ซึ่งอุปัชฌาย์ก็รู้ว่านายคนนี้เป็นโจรหัวโจก  ถ้าไม่บวชให้จะมาฆ่าเอา  พอบวชแล้ว  ผู้บังคับบัญชาก็ดุท่านอุปัชฌาย์ว่าเอาคนอะไรมาบวช  ประเดี๋ยวก็มาฆ่าพระฆ่าเณรตายหมด  แต่ท่านบอกว่าไม่ทำหรอก  เลิกแล้ว  ความประพฤติชั่วทั้งหลายหยุดแล้วไม่ทำอีกต่อไป ขออาศัยอยู่ในสำนักอุปัชฌาย์สักปีหนึ่งก็จะออกธุดงค์



          เมื่อท่านอยู่ครบปีหนึ่งท่านก็ไปธุดงค์ในดงมะอี่  ดงมะอี่อยู่ตรงอำเภออำนาจเจริญ  ใกล้ถึงจังหวัดนครพนมระหว่างทางที่อำเภออำนาจเจริญ  จังหวัดอุบลราชธานี  ไปถึงนครพนม  เมื่อก่อนเป็นป่าช้างดงเสือทั้งนั้น เหมือนกับดงพญาไฟจากโคราชมากรุงเทพฯ นี่แหละ  มีแต่ภัยอันตราย  เมื่อท่านเข้าไปอยู่ที่นั้น ท่านไปอยู่องค์เดียวไปอยู่ที่พลาญหิน  กลดที่ท่านแบกไปหนัก ท่านจึงไม่กางไปนอนอยู่บนก้อนหิน  พอตกค่ำ  เสือก็ออกมาเป็นฝูง ๆ มานั่งห้อมล้อมท่านอยู่  หลวงพ่อเคยอยู่ป่า  เคยเห็นเสือมันจ้องตะครุบสัตว์หรือคน  เมื่อมันเห็นสัตว์มันจะนอนหมอบลงกับพื้นแล้วทำหูทำตาหลอกล่อให้เราเผลอ  แล้วมันจะกระโดดตะครุบ  แต่ว่าเสือที่มาเฝ้าหลวงตาองค์นี้  (ชื่อหลวงตาสน  เป็นคนจังหวัดศรีสะเกษ  เป็นลูกน้องเสืออ่วม  เสือยงค์  ในประวัติศาสตร์สมัยกรมหลวงสรรพสิทธิ์ฯครองเมืองอุบล)   พอท่านเห็นเสือออกมา  ท่านก็บอกว่า “เสือเอ๊ย  ไปกินมันซะ  มันเป็นโจร  มันฆ่าผู้ฆ่าคนมามากต่อมาก  ไปกินมันหมดกรรมหมดเวร  ไปหน่อย” เสือก็ไม่กิน  นั่งเฝ้าเฉย ๆ  “อื้อ!  ทำไมมันไม่กิน  เดี๋ยวจะเดินไปให้มันกิน“  ท่านก็ลุกจากที่นั่งเดินเข้าไปหามันไปหาตัวที่มันใหญ่ที่สุด  มันนั่งอยู่นั่น  หัวท่านกับหัวมันสูงเท่ากัน  ท่านเดินไปและเอื้อมมือไปตบหัวมัน  มันก็โดดเข้าป่าไป  แปลกมาก  เหลือเชื่อ

โดย: kit007    เวลา: 2013-7-29 15:23
พอท่านเล่าจบลง  ท่านก็บอกว่า  จะเชื่อก็ตามไม่เชื่อก็ตาม  แต่เรื่องมันก็เป็นไปแล้ว  พูดไปก็คล้ายโกหก  มีที่ไหนเสือจะไม่กัดคน  ท่านว่าอย่างนั้น แต่ท่านบอกว่าการที่เรามีศีลบริสุทธิ์สะอาดดีแล้ว  แม้อดีตเราจะมีความชั่วช้าลามกสักปานใดก็ตาม แต่เมื่อเราตั้งเจตนางดเว้นบาปความชั่ว  โดยอาศัยศีลเป็นหลักปฏิบัติให้บริสุทธิ์  บริบูรณ์แล้ว  เป็นผู้สละแล้วซึ่งชีวิตและร่างกาย  สิ่งที่เราสละนั้นเราไม่หวงแหน  อย่าว่าแต่มนุษย์จะไม่เอา  แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็ไม่ต้องการ  เหมือนกับว่าเราสละชีวิตแล้วเสือมันก็ไม่อยากกิน  ไม่อร่อย  ท่านว่าอย่างนี้  อันนี้เป็นตัวอย่างของผู้มีศีลบริสุทธิ์สะอาดดี




