Baan Jompra

ชื่อกระทู้: "ป้อม"เล่าเรื่อง [สั่งพิมพ์]

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-7-27 15:50
ชื่อกระทู้: "ป้อม"เล่าเรื่อง
  ผ่านมานานแล้ว แต่ผมเองก็ยังม่ายรู้จะหาอะไรมาลงดี พอดีพี่ศร มาถามเรื่องกระทู้เก่านี้ ก็เลยได้ฉุกคิดขึ้นมา งั้นผมขอเปิดกระทู้ "ป้อม"เล่าเรื่อง ด้วย


"แม่ธรณี"
[attach]4041[/attach]

พระแม่ธรณี หรือ แม่พระธรณี หรือ พระศรีวสุนธรา เป็นเทพีแห่งพื้นแผ่นดิน ปรากฏในตำนานทั้งศาสนาพราหมณ์, ฮินดู และพุทธศาสนา
ในคติของศาสนาฮินดูให้ความเคารพนับถือว่าแผ่นดินเป็นสิ่งค้ำจุนสรรพสิ่งทั้งปวงในโลกเปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดหล่อเลี้ยงโลกและแผ่นดิน จึงได้รับยกย่องว่าเป็นเทพจากธรรมชาติองค์หนึ่งเป็นเพศหญิง เรียกนามว่า "ธรณิธริตริ" แปลว่า "ผู้ค้ำจุนพระธรณี" แม้จะมิค่อยมีรูปเคารพอย่างแพร่หลายเช่นเทพองค์อื่นแต่ก็มีผู้ให้ความเคารพนับถือเป็นจำนวนมิใช่น้อย เพราะถือกันว่าพระธรณีสถิตย์อยู่ตามที่ต่าง ๆ ทุกหนทุกแห่ง จะทำการบูชาด้วย ข้าว ผลไม้ และนมด้วยการวางไว้บนก้อนหิน หรือประพรมลงบนพื้นดิน บางแห่งใช้เหล้าเป็นการสังเวยก็มี นอกจากนี้ชาวฮินดูยังมีการขอขมาลาโทษเมื่อจะวางเท้าลงบนพื้นดินก่อนจะลุกขึ้นในตอนเช้า วัวหรือควายที่มีลูกก่อนที่จะให้ลูกกินนมครั้งแรก เจ้าของจะปล่อยน้ำนมของแม่วัวลงบนพื้นดินเสียก่อนทุกครั้งไป ถ้าเป็นพวกชาวนาก็จะขอให้พระธรณีช่วยคุ้มครองผืนนาและวัวควาย แม้ในพระเวทก็มีการขอร้องต่อพระธรณีให้ช่วยพิทักษ์คุ้มครองวิญญาณของคนตาย และต่อมาได้นับถือว่าเป็นเทพแห่งไร่นาด้วย ในแคว้นปัญจาบเชื่อกันว่าพระธรณีจะนอนหลับเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ของทุก ๆ เดือนชาวไร่ชาวนาจะหยุดไม่ทำงานในระยะนี้
เทพแห่งแผ่นดินหรือพระธรณี ไม่ค่อยมีเรื่องราวประวัติความเป็นมาปรากฏมากมายดังเช่นเทพองค์อื่น หรือมีก็สับสน เช่น บางแห่งว่าพระธรณีมีโอรสกับพระนารายณ์องค์หนึ่งคือพระอังคาร บางแห่งว่าพระอังคารเป็นโอรสของพระศิวะกับพระธรณี หรือในคติพราหมณ์พบเพียงว่าเป็นชายาของพระธุรวะหรือดาวเหนือ


เทพแห่งแผ่นดินหรือพระธรณี ไม่ค่อยมีเรื่องราวประวัติความเป็นมาปรากฏมากมายดังเช่นเทพองค์อื่น หรือมีก็สับสน เช่น บางแห่งว่าพระธรณีมีโอรสกับพระนารายณ์องค์หนึ่งคือพระอังคาร บางแห่งว่าพระอังคารเป็นโอรสของพระศิวะกับพระธรณี หรือในคติพราหมณ์พบเพียงว่าเป็นชายาของพระธุรวะหรือดาวเหนือ
ในพุทธศาสนา พระแม่ธรณีปรากฏกายเพื่อบีบน้ำจากมวยผมให้ท่วมพญามารที่รังควานสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในคืนวันตรัสรู้ ดั่งรายละเอียดตามพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสว่า




โดย: oustayutt    เวลา: 2013-7-27 15:53

[attach]4042[/attach]
แต่ในชาติอาตมะเป็นพระยาเวสสันดรชาติเดียวนั้น ก็ได้บำเพ็ญทานบารมีถึงบริจาคนางมัทรีเป็นอวสาน พื้นพสุธาก็กัมปนาการถึง 7 ครั้ง แลกาลบัดนี้ อาตมะนั่งเหนืออปราชิตบัลลังก์อาสน์ หมู่มารอริราชมาแวดล้อมยุทธการเป็นไฉนแผ่นพสุธาธารจึงดุษณีภาพอยู่ฉะนี้ แลพระยามารอ้างบริษัทแห่งตนให้เป็นกฎสักขีขานคำมุสา แลพื้นปฐพีอันปราศจากเจตนาได้สดับคำอาตมะในครั้งนี้จงรับเป็นสักขีพยานแห่งข้า แล้วเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาอันประดับด้วยจักรลักษณะอันงามดุจงวงไอยรารุ่งเรืองด้วยพระนขามีพรรณอันแดงดุจแก้วประพาฬออกจากห้องแห่งจีวร ครุวนาดุจวิชุลดาในอัมพรอันออกจากระหว่างห้องแห่งรัตวลาหก ยกพระดัชนีชี้เฉพาะพื้นมหินทรา จึงออกพระวาจาประกาศแก่นางพระธรณีว่า ดูก่อนวนิดาดลนารี ตั้งแต่อาตมะบำเพ็ญพระสมภารบารมีมาตราบเท่าถึงอัตภาพเป็นพระเวสสันดรราช ได้เสียสละบุตรทานบริจาคแลสัตตสดกมหาทานสมณะพราหมณาจารย์ผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งจะกระทำเป็นสักขีพยานในที่นี้ก็มิได้ มีแต่พสุนธารนารีนี้แลรู้เห็นเป็นพยานอันใหญ่ยิ่ง เป็นไฉนท่านจึงนิ่งมิได้เป็นพยานอาตมาในกาลบัดนี้
ในขณะนั้น นางพสุนธรีวนิดาก็มิอาจดำรงกายาอยู่ได้ ด้วยโพธิสมภารานุภาพยิ่งใหญ่แห่งพระมหาสัตว์ ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้นปฐพียืนประดิษฐานเฉพาะพระพุทธังกุรราช เหมือนดุจร้องประกาศกราบทูลพระกรุณาว่าข้าแต่พระมหาบุรุษราช ข้าพระบาททราบซึ่งสมภารบารมีที่พระองค์สั่งสมอบรมบำเพ็ญมา
แต่น้ำทักษิโณทกตกลงชุ่มอยู่ในเกศาข้าพระพุทธเจ้านี้ ก็มากกว่ามากประมาณมิได้ ข้าพระองค์จะบิดกระแสใสสินโธทกให้ตกไหลหลั่งลง จงเห็นประจักษ์แก่นัยนาในครานี้ แลนางพระธรณีก็บิดน้ำในโมลีแห่งตน อันว่ากระแสชลก็หลั่งไหลออกจากเกศโมลีแห่งนางพสุนธรีเป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศที่ทั้งปวงประดุจห้องมหาสาครสมุทร พระผู้เป็นเจ้ารักขิตาจารย์จึงกล่าวสารพระคาถาอรรถาธิบายความก็เหมือนนัยกล่าวแล้วแต่หลัง
ครั้งนั้น หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำปลาตนาการไปสิ้น ส่วนคิรีเมขลคชินทรที่นั่งทรงองค์พระยาวัสวดีก็มีบาทาอันพลาดมิอาจตั้งกายตรงอยู่ได้ ก็ลอยตามชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร อันว่าระเบียบแห่งฉัตรธวัชจามรทั้งหลาย ก็ทักทบท่าวทำลายล้มลงเกลื่อนกลาดและพระยามาราธิราชได้ทัศนาการเห็นมหัศจรรย์ ดังนั้น ก็บันดาลจิตพิศวงครั่นคร้ามขามพระเดชพระคุณเป็นอันมาก พระคันถรจนาจารย์จึงกล่าวพระคาถาสรรเสริญคุณานุภาพโพธิสัตว์อรรถาธิบายความก็ซ้ำหนหลัง
ครั้งนั้นมหาปฐพีก็ป่วนปั่นปานประหนึ่งว่าจักรแห่งนายช่างหม้อบันลือศัพท์นฤนาทหวาดไหวสะเทือนสะท้าน เบื้องบนอากาศก็นฤโฆษนาการ เสียงมหาเมฆครืนครั่นปิ่มปานจะทำลายภูผาทั้งหลาย มีสัตตภัณฑ์บรรพต เป็นต้น ก็วิจลจลาการขานทรัพย์สำเนียงกึกก้องทั่วทั้งท้องจักรวาล ก็บันดาลโกลาหลทั่วสกลดังสะท้าน ปานดุจเสียงป่าไผ่อันไหม้ด้วยเปลวอัคคี ทั้งเทวทุนทุภีกลองสวรรค์ก็บันลือลั่นไปเอง เสียงครืนเครงดุจวีหิลาชอันสาดทิ้ง ถูกกระเบื้องอันเรืองโรจน์ร้อนในกองอัคนี การอัสนีบาตก็ประหารลงเปรี้ยง ๆ เพียงพื้นแผ่นปฐพีจะพังภาคดังห่าฝน ถ่านเพลิงตกต้องพสุธาดลดำเกิงแสงสว่างหมู่มารทั้งหลายต่าง ๆ ตระหนกตกประหม่า กลัวพระเดชานุภาพแพ้พ่าย แตกขจัดขจายหนีไปในทิศานุทิศทั้งปวงมิได้เศษ แลพระยามาราธิราชก็กลัวพระเดชบารมี ปราศจากที่พึ่งที่พำนักซ่อนเร้นให้พ้นภัยหฤทัย ท้อระทดสลดสังเวชจึงออกพระโอษฐ์สรรเสริญพระเดชพระคุณพระมหาบุรุษราชว่า ดังอาตมาจินตนาการอันว่าผลทานศีลสรรพบารมีแห่งพระสิทธัตถกุมารนี้ ปรากฏอาจให้บังเกิดมหิทธฤทธิ์สำเร็จกิจมโนรถปรารถนาทุกประการ มีพระกมลเบิกบานแผ่ไปด้วยประสาทโสมนัส จึงทิ้งเสียซึ่งสรรพาวุธประนมหัตถ์ทั้ง 2,000 อัญชลีกรนมัสการ ก็กล่าวสารพระคาถาว่า นโม เต ปุริสาชญญ เป็นอาทิ อรรถาธิบายความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ปุริสาชาไนยชาติเป็นอุดมบุรุษราชในโลกนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายวันทนาการชุลีพร้อมด้วยทวารทั้ง 3 คือกายวจีมโนประณามประณตในบทบงกชยุคลบาท บุคคลผู้ใดในมนุษย์โลกธาตุกับทั้งเทวโลก ที่จะปูนเปรียบประเสริฐเสมอพระองค์คงเทียมเทียบนั้นมิได้มี พระองค์ได้ตรัสเป็นพระศรีสรรเพชญ์เสร็จแจ้งจตุราริยสัจจ์ศาสดาจารย์มีพระเดชครอบงำชำนะหมู่มาร เป็นปิ่นปราชญ์ฉลาดในอนุสัยแห่งสรรพสัตวโลกจะข้ามขนนิกรเวไนย์ให้พ้นจตุรโอฆกันดารบรรลุฝั่งฟากอมฤตมหานฤพานอันเกษมสุขปราศจากสังสารทุกข์ในครั้งนี้ แลพระยาวัสวดีมารโถมนาการพระคุณพระมหาบุรุษราชด้วยจิตประสาทเลื่อมใส ผลกุศลนั้นจะตกแต่งให้ได้ตรัสแก่พระปัจเจกโพธิญาณในอนาคตกาลภายหน้า เมื่อพระยามารกล่าวสัมภาวนากถาสรรเสริญคุณพระโพธิสัตว์ แล้วก็นิวัตตนาการสู่สกลฐานเทวพิภพ

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-7-27 15:57
พระแม่ธรณีภาคอินเดียใต้



พระธฤติมาตามหาเทวี{พระธรณี}


พระธรณีเป็นเทพมารดาแห่งโลก เพราะเป็นผู้ที่มีคุณต่อสรรพชีวิตบนโลกนี้ที่ต้องอาศัยคุณของแม่พระธรณี ในศาสตร์ทางจิตเกือบทั่วทุกมุมโลกล้วนคำนึงถึงพลังจากปถพีนี้เสมอมา แม้ในพระพุทธศาสนาที่ว่าด้วยหลักการและเหตุผลก็ยังกล่าวอ้างถึงดังปรากฏในปฐมสมโพธิญาณ ตอนพระสิทธัตถะบำเพ็ญจิตเพื่อบรรลุพระโพธิญาณ แล้วถูกพญามารตามผจญก็อธิษฐานแม่พระธรณีเป็นพยานในบุญบารมีที่ทรงบำเพ็ญมาเอนกชาติจนชนะหมู่มารในที่สุดคุณแม่พระธรณีในทางพระเวทจึงถือเป็นจุดเริ่มต้นและจุดสูงสุดของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกประการ



พระแม่ธรณีเทพีผู้รักษาแผ่นดินโลก



พระแม่ธรณี เป็นเทพีที่ยิ่งใหญ่ เปรียบเสมือนมารดาของโลก ท่านได้โอบอุ้มพืนปฐพีและอุ้มชูสัตว์โลกมนุษย์ทั้งหลาย ท่านถือความสันโดษ มักบำเพ็ญตบะ ตำนานครั้งยิ่งใหญ่ของท่าน

  

ในกาลครั้งหนึ่งครั้นเมื่อเจ้าชาย
"สิทธัตถะ"กำลังเข้าถึงปรินิพาน แต่กาลนั้นได้มีหมู่พญามารมาสะกัดกั้นไว้ด้วยเดชะบุญของพระพุทธเจ้าได้สั่งสมมาสิบชาติ จึงทำให้พระแม่ธรณีได้หยั่งรู้ทุกอย่างของท่าน ครั้งนั้นพญามารได้มีเจตนาจะยึดครองบัญลังค์ แต่ด้วยความมี"สติปัญญาและความปรีชาญาณของสมโพธิญาณนั้น ท่านจึงนึกถึงแม่พระธรณี จึงเอาดัชนีจี้ลงสู่พื้นธรณีเพื่อให้ พระแม่มาเป็นสักขีพยาน

      

จากนั้นพระแม่ธรณีได้ปรากฎพระองค์ขึ้นมาจากพื้นดิน ซึ่งเป็นเทพีที่งดงามมาก มีทรวดทรงอรชรสวยงามมีเกษาที่ยาวโดดเด่นและเต็มเปลี่ยมไปด้วยพลังแห่งอำนาจมาก จากนั้นพระแม่ได้ตรัสต่อหน้าพระพุทธเจ้าว่าจะเป็นสักขีพยานในกาลสำเร็จทั้งปวงและได้ตรัสกับพวกพญามารทั้งหลาย จากนั้นท่านได้หลั่งน้ำสิโนฑก ที่พระพุทธเจ้าได้สั้งสมบุญ ญาณ บารมี จากอดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ



น้ำที่หลั่งออกมาจากมวยผมของพระแม่ธรณีซึ่งมากมายไม่ขาดสายจน ท่วมท้น หลั่งล้น จนทำให้พญามารทั้งหลายได้พ่ายแพ้หนีไป และยอมแพ้ เจ้าชาย "สิทธัตถะ"
จึงได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน  และด้วยอำนาจและพลังแห่งพระแม่ธรณีจึงทำให้ปราบพญามารได้สิ้นทราก



พระแม่ธรณีท่านมีหลายภาคแต่ละภาคขึ้นอยู่กับศาสนาและประเทศไม่ว่าจะประเทศไหนก็จะมีพระแม่ธรณีทุกที่ยกตัวอย่างเช่น ภาคอินเดียใต้พระแม่ธรณีจะมีรูปร่างกำยำ มีใบหน้าสวยงามมากในแบบฉบับอินเดีย ปล่อยผมสยายยาวเต็มเปี่ยมด้วยพลังแห่งอำนาจอีกภาคคือ ภาคธรณีสูบ ภาคนี้เป็นภาคที่ดุมากคล้ายกับพระแม่กาลีก็ว่าได้ เพราะภาคนี้ท่านสูบคนชั่วและหมู่มารทั้งหลาย ใครทำดีท่านคุ้มครองใครทำชั่วแม่ท่านจะมีวิธีสูบให้สิ้น ในภาคอินเดียใต้ พระแม่ธรณีจะมีพาหะนะเป็นสิงโตซึ่งสิงโตดุร้ายมากแต่จะเมตตาแต่ผู้ที่ทำดี อาวุธท่านมีมากมาย มีแปดพระกร เฉกเช่นพระแม่ทุรคา(พระแม่อุมาเทวี)อาวุธจะคร้ายครึงกัน



ภาพ:montradevi

ตามลำตัวของพระแม่ธรณี(ภาคอินเดียใต้)จะเต็มเปี่ยมไปด้วยมหาเทพเทวะ-มหาเทพเทวี เพราะถือว่าพระแม่เป็นจุดศูนย์กลางการเชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์ไปยังสวรรค์ เทพเทวดาจะต้องพึ่งพาพระแม่ธรณีเพื่อเป็นจุดศูนย์กลางและจุดศูนย์รวม และเพื่อการมาประชุมกัน ที่สำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้ท่านเป็นสักขีพยานต่างๆ



ในสมัยพระเวท มีคัมภีร์กล่าวว่าพระสวามีของพระแม่ธรณีคือ พระทยาอุส ซึ่งเป็นผู้ครองฟ้าเก่าสุดของศาสนาพราหมณ์ มีโอรสทั้งสองพระองค์คือ "พระอินทร์และพระอัคนี



คาถาบูชาพระแม่ธรณี

“ตัสสาเกษีสะโต ยะถาคงคา โสตังปะวัตตันติ มาระเสนา ปฏิฐาตุง อาสักโภนโต ปะลายิงสุปาริมานานุภาเวนะมาระ เสนาปะราชิตาทิโส ทิสัง ปะลายันติ วิทังเสนติอะเสสะโต”

อย่างน้อย ๓ จบ



โดยมนต์ตราเทวี

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-7-27 16:04
[youtube]ryfgfAYOOmg&feature=player_detailpage[/youtube]
โดย: oustayutt    เวลา: 2013-7-27 16:25
อีก1ละครไทยที่ชื่นชอบ


ตัวละครขุนช้าง ขุนแผน


  ขุนแผน



ขุนแผน เดิมชื่อพลายแก้ว มีรูปร่างหน้าตางดงามคมสัน สติปัญญาเฉลียวฉลาด นิสัยเจ้าชู้ มีดาบฟ้าฟื้นเป็นอาวุธประจำตัว พาหนะคู่ใจคือ ม้าสีหมอก พ่อเป็นทหารชื่อ ขุนไกรพลพ่าย แม่ชื่อ นางทองประศรี ได้บวชเณรและเรียนวิชาที่วัดส้มใหญ่ แล้วย้ายไปเรียนต่อที่วัดป่าเลไลย สุดท้ายไปเป็นศิษย์สมภารคง วัดแค จนมีความรู้ทางโหราศาสตร์ ปลุกผี อยู่ยงคงกระพัน คาถามหาละลวยทำให้ผู้หญิงรัก ตลอดจนวิชาจากตำรับพิชัยสงคราม และยังมีความสามารถเทศน์ได้ไพเราะจับใจอีกด้วย ต่อมาสึกจากเณรแล้วแต่งงานกับนางพิมพิลาไลย ไม่นานก็ถูกเรียกตัวไปเป็นแม่ทัพรบกับเชียงใหม่ ครั้นได้ชนะกลับมาก็ได้เป็นขุนแผนแสนสะท้าน แต่ปรากฏว่าภรรยาแต่งงานใหม่แล้ว ขุนแผนต้องโทษถูกจำคุกถึง ๑๕ ปี จึงพ้นโทษ และทำสงครามกับเชียงใหม่อีกครั้ง เมื่อชนะกลับมาก็ได้ตำแหน่งเป็นพระสุริทรฤาไชย เจ้าเมืองกาญจนบุรี
ขุนแผนเจ้าชู้มากจึงมีภรรยาหลายคน คือ
             นางวันทอง                  มีลูกด้วยกัน คือ พลายงาม
            นางลาวทอง                   -
            นางแก้วกิริยา               มีลูกด้วยกัน คือ พลายชุมพล
            นางสายทอง                  -
            นางบัวคลี่                    มีลูกเป็น กุมารทอง

ขุนช้าง



“จะกล่าวถึงขุนช้างเมื่อรุ่นหนุ่ม          หัวเหมือนนกตะกรุมล้านหนักหนา
เคราคางขนอกรกกายา        หน้าตาดังลิงค่างที่กลางไพร”
          ขุนช้าง มีลักษณะรูปชั่วตัวดำ หัวล้านมาแต่กำเนิด นิสัยเจ้าเล่ห์เพทุบาย ได้ชื่อว่าขุนช้างเพราะตอนคลอดนั้น มีผู้นำช้างเผือกมามอบให้สมเด็จพระพันวษา พ่อชื่อ ขุนศรีวิชัย แม่ชื่อ นางเทพทอง มีฐานะร่ำรวยมาก แม้จะเกิดมาเป็นลูกเศรษฐี แต่ก็อาภัพ ถูกแม่เกลียดชังเพราะอับอายที่มีลูกหัวล้าน จึงมักถูกแม่ด่าว่าอยู่เสมอ และไม่ว่าจะเดินไปทางใด ก็จะเป็นที่ขบขันล้อเลียนของชาวบ้านทั่วไปเสมอ พอเป็นหนุ่มก็ได้นางแก่นแก้ว เป็นภรรยา อยู่ด้วยกันได้ปีกว่านางก็ตาย จึงหันมาหมายปองนางพิมพิลาไลย แต่งงานกับนางสมใจปรารถนา




โดย: oustayutt    เวลา: 2013-7-27 16:31
นางวันทอง








         นางพิมพิลาไลย เป็นหญิงรูปงาม แต่ปากจัด พ่อชื่อ พันศรโยธา แม่ชื่อ นางศรีประจัน ต่อมารได้แต่งงานกับพลายแก้ว ซึ่งภายหลังมีลูกชายด้วยกัน คือ พลายงาม ครั้นพลายแก้วไปทำสงคราม นางก็ป่วยหนักรักษาเท่าไรก็ไม่หาย ขรัวตาจู วัดป่าเลไลย ตรวจดูดวงชะตาและแนะนำให้เปลี่ยนชื่อเป็น นางวันทอง อาการไข้จึงหายต่อมานางถูกแม่บังคับให้แต่งงานใหม่กับขุนช้าง นางต้องถูกประณามว่าเป็นหญิงสองใจ เมื่อมีคดีฟ้องร้องถึงสมเด็จพระพันวษา และพระองค์ให้นางเลือกว่าจะอยู่กับใคร แต่นางตัดสินใจไม่ถูกจึงถูกสั่งให้ประหารชีวิต

นางสายทอง



            
           นางสายทอง เป็นพี่เลี้ยงของนางพิมพิลาไลย ได้เลี้ยงดูอุ้มชูกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ จึงมีความรักใคร่สนิทสนมกันมาก เหมือนเป็นพี่น้องกันแท้ ๆ นางช่วยเป็นแม่สื่อให้พลายแก้วกับนางพิมพิลาไลยรักกัน และรู้เห็นเป็นใจให้คนทั้งสองแอบไปพบกันหลายครั้ง ต่อมานางก็ตกเป็นภรรยาของพลายแก้วด้วย นางสายทองเป็นเพื่อนคอยปลอบใจยามที่นางพิมพิลาไลยเศร้าโศก เพราะความอาลัยรักและห่วงไยพลายแก้วที่จากไปทำสงครามในแดนไกล แต่นางไม่เคยมีโอกาส อยู่ร่วมกับพลายแก้วอย่างใกล้ชิดิในฐานะสามีภรรยาเลย แม้ว่าพลายแก้วจะมีหน้าที่ราชการสูงขึ้น ได้เป็นขุนแผนแสนสะท้านและได้เลื่อนเป็นพระสุริทรฤาไชย นางสายทองก็ยังอยู่กับนางศรีประจันแม่ของนางพิมพิลาไลยเช่นเดิม



นางบัวคลี่

         นางบัวคลี่ เป็นลูกสาวของหมื่นหาญกับนางสีจันทร์ นางมีรูปโฉมงดงามราวกับสาวชาววัง เจ้าเมืองกรมการแห่งกาญจนบุรี รู้กิตติศัพท์ความงามของนางก็ส่งคนมาสู่ขอ แต่พ่อของนางไม่ยอมยกให้ เมื่อขุนแผนเดินทางไปเสาะหาของวิเศษ ๓ อย่าง คือ กุมารทอง ดาบ และม้าฝีเท้าดี ได้มาพบนางบัวคลี่เข้าก็มีความพอใจ จึงฝากตัวเข้าเป็นสมุนกับพ่อของนาง และได้นางเป็นภรยา จนนางตั้งท้อง ต่อมาพ่อของนางเห็นว่าขุนแผนมีวิชาอาคมเหนือกว่า ก็เกรงว่าจะถูกยึดอำนาจ จึงสั่งให้นางบัวคลี่วางยาพิษฆ่าขุนแผนเสีย นางก็เชื่อฟังพ่อยอมกระทำตาม แต่ขุนแผนรู้ตัวเสียก่อนก็แค้นเคืองที่นางคิดไม่ซื่อ จึงแกล้งทำเป็นถูกพิษและไม่สบาย ครั้นนางนอนหลับก็ใช้มีดผ่าท้องของนางควักเอาลูกในท้องออกมา ทำพิธีปลุกเสกเป็นกุมารทอง



โดย: oustayutt    เวลา: 2013-7-27 16:33
นางแก้วกิริยา


         
              นางแก้วกิริยา เป็นลูกของพระยาสุโขทัยกับนางเพ็ญจันทร์ พ่อพานางมาขายฝากให้เป็นทาสของขุนช้างเพื่อนำเงินไปใช้หนี้ ขุนช้างนึกเอ็นดูจึงเลี้ยงนางไว้เป็นเหมือนน้องสาว ขุนแผนหาของสำคัญสามอย่าง คือ ดาบฟ้าฟื้น กุมารทอง และม้าสีหมอก ได้ครบแล้ว คืนหนึ่งก็บ้านของขุนช้างเพื่อลักตัวนางวันทองไป แต่เข้าห้องผิดไปเข้าห้องของนางแก้วกิริยาและได้นางเป็นภรรยา ก่อนจากกันขุนแผนมอบแหวนให้นางไว้ดูต่างหน้า และให้เงินไปไถ่ตัวจากขุนช้างด้วย ตลอดเวลานางเป็นภรรยาที่ดีและซื่อสัตย์ต่อขุนแผนเสมอ ยามที่ขุนแผนมีเคราะห์ต้องโทษถึงจำคุก นางก็ตามไปคอยปรนนิบัติดูแลอยู่จนพ้นโทษซึ่งกินเวลาถึง ๑๕ ปี นางมีลูกชายกับขุนแผนคือ พลายชุมพล


พลายงาม

           พลายงาม มีตำแหน่งทางราชการเป็นจมื่นไวยวรนาถ ซึ่งมักเรียนกันสั้น ๆ ว่า พระไวย หรือหมื่นไวย เป็นลูกของขุนแผนกับนางวันทอง แต่ไปคลอดที่บ้านของขุนช้าง เพราะนางถูกฉุดไปขณะที่ท้องแก่ ยิ่งโตพลายงามก็ยิ่งละม้ายคล้ายคลึงกับขุนแผนมากขึ้น ทำให้ขุนช้างเกลียดมาก วันหนึ่งจึงหลอกพลายงามไปฆ่าในป่า แต่โหงพรายของขุนแผนมาช่วยไว้ นางวันทองจึงให้ไปอยู่กับนางทองประศร ีที่กาญจนบุรีพลายงามได้เรียนวิชาจากตำราของพ่อจนเชี่ยวชาญ มีความสามารถเช่นเดียวกับขุนแผนต่อมาได้อาสายกทัพไปรบกับเชียงใหม่ แล้วถือโอกาสขออภัยโทษให้ขุนแผนออกจากคุกได้ เมื่อกลับมาจากสงครามก็ได้ตำแหน่งเป็นจมื่นไวยวรนาถ และมีภรรยาสองคน คือ นางศรีมาลา และนางสร้อยฟ้า



สมเด็จพระพันวษา


          สมเด็จพระพันวษา เป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ยุคนี้เป็นยุคที่บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง มีความอุดมสมบูรณ์ ราษฎรทั้งหลายอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุขบรรดาประเทศใกล้เคียง ก็ยอมอ่อนน้อม เพราะยำเกรงบารมี สมเด็จพระพันวษามีนิสัยโกรธง่าย ดังเช่นเมื่อขุนไกรต้อนควายป่ามาเข้าคอกให้พระองค์ล่า แต่ควายตื่นตกใจหนีเตลิด ขุนไกรจึงใช้หอกไล่แทงควายตายไปมากมาย สมเด็จพระพันวษาก็โกรธสั่งให้ประหารชีวิตขุนไกรทันที แต่พระองค์ก็นับว่าเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีความยุติธรรมต่อพวกทหาร เสนาอำมาตย์ และราษฎรพอสมควร เมื่อมีคดีฟ้องร้องกัน ก็จะให้มีการไต่สวน และพิสูจน์ความจริงให้ประจักษ์ชัดเสียก่อนจึงจะลงโทษ เช่น ในคราวที่นางสร้อยฟ้าทำเสน่ห์ให้จมื่นไวยวรนาถ (พลายงาม) หลงรักแล้วถูกจับได้ แต่ไม่มีพยานยืนยัน สมเด็จพระพันวษาก็ให้ลุยไฟพิสูจน์ จนรู้แน่ว่านางสร้อยฟ้าเป็นฝ่ายผิดจึงได้สั่งลงโทษ


นางศรีประจัน


         
        นางศรีประจัน เป็นแม่ของนางพิมพิลาไลยหรือนางวันทองนั่นเอง นางเป็นคนปากจัด ด่าเก่ง และเอาแต่ใจตนเอง ขุนช้างมาบอกข่าวว่าพลายแก้วตาย และขู่ว่านางวันทองจะต้องถูกจับกุมตัวเข้าวังเป็นม่ายหลวง นอกจากรีบแต่งงานใหม่เสีย แล้วขุนช้างก็เอาเงินทองมีค่ามาล่อใจ นางศรีประจันจึงคิดให้นางวันทองแต่งงานกับขุนช้าง แม้ว่านางวันทองกับคนอื่นๆ จะพยายามคัดค้านแต่นางศรีประจันใสใจ บังคับให้นางวันทองแต่งงานใหม่กับขุนช้างจนได้ การกระทำของนางทำให้ลูกสาวต้องมีสามีถึงสองคน และมีเหตุวุ่นวายแย่งตัวนางวันทองกัน ผลสุดท้ายนางวันทองถูกประหารชีวิต



โดย: oustayutt    เวลา: 2013-7-27 16:34
แสนตรีเพชรกล้า

              “สูงใหญ่รูปร่างเหมือนอย่างเสือ        กำลังเหลือเนื้อหนังก็แน่นเหนียว
       หนวดโง้งโก่งฟั่นพันเป็นเกลียว             ฟันขาวปากเขียวดังปลิงควาย
   นัยน์ตาดำคล้ำคล้ายตาเสือ                 ขอบตาแดงเรื่อดังชาดป้าย
คิ้วกระหมวดหนวดแดงดูแรงร้าย           ผมมุ่นมวยคล้ายกับโยคี”
แสนตรีเพชรกล้า เป็นแม่ทัพม้า ทหารเอกของเจ้าเมืองเชียงใหม่ เป็นศิษย์ของอาจารย์ศรีแก้วฟ้าแห่งถ้ำวัวแดง มีวิชาอาคมขลัง อยู่ยงคงกระพัน มีรอยสักทั้งตัวตั้งแต่รุ่นหนุ่มก็ไม่ได้อาบน้ำเลย เพราะเกรงว่าจะล้างว่านยาที่ทาตัวไว้ออกไปหมด เมื่อจะออกรบจึงจะอาบน้ำแช่เครื่องรางวิเศษ ผสมกับว่าวยาซึ่งเป็นน้ำเสี่ยงทายด้วย ถ้าน้ำมีสีเหลืองจะได้ชัยชนะ ถ้าน้ำมีสีแดงจะแพ้ถึงตาย ครั้งที่ต้อนรบกับขุนแผนและพลายงามน้ำในวันนั้นมีสีแดง แต่ก็แข็งใจออกไปรบ แล้วก็ถูกทหารของขุนแผนใช้หลาวสวนทวารถึงแก่ความตาย


ขุนรามอินทรา


         
         ขุนรามอินทรา ได้เคยสาบานเป็นเพื่อนตายกับขุนช้างขุนแผน พระหมื่นศรีและขุนเพชรอินทรา ครั้งที่ขุนช้างทูลฟ้องสมเด็จพระพันวษาว่า ขุนแผนบุกขึ้นเรือนตนลักพาวันทองไป สมเด็จพระพันวษาทรงเห็นว่าไม่ควรฟังความข้างเดียว จึงรับสั่งให้พระหมื่นศรีกับจมื่นไวยเป็นแม่ทัพ ให้ขุนรามอินทราเป็นปีกซ้าย ขุนเพชรอินทราเป็นปีกขวาคุมทหารห้าพันคน ไปดูร่องรอยที่บ้านของขุนช้าง และไปตามตัวขุนแผนมาเข้าเผ้าให้ได้ ถ้าขุนแผนดื้อดึงก็ให้ตัดหัวเสียบประจานไว้ในป่าเสียเลย คืนนั้นเอง ภรรยาของขุนรามอินทราฝันว่า ฟันหักไปสามซี่นางตกใจตื่นขึ้นเล่าให้สามีฟัง ขุนรามอินทราก็พยายามปลอบให้ภรรยาเลิกคิดกังวล ครั้นรุ่งเช้าแต่งกายเสร็จเดินลงจากบ้าน ก็มีเหตุอัศจรรย์บันไดหักทีเดียวห้าขั้นขุนรามอินทราสังหรณ์ใจว่า ไปคราวนี้คงต้องตายเป็นแน่ แต่ไม่อาจละทิ้งหน้าที่ได้ เมื่อยกทัพไปพบขุนแผนในป่า และต่อสู้กันขุนรามอินทราก็ถูกขุนแผนฟันตกจากหลังช้างสิ้นใจตาย


หมื่นหาญ


         
              “สูงเกือบสี่ศอกตากลอกโพลง                 หนวดโง้งงอนปลายทั้งซ้ายขวา
         ขอบตาแดงฉาดดังชาดทา                    เนื้อแน่นหนังหนาดูน่ากลัว
ผมหยิกหยักศกอกเป็นขน                     ทรหดอดทนมิใช่ชั่ว
          ปลุกเสกเครื่องฝังไว้ทั้งตัว                     เป็นปมปุ่มไปทั่วทั้งกายตน”
             หมื่นหาญ เดิมชื่อ นายเดช มีฉายาว่ากระดูกดำ เป็นหัวหน้าโจรอยู่ที่บ้านถ้ำ กาญจนบุรี มีวิชาดีไม่ว่าปืนหรืออาวุธอื่นใดก็ไม่อาจระคายผิวได้ มีภรรยาชื่อ นางสีจันทร์ มีลูกสาวคนเดียวชื่อ นางบัวคลี่ ต่อมาหมื่นหาญเป็นคนขี้ระแวง ดังนั้นพอรู้ว่าขุนแผนมีวิชาเหนือกว่าตนก็ไม่พอใจ สั่งให้นางบัวคลี่วางยาพิษฆ่าเสีย แต่นางบัวคลี่ก็ต้องตายด้วยน้ำมือของขุนแผน เนื่องจากขุนแผนรู้ตัวเสียก่อน


โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-7-28 23:12

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-7-30 21:31
[table=0,#f5f5f5]
[tr][td]
ไหว้พระธาตุประจำวันเกิด - นครพนม

   
     1. พระธาตุพนม เป็นพระธาตุประจำวันเกิดของคนที่เกิดวันอาทิตย์ เชื่อว่าผู้ใดได้ไปนมัสการจะได้รับอานิสงส์มีผู้คนให้ความเคารพนับถือ (สิ่งของบูชา ข้าวตอก น้ำอบ ข้าวเหนียวปิ้ง ดอกไม้สีแดง ธูป 6 ดอก เทียน 2 เล่ม)

        2. พระธาตุเรณู อ. เรณูนคร พระธาตุประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันจันทร์ เชื่อว่าผู้ใดได้ไปนมัสการจะได้รับอานิสงส์ให้มีวรรณะผุดผ่องดังแสงจันทร์ (สิ่งของบูชา ข้าวตอก น้ำอบ ข้าวเหนียวปิ้ง ดอกไม้สีเหลือง ธูป 15 ดอก เทียนขาว 2 เล่ม)

       3. พระธาตุศรีคูณ อ. นาแก พระธาตุประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันอังคารคนที่เกิดวันนี้จะเป็นนักต่อสู้ อดทนเป็นเยี่ยม เชื่อว่าผู้ใดได้ไปนมัสการจะได้รับอานิสงส์ให้มีศักดิ์ศรีทวีคูณ (สิ่งของบูชา ข้าวตอก น้ำอบ ข้าวเหนียวปิ้ง ดอกไม้สีชมพู ธูป 8 ดอก เทียน 2 เล่ม)

       4. พระธาตุมหาชัย อ. ปลาปาก พระธาตุประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันพุธ เชื่อว่าผู้ใดได้ไปนมัสการจะได้รับอานิสงส์ประสบชัยชนะต่ออุปสรรคทั้งปวง (สิ่งของบูชา ข้าวตอก น้ำอบ ข้าวเหนียวปิ้ง ดอกบัว ธูป 17 ดอก เทียนขาว 2 เล่ม)

        5. พระธาตุประสิทธิ์ อ. นาหว้า พระธาตุประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี เชื่อว่าผู้ใดได้ไปนมัสการจะได้รับอานิสงส์ให้ประสบผลสำเร็จในหน้าที่การงาน (สิ่งของบูชา ข้าวตอก น้ำอบ ข้าวเหนียวปิ้ง ดอกไม้สีส้ม ธูป 19 ดอก เทียน 2 เล่ม)

        6. พระธาตุท่าอุเทน อ. ท่าอุเทน พระธาตุประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันศุกร์ เชื่อว่าผู้ใดได้ไปนมัสการจะได้รับ อานิสงส์ให้มีชีวิตรุ่งโรจน์ดุจดังพระอาทิตย์ขึ้นยามรุ่งอรุณ (สิ่งของบูชา ข้าวตอก น้ำอบ ข้าวเหนียวปิ้ง ดอกไม้สีน้ำเงินหรือฟ้า ธูป 21ดอก เทียน 2 เล่ม)

       7. พระธาตุนคร อ. เมือง พระธาตุประจำวันเกิดของผู้ที่เกิดวันเสาร์ เชื่อว่าผู้ใดได้ไปนมัสการจะได้รับอานิสงส์ให้มีบุญบารมีเป็นเจ้าคนนายคน (สิ่งของบูชา ข้าวตอก น้ำอบ ข้าวเหนียวปิ้ง ธูป 10 ดอก เทียน 2 เล่ม)



Travel.thaiza.com
[/tr]


โดย: จ๊อ    เวลา: 2013-7-30 21:35
ขอบคุณค่ะ "ป้อม" เล่าเรื่อง
โดย: oustayutt    เวลา: 2013-7-30 22:00

จริงๆ เรื่องที่ผมจะเขียนต่อไปนี้มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับ Social Networking หรอกครับ แต่ผมคิดว่าสิ่งที่ผมกำลังจะเขียนต่อไปนี้ มันน่าจะจัดเข้าในหมวดหมู่นี้ได้ และผมมีแผนจะเขียนตอนที่ 16 ขึ้นมา ซึ่งเนื้อหาในตอนที่ 15 นี้จะเป็นการเกริ่นนำที่ดีทีเดียว ดังนั้น ก็ นะ อ่านๆ ไปเถิด ฮาฮา …เรื่องของเรื่องคือ ผมกำลังอยู่ในระหว่างการอ่านหนังสือชีวประวัติของ Steve Jobs อดีต CEO ของ Apple, Inc. เขียนโดย Walter Isaacson อยู่ มันมีแง่มุมต่างๆ ที่น่าสนใจเยอะแยะครับ อยากให้ได้หามาอ่านกัน ใครชอบอ่านแบบ Original ก็ซื้อฉบับพิมพ์ในอังกฤษหรืออเมริกาก็ได้ หาซื้อได้ที่คิโนะคุนิยะ หรือ Asia Books ส่วนใครที่ไม่ถนัดภาษาอังกฤษ รอเล่มแปลจากเครือเนชั่นได้ครับ เห็นว่าใกล้จะเสร็จแล้ว
Steve Jobs เป็นคนที่มีเสน่ห์แบบแปลกๆ แบบที่คนที่ทำงานร่วมกับเขาที่ Apple เรียกว่า Reality Distortion Field หรือ แปลเป็นไทยคงได้ใจความว่า “สนามพลังบิดเบือนความเป็นจริง” มันเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจมากครับ ถ้าให้อ้างอิงจากคำพูดของผู้ที่ทำงานร่วมกับ Steve Jobs จากหนังสือ มันเหมือนจะเป็นความสามารถในการปฏิเสธความเป็นจริงของ Steve Jobs แล้วเชื่อมั่นในสิ่งที่เขาเชื่อ และสามารถทำให้สิ่งที่เชื่อนั้นกลายเป็นจริงได้ และปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้ก็ส่งผลถึงตัวผู้ที่ทำงานอยู่รอบๆ ตัวเขาด้วยเช่นกัน เช่น ตอนที่เขารับงานจาก Atari มา โดยให้ทำเกมด้วยจำนวนชิปที่น้อยกว่า 50 ตัว ซึ่งด้วย Reality Distortion Field (ซึ่งในตอนนั้นยังไม่มีใครตั้งชื่อนี้ให้) ของ Steve Jobs ทำให้เขากล่อมจน Stephen Wozniak (Co-founder ของ Apple) ทำเกมขึ้นมาโดยใช้ชิปแค่ 45 ตัว และเสร็จใน 4 วัน (งานเดียวกันนี้ ปกติต้องใช้เป็นเดือน)
ในทางจิตวิทยา มันมีคำอธิบายสำหรับ Reality Distortion Field ที่น่าสนใจ ภายใต้ชื่อของทฤษฎีที่เรียกว่า Self-fulfilling Prophecy หรือแปลเป็นไทยแบบตรงๆ ตัวก็คือ คำพยากรณ์ที่เป็นจริงได้ด้วยตัวเอง มันจะเป็นยังไงนั้น เดี๋ยวผมพาไปรู้จักครับ
เรื่องราวอันมีสาระที่นำมาเสนอนี้สนับสนุนโดย
สำหรับคนที่ชอบติดตามข่าวสารในแวดวงไอที ตอนนี้ผมจัด YouTube Channel สำหรับเผยแพร่ข่าวสารแล้วครับ ติดตามได้ทาง http://www.youtube.com/user/kafaak ครับ ค้นหา “กาฝากน้อย ย่อยข่าว” ได้เลย
อ่านโฆษณาจบแล้ว ก็กลับมาเข้าเรื่องเข้าราวของเรากันต่อครับ
ปรากฏการณ์พิกเมเลี่ยน (The Pygmalian Effect)
ในเทพปกรณัมกรีกนั้น พิกเมเลี่ยน เป็นช่างปั้นอยู่บนเกาะไซปรัส เขาไม่ชอบผู้หญิง แต่กลับไปหลงรักรูปปั้นที่เขาปั้นขึ้นมา ซึ่งว่ากันว่าเหมือนจริงและสวยมากๆ รักกันขนาดตั้งชื่อให้ว่า กาลาเธีย และหาเสื้อผ้า เครื่องประดับ มาสวมใส่ให้ เวลาจะนอนก็พาไปนอนด้วยกัน และเมื่อถึงเทศกาลเฉลิมฉลองเทพีอโพรไดท์ เขาก็ไปขอพรให้เขาได้คู่ครองที่เหมือนกับ กาลาเธีย แต่ว่าเทพีอโพรไดท์นั้นเมพมาก เพราะรู้ว่าคนที่นายพิกเมเลี่ยนเนี่ยรักจริงๆ คือรูปปั้นของเขาตะหาก ก็เลยบันดาลพรให้ เมื่อพิกเมเลี่ยนกลับมาบ้านแล้วจุมพิตรูปปั้นของเขา รูปปั้นก็กลายเป็นคนจริงๆ ขึ้นมา และพวกเขาก็แต่งงานครองรักกันไป … เนื้อเรื่องก็ประมาณนี้ล่ะครับ
ชื่อของพิกเมเลี่ยน เลยถูกนำไปใช้เป็นชื่อปรากฏการณ์ที่ Robert Rosenthal และ Lenore Jacobson (1979) ค้นพบจากการทดลองของพวกเขา ซึ่งพวกเขาสุ่มเลือกเด็กขึ้นมากลุ่มหนึ่ง แล้วไปบอกครูของเด็กพวกนี้ว่า เด็กเหล่านี้มี IQ สูงกว่าคนอื่น ส่งผลให้คุณครูของพวกเขาปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเด็กเก่งโดยไม่รู้ตัว และเมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่ง พอมาดูผลคะแนนสอบเปรียบเทียบ ก็พบว่าเด็กกลุ่มนี้มีผลคะแนนสอบดีขึ้นกว่าเดิมจริงๆ กลายเป็นเด็กเก่งไปจริงๆ … นั่นเป็นเพราะเมื่อพวกครูเขาเชื่อว่าเด็กเหล่านี้เป็นคนเก่ง จึงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างคนเก่ง และสุดท้ายเด็กเหล่านี้ก็กลายเป็นคนเก่งจริงๆ เหมือนกับที่พิกเมเลี่ยนเชื่อว่ารูปปั้นของเขาเหมือนคนจริงๆ และปฏิบัติต่อรูปปั้นเหมือนกับเป็นคนจริงๆ จนในที่สุดก็เทพีอโพไดรท์ก็บันดาลให้กลายเป็นคนไปจริงๆ นั่นเอง
Labeling Theory อีกด้านหนึ่งของ Pygmalian Effect
ในขณะที่หลายๆ คนเชื่อว่า ตัวเราเองนั่นแหละรู้ตัวของเราดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าเรามองตัวเราเองดีๆ แล้ว เราจะเห็นได้ชัดเลยว่า บ่อยครั้งที่เราก็ไม่ได้รู้ตัวเองดีเท่าที่เราคิดว่าเรารู้ และความไม่แน่ใจในตัวเองนี้มันแอบฝังลึกๆ อยู่ในตัวเอง ดังนั้นเวลาเราจะประเมินว่าตัวเราเองเป็นคนยังไงนั้น เราจึงมักอาศัยข้อมูลทั้งจากความเข้าใจในตัวเองของเรากับสิ่งที่คนอื่นมองตัวเรา มาประกอบกัน
นักจิตวิทยาได้ทำการทดลองมานักต่อนัก ที่ชี้ให้เห็นแล้วว่าเมื่อใดก็ตามที่คนเราไม่แน่ใจในอะไรบางอย่าง เราจะหันไปดูว่าคนหมู่มากคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ หรือพูดง่ายๆ คือ ย้อนกลับไปมองบรรทัดฐานทางสังคมนั่นเอง … ดังนั้นเมื่อไม่แน่ใจว่าตัวเราเป็นคนอย่างไร บางทีเราก็แอบสังเกตดูว่าคนอื่นๆ มองว่าเราเป็นคนอย่างไร แล้วเราก็จะเกิดการรับรู้ตนเองว่าเราเป็นคนเช่นนั้น ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Labeling Theory ครับ หมายถึง กรณีที่การรับรู้อัตลักษณ์แห่งตน (Self-identity Perception) นั้นได้รับอิทธิพลมาจากบุคคลภายนอก … อืมมมม ภาษาไทยชาวบ้านคงเรียกว่า ตราหน้า น่ะครับ
ทั้ง Labeling Theory และ Pygmalian Effect จะให้เกิดสัมฤทธิ์ผลนั้น มันมีปัจจัยหลายๆ อย่างเป็นองค์ประกอบครับ คือ
Reality Distortion Field ของ Steve Jobs คือ การทำให้คนก้าวข้ามขีดจำกัดทางความเชื่อของตนเอง


โดย: oustayutt    เวลา: 2013-7-30 22:00
บ่อยครั้งที่คนเราไม่สามารถแสดงศักยภาพของตนเองออกมาได้เต็มที่ เพราะบางคนเข้าใจขีดจำกัดของตนเองพลาดไป คือ คิดว่าทำได้แค่ 75 ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วทำได้ 100 เป็นต้น นั่นส่งผลให้พวกเขาลงแรงเพียงแค่ 75 ตามความเชื่อในขีดจำกัดของตน (เพราะลงไป 100 ก็จะเสียเปล่า เนื่องจากว่าเขาใจว่าทำได้แค่ 75)

เหตุที่ Reality Distortion Field ของ Steve Jobs มักจะได้ผล มันล้ำลึกครับ มันเริ่มต้นจากการที่ Steve Jobs คัดเลือกบุคคลที่เขาจะเข้าไปใช้ Reality Distortion Field ก่อน มีคนพูดถึงการมองโลกของ Steve Jobs ไว้ว่าเป็นการมองแบบสองขั้ว คือ คนเรามีแค่พวกที่เป็น “Enlightened” กับ “Asshole” … Steve Jobs มองหาพวก Enlightened ครับ
Steve Jobs เป็นคนเก่ง ที่สามารถเล็งเห็นถึงศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ของคนอื่นได้ และเพราะว่าคนเหล่านั้นมีขีดจำกัดที่พวกเขาสร้างขึ้นมาในใจ คอยขัดขวางการปลดปล่อยศักยภาพของพวกเขาออกมา ดังนั้น เขาจึงใช้ Reality Distortion Field เข้ามาช่วย … จริงๆ แล้วก็คือ การเปลี่ยนแปลงทัศนคติและพฤติกรรมของเป้าหมาย ด้วยการใส่ความเชื่อใหม่ๆ เข้าไป ผ่านการแสดงออกถึงความเชื่อมั่นที่ตัว Steve Jobs มีนั่นเอง และเมื่อ Steve Jobs ได้แสดงออกว่าเขาเชื่อในสิ่งนั้น และมีการปฏิบัติต่อเป้าหมายของเขาอย่างที่เขาเชื่อเช่นนั้นจริงๆ สุดท้ายแล้วความเชื่อนี้เองก็จะเข้าไปอยู่ในตัวเป้าหมาย และเป้าหมายก็จะเชื่อว่าพวกเขาจะทำได้เช่นนั้นจริงๆ และเป็นไปตามแนวคิด Self-fulfilling Prophecy นั่นเอง
แต่คนเราชอบเอา Self-fulfilling Prophecy มาใช้ผิดวิธี … เราต้องรู้จักใช้ให้ถูกวิธี
คนที่ไม่รู้ถึงหลักการนี้ ก็มักจะใช้ Self-fulfilling Prophecy แบบผิดๆ ครับ คือ ชอบไป “ตราหน้า” ว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างโน้น ด้วยมุมมองในด้านลบ ด้วยอารมณ์เกลียดชัง ซึ่งเมื่อมีทัศนคติเช่นนั้นแล้ว มันก็นำไปสู่พฤติกรรมที่เราปฏิบัติต่อคนพวกนั้นอย่างนั้นจริงๆ เช่น มองว่าเป็นเด็กมีปัญหา เป็นเด็กเกเร จะต้องขี้คุกขี้ตาราง แล้วก็ไปปฏิบัติกับเขาแบบนั้นจริงๆ ไม่เข้าใกล้ (ทั้งๆ ที่ควรจะเข้าไปให้ความรู้ ความเข้าใจ) สุดท้าย Self-fulfilling Prophecy ก็จะทำให้กลายเป็นเช่นนั้นจริงๆ แล้วก็มักจะรู้สึกภาคภูมิใจว่า “เห็นไหม มันเป็นอย่างที่ชั้นว่าจริงๆ!!” ทั้งๆ ที่บ่อยครั้ง ต้นเหตุของการที่คนอื่นเขาเป็นเช่นนั้น มันเกิดจากตัวของเราแท้ๆ

พึงระลึกเอาไว้เสมอ ถึงขั้นตอนของการเกิดปรากฏการณ์ Self-fulfilling Prophecy ตามแผนผังด้านซ้ายมือครับ มันดูเหมือนเป็นวัฏจักร แต่เราสามารถกำหนดมันได้ เพียงแค่
และนั่นคือเรื่องราวของ Reality Distortion Field ของ Steve Jobs ที่ผมนำมาขยายความต่อครับ … จะเห็นว่ามันเป็นอะไรที่ดาบสองคมเอามากๆ คือ สามารถใช้ไปในทางสร้างสรรค์ได้ และใช้ไปในทางทำลายก็ได้เช่นเดียวกัน เรามีดาบสองคมนี้อยู่ในมือแล้ว ก็อยู่ที่ว่าเราจะใช้ด้านไหนกันแน่ละครับ
ในตอนที่ 16 ผมจะพูดถึง Reality Distortion Field อีกแบบ ทว่าแบบนี้เป็นแบบที่ควรพยายามหลีกเลี่ยงครับ และเป็นแบบที่เราเจอได้บ่อยๆ ในชีวิตประจำวันและในโลก Social Networking ด้วย อย่าลืมติดตามครับ
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-1 13:57


[attach]4073[/attach]"น้ำตกจากสวรรค์" (Waterfalls From  Heaven)
สายน้ำที่ไหลมาจากสรวงสวรรค์  น้ำตกที่ไม่มีใครเชื่อว่ามีอยู่จริง แต่ถ้าคุณมีโอกาสไปเยือน "น้ำตกรูบี้" (Ruby  Falls) หรือเรียกกันอีกชื่อว่า "น้ำตกทับทิม" น้ำตกที่มีชื่อเสียงในเขตเทือกเขาลุคเอาท์ (Lookout Mountain) ใกล้ๆกับเมืองชัตตานูกา (Chattanooga) เมืองในรัฐเทนเนสซี (Tennessee) รัฐทางตะวันออกเฉียงใต้ในสหรัฐอเมริกา (United States of America) นั่นเองค่ะ

น้ำตกรูบี้ หรือ น้ำตกทับทิม  เป็นน้ำตกที่ไม่ได้อยู่บนพื้นผิวดินอย่างที่เราคุ้นเคยกัน  เนื่องจากตัวน้ำตกนั้นอยู่ในถ้ำใต้ดินที่มีความลึกถึง 1,120 ฟุต  สำหรับต้นกำเนิดของน้ำตกนั้นคาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในช่วงการก่อตัวของภูเขาซึ่งย้อนกลับไปราวๆ 200 ถึง 240 ล้านปีที่ผ่านมา

     จากนี้แล้ว  ภายในถ้ำยังมีความโดดเด่นมากในเรื่องความงดงามของสิ่งมหัศจรรย์ทางธรณีวิทยา  อันได้แก่ หินงอก หินย้อย และน้ำตกสูง 145 ฟุต  ที่ตั้งอยู่ที่ปลายสุดของทางเดินหลักของถ้ำ  สำหรับการเข้าชมน้ำตกจะต้องใช้ลิฟท์เท่านั้น  ปัจจุบันถ้ำและน้ำตกรูบี้ถูกครองครองโดยตระกูล Steiner



โดย: assava    เวลา: 2013-8-1 14:19
น้ำตกสวยอ่า
โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-1 15:00
[youtube]--bqB-RDAqw[/youtube]
โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-3 11:37
พระโพธิสัตว์ คือบุคคลที่บำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต พระโพธิสัตว์สำคัญตามความเชื่อของศาสนาพุทธนิกายมหายานมีดังนี

พระกษิติครรภมหาโพธิสัตว์(จีน: 地藏, Di Zang, เกาหลี: Ji Zang, ญี่ปุ่น: Jizo, ทิเบต: Sai Nyingpo, เวียดนาม: Địa Tạng) พระโพธิสัตว์แห่งสัตว์นรกทั้งปวง หรือพระโพธิสัตว์ผู้มีมหาปณิธาน
พระคคนคัญชะโพธิสัตว์สัญลักษณ์คือต้นกัลปพฤกษ์ หัตถ์ขวายกขึ้น หัตถ์ซ้ายวางบนสะโพก กายสีเหลือง มี 2 กร
พระคันธหัสติโพธิสัตว์กายสีเขียวหรือขาวอมเขียว 2 กร มือขวาทำปางประทานพร มือซ้ายถืองาช้าง วางบนดอกบัวหรือถือสังข์
พระจันทรประภาโพธิสัตว์พระโพธิสัตว์ผู้เป็นสาวกของ
พระไภษัชยคุรุ สัญลักษณ์คือดวงจันทร์วางบนดอกบัว หัตถ์ขวาประทานพร หัตถ์ซ้ายถือพระจันทร์บนดอกบัว กายสีขาว 2 กร
พระจุณฑิอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์พระโพธิสัตว์ผู้แยกตัวมาจาก
พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ หรือเจ้าแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ ทุกกรล้วนมีสิ่งของไม่เหมือนกัน บ้างก็แตกต่างกันไป กายสีเหลืองหรือขาว 3 เนตร 18 กร
พระชญาณเกตุโพธิสัตว์กายสีเหลืองหรือฟ้า 2 กร มือขวาถือธงกับเพชรพลอย มือซ้ายทำท่าประทานพร
พระชาลินีประภาโพธิสัตว์สัญลักษณ์คือวงกลมแห่งดวงอาทิตย์ หัตถ์ขวาประทานพร หัตถ์ซ้ายถือพระอาทิตย์บนดอกบัว กายสีแดง มี 2 กร
ไตรโลกยวิชยะวิทยราชแห่งทิศตะวันออก ผู้ทำหน้าที่คุ้มครองพระอักโษภยะพุทธะในศาสนาพุทธแบบทิเบต มหายานบางกลุ่มถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์เอกเทศ ไม่ได้จัดอยู่ในสกุลของพระธยานิพุทธะองค์ใด
พระนางตารา(จีน: 度母, Du Mu) - พระโพธิสัตว์ฝ่ายหญิงในพระพุทธศาสนาฝ่ายวัชรยาน เป็นตัวแทนของคุณธรรมแห่งความสำเร็จในกิจการทั้งปวง ถือกันว่าเป็นร่างสำแดงภาคหนึ่งของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์
พระนาคารชุนะ(จีน: 龍樹, Long Shu, เวียดนาม: Long Thọ) - ผู้ก่อตั้งนิกายมัธยมกะ อันเป็นนิกายย่อยของศาสนาพุทธมหายาน ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระโพธิสัตว์
นิโอผู้พิทักษ์ที่เข้มแข็ง 2 องค์ของพระพุทธเจ้า มักปรากฏอยู่ที่ประตูทางเข้าวัดพุทธศาสนาหลายแห่งในญี่ปุ่นและเกาหลี มีรูปลักษณ์ดั่งนักมวยปล้ำที่ดูน่าสะพรึงกลัว นิโอทั้งสองนี้เป็นร่างสำแดงของพระวัชรปาณีโพธิสัตว์
พระนางปรัชญาปารมิตาเป็นพระโพธิสัตว์ที่เป็นบุคลาธิษฐานของพระสูตรสำคัญของมหายานคือมหาปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตรที่มีบทบาทสำคัญตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 6 -12 มีฐานะเป็นมารดาของพระพุทธเจ้า หรือเป็นภาคสำแดงของ พระอักโษภยะพุทธะ เป็นสัญลักษณ์ของสุญตา
พระปัทมปาณิโพธิสัตว์พระปัทมสัมภวะ(จีน: 蓮華生上師, Lianhuasheng Shang Shi, ทิเบต: Padma Jungne หรือ Guru Rinpoche) - พระลามะในนิกายวัชรยานซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นพระโพธิสัตว์ มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในทิเบตและภูฏาน นิกายญิงมาปะถือว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่สอง
พระประติภานกูฏโพธิสัตว์กายสีเหลือง เขียว หรือ แดง มือขวาถือแส้ มือซ้ายวางบนเพลา มี 2 กร
พระภัทรปาลโพธิสัตว์กายสีแดงหรือขาว มี 2 กร มือขวาทำปางประทานพร มือซ้ายถือเพชรพลอย

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-3 11:38
พระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์(จีน: 大勢至, Da Shì Zhì, เกาหลี: Dae Sae Zhi, ญี่ปุ่น: Seishi, เวียดนาม: Đại Thế Chí) - พระโพธิสัตว์ผู้เป็นตัวแทนของกำลังแห่งปัญญา ปรากฏอยู่เบื้องซ้ายของพระอมิตาภพุทธะ เป็นที่นับถือในนิกายสุขาวดี
พระมัญชุศรีโพธิสัตว์(จีน: 文殊, Wen Shu, เกาหลี: Moon Soo, ญี่ปุ่น: Monju, ทิเบต: Jampal Yang, เวียดนาม: Văn Thù) - พระโพธิสัตว์แห่งปัญญา
พระรัตนปาณีโพธิสัตว์
นางวสุธระพระโพธิสัตว์แห่งความอุดมสมบูรณ์ นับถือกันมากในประเทศเนปาล
พระวัชรครรภโพธิสัตว์สัญลักษณ์คือหนังสือ มือขวาถือวัชระ มือซ้ายถือหนังสือ กายสีฟ้า มี 2กร
พระวัชรปาณีโพธิสัตว์(จีน: 金剛手, Jin Gang Shou, เกาหลี: Kum Kang Soo, ญี่ปุ่น:Shukongojin, ทิเบต: Channa Dorje) - พระโพธิสัตว์ในศาสนาพุทธมหายานยุคต้น เป็นประมุขของพระโพธิสัตว์ผู้ค้ำครองพระพุทธเจ้าและเหล่าพระมนุสสิโพธิสัตว์ มีความเชื่อมโยงกับพระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์และนิโอคงโงริกิชิ กล่าวกันว่าพระโพธิสัตว์องค์นี้เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งอำนาจแห่งพระตถาคตทั้งห้า
พระวิศวปาณีโพธิสัตว์
พระเวทโพธิสัตว์ (พระสกันทะ)(จีน: 韋馱, Wei Tuo) - เทพธรรมบาลผู้คุ้มครองธรรมในพุทธศาสนา มีส่วนที่เชื่อมโยงกับพระวัชรปาณีโพธิสัตว์ คุณลักษณะตรงกับพระสกันทะ (พระขันธกุมาร) ซึ่งเป็นเทพในศาสนาฮินดู โดยมากนิยมนับถือในศาสนาพุทธแบบจีน
พระศานติเทวะพระภิกษุมหายานในช่วงราวพุทธศตวรรษ 13 (คริสต์ศตวรรษที่ 8) ผู้เขียนตำราเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ชื่อ "โพธิสัตตวจารยาวตาร" (หนทางสู่การบำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์)
พระนางศิตาตปัตรพระโพธิสัตว์ผู้เป็นเทพยดาแห่งฉัตรขาว เป็นผู้คุ้มภัยจากอันตรายเหนือธรรมชาติ
พระศรีอริยเมตไตรย(จีน: 彌勒, Mi Le, เกาหลี: Mi Ruk, ญี่ปุ่น: Miroku, เวียดนาม: Di Lạc) - พระโพธิสัตว์ผู้ที่จะมาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าลำดับที่ 5 ในภัทรกัปป์ต่อจากพระโคตมพุทธเจ้า เป็นที่รู้จักจากความมีมหากรุณาต่อสรรพสัตว์ เป็นที่นับถือทั่วไปทั้งในฝ่ายเถรวาทและมหายาน
พระสมันตภัทรโพธิสัตว์(จีน: 普賢, Pu Xian, เกาหลี: Bo Hyun, ญี่ปุ่น: Fugen, ทิเบต: Kuntu Zangpo, เวียดนาม: Phổ Hiền) - พระโพธิสัตว์ผู้เป็นตัวแทนของความกรุณาและสมาธิที่ดิ่งลึกของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
พระสรรวนิวรณวิษกัมภินโพธิสัตว์กายสีขาวหรือฟ้า มี 2 กร มือขวาทำญาณมุทรา มือซ้ายทำท่าปางมารวิชัย ประทับนั่งขัดสมาธิเพชร
พระสรรวโศกตโมนิรฆาตมตีโพธิสัตว์กายสีเหลืองอ่อนหรือเหลือง มี 2 กร มือขวาถือคฑา มือซ้ายวางบนสะโพก
พระสรรวาปายัญชหะโพธิสัตว์กายสีขาว 2 กร ทำท่าขจัดบาป หรือถือขอสับช้างทั้งสองมือ
พระสุปุษปจันทระพระโพธิสัตว์ซึ่งถูกกล่าวถึงในตำรา "โพธิสัตตวจารยาวตาร" ของพระศานติเทวะ
พระสุรยไวโรจนโพธิสัตว์(Ch: 日光, Ri Guang, เกาหลี: Il Guang, Jp: Nikkō) - 1 ใน 2 พระโพธิสัตว์ผู้เป็นสาวกของพระ
ไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต
พระสังฆารามโพธิสัตว์(จีน: 伽藍, Qie Lan, เวียดนาม: Già Lam) - เรียกอีกอย่างว่า "พระวิหารบาลโพธิสัตว์" เป็นพระโพธิสัตว์ที่นับถือเฉพาะในความเชื่อแบบพุทธ-เต๋า ของจีน คำว่าสังฆารามโพธิสัตว์นั้นอ้างอิงถึงกลุ่มเทพที่ทำหน้าที่คุ้มครองวัดและพิทักษ์พุทธศาสนา แต่นามนี้มักจะถูกใช้อ้างอิงถึงกวนอู ผู้เป็นแม่ทัพในตำนานยุคสามก๊ก ซึ่งได้กลายเป็นเทพธรรมบาลด้วยการประกาศตนเป็นชาวพุทธและตั้งปณิธานในการคุ้มครองศาสนาไว้
พระสาครมติโพธิสัตว์สัญลักษณ์คือสังข์หรือคลื่น ยื่นพระหัตถ์ไปข้างหน้า ทำนิ้วเป็นรูปคลื่น กายสีขาว มี 2 กร
พระสุรังคมโพธิสัตว์กายสีขาว 2 กร มือขวาถือพระขรรค์ มือซ้ายวางบนสะโพก
พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์(จีน: 觀音, Guan Yin, เกาหลี: Guan Um, ญี่ปุ่น: Kannon, ทิเบต: Chenrezig, เวียดนาม: Quán Thế Âm) - พระโพธิสัตว์แห่งความกรุณา ผู้สดับเสียงคร่ำครวญในโลกและคอยช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้ข้ามวัฏสงสาร เป็นพระโพธิสัตว์ที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นสากลที่สุดในพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน
พระอักษมยมติโพธิสัตว์สัญลักษณ์คือพระขรรค์หรือหม้อน้ำ มือขวาประทานพร มือซ้ายทาบบนทาบบนพระอุระ กายสีเหลืองหรือขาว มี 2 กร
พระอากาศครรภโพธิสัตว์(จีน: 虛空藏, Xu Kong Zang,เกาหลี: Huh Gong Zang, ญี่ปุ่น: Kokuzo) - พระโพธิสัตว์แห่งความปิติอันไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งเกิดจากการช่วยเหลือสรรพสัตว์จำนวนมากพ้นประมาณ สัญลักษณ์คือพระอาทิตย์ มือขวาถือเพชรพลอย มือซ้ายถือดวงแก้ว กายสีเขียว มี 2 กร
พระอโมฆทรรศินโพธิสัตว์กายสีเหลือง 2 กร มือขวาถือดอกบัว มือซ้ายวางบนสะโพก

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-3 11:40
[attach]4102[/attach][attach]4101[/attach][attach]4097[/attach][attach]4098[/attach][attach]4099[/attach][attach]4100[/attach][attach]4096[/attach][attach]4095[/attach][attach]4094[/attach][attach]4093[/attach]
โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-3 11:58
ทรัพย์วิเศษแปดอย่างของโป๊ยเซียนนั้นในภาษาจีนกลางเรีกกว่า “อ้านปาเซียน” ส่วนในภาษาแต้จิ๋วจะเรียกว่า “อ่ำโป่ยเซียง” เป็นของวิเศษประจำตัวของเหล่าคณะเซียนชุดหนึ่งซึ่งมีจำนวนแปดตนของทางลัทธิเต๋า
ชาวจีนเชื่อกันว่าของวิเศษทั้ง 8 อย่างนี้เป็นสัญลักษณ์หรือเป็นตัวแทนของเซียนแต่ละองค์ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มากเป็นของเสริมมงคลอีกทั้งยังสามารถปัดเป่าขับไล่สิ่งอัปมงคล ภูตผีที่จะมารังควาญมนุษย์ได้มักจะมีปรากฏให้พบเห็นอยู่บ่อยในสถาปัตยกรรมของชาวจีน และในฮู้ (ยันต์)ของเทพเจ้าชุดนี้อยู่เสมอ
ของวิเศษทั้ง 8 อย่างของโป๊ยเซียนในแต่ละองค์นั้นก็มีลักษณะและคุณสมบัติที่แตกต่างกันไปตามแต่ละชนิดแต่ละองค์อันสื่อให้เห็นความเป็นสิริมงคลและการป้องกันภัยอันตรายต่างๆ ได้ดังนี้(คำอ่านคำหน้าเป็นสำเนียงจีนกลาง และคำอ่านคำหลังเป็นสำเนียงแต้จิ๋ว)
                             
1. น้ำเต้า (หูหลู)ถือว่าเป็นของวิเศษคู่กายของแถว่ไกว่หลี่ หรือ ถิก้วยลี่ (鐵拐李) และบางครั้งก็อาจมีการเรียกชื่อของท่านสลับตัวอักษรกันว่า หลี่แถว่ไกว่หรือ ลี่ถิก้วย (李鐵拐) ก็มี ซึ่งชื่อทั้งสองของท่านนี้ถือว่าถูกต้องทั้งคู่น้ำเต้าของแถว่ไกว่หลี่ เป็นน้ำเต้าวิเศษที่ที่เนรมิตรขึ้นจากถุงข้าวสารสามารถดลบันดาลสุข ความอุดมสมบูรณ์ให้แก่มนุษย์ได้และน้ำเต้านี้มีพลังพิเศษสามารถดูดกลืนพลังชั่วร้าน เช่น ภูตผีปิศาจสิ่งอัปมงคลไปกักไว้ได้ มิให้มาทำร้ายมนุษย์ ซึ่งตัวของน้ำเต้าเองโดยทั่วไปก็ถือว่าเป็นของมงคลของชาวจีนอยู่แล้วเป็นสัญลักษณ์แห่งการมีอายุยืนและมีลูกหลานมากมายอีกทั้งน้ำเต้าของแถว่ไกว่หลี่นั้นภายในยังมีค้างคาวแดงอีก 5 ตัวอยู่ข้างใน เมื่อเปิดจะโบยบินออกมา อันหมายถึงความเจริญรุ่งเรืองห้าประการ
2. พัดใบกล้วยน้ำว้า (ปาเจียวซ่าน) เป็นของวิเศษคู่กายของฮ่านจงหลีหรือ หั่งเจ็งลี้ (漢鍾離) ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่าจงหลีเฉวียน หรือ เจ็งลี้ค้วง (鍾離權) พัดนั้นในภาษาจีนกลางออกเสียงว่า “ซ่าน” อันไปพ้องเสียงกับคำว่า “ซ่าน” ที่หมายถึง “ดีงาม”ด้วยเหตุนี้พัดจึงถือว่าเป็นของมงคลชนิดหนึ่งที่ช่วยในการสลายพลังร้ายเสริมพลังที่เป็นมงคลและพัดวิเศษของฮ่านจงหลีนั้นก็มีความพิเศษเฉพาะตัวอีก คือ สามารถโบกพัดคนที่ตาย(โดยที่ร่างยังไม่เน่าเปื่อย) ให้กลับฟื้นมามีชีวิตได้อีกครั้ง จนได้ชื่อว่า “พัดคืนชีพ”
3. กลองมัจฉา (หวิ๋กู่)เป็นของวิเศษคู่กายของจางกว่อเหลา หรือ เตียก้วยเล่า (張果老) กลองปลาของจางกว่อเหลานั้นทำขึ้นจากกระบอกไม้ไผ่ซึ่งชาวจีนถือว่าต้นไผ่นั้นเป็นราชาแห่งมวลพฤกษา แล้วไม้ไผ่เองในภาษาจีนกลางออกเสียงว่า“จู๋” อันไปพ้องเสียงกับคำว่า “จู๋” ที่แปลว่า “อวยพร”โดยเสียงที่เกิดจากกลองปลาที่ทำจากไม้ไผ่ของจางกว่อนั้นจะมีมีพลังวิเศษสามารถส่งเสียงกึกก้องกังวาลไปได้ไกลอีกทั้งชาติกำเนิดเดิมของจางกว่อเหลานั้นก็คือค้างคาวเผือกที่บำเพ็ญพรตอยู่หลายพันปีจนสามารถกลายร่างมาเป็นมนุษย์เพื่อบำเพ็ญตบะต่อจนเป็นเซียนได้อันค้างคาวนั้นชาวจีนถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของโชคลาภดังนั้นกลองมัจฉาของจางกว่อเหลาจึงเป็นของวิเศษที่สื่อถึง การอวยพรให้โชคดีนั่นเอง
4. กระบี่วิเศษ (เป้าเจี้ยน)เป็นของวิเศษคู่กายของหลี่ว์ต้งปิน หรือ หลือตั่งปิง (呂洞賓)กระบี่นั้นชาวจีนถือว่าเป็นอาวุธแห่งเกียรติยศใช้ในการต่อสู้ป้องกันตัวอีกทั้งยังมีอิทธิฤทธิ์ในการพิชิตภูตผีปิศาจและสิ่งอัปมงคลได้อีกด้วยกระบี่วิเศษประจำกายของหลี่ว์ต้งปินนั้นท่านมักใช้ในการขับไล่ภูตผีปิศาจที่มารังควาญมนุษย์ให้เจ็บไข้ได้ป่วยดังนั้นกระบี่วิเศษนี้จึงไม่เพียงแต่ขับไล่สิ่งอัปมงคลแต่ยังสามารถขจัดโรคภัยไข้เจ็บได้อีกด้วย
5. กรับสุริยันจันทรา (อินเอี๋ยงป่าน)เป็นของวิเศษประจำกายของเฉากว๋อจิ้ว หรือ เช้ากกกู๋ (曹國舅) กรับนั้นถือเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้ให้จังหวะทำนองแล้วต่อมาได้ถูกพัฒนาขึ้นให้เป็นป้ายอาญาสิทธิ์ประจำตัวของเหล่าขุนนางโดยจะเห็นกันบ่อยครั้งในหนังจีนโบราณที่เวลาจะเข้าเฝ้าพระจักรพรรดิเหล่าขุนนางจะถือป้ายอาญาสิทธิ์ประจำตัวนี้เสมอในการเข้าเฝ้า กรับประจำกายของเฉากว๋อจิ้วนี้จะเป็นป้ายวิเศษสองอันอันหนึ่งจะมีพลังแห่งสุริยัน (หยาง) อีกอันจะมีพลังแห่งจันทรา (หยิน)ซึ่งเมื่อทั้งสองมารวมกันจะทำให้เกิดพลังที่ยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ มีเสียงดังกึกก้องสามารถขับไล่สิ่งอัปมงคลทั้งปวงได้
6. ขลุ่ย (ตี๋) เป็นของวิเศษประจำกายของหานเซียงจวื่อหรือ ฮั้งเซียงจื้อ (韓湘子) เสียงอันไพเราะของขลุ่ยวิเศษหานเซียงจวื่อนั้นไม่เพียงแต่เป็นเสียงขลุ่ยที่สามารถสลายพลังชั่วร้ายเท่านั้นแต่ยังมีเสน่ห์สามารถสะกดวิญญาณของผู้ฟังให้หยุดชะงักได้ทันที
7. ดอกบัว (เหอฮวา) เป็นของวิเศษประจำกายของเหอเซียนกูหรือ ฮ้อเซียงโกว (何仙姑) ดอกบัวนั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุขอันไม่หมดสิ้นโดยคำว่า “เหอ” จะไปพ้องเสียกับ “เหอ” ที่แปลว่า ปรองดองหรือร่วมกันอีกทั้งดอกบัวของเหอเซียนกูนั้ยังเป็นดอกบัวที่ดอกใหญ่มากเป็นพิเศษ อันสื่อถึงการคุ้มครองมวลมนุษย์ให้ปลอดภัยจากภัยอันตราและอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
8. ตะกร้าบุปผชาติ (ฮวาหลาน)เป็นของวิเศษประจำกายของหลานไฉ่เหอ หรือ น้าไช่ฮั้ว (藍采和) ตะกร้าที่บรรจุดอกไม้ของหลานไฉ่เหอนั้นมีความหมายถึง ความเป็นสิริมงคลแทนความสุขสดชื่นและสดใสร่าเริงเพราะชาวจีนถือว่าดอกไม้นั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งความสดชื่น ร่าเริง และชีวิตในวัยหนุ่มสาวซึ่งภายในตะกร้าของหลานไฉ่เหอนั้นจะมีดอกไม้ที่เบ่งบานสะพรั่งตลอดเวลาไม่มีวันเหี่ยวเฉานั่นย่อมแสดงถึงความสดใสร่าเริ่งดุจชีวิตในวัยรุ่นที่จะคงอยู่เป็นนิรันดร
ดังนั้นบางครั้งเราจะเห็นว่าในตะกร้าวิเศษของหลานไฉ่เหอนั้นอาจมีการเปลี่ยนจากดอกไม้มาเป็นผลลูกท้อแทนก็ได้ ซึ่งหมายถึงความเป็นอมตะเช่นกัน ดังนั้นของวิเศษทั้ง8 อย่างของเทพโป่วเซียนนั้นเปรียบได้กับการได้รับการคุ้มครองจากท่านทั้งแปดทิศให้ปลอดภัยจากสิ่งชั่วร้าย เพิ่มโชคลาภความเป็นสิริมงคล สมปรารถนาทุกประการนั่นเอง

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-3 12:00
[attach]4103[/attach][attach]4103[/attach]
โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-4 20:40

ประวัติไม้ขีดไฟ




ปี พ.ศ. 2370 (ต้นสมัยรัชกาลที่ 3) มีนักเคมีชาวอังกฤษชื่อ จอห์น วอล์คเกอร์ ทำไม้ขีดจากเศษไม้จุ่มปลายลงในส่วน ผสมของ แอนติโมนีซัลไฟด์โปตัสเซียมคลอเรตและกาวซึ่งทำจากยางไม้ หรือ gumarabic เมื่อนำไม้ขีดไฟขูดลงบนกระดาษทรายจะเกิดแรงเสียดสี ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนที่ทำให้ไม้ขีดลุกเป็นไฟ ไม้ขีดแบบที่ จอห์น วอล์คเกอร์ ประดิษฐ์เป็นแบบเดียวกันกับไม้ขีดประเภท "ขีดกับอะไรก็ได้" แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะติดไฟทุกครั้ง ไม้ขีดไฟชนิดนี้เพิ่งคิดค้นได้หลังจากการประดิษฐ์ไฟแช็กถึง 4 ปี[1]

ถึงปี พ.ศ. 2373 ในประเทศฝรั่งเศส ชาร์ลส์ โซเรีย ได้คิดค้นไม้ขีดไฟที่มีปลายทำจากฟอสฟอรัสเหลือง แต่ช่วงสิ้นศตวรรษที่ 19 หัวไม้ขีดมีส่วนประกอบของฟอสฟอรัสเหลืองหรือขาวมีพิษทำให้คนงานในโรงงานผลิตไม้ขีดไฟเจ็บป่วยถึงพิการหรือเสียชีวิตด้วยโรคที่เรียกกันว่า phossy jaw

ในช่วง พ.ศ. 2383 หรือปลายสมัยรัชกาลที่ 3 ได้มีการค้นพบฟอสฟอรัสแดงซึ่งทำให้ผลิตไม้ขีดได้อย่างปลอดภัย แต่ไฟจะติดได้ก็ต้องจุดเฉพาะพื้นที่ที่เตรียมไว้เท่านั้น ผิวสำหรับขีดอยู่ข้างกล่องไม้ขีดมีฟอสฟอรัสแดง ทาติดอยู่ ด้วยยางไม้ gumarbic หรือกาวชนิดอื่น ส่วนที่หัวไม้มีโปแตสเซียมคลอเรตซึ่งเมื่อกระทบกับ ฟอสฟอรัสแดง ก็จะเกิดปฏิกิริยาให้ความร้อนมากพอและไฟจะติดขึ้นได้ เรื่องยังมีวัสดุอื่นๆอีกที่สามารถใช้เป็นก้านไม่ขีดไฟได้เช่น ด้ายเคลือบขี้ผึ้ง และกระดาษแข็งเคลือบขี้ผึ้ง แต่วัสดุที่ใช้ทำก้านไม้ขีดได้ดีที่สุดก็คือไม้ ลักษณะไม้ซึ่งเหมาะสำหรับทำก้านไม้ขีดควรจะเป็นไม้สีขาว ไม่มีกลิ่น เนื้อไม้ไม่แข็งหรืออ่อนเกินไป นิยมใช้ไม้มะยมป่า ไม้มะกอก ไม้อ้อยช้าง ไม้ปออกแตก เป็นต้น ก่อนจุ่มทำหัวไม้ขีดจะต้องเอาปลายก้านไม้ขีดที่จะติดหัวนั้นไปจุ่มขี้ผึ้งพาราฟินก่อน หากเนื้อไม้แข็งเกินไปก็จะไม่ดูดซึมพาราฟิน พาราฟินจะเป็นตัวส่งผ่านจากหัวไม้ขีดไปสู่ก้านไม้ขีด หากไม่มีพาราฟิน เมื่อไฟติดก็จะดับในทันที และหากเนื้อของไม้อ่อนจนเกินไปก้านไม้ขีดก็จะไม่คงรูปเป็นก้านตรงได้

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-4 20:41
สมัยแรกเป็นการนำเข้าไม้ขีดไฟของสวีเดนและญี่ปุ่น โดยของญี่ปุ่นนั้นมีตราต่างๆ และมีภาพวาดบนฉลากไม้ขีดไฟเป็นรูปต่างๆ เรียกว่า หน้าไม้ขีดไฟ มีนักสะสมจะเก็บรวบรวมหน้าไม้ขีดไฟ ต่อมาช่วงสมัยรัชกาลที่ 7 คนไทยสามารถผลิตไม้ขีดไฟเองได้ มีโรงงานไม้ขีดไฟของเมืองไทยในยุคนั้น ได้แก่ บริษัทมิ่นแซจำกัด ผลิตตรานกแก้ว ตรารถกูบ บริษัทตังอาจำกัด ผลิตตรามิกกี้เม้าส์ ตราแมวเฟลิกซ์ บริษัทไทยไฟ ผลิตตรา 24 มิถุนา เป็นรูปพระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นที่ระลึกในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มาเป็นระบอบประชาธิปไตย บริษัทเอเซียไม้ขีดไฟจำกัด ผลิตชุด ก.ไก่ ข.ไข่ บริษัทสยามแมตซ์แฟ็กตอรี่ ภายหลังเปลี่ยนมาเป็นบริษัทไม้ขีดไฟไทย ผลิตตราธงไตรรงค์ ตราพระยานาค [

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-4 20:45
[attach]4122[/attach][attach]4123[/attach]

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-4 20:53
25 ข้อห้ามในหลักฮวงจุ้ยเกี่ยวกับบ้าน

ห้ามของการก่อสร้างคุณอาจจะได้รับทราบมามากมายหลายข้อ บางท่านเมื่อทราบก็ไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี แต่สำหรับท่านที่กำลังจะสร้างบ้านบนที่ดิน อาจจะนำข้อห้ามเหล่านี้ไปพิจารณาได้ข้อห้าม หรือข้อควรระวัง ตามหลักของฮวงจุ้ย มีด้วยกันมากมายหลายประการ ซึ่งคุณเองก็ไม่ควรที่จะมองข้าม



1.ห้ามมีร่องน้ำไหลผ่านกลางที่ดินหรือบ้าน

2.ห้ามปลูกต้นไม้ใหญ่กลางลานบ้าน หรือปลูกบ้านล้อมต้นไม้ใหญ่

3.ห้ามปลูกบ้านคร่อมบ่อน้ำหรือตอไม้

4.ห้ามก่อสร้างกำแพงก่อนการสร้างบ้าน

5.ห้ามสร้างบันไดหรือห้องส้วมอยู่กลางบ้าน

6.ห้ามสร้างบ้านอยู่ในน้ำ

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-4 20:54
7.ห้ามวางคานเป็นเลขคู่ หรือใช้คานที่ใหญ่กว่าเสาบ้าน

8.ห้ามสร้างสระน้ำใหญ่กว่าตัวบ้าน

9.ห้ามสร้างกำแพงหรือรั้วสูงกว่าตัวบ้าน

10.ห้ามสร้างบ้านโดยไม่มีประตูหลังบ้าน

11.ห้ามต่อเติมบ้านสองหลังให้เป็นหลังเดียวโดยมีชายคาชนกัน

12.ห้ามสร้างห้องส้วมมากกว่าจำนวนสมาชิกในบ้าน

13.ห้ามใช้วงกลประตูหรือเสาบ้านที่บิดงอมาสร้างบ้าน

14.ห้ามสร้างประตูหรือหน้าต่างมากเกินไป

15.ห้ามสร้างห้องนอนไว้ใต้บันไดบ้าน

16.ห้ามปลูกต้นไม้ใหญ่ไว้ในแนวเดียวกันกับประตูบ้าน

17.ห้ามสร้างศาลพระภูมิหันหน้าออกนอกบ้าน

18.ห้ามขุดบ่อน้ำไว้หลังบ้าน

19.ห้ามสร้างบ้านที่มีถนนล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน

20.ห้ามสร้างซุ้มประตูหน้าบ้านใหญ่กว่าตัวบ้าน

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-4 20:56
21.ห้ามวางกองหินใหญ่ไว้หน้าบ้าน

22.ห้ามสร้างบ้านบนหน้าผาชัน

23.ห้ามเจาะกำแพงเป็นช่องหน้าต่าง

24.ห้ามสร้างบ้านที่ใหญ่เกินไปแต่มีคนอยู่น้อย และ

25.ห้ามสร้างใต้ถุนสูงแล้วปล่อยโล่ง เห็นเสาเป็นขาของแมลง



ทั้ง 25 ข้อห้าม บางข้อดูออกจะเหลือเชื่อ แต่หากนึกถึงหลักภูมิศาสตร์ควบคู่กันไปด้วย

ก็เห็นว่าเป็นจริงดังนั้น งานนี้...... หากไม่เชื่อก็อย่าลบลู่ดีกว่า



ขอบคุณข้อมูลจาก artsmen.net



การเลือกพื้นที่ในการปลูกเรือน หรือการวางผังบ้าน ตามตำราเฟงจุ้ย มีกฏเกณฑ์ ดังนี้
ท่านถือว่า ทิศที่เป็นมงคลสูงสุด คือ ทิศใต้ ถ้าไม่ติดความจำเป็นอื่นๆ แล้ว ควรหันหน้าไปทางทิศใต้
ซ้ายมือของบ้าน ควรมีบ่อน้ำหรือทางน้ำไหล เรียกว่า "แชเล้ง" แปลว่ามังกรเขียว
ส่วนขวามือของบ้าน เรียก " แป๊ะโฮ้ว" แปลว่าเสือขาว ควรเป็น ถีน หรือที่ราบ ไม่ควรมีบ่อน้ำ
หลังบ้าน เรียก "นักรบสีเทา" ควรเป็นภูเขาหรือ มอ หรือปลูกต้นไม้สูงๆ เพื่อป้องกันปีศาจและวิญญานเข้าทางหลังบ้าน

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-5 19:30




ผู้ที่รู้เรื่องฮวงจุ้ย มักจะพบเรือสำเภาวางไว้ที่ห้องทำงาน หรือในร้านค้าอยู่เสมอ ด้วยความเชื่อที่ว่า "ผู้ที่มีเรือไว้ในครอบครอง ชีวิตจะประสบความสำเร็จเจริญรุ่งเรือง และอุดมสมบรูณ์ด้วยความมั่งคั่ง"



            เรือสำเภาจีน ถือว่าเป็นของมงคลยอดนิยมในลำดับต้น ๆ ในปัจจุบัน เรือสำเภาจีนนั้นส่วนใหญ่ทำมาจากไม้จริง ๆ ทั้งตัวเรือและกระโดงเรือมีลักษณะรูปทรงสูงเพรียว ถือว่ามีพลังของ “ธาตุไม้” เป็นหลัก ตามธรรมเนียมของคนจีนนั้นเชื่อว่าเรือสำเภานั้นให้มงคลเรื่องของการค้าขายประสบความสำเร็จ เพราะผู้ที่เป็นสัญลักษณ์ของการใช้เรือสำเภาเพื่อการค้าขายนั้นก็ได้แก่ เจิ้ง เหอ มหาขันทีคนสำคัญของราชวงศ์หมิง ผู้เดินทางไปจำเริญสัมพันธไมตรีและค้าขายกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมาแล้ว


การตั้งเรือสำเภาจีน ให้ถูกหลักฮวงจุ้ย


             หากท่านทำงานเกี่ยวกับการค้าขายก็มีความเชื่อว่า การตั้งเรือสำเภาจะเสริมมงคลให้ท่านค้าขายราบรื่น ได้กำไรงดงาม เสริมดวงชะตาในการทำธุรกิจการค้า ช่วยหนุนให้ประสบความ สำเร็จ มั่นคง ร่ำรวย มีเงินทองมั่งคั่ง สมบูรณ์พูนสุข หากทำธุรกิจค้าขายก็จะประสบความสำเร็จได้ผลกำไรงาม นอกจากนี้แล้วเรือยังเป็นสัญลักษณ์ของความสำราญเบิกบานใจอีกด้วย ตั้งเรือไว้ในห้องรับแขก โดยหันหัวเรือเข้าในบ้าน และก็ไม่ควรเป็นเรือเปล่าด้วยควรจะใส่เหรียญแก้วแหวนเงินทองลงไป (ไม่ต้องของจริงก็ได้ คือให้เรือมีน้ำหนัก) อย่าหันหัวออกทางนอกบ้านเด็ดขาด เพราะ ตามหลักแล้วเรือโดยเฉพาะเรือสำเภานั้น จะเป็นเรือที่จะออกไปค้าขายแล้วนำเงินทองกลับเข้าบ้าน
โดยตามศาสตร์ฮวงจุ้ยในระบบวิชาการถือว่าหากท่านสามารถวางเรือสำเภาใน “ทิศตะวันออก” หรือ “ทิศตะวันออกเฉียงใต้” ได้ก็จะยิ่งเสริมพลังของฮวงจุ้ยในมุมนั้นได้มากขึ้นไปอีก และถือว่าเป็นสิ่งของมงคลที่เหมาะเป็นพิเศษสำหรับท่านที่เกิดในปีขาลหรือปีเถาะ

             ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับเรื่อสำเภาจีน ควรเป็นการสั่งทำจะดีที่สุด เพราะเค้าจะคำนวณตามวันเดือนปีเกิด (ขึ้นเรือตามวันธงชัยของแต่ละเดือน) เพื่อสร้างตามดวงของเจ้าของเรือ โดยจะมีการคำนวณ จากชื่อ นามสกุล, เพศ, วันเดือนปี เกิด-อาชีพ


ลักษณะอาชีพ       เช่น          รับราชการจะใช้ตัว ”กัว”   ตัวกัวเป็นตัวกำหนดอำนาจวาสนา
                                              ค้าขายจะใช้ตัว “ใช้”  ตัวใช้เป็นตัวกำหนดโชคลาภ เงินทอง

ลักษณะของเรือ    เช่น          ขาตั้งของตัวลำเรือใช้ตัว ”หงิ”  ตัวหงิหมายถึง คุณธรรม
                                              ท้องเรือใช้ตัว ”ปิง”  ตัวปิงหมายถึง หลักทรัพย์
ขนาดของเรือที่พอเหมาะส่วนมากนิยม 48 ซม. อาจจะมีขนาดต่างกันเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับ วันเดือนปีเกิด ของเจ้าของเรือ (ต่างกันที่จุด ซม. เพราะวัดโดยตลับเมตรจีน (หลู่ปัง)

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-5 20:30
ราศีเมถุน (Gemini)


คาสเตอร์ (Castor) กับพอลลักซ์ (Pollux) เป็นฝาแฝดก็จริง แต่ไม่ใช่แฝดสอง แต่จริง ๆ แฝดสี่ แถมเป็นแฝดคนละไข่อีกด้วย (ที่ว่าเป็นคนละไข่น่ะ ไข่จริง ๆ นะ) 

 

เรื่องมีอยู่ว่า ซีอุสเกิดไปหลงรักนางเรดา มเหสีของพระราชาไทนดาริอุส(Tyndareus) แห่งเมืองสปาร์ต้า ซีอุสจึงวางแผนกับเฮอร์เมส ให้เฮอร์เมสแปลงกายเป็นอินทรีให้ไล่ตามตัวเองซึ่งแปลงกายเป็นหงส์ขาว (ซึ่งว่ากันว่ากลุ่มดาวหงส์หรือ Cygnus ก็คือรูปร่างของซีอุสที่กลายเป็นหงส์ขาวนี่เอง) เมื่อนางเรดาเห็นดังนั้นจึงเข้าไปช่วยโอบกอดหงส์ขาวไว้แล้วไล่อินทรีไป แล้วไม่นานนักนางเรดาก็คลอกลูกออกมาเป็นไข่สองใบ (บางก็ว่าใบเดียว) และในไข่แต่ละใบ ก็มีฝาแฝดชายหญิงอย่างละคู่อยู่ ได้แก่ คาสเตอร์กับคลิเทมเนสตร้า(Clytemnestra)ในไข่ใบแรก และ พอลลักซ์กับเฮเลน (Helen) ในไข่ใบที่สอง (ซึ่งนางเฮเลนที่ว่านี้ ก็คือนางเฮเลนที่เป็นต้นกำเนิดของการล่มสลายของเมืองทรอยนั่นเอง) 

 

คาสเตอร์กับพอลลักซ์เป็นพี่น้องที่รักกันมาก แต่ทว่าคาสเตอร์นั้นเป็นลูกของไทนดาริอุสที่เป็นมนุษย์จึงไม่ได้เป็นอมตะ ผิดกับพอลลักซ์ที่เป็นบุตรของซีอุสจึงไม่แก่ไม่ตาย คาสเตอร์และพอลลักซ์ (สองคนเรียกรวมกันว่าดีออสคอยส์ : Dioscuri) ซึ่งทั้งสองก็เป็นผู้กล้าที่มีชื่อเสียงมาก โดยได้เคยรวมเรืออาร์โก้ไปกับเจสันเพื่อเอาขนแกะทองคำด้วย 

 

เรื่องเล่าเกี่ยวกับการตายของคาสเตอร์มีอยู่ว่า ทั้งสองได้ไปร่วมงานแต่งงานระหว่างคู่ฝาแฝดชายนามว่าอิดัส (Idas)และไลนเซอุส(Lynceus) กับฝาแฝดหญิงคือนางฟีเบ (Phoebe) และนางฮิลาเอย์ร่า (Hilaeira) ไม่รู้ว่าเมาอะไร คาสเตอร์กับพลอลักซ์กลับไปฉุดเอาเจ้าสาวทั้งสองมา ทำให้เกิดการต่อสู้กับอิดัสและไลนเซอุส ส่งผลให้คาสเตอร์ตาย (อิดัสกับไลนเซอุสก็ตายด้วย) พอลลักซ์เศร้าเสียใจมาก แต่ด้วยว่าตนเป็นอมตะไม่สามารถตายร่วมกับคาสเตอร์ได้ จึงร้องขอกับเหล่าเทพว่า ให้ตนสามารถแบ่งความเป็นอมตะแก่คาสเตอร์ หลังจากนั้นทั้งสองจึงอยู่บนสวรรค์ 1 วันและจะไปอยู่ในแดนแห่งความตาย 1 วัน สลับกันไป (บ้างก็ว่าครึ่งวัน บ้างก็ว่า 1 ปี) ซีอุสเห็นแก่มิตรภาพของทั้งสองจึงทำให้เกิดกลุ่มดาวราศีเมถุนขึ้นมา
โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-6 21:12
AEC หรือ Asean Economics Community คือการรวมตัวของชาติใน Asean 10 ประเทศ โดยมี ไทย, พม่า, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, กัมพูชา, บรูไน เพื่อที่จะให้มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน จะมีรูปแบบคล้ายๆ กลุ่ม Euro Zone นั่นเอง จะทำให้มีผลประโยชน์, อำนาจต่อรองต่างๆ กับคู่ค้าได้มากขึ้น และการนำเข้า ส่งออกของชาติในอาเซียนก็จะเสรี ยกเว้นสินค้าบางชนิดที่แต่ละประเทศอาจจะขอไว้ไม่ลดภาษีนำเข้า (เรียกว่าสินค้าอ่อนไหว)
Asean จะรวมตัวเป็น ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและมีผลจริงๆจังๆ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2558 ณ วันนั้นจะทำให้ภูมิภาคนี้เปลี่ยนไปอย่างมากอย่างที่คุณคิดไม่ถึงทีเดียว
AEC Blueprint (แบบพิมพ์เขียว) หรือแนวทางที่จะให้ AEC เป็นไปคือ
1. การเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน
2.การเป็นภูมิภาคที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง
3. การเป็นภูมิภาคที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียมกัน
4. การเป็นภูมิภาคที่มีการบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก
โดยให้แต่ละประเทศใน AEC ให้มีจุดเด่นต่างๆดังนี้
พม่า : สาขาเกษตรและประมง
มาเลเซีย : สาขาผลิตภัณฑ์ยาง และสาขาสิ่งทอ
อินโดนีเซีย : สาขาภาพยนต์และสาขาผลิตภัณฑ์ไม้
ฟิลิปปินส์ : สาขาอิเล็กทรอนิกส์
สิงคโปร์ : สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ และสาขาสุขภาพ
ไทย : สาขาการท่องเที่ยว และสาขาการบิน (ประเทศไทยอยู่ตรงกลาง ASEAN)
การเปลี่ยนแปลงที่จะเห็นได้ชัดๆใน AEC โดยอธิบายให้เห็นภาพเข้าใจง่ายๆ เช่น
- การลงทุนจะเสรีมากๆ คือ ใครจะลงทุนที่ไหนก็ได้ ประเทศที่การศึกษาระบบดีๆ ก็จะมาเปิดโรงเรียนในบ้านเรา อาจทำให้โรงเรียนแพงๆแต่คุณภาพไม่ดีลำบาก
- ไทยจะเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว และการบินอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะว่าอยู่กลาง Asean และไทยอาจจะเด่นในเรื่อง การจัดการประชุมต่างๆ, การแสดงนิทรรศการ, ศูนย์กระจายสินค้า และยังเด่นเรื่องการคมนาคมอีกด้วยเนื่องจากอยู่ตรงกลางอาเซียน และการบริการด้านการแพทย์และสุขภาพจะเติบโตอย่างมากเช่นกันเพราะ จะผสมผสานส่งเสริมกันกับอุตสาหกรรรมการท่องเที่ยว (ค่าบริการทางการแพทย์ต่างชาติจะมีราคาสูงมาก)
- การค้าขายจะขยายตัวอย่างน้อย 25% ในส่วนของอุตสาหกรรมบางอย่าง เช่น รถยนต์, การท่องเที่ยว, การคมนาคม, แต่อุตสาหกรรมที่น่าห่วงของไทยคือ ที่ใช้แรงงานเป็นหลักเช่น ภาคการเกษตร, ก่อสร้าง, อุตสาหกรรรมสิ่งทอจะได้รับผลกระทบ เนื่องจากฐานการผลิตอาจย้ายไปประเทศที่ผลิตสินค้าทดแทนได้เช่นอุตสาหกรรมสิ่งทอ โดยผู้ลงทุนอาจย้ายฐานการผลิตจากประเทศไทยไปยังประเทศที่มีค่าแรงถูกกว่า เนื่องด้วยบางธุรกิจไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะมากนัก ค่าแรงจึงถูก
- เรื่องภาษาอังกฤษจะเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เนื่องจากจะมีคนอาเซียน เข้ามาอยู่ในไทยมากมายไปหมด และมักจะพูดภาษาไทยไม่ค่อยได้ แต่จะใช้ภาษาอังกฤษ (AEC มีมาตรฐานแจ้งว่าจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางใน AEC) บางทีเรานึกว่าคนไทยไปทักพูดคุยด้วย แต่เค้าพูดภาษาอังกฤษกลับมา เราอาจเสียความมั่นใจได้   ส่วนสิ่งแวดล้อมนั้น ป้ายต่างๆ หนังสือพิมพ์, สื่อต่างๆ จะมีภาษาอังกฤษมากขึ้น (ให้ดูป้ายที่สนามบินสุวรรณภูมิเป็นตัวอย่าง) และจะมีโรงเรียนสอนภาษามากมาย หลากหลายหลักสูตร
- การค้าขายบริเวณชายแดนจะคึกคักอย่างมากมาย เนื่องจาก ด่านศุลกากรชายแดนอาจมีบทบาทน้อยลงมาก แต่จะมีปัญหาเรื่องยาเสพติด และปัญหาสังคมตามมาด้วย
- เมืองไทยจะไม่ขาดแรงงานที่ไร้ฝีมืออีกต่อไปเพราะแรงงานจะเคลื่อย้ายเสรี จะมี ชาวพม่า, ลาว, กัมพูชา เข้ามาทำงานในไทยมากขึ้น แต่คนเหล่านี้ก็จะมาแย่งงานคนไทยบางส่วนด้วยเช่นกัน  และยังมีปัญหาสังคม, อาชญากรรม จะเพิ่มขึ้นอีกด้วย อันนี้รัฐบาลควรระวัง
- คนไทยที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ บางส่วนจะสมองไหลไปทำงานเมืองนอก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมซอร์ฟแวร์ (ที่จะให้สิงคโปร์เป็นหัวหอกหลัก) เพราะชาวไทยเก่ง แต่ปัจจุบันได้ค่าแรงถูกมาก อันนี้สมองจะไหลไปสิงคโปร์เยอะมาก แต่พวกชาวต่างชาติก็จะมาทำงานในไทยมากขึ้นเช่นกัน อาจมีชาว พม่า, กัมพูชา เก่งๆ มาทำงานกับเราก็ได้ โดยจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลาง  บริษัท software ในไทยอาจต้องปรับค่าจ้างให้สู้กับ บริษัทต่างชาติให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะเกิดภาวะสมองไหล
- อุตสาหกรรมโรงแรม, การท่องเที่ยว, ร้านอาหาร, รถเช่า บริเวณชายแดนจะคึกคักมากขึ้น เนื่องจากจะมีการสัญจรมากขึ้น และเมืองตามชายแดนจะพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเป็นจุดขนส่ง
- สาธารณูปโภคในประเทศไทย หากเตรียมพร้อมไม่ดีอาจขาดแคลนได้เช่น ชาวพม่า มาคลอดลูกในไทย ก็ต้องใช้โรงพยาบาลในไทยเป็นต้น
- กรุงเทพฯ จะแออัดอย่างหนัก เนื่องจากมีตำแหน่งเป็นตรงกลางของอาเซียนและเป็นเมืองหลวงของไทย โดยเมืองหลวงอาจมีสำนักงานของต่างชาติมาตั้งมากขึ้น รถจะติดอย่างมาก สนามบินสุวรรณภูมิจะแออัดมากขึ้น (ปัจจุบันมีโครงการที่จะขยายสนามบินแล้ว)
- ไทยจะเป็นศูนย์กลางอาหารโลกในการผลิตอาหาร เพราะ knowhow ในไทยมีเยอะประสบการณ์สูง และบริษัทอาหารในไทยก็แข็งแกร่ง ประกอบทำเลที่ตั้งเหมาะสมอย่างมาก แม้จะให้พม่าเน้นการเกษตร แต่ทางประเทศไทยเองคงไปลงทุนในพม่าเรื่องการเกษตรแล้วส่งออก ซึ่งก็ถือเป็นธุรกิจของคนไทยที่ชำนาญ อยู่แล้ว
- ปัญหาสังคมจะรุนแรงถ้าไม่ได้รับการวางแผนที่ดี เนื่องจาก จะมีขยะจำนวนมากมากขึ้น, ปัญหาการแบ่งชนชั้น ถ้าคนไทยทำงานกับคนต่างชาติที่ด้อยกว่า อาจมีการแบ่งชนชั้นกันได้, จะมีชุมชนสลัมเกิดขึ้น และอาจมี พม่าทาวน์, ลาวทาวน์, กัมพูชาทาวน์, ปัญหาอาจญากรรมจะรุนแรง สถิติการก่ออาชญากรรมจะเพิ่มขึ้นอย่างมากจากชนนั้นที่มีปัญหา, คนจะทำผิดกฎหมายมากขึ้นเนื่องจากไม่รู้กฎหมาย


อ่านต่อ: http://www.thai-aec.com/41#ixzz2bCL5yshp

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-7 19:50
       

ตำรายามสามตา



            ท่านท้าวตรีเนตร เล็งญาณทราบเหตุ แต่ยามสามตา คือยามทิพยยนต์ ยามนี้วิเศษ ท่านท้าวเทเวศน์ หยั่งรู้เหตุผล ผู้ใดได้พบ ยามเจ้าจุมพล อาจเข้าใจคน รู้ทุกประการ
            เดือนแรมบ่ ผิด ให้นับ อาทิตย์ มาหาอังคาร เวียนไปตามค่ำ แล้วจึงนับยาม ชอบเวลางาม จึงทายอย่าคลาด
            ถ้าเดือนขึ้นไซร้ นับอาทิตย์ไปหาจันทกลา นับตามค่ำแล้ว จึงนับยามมาให้ชอบเวลา แม่นแล้วจึงทาย
            กำลังอังคาร ท่านท้าวมัฆวาน บอกไว้โดยหมาย จันทร์ปลอดมัธยม นิคมอุบาย ยามเจ้าฤาสาย เที่ยงแท้สัตย์จริง
            อาทิตย์ คือสีใส กำหนดลงไว้ อย่าได้ยุ่งยิ่ง ตรองให้เห็นเงื่อน อย่าเชือนประวิง ถูกแน่แท้จริง อย่ากริ่งสงสัย
            ถ้าดูสู้กัน  เล็งดูยามนั้น จะเป็นฉันใด ถ้ากำอยู่หลัง เบื้องหน้ายามใส ว่าเขาจักได้ เราแพ้เสียตน
            ถ้ากำอยู่หน้า ยามใสโสภา อยู่หลังเป็นต้น เขาพ่ายแพ้กุมเอา
            ถ้าข้าศึกมา  ถ้ากำอยู่หน้า ศึกมาถึงเรา ถ้าใสอยู่หน้า มาแล้วกลับเล่า หน้าปลอดจักเปล่า ถ้าเจ็บอย่าฟัง
            คนมากเท่าใด  ถ้าหน้ากำไซร้ คนมากโดยหวัง ถ้าว่าหน้าใส คนน้อยอย่าฟัง ถ้าปลอดอย่าหวัง หาไม่สักคน
            คนหาญหรือขลาด  หน้ากำสามารถ เรี่ยวแรงแสนกล หน้าใสพอดี บ่มีฤทธิรน หน้าปลอดอำพน ว่าชายเหมือนหญิง
            ถืออันใดมา  หน้ากำโสกา คือศาสตราจริง หน้าใสถือไม้ มาได้สักสิ่ง หน้าปลอดประวิง ว่าเดินเปล่ามา
            ว่าสูงหรือต่ำ  หน้ากำควรจำ ว่าสูงโสภา หน้าใสปานกลาง ปลอดต่ำ หนักหนา ทายตามเวลา ยามเจ้าไตรตรึงส์
            ว่างามมิงาม  หน้ากำอย่าขาม ว่างามบ่ถึง หน้าใสงามนัก หน้าปลอดพอถึง ยามเจ้าไตรตรึงส์
            ว่าหนุ่มหรือแก่  หน้ากำนั้นแล ว่าแก่ชรา หน้าใสกลางคน ปลอดเด็กหนักหนา ประคินเวลา แม่นแล้วจึงทาย
            คนผอม หรือพี  หน้ากำหมองศรี ว่าพีพ่วงกาย หน้าใสพอดี ฉวีเฉิดฉาย หน้าปลอดเร่งทาย ว่าผอมเสียศรี
            ดำแดงหรือขาว  หน้ากำควรกล่าว ว่าดำอัปรีย์ หน้าใสดำแดง เป็นแสงมีศรี หน้าปลอดขาวดี เที่ยงแท้โดยถวิล
            ต้นลงหรือปลายลง  หน้ากำเร่งทาย ว่าปลายลงดิน หน้าใสปลายขึ้น ต้นลงอาจิณ หน้าปลอดเร่งถวิล ว่านอนราบลง
            สุกหรือดิบห่าม  หน้ากำอย่าขาม ว่าสุกโดยตรง หน้าใสห่ามแท้ ทายแต่โดยตรง หน้าปลอดเร่งปลง ว่าดิบหนักหนา
            ว่าหญิงหรือชาย  หนำกำเร่งทาย ว่าชายละนา หน้าใสบัณฑิต พึงพิศโสภา หน้าปลอดทายว่า เป็นหญิงโสภาโดยหมาย
            เต็มหรือพร่องแห้ง  หน้ากำควรแถลง ว่าเต็มบ่มิคลา หน้าใสมิเต็ม งวดเข้มจงทาย หน้าปลอดกลับกลาย ว่าแห้งห่อนมี
            ขุนนางหรือไพร่  หน้ากำควรไข ว่าคุณมีส หน้าใสโสภา วาสนาพอดี หน้าปลอดกาลี เข็ญใจหนักหนา
            ไข้เป็นหรือตาย  หน้ากำเร่งทาย ว่าตาย บ่ คลา หน้าใสว่าไข้ ลำบากหนักหนา หน้าปลอดทายว่า ไข้นั้น บ่ ตาย
            ท่านรักหรือชัง  หน้ากำท่านหวัง รักดังลูกชาย หน้าใสมิรักมิชังโดยหมาย หน้าปลอดเร่งทาย ว่าชังหนักหนา
            หน้าจืดหรือหวาน  หน้ากำเปรียบปาน น้ำตาลโอชา หน้าใสรสหวาน ประมาณรสา หน้าปลอดทายว่า จืดชืดมิดี
            หน้าขม หรือเฝื่อนฝาด  หน้ากำสามารถ ว่าขมแสนทวี หน้าใสทายว่า ฝาดนักมิดี หน้าปลอดตรงที่ ว่าจืดจริงนา
            ว่าอยู่ หรือไป  ถ้าหน้ากำไซร้ ว่าไป บ่ ช้า หน้าใสแม้นไป กลางทางกลับมา หน้าปลอดทายว่า ว่าแต่จะไป
            สี่ตีนหรือสอง  หน้ากำควรสนอง ว่าสีตีนแท้ หน้าใสสองตีน ประคีนจงแน่ หน้าปลอดจงแก้ว่าตีน บ่ มี
            แม้นดูของหาย  หน้ากำเร่งทาย ว่าได้บัดนี้ หน้าใสแม้นได้ ช้าเจียนขวบปี หน้าปลอดหน่ายหนี บ่ ได้เลยนา
            แม้นดูปลูกเรือน  นับยามอย่าเชือน เร่งทายอย่าคลา แม้กำอยู่หลัง ยามใสอยู่หน้า ว่าดีหนักหนา ถาวรมีศรี หน้ากำนำพา คือ กำอยู่หน้า ท่านว่ามิดี แม่เรือนจะตาย วอดวายเป็นผี หน้าปลอดมิดี บอกให้รู้นา
            ว่าคว่ำหรือหงาย  หน้ากำเร่งทาย ว่าคว่ำ บ่ คลา หน้าใสหงายแท้ นอนแผ่อยู่นา หน้าปลอดทายว่า คะแคงแฝงตน
            ยามนี้วิเศษ ท่านท้าวตรีเนตร หยั่งรู้เหตุผล คือเนตรท่านเอง แลเล็งทิพยยนต์ สมเด็จจุมพล ให้ไว้เราทาย
            ผู้ใดได้พบ ยามเจ้าไตรภพ ร่ำเรียนกฎหมาย เดือนขึ้นเดือนลง วันคืนเช้าสาย ให้แม่นแล้วทายอย่าคลาดเวลา
            พระอาทิตย์ฤทธิไกร คือเนตรท้าวไท ท่านท้าวพันตา อยู่ตรวนลาด พระบาทภูวนา ดูงามหนักหนา รุ่งเรืองเฉิดฉัน
            ครั้นจักมีเหตุ ร้อนอาสน์ตรีเนตร ตรึกเหตุด้วยพลัน เล็งแลทั่วโลก ทุกทิศหฤหรรษ์ พระองค์ทรงธรรม์ เล็งตาทิพย์พราย
            ท่านให้นับยาม ครั้นรุ่งอร่าม สวยงามแก่งาย แม้ตะวันเที่ยง เฉวียงวันฉาย สายบ่ายแล้ว บ่ คลาย ฝ่ายค่ำสุริยัน
            ค่ำเฒ่าเข้านอน เด็กหลับกลับผ่อน ให้นอนเงียบพลัน เที่ยงคืนยามสาม ล่วงเข้าไก่ขัน ใกล้สุริยัน สุวรรณเรืองรอง
            ตำรานี้นะ ของท่านคุณพระ ครูเทพจอมทอง มาให้สมุห์วาสน์ สามารถท่องจำ ไว้สืบสนอง บทเบื้องต่อบรรพ์
            ข้าพระสมุห์ คิดอ่านทำนุ บำรุงเสกสรร เป็นกลอนกาพย์สาส์น วิลาสนี้พลัน ยี่สิบแปดบรรพ์ เป็นฉันท์บรรยาย

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-7 19:52
       

ตำรายามสามตา



            ท่านท้าวตรีเนตร เล็งญาณทราบเหตุ แต่ยามสามตา คือยามทิพยยนต์ ยามนี้วิเศษ ท่านท้าวเทเวศน์ หยั่งรู้เหตุผล ผู้ใดได้พบ ยามเจ้าจุมพล อาจเข้าใจคน รู้ทุกประการ
            เดือนแรมบ่ ผิด ให้นับ อาทิตย์ มาหาอังคาร เวียนไปตามค่ำ แล้วจึงนับยาม ชอบเวลางาม จึงทายอย่าคลาด
            ถ้าเดือนขึ้นไซร้ นับอาทิตย์ไปหาจันทกลา นับตามค่ำแล้ว จึงนับยามมาให้ชอบเวลา แม่นแล้วจึงทาย
            กำลังอังคาร ท่านท้าวมัฆวาน บอกไว้โดยหมาย จันทร์ปลอดมัธยม นิคมอุบาย ยามเจ้าฤาสาย เที่ยงแท้สัตย์จริง
            อาทิตย์ คือสีใส กำหนดลงไว้ อย่าได้ยุ่งยิ่ง ตรองให้เห็นเงื่อน อย่าเชือนประวิง ถูกแน่แท้จริง อย่ากริ่งสงสัย
            ถ้าดูสู้กัน  เล็งดูยามนั้น จะเป็นฉันใด ถ้ากำอยู่หลัง เบื้องหน้ายามใส ว่าเขาจักได้ เราแพ้เสียตน
            ถ้ากำอยู่หน้า ยามใสโสภา อยู่หลังเป็นต้น เขาพ่ายแพ้กุมเอา
            ถ้าข้าศึกมา  ถ้ากำอยู่หน้า ศึกมาถึงเรา ถ้าใสอยู่หน้า มาแล้วกลับเล่า หน้าปลอดจักเปล่า ถ้าเจ็บอย่าฟัง
            คนมากเท่าใด  ถ้าหน้ากำไซร้ คนมากโดยหวัง ถ้าว่าหน้าใส คนน้อยอย่าฟัง ถ้าปลอดอย่าหวัง หาไม่สักคน
            คนหาญหรือขลาด  หน้ากำสามารถ เรี่ยวแรงแสนกล หน้าใสพอดี บ่มีฤทธิรน หน้าปลอดอำพน ว่าชายเหมือนหญิง
            ถืออันใดมา  หน้ากำโสกา คือศาสตราจริง หน้าใสถือไม้ มาได้สักสิ่ง หน้าปลอดประวิง ว่าเดินเปล่ามา
            ว่าสูงหรือต่ำ  หน้ากำควรจำ ว่าสูงโสภา หน้าใสปานกลาง ปลอดต่ำ หนักหนา ทายตามเวลา ยามเจ้าไตรตรึงส์
            ว่างามมิงาม  หน้ากำอย่าขาม ว่างามบ่ถึง หน้าใสงามนัก หน้าปลอดพอถึง ยามเจ้าไตรตรึงส์
            ว่าหนุ่มหรือแก่  หน้ากำนั้นแล ว่าแก่ชรา หน้าใสกลางคน ปลอดเด็กหนักหนา ประคินเวลา แม่นแล้วจึงทาย
            คนผอม หรือพี  หน้ากำหมองศรี ว่าพีพ่วงกาย หน้าใสพอดี ฉวีเฉิดฉาย หน้าปลอดเร่งทาย ว่าผอมเสียศรี
            ดำแดงหรือขาว  หน้ากำควรกล่าว ว่าดำอัปรีย์ หน้าใสดำแดง เป็นแสงมีศรี หน้าปลอดขาวดี เที่ยงแท้โดยถวิล
            ต้นลงหรือปลายลง  หน้ากำเร่งทาย ว่าปลายลงดิน หน้าใสปลายขึ้น ต้นลงอาจิณ หน้าปลอดเร่งถวิล ว่านอนราบลง
            สุกหรือดิบห่าม  หน้ากำอย่าขาม ว่าสุกโดยตรง หน้าใสห่ามแท้ ทายแต่โดยตรง หน้าปลอดเร่งปลง ว่าดิบหนักหนา
            ว่าหญิงหรือชาย  หนำกำเร่งทาย ว่าชายละนา หน้าใสบัณฑิต พึงพิศโสภา หน้าปลอดทายว่า เป็นหญิงโสภาโดยหมาย
            เต็มหรือพร่องแห้ง  หน้ากำควรแถลง ว่าเต็มบ่มิคลา หน้าใสมิเต็ม งวดเข้มจงทาย หน้าปลอดกลับกลาย ว่าแห้งห่อนมี
            ขุนนางหรือไพร่  หน้ากำควรไข ว่าคุณมีส หน้าใสโสภา วาสนาพอดี หน้าปลอดกาลี เข็ญใจหนักหนา
            ไข้เป็นหรือตาย  หน้ากำเร่งทาย ว่าตาย บ่ คลา หน้าใสว่าไข้ ลำบากหนักหนา หน้าปลอดทายว่า ไข้นั้น บ่ ตาย
            ท่านรักหรือชัง  หน้ากำท่านหวัง รักดังลูกชาย หน้าใสมิรักมิชังโดยหมาย หน้าปลอดเร่งทาย ว่าชังหนักหนา
            หน้าจืดหรือหวาน  หน้ากำเปรียบปาน น้ำตาลโอชา หน้าใสรสหวาน ประมาณรสา หน้าปลอดทายว่า จืดชืดมิดี
            หน้าขม หรือเฝื่อนฝาด  หน้ากำสามารถ ว่าขมแสนทวี หน้าใสทายว่า ฝาดนักมิดี หน้าปลอดตรงที่ ว่าจืดจริงนา
            ว่าอยู่ หรือไป  ถ้าหน้ากำไซร้ ว่าไป บ่ ช้า หน้าใสแม้นไป กลางทางกลับมา หน้าปลอดทายว่า ว่าแต่จะไป
            สี่ตีนหรือสอง  หน้ากำควรสนอง ว่าสีตีนแท้ หน้าใสสองตีน ประคีนจงแน่ หน้าปลอดจงแก้ว่าตีน บ่ มี
            แม้นดูของหาย  หน้ากำเร่งทาย ว่าได้บัดนี้ หน้าใสแม้นได้ ช้าเจียนขวบปี หน้าปลอดหน่ายหนี บ่ ได้เลยนา
            แม้นดูปลูกเรือน  นับยามอย่าเชือน เร่งทายอย่าคลา แม้กำอยู่หลัง ยามใสอยู่หน้า ว่าดีหนักหนา ถาวรมีศรี หน้ากำนำพา คือ กำอยู่หน้า ท่านว่ามิดี แม่เรือนจะตาย วอดวายเป็นผี หน้าปลอดมิดี บอกให้รู้นา
            ว่าคว่ำหรือหงาย  หน้ากำเร่งทาย ว่าคว่ำ บ่ คลา หน้าใสหงายแท้ นอนแผ่อยู่นา หน้าปลอดทายว่า คะแคงแฝงตน
            ยามนี้วิเศษ ท่านท้าวตรีเนตร หยั่งรู้เหตุผล คือเนตรท่านเอง แลเล็งทิพยยนต์ สมเด็จจุมพล ให้ไว้เราทาย
            ผู้ใดได้พบ ยามเจ้าไตรภพ ร่ำเรียนกฎหมาย เดือนขึ้นเดือนลง วันคืนเช้าสาย ให้แม่นแล้วทายอย่าคลาดเวลา
            พระอาทิตย์ฤทธิไกร คือเนตรท้าวไท ท่านท้าวพันตา อยู่ตรวนลาด พระบาทภูวนา ดูงามหนักหนา รุ่งเรืองเฉิดฉัน
            ครั้นจักมีเหตุ ร้อนอาสน์ตรีเนตร ตรึกเหตุด้วยพลัน เล็งแลทั่วโลก ทุกทิศหฤหรรษ์ พระองค์ทรงธรรม์ เล็งตาทิพย์พราย
            ท่านให้นับยาม ครั้นรุ่งอร่าม สวยงามแก่งาย แม้ตะวันเที่ยง เฉวียงวันฉาย สายบ่ายแล้ว บ่ คลาย ฝ่ายค่ำสุริยัน
            ค่ำเฒ่าเข้านอน เด็กหลับกลับผ่อน ให้นอนเงียบพลัน เที่ยงคืนยามสาม ล่วงเข้าไก่ขัน ใกล้สุริยัน สุวรรณเรืองรอง
            ตำรานี้นะ ของท่านคุณพระ ครูเทพจอมทอง มาให้สมุห์วาสน์ สามารถท่องจำ ไว้สืบสนอง บทเบื้องต่อบรรพ์
            ข้าพระสมุห์ คิดอ่านทำนุ บำรุงเสกสรร เป็นกลอนกาพย์สาส์น วิลาสนี้พลัน ยี่สิบแปดบรรพ์ เป็นฉันท์บรรยาย
ยามสามตาอีกตำราหนึ่ง


            เมื่อจะดูยามสามตานี้ ถ้าเดือนข้างขึ้น ให้นับแต่อาทิตย์มาหาจันทร์ ถ้าเดือนข้างแรม ให้นับแต่จันทร์มาหาอังคาร เมื่อได้เศษเท่าใดแล้ว ให้ทายตามเศษนั้น ๆ ดังนี้
            ถ้าดูของหาย ถ้าเศษ ๑ คนในเรือนเอาไปซ่อนไว้ ให้หาจงดี ถ้าเศษ ๒ คนมาสำนักอาศัย ลักไปซ่อนไว้หนบูรพา แลทักษิณ จะมีพี้น้องเอามาคืนให้ ถ้าเศษ ๓ ของนั้นอยู่ทิศประจิม และพายัพ จะได้คืนแล
            ถ้าเขาถามว่า ผู้ลักไปนั้นหญิงหรือชาย ถ้าเศษ ๑ ว่าผู้หญิงเรือนเดียวกัน ลักไปซ่อนไว้ แทบฝั่งน้ำ และประตูใหญ่ ถ้าเศษ ๒ ทายว่า ผู้ชายบัณฑิตลักไปไว้แทบประตู เศษ ๓ ผู้ใหญ่ต่างเรือนลักไป แล
            ถ้าดูตาย  ถ้าเศษ ๑ ว่ามิตาย มีผู้เลี้ยงรักษา ถ้าเศษ ๒ มิเป็นไร มีผู้จะเลี้ยงรักษา แต่ว่าจะได้ลำบาก ถ้าเศษ ๓ ว่าตายจริง แล
            ถ้าถามว่าศึกจะมาหรือไม่  ถ้าเศษ ๑ ว่ามิมา ถ้าเศษ ๒ มาถึงครึ่งทาง ถ้าเศษ ๓ จะมาถึงพลัน แล
            ถ้าถามว่าผู้ใดจะมา  ถ้าเศษ ๑ ตัวพระยามาเอง ถ้าเศษ ๒ มาแต่เสนาผู้ใหญ่ มากึ่งหนทางแล้วกลับไป ถ้าเศษ ๓ มาแต่นายทหารผู้ใหญ่ แล
            ถ้าถามว่ามาถึงวันใด  ถ้าเศษ ๑ มาถึงวันนี้ ถ้าเศษ ๔,๕,๖,๗ ไม่มา ถ้าเศษ ๒ จะมาถึงใน ๑-๒ วัน ถ้าเศษ ๓ มามิมาเท่ากัน แล
            ถ้าถามว่าแพ้หรือชนะ  ถ้าเศษ ๑ หนีเรา ถ้าเศษ ๒ แรงเท่ากับ ถ้าเศษ ๓ เขามาแรงกว่าเรา ตั้งทัพอยู่ทิศพายัพ สองวันจึงจะชนะ แล
            ถ้าถามว่าไปทัพ จะได้รบหรือไม่ได้รบ  ถ้าเศษ ๑ มิได้รบ ถ้าเศษ ๒ ได้รบสักหน่อยหนึ่ง ถ้าเศษ ๓ ตั้งทัพรบ แล
            ถ้าถามว่าจะได้หรือไม่ได้  ถ้าเศษ ๑ ว่าจะได้ต้นทาง จะเอาได้หลาย ถ้าเศษ ๒ ว่ามิได้ ถ้าเศษ ๓ จะได้ภายนอกเมือง แล
            ถ้าถามว่าจะได้เชลยหรือมิได้  ถ้าเศษ ๑ ว่าจะได้ ถ้าเศษ ๒ ได้แต่มนตรี และนางเทวี ถ้าเศษ ๓ จะได้ขุนนางผู้ใหญ่ แล
            ถ้าถามว่ามีที่ไปจะมาช้าหรือมาเร็ว  ถ้าเศษ ๑ ว่ายังมิมา ถ้าเศษ ๒ เพิ่งจะมา ถ้าเศษ ๓ มาถึงในเดี๋ยวนี้ ถ้าวันนี้ไม่มาอีก ๓ วันหรือ ๗ วัน จะมา แล
            ถ้าถามว่าจะไปบกหรือไปเรือดี  ถ้าเศษ ๑ ไปบกดี ถ้าเศษ ๒ ไปเรือแต่พอคุ้มตัว ถ้าเศษ ๓ ไปบกมีลาภสองประการ แต่ไม่มีลาภต่อหน้า แล
            ถ้าถามว่าไปรบโจรจะแพ้หรือชนะ  ถ้าเศษ ๑ ว่าเราชนะ ถ้าเศษ ๒ แรงเท่ากัน ถ้าเศษ ๓ โจรแรงกว่าเรา แล

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-7 20:12
         พบตำราพิชัยสงคราม 2 เล่มที่เมืองเพชรบูรณ์ นักวิชาการเชื่ออายุกว่า 200 ปี ชี้เป็นฉบับกลางแปลง ใช้จริงในการทำสงคราม มีรูปภาพการตั้งทัพ ผังกำลังศึก เผยเป็นฉบับภาพที่สมบูรณ์ที่สุดหลังพบมาแล้ว 3 เล่ม เล็งศึกษานำมาใช้ในการศึกใด ยกให้เป็นฉบับ "พรหมบุญ" เป็นเกียรติแก่ตระกูลที่ครอบครอง
         นายปริญญา สัญญะเดช นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธไทยโบราณและเจ้าของพิพิธภัณฑ์บ้านขุนศึก กรุงเทพมหานคร (กทม.) ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ว่า ได้พบตำราพิชัยสงคราม ที่คาดว่าเป็นฉบับหลวง อายุประมาณ 200 ปี โดยเมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา ได้ร่วมประชุมกับนายกองเอกวิลาศ รุจิวัฒนพงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ นางธีรพร พรพฤฒิพันธุ์ นายกเทศมนตรี เทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ นายวิศัลย์ โฆษิตานนท์ อดีตนายกเทศมนตรