Baan Jompra
ชื่อกระทู้:
เรื่องของ “วาสนา”
[สั่งพิมพ์]
โดย:
oustayutt
เวลา:
2016-8-19 18:12
ชื่อกระทู้:
เรื่องของ “วาสนา”
คำว่าวาสนาในภาษาไทยหมายถึง บุญบารมีที่สั่งสมมานาน ทำให้คน ๆ นั้นมีความพรั่งพร้อมสมบูรณ์ทุกด้าน ดังคำกล่าวถึงบุคคลที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ว่า “เขามีวาสนา” หรือ “เป็นวาสนาของเขา”
แต่ในความหมายทางธรรม “วาสนา” หมายถึง นิสัยสันดานที่ฝังลึกอยู่ในจิตจนถอนไม่ขึ้น ว่ากันว่า ถึงจะบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังละ “วาสนา” ไม่ได้ ยกเว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
---> มีตัวอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายเรื่อง
เรื่องที่หนึ่งเกี่ยวกับพระสารีบุตร อัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า ท่านผู้นี้เป็นนักปรัชญาเก่า สังกัดสำนักปรัชญาเมธีชื่อสัญชัย เวลัฏฐบุตร เจ้าลัทธิที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในเมืองราชคฤห์ ต่อมาได้ลาอาจารย์พร้อมกับสหายรักชื่อโกลิกะ (ต่อมาคือ พระมหาโมคคัลลานะ) มาบวชในพระพุทธศาสนาเป็นสาวกของพระพุทธองค์
เมื่อบวชแล้วก็ได้รับแต่งตั้งจากพระองค์ให้เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา ผู้เป็นเลิศในทางปัญญามาก ท่านให้ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนภิกษุสงฆ์แทนพระพุทธเจ้าในบางครั้ง และเป็นกำลังในการช่วยพระพุทธองค์เผยแพร่พระพุทธศาสนา
พระสารีบุตรท่านมี “วาสนา” ที่ละไม่ได้อยู่อย่างหนึ่ง คือเวลาท่านพบแม่น้ำลำธารที่มีสายน้ำไหลเย็น ท่ามกลางบรรยากาศอันสงบร่มรื่นท่านจะละอาการสงบเสงี่ยมชั่วขณะ กระโดดหยอย ๆ ด้วยความดีใจ ดังหนึ่งเด็กน้อยได้ของเล่นใจอย่างนั้นแหละ
พระสงฆ์อื่นเห็นอาการไม่สำรวมของพระอัครสาวกต่างก็พากันซุบซิบว่า พระเถระผู้ใหญ่อย่างท่าน ไม่น่าทำอย่างนี้เลย
เรื่องทราบถึงพระกรรณของพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสแก่พระสงฆ์ทั้งหลายว่า อย่าได้ตำหนิสารีบุตรเลย กิริยาอาการอย่างนั้นเป็น “วาสนา” ที่สั่งสมมานานของสารีบุตร แม้เป็นพระอรหันต์แล้วก็ละไม่ได้เพราะว่าในชาติปางก่อนโน้น สารีบุตรเคยเกิดเป็นลิงติดต่อกันหลายร้อยหลายพันชาติ จึงติดนิสัยกระโดดโลดเต้นของลิงมา
ข้อความข้างต้นนี้ไม่มีพระไตรปิฎกดอกครับ แต่มีในหนังสือรุ่นหลังพระไตรปิฎก (คือ อรรถกถา - หนังสืออธิบายพระไตรปิฎก) จะเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด ก็แล้วแต่จะพิจารณาเกิด
อีกเรื่องหนึ่ง อ่านแล้วตื่นเต้นดี คือมีพระเถระรูปหนึ่งเป็นพระอรหันต์ทรงอภิญญา นามว่าพระปิลินทวัจจะ ท่านชอบพูดคำว่า “วสลิ” (แปลเป็นไทยว่า “ไอ้ถ่อย” ) จนติดปาก พบใครไม่ว่าจะระดับใด ท่านจะทักด้วยคำว่า “สบายดีหรือ ไอ้ถ่อย”
ประชาชนทั่วไปรู้ว่าท่านพูดไม่เพราะเช่นนั้นเอง แต่จิตใจท่านเต็มไปด้วยเมตตา จึงไม่ได้ถือสาท่าน ตรงกันข้าม ถ้าใครได้รับคำทักทายจากท่านด้วยถ้อยคำไพเราะ เขาผู้นั้นจะเดือดร้อนมากกว่า ทำไมหลวงพ่อไม่พูดกับเขาเหมือนเดิม เป็นยังงั้นไป
วันหนึ่งพ่อค้าขายดีปลีคนหนึ่ง บรรทุกดีปรีเต็มเกวียน เดินทางเข้าเมืองที่เพื่อค้าขาย ระหว่างทางพบท่านปิลินทวัจฉะ ท่านถามว่า “บรรทุกอะไรมา ไอ้ถ่อย” ได้ยินพระพูดไม่ไพเราะอย่างนั้น พ่อค้าแกก็ฉุนตงิด ๆ ตะโกนตอบเสียงดังว่า
“บรรทุกขี้หนูโว้ย ไอ้ถ่อย”
ทันใดนั้นดีปลีเต็มลำเกวียนได้กลายเป็นขี้หนูทันทีแต่เจ้าตัวยังไม่รู้พอเข้าเมืองจอดเกวียนเพื่อขนดีปลีออกมาขาย เขาก็แทบลมจับ เพราะมีแต่ขี้หนูเต็มเกวียน ช่างมหัศจรรย์พันลึกอะไรเช่นนั้น
เขาได้วิ่งแจ้นตามไปกราบขอขมาท่านพระปิลินทวัจฉะ เขาได้ผิดไปแล้วที่พูดคำหยาบกับพระคุณเจ้า ได้โปรดยกโทษให้ด้วย
“ไม่เป็นไร ไอ้ถ่อย ข้ายกโทษให้” ท่านตอบด้วยจิตเปี่ยมด้วยเมตตาธรรม เรื่องนี้ได้ล่วงรู้ไปถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสว่า เป็น “วาสนา” ของปิลินทวัจฉะเอง แก้ไม่ได้ แต่เธอไม่มีเจตนาจะพูดคำหยาบ
อดีตเจ้าคณะจังหวัดอุดรธานี ผมจำสมณศักดิ์ท่านไม่ได้แล้วท่านชอบพูดคำว่า “ดีเนาะ หลวง” ติดปาก ไม่ว่าพูดกับใคร ไม่ว่าเรื่องดี หรือเรื่องร้าย ท่านจะบอกว่า “ดีเนาะ ๆ” อยู่เรื่อย วันหนึ่งสีกานางหนึ่งร้องไห้ฟูมฟายไปหาท่าน เรียนท่านว่า ลูกชายซึ่งเพิ่งเรียนจบนายร้อย จปร. ใหม่ ๆ ประสบอุบัติเหตุตายเสียแล้ว หลวงพ่อท่านก็ตอบว่า “ดีเนาะ”
ว่ากันว่าสีกานางนั้นโกรธหลวงพ่อแทบเป็นแทบตาย แต่ต่อมาพอรู้ว่าเป็นคำพูดติดปากท่านเท่านั้นเอง จึงไม่ถือโกรธท่าน
เมื่อคราวโรงแรมใหญ่ที่โคราชถล่มทับคนตายเป็นจำนวนมาก มีตึกอีกหลังหนึ่งติดกับโรงแรม โย้เย้ทำท่าจะพังลงมาอีก มีคนนิมนต์หลวงพ่อคูณไปดู หลวงพ่อคูณท่านคงเห็นด้วยตาในของท่าน จึงบอกว่าตึกนี้ไม่พังแน่นอน
หนังสือพิมพ์เอาภาพและคำพูดของท่านมาลงว่า “หลวงพ่อคูณ เกจิอาจารย์ดังบอกว่า “กูว่าไม่พัง”
บางท่านถามด้วยความหงุดหงิดใจว่าพระสงฆ์องค์เจ้าพูดกู ๆ มรึง ๆ ได้หรือ
นี่แสดงว่าท่านผู้ถามนี้ไม่รู้ว่า “วาสนา” นั้นละกันไม่ได้ หลวงพ่อคูณท่านพูดคำนี้ติดปาก ไม่ว่าพูดกับใคร คำพูดฟังดูอาจหยาบ แต่ จริง ๆ แล้ว กู ๆ มรึง ๆ เป็นภาษาไทยแท้ ไม่คิดว่าหยาบมันก็ไม่หยาบ ที่สำคัญท่านพูดด้วยจิตเมตตา
เล่าว่าท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง พอท่านพูดคำว่า กู มรึง ก็รู้สึกโกรธไหว้แล้วลงกุฏิกลับไปเลย สตาร์ทรถอย่างไร ๆ ก็ไม่ติด จนกระทั่งมีผู้เข้าไปกระซิบว่า ให้ไปขอขมาหลวงพ่อก่อน พอเขาไปกราบขอขมา หลวงพ่อพูดว่า “เออมรึงกลับได้”
เท่านั้นแหละครับ คราวนี้สตาร์ทชึ่งเดียวติดวิ่งฉิวไปเลย
นี่แหละครับที่ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า “วาสนา” หรือสิ่งที่ติดแน่นอยู่ในส่วนลึกแห่งจิตสันดาน แม้พระอรหันต์ก็แก้ไม่ได้
ไม่จำต้องพูดถึงปุถุชน ดอกครับ
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/)
Powered by Discuz! X3.2