          ดังพระธุดงคกรรมฐาน  ครูอาจารย์  อาจารย์เสาร์  อาจารย์มั่น  ท่านเดินทางไปในป่าในดงรก ๆ  เต็มไปด้วยสัตว์สิ่งที่ดุร้าย  อาตมาเคยเดินย่อง ๆ ไปดูแถวถ้ำเชียงดาวระหว่างทางจากเชียงดาวมาอำเภอพร้าว  เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นป่าดงดิบอยู่ เขาบอกว่าเป็นเส้นทางที่พระอาจารย์มั่นเดินธุดงค์ ถามชาวบ้านว่าทางเสือยังมีอยู่หรือเปล่า  “โอ๊ย….ยังมีอยู่”   เขาพูดอย่างภาษาชาวบ้านว่า  เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่เหมือนอย่างกับหมู –ไก่  ในบ้านแหละ นี่ลองคิดดู  สมัยโน้นทางรถยนต์ยังไม่มี  การคมนาคมก็ไม่สะดวก เดินไปด้วยเท้ากันทั้งนั้น  ท่านอาจารย์มั่นเดินธุดงค์จากเมืองอุบลฯ  ถึงเมืองเชียงใหม่  ย่ำต๊อก ๆ ๆ ไปด้วยฝีเท้า  ทางจากเมืองอุบลฯ  ไปเมืองเชียงใหม่มันผ่านดงป่าเขาทั้งนั้น เต็มไปด้วยสัตว์ร้าย  แต่ก็อาศัยที่ท่านมีศีลบริสุทธิ์  สะอาด  มีคุณธรรม  มีเมตตา  สัตว์ร้ายก็ไม่ทำร้ายท่าน




           เพราะฉะนั้น  เราจึงควรมาปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อละความชั่ว  แผนแห่งการละความชั่วที่เรามองเห็นได้ชัด ๆ ก็คือ  ศีล ๕ ประการเท่านั้น  ถ้าใครอยากละความชั่ว  ให้ตั้งใจเจตนาแน่วแน่  ใช้ขันติ  ความอดทน  แล้วก็พยายามแผ่เมตตามาก ๆ ถ้าศีลบริสุทธิ์  จิตก็จะกลายเป็นจิตเมตตาไปเอง  อีกประการหนึ่งอุบายวิธีสำหรับขจัดความอิจฉาริษยา  พระพุทธเจ้าท่านว่าความอิจฉาริษยา  เป็นสิ่งที่ทำลายโลกให้พินาศ คือโลกแผ่นดินนี้หรือมันจะพินาศเปล่า  โลกหัวใจของเรามันจะพังเพราะความอิจฉาริษยา  ทำให้ใจเกิดกิเลส  ดังนั้น วิธีการแก้ในปัจจุบันเราจะปฏิบัติอย่างไร




           เอาละ จะขอเล่าเรื่องส่วนตัวให้ท่านทั้งหลายฟังก่อน

โดย: kit007    เวลา: 2013-7-29 15:23
เมื่อก่อนนี้หลวงพ่อเป็นสามเณรน้อย จะไปไหนก็ไม่มีใครยกมือไหว้ บางทีเขานิมนต์พระ  พระไม่พอตามจำนวนเขาจะส่งสามเณรไปด้วย  หลวงพ่อเป็นเณรใหญ่  พอไปแล้วเจ้าภาพก็ว่า  “ไม่ได้นิมนต์เณร  เอาเณรมาทำไม”  นี่มันเป็นอย่างนี้




           หลวงพ่อพุธเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเสาร์  หลวงพ่อเสาร์สอนให้ภาวนาพุทโธอย่างเดียว  ภาวนาพุทโธ ๆ ๆ  เรื่อยไปจนมีชื่อเสียงโด่งดัง ชาวกรุงเทพนิยมให้มาเทศน์ไม่หยุดเพราะภาวนาพุทโธอย่างเดียว  ดังนั้น  ใครจะว่าภาวนาพุทโธไม่ดีช่างใคร  หลวงพ่อว่าภาวนาพุทโธดีที่สุดทำให้หลวงพ่อมีชื่อเสียง  มีคนสนใจฟังเทศน์ พระในกรุงเทพมีเต็มไปหมด ตื่นเช้ามาพระออกบิณฑบาตกันเหลืองอร่ามทั่วบ้านทั่วเมือง  เรื่องอะไรไปเที่ยวเบียดเบียนพระบ้านนอก  ไปนิมนต์พระบ้านนอกมาเสียเวลานั่งสมาธิภาวนาทำไม  ก็เพราะอานิสงส์ของการภาวนาพุทโธนั่นเอง



           อานิสงส์ของการภาวนาพุทโธ  นอกจากญาติโยมจะนิมนต์มาเทศน์ไม่หยุดแล้ว  สิ่งอื่น ๆ  ก็คือ ก่อนนี้หลวงพ่อเป็นลูกชาวนา  เคยอยู่แต่กระท่อม  เวลานี้กุฏิตึกเขาก็ไปสร้างให้อยู่  ยังแถมติดเครื่องปรับอากาศให้ด้วย  สิ่งที่ไม่น่าถวายพระ เช่น วิทยุ  โทรทัศน์  วีดีโอ  เขาก็นำไปถวาย  ตู้เย็นในกุฏิมีตั้ง  ๓ -๔ หลัง  เอามาทำไม เอามาถวายพระแล้วให้ชาวบ้านเขาด่าพระ เดี๋ยวเขาจะเป็นบาป  เขาบอกว่า เรื่องของคนจะถวาย  เขาว่าอย่างนั้นเมื่อพระมีความสมบูรณ์ คนก็ตำหนิ  พระอะไร……..รถยนต์ก็มีตั้ง ๒-๓ คัน  ไม่รู้หรือว่าพระมีบุญ  นี่แหละ  เวลาบุญมันเกิดมันก็เป็นอย่างนี้ญาติโยมทั้งหลาย เพราะฉะนั้นวิธีการขจัดความอิจฉาริษยานี่ ถ้าเห็นใครนั่งรถงาม ๆ สาธุ……..ท่านมีบุญจึงมียานยนต์นั่ง เห็นใครอยู่คฤหาสน์ราคาสิบล้าน  สาธุ………ท่านมีบุญมีวิมานอยู่อย่างกับเทวดา  ใครเขาร่ำรวยเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี สาธุ… ท่านมีบุญจึงเป็นมหาเศรษฐี  เอ้า……ถ้าหากเขาไปโกงรวยล่ะ  เรายังจะไปสาธุเอาบุญกับเขาอีกหรือ  ก็สาธุเอาซี……..เขามีบุญ  เขาจึงโกงรวย  อย่างเรา ๆ บุญไม่มี  โกงทีเดียวติดตะรางจ้อย   นี่เรื่องของเรื่องมันเป็นอย่างนี้  ในเมื่อบุญมันเกิดแล้วเอาอะไรมากั้นมันก็ไม่อยู่



          อาตมาเคยไปอยู่ที่วัด ๆ หนึ่ง  พอไปอยู่แล้วทายกเขามาเทศน์สอน  “มาเป็นสมภารเจ้าวัดต้องขยันเยี่ยมญาติโยมนะ”  อาตมาก็บอกว่าไม่จำเป็นตราบใดที่เราไม่มีบุญบารมีเพียงพอ เราจะตะโกนเรียกจนคอแตกเขาก็ไม่สนใจกับเรา  ถ้าเรามีบุญบารมีพร้อม  ต่อให้จ้างแขกยามมาเฝ้าประตูถือตะพดคอยตีกบาลมันอยู่มันก็ไม่อยู่หรอก  นี่มันเป็นอย่างนี้แหละ

โดย: kit007    เวลา: 2013-7-29 15:23
เมื่อมาอยู่ที่โคราชมีทายกคนหนึ่งมาสอนพระคุณเจ้าเรื่องการก่อสร้างว่า  “พระคุณเจ้าไม่ต้องกระตือรือร้น ขอให้สวดมนต์ภาวนาเดินจงกรม  นั่งสมาธิอยู่เท่านั้น  การก่อสร้างญาติโยมย่อมดูอยู่“ ก็ลอง ๆ ปฏิบัติตามดู ไปอยู่วัดป่าสาลวัน  นั่งเคี้ยวหมากคุยกับโยมทั้งวัน  ผู้บังคับบัญชาบอกว่า  “เจ้าคุณชินฯ  มันไม่มีงานอะไรหรอก  ได้แต่นั่งกินหมากกับโยมทั้งวัน” มานั่งคิดดูว่าเราอยู่ดี ๆ มีคนมาให้เทศน์สอนวันละ  ๑๐๐ - ๒๐๐  คนนี่  ดีกว่าที่จะไปยกมือขอเทศน์ให้เขาฟัง  ภายหลังเพราะอาศัยการประพฤติดีปฏิบัติชอบ  ไม่ต้องไปขวนขวายที่จะทำอะไรทั้งนั้น  วัดหลวงพ่อไม่มีกำแพงหนูจะสร้างให้เอาไหม……ก็เอาซี  หลวงพ่ออยู่กุฏิกำลังจะพังอยู่แล้ว…..หนูจะสร้างให้เอาไหม  ก็เอาซี  เดี๋ยวนี้แทบจะไม่มีที่จะสร้าง  บอกตรงๆ หลวงพ่อไม่เคยประกาศหรือจัดงานหาเงินสร้างวัด มีแต่นั่งภาวนาอย่างเดียว เวลานี้ไปสร้างอยู่ที่ภูแก้วห่างจากวัดป่าสาลวัน   ๕๐  กม.อยู่บนหลังเขา  กำลังสร้างศาลา  กว้าง  ๒๐  เมตร  ยาว  ๔๒  เมตร  เดี๋ยวนี้เขากำลังมุงหลังคาเสร็จปูหินอ่อน  บอกกับคนที่ทำว่า เอาเพียงพื้นปูนซิเมนต์ขัดเกลี้ยงก็พอเขาบอกว่าไม่สมศักดิ์ศรีหลวงพ่อ  ต้องเอาหินอ่อนมาปูเขาว่าอย่างนี้  ก็ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นเอง  ในเมื่อบุญเราทำดีถึงแล้ว




          หลวงพ่อถือคติว่า  เราไปอยู่ที่ไหน  ถ้าสมัครใจจะอยู่ที่นี้  โคนต้นไม้ต้นนี้  จะปักกลดตรงนี้ไม่มีใครมาสร้างอะไรให้  ฉันก็จะอยู่ที่นี่  ฉันสมัครใจ  ฉันจะตายอยู่บนก้อนหินก้อนนี้  แต่แล้วอยู่ไม่เคยเกิน  ๓  เดือน  ประเดี๋ยวคนก็มาสร้างให้  นี่บารมีของพระพุทธเจ้า  ของคุณธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงประทานไว้  ใครตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบย่อมเห็นผลทั้งอามิสและคุณธรรม  เพราะฉะนั้น  ญาติโยมทั้งหลายอย่าใจร้อน  ตั้งใจประพฤติปฏิบัติไป  ให้ทาน  รักษาศีล  เจริญเมตตาภาวนา  โลภ  โกรธ  หลงมีอยู่ในใจเอาไว้เป็นแรงกระตุ้นเตือนใจให้เราเกิดความทะเยอทะยาน ในความอยากได้  อยากดี  อยากมี  อยากเป็น  เดินจงกรมอยู่ตลอดคืนตลอดวันยังค่ำ  เพราะอาศัยความโลภกระตุ้นเตือน  อยากได้มรรค  ผล  นิพพาน   แต่เมื่อเรามีความโลภ  ความโกรธ  ความหลงในใจ  การใช้กิเลสให้เกิดประโยชน์ขอให้มีขอบเขต  ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพที่จะแสวงหาลาภ  ยศ  สรรเสริญ  สุข  แต่ต้องมีขอบเขต  ในเมื่อเราได้สิ่งเหล่านี้มาสมปรารถนาแล้ว   เรามีลาภ  มีความมั่งมี เอาความมั่งมีสร้างความดีให้ชาวบ้านเขารัก  เรามียศฐาบรรดาศักดิ์  เอายศฐาบรรดาศักดิ์สร้างความดีให้ชาวบ้านเขารัก  เรามีสรรเสริญ  สุข  เอาสรรเสริญสร้างความดีให้ชาวบ้านเขารัก  อย่าเอาสิ่งเหล่านี้ไปสร้างศัตรูให้ชาวบ้านเขาเกลียดขี้หน้า  เศรษฐี   บางท่านไปไหนมาไหนต้องมีมือปืนแห่คอยป้องกันอันตรายจะเดินไปไหน  กินกาแฟในร้านตลาด  ซดก๋วยเตี๋ยวสักชามในร้านตลาดก็ไม่ได้  หวาดระแวงกลัวเขาจะมาฆ่าตัวตาย  เพราะอะไร……..เพราะเอาความมั่งมีศรีสุข  เกียรติยศเกียรติศักดิ์ไปสร้างอำนาจ  ไปสร้างความชั่วช้าลามก   ให้ชาวบ้านเขาเกิดความเกลียดขี้หน้า  ไปสร้างศัตรูอยู่รอบข้าง  ถ้าเรานับถือศาสนาพุทธ  เราควรจะเอาคุณธรรมสร้างความดีให้ชาวบ้านเขารัก

โดย: kit007    เวลา: 2013-7-29 15:23
ในท้ายที่สุดแห่งการบรรยายธรรมนี้  ขอแสดงความยินดีอีกครั้งหนึ่งที่เราท่านทั้งหลายมีชีวิตรอดพ้นมาจนกระทั่งสิ้นปีเก่า  ถ้าหากว่า……สมมุติว่ามีความชั่วร้ายใด ๆ อยู่ในจิตในใจ  ก็ขอให้สาบสูญไปกับปีเก่า  ให้ดำรงอยู่แต่คุณงามความดี  ปีใหม่มาถึงแล้วก็ขอให้สร้างความดีนั้น ๆ ให้มากขึ้น ๆ ด้วยอำนาจแห่งคุณงามความดีคือบุญกุศล  ที่เกิดจากทาน  ศีล  ภาวนา  จะเป็นปุญญาภิสังขารปรุงแต่งวิถีชีวิตของท่านทั้งหลายให้ดำเนินไปด้วยดี  ประสบความสุข  ความเจริญด้วยอายุ   วรรณะ  สุขะ  พละ  ปฏิภาณธนสารสมบัติ  แม้ว่าปรารถนาสิ่งใด  ก็ขอให้สำเร็จตามใจปรารถนาในที่ทุกสถาน  ตลอดกาลทุกเมื่อ  ทั้งนี้ทั้งนั้นด้วยอำนาจแห่งบุญกุศลที่เราได้ทำแล้ว…….



“ธรรมะที่มีแต่แก่นไม่มีเปลือกหุ้มก็อยู่ไม่ได้…….การปฏิบัติศีล  ๕……..ศีล ๘…ศีล ๑๐…… ศีล  ๒๒๗  อันนี้คือวิธีการ  เป็นเปลือกหุ้มแก่นธรรม  เพราะฉะนั้น  ผู้ที่มุ่งหวังจะปฏิบัติธรรมให้ถึงแก่น  ต้องรักษาเปลือกให้ดี  อย่าไปกระเทาะเปลือกมันเสีย”




ที่มา http://www.thaniyo.com/index.php ... =123&Itemid=146

โดย: Metha    เวลา: 2013-7-31 07:46


โดย: เฟม...zonya    เวลา: 2013-7-31 16:25
เข้าใจง่ายดีจังค่ะ ขอบคุณพี่กิตมากนะคะ
โดย: matmee2550    เวลา: 2013-8-8 12:56
เยี่ยมๆๆ
โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-8 13:08

โดย: Metha    เวลา: 2013-12-14 09:20
ขอบคุณน่ะขอรับ





ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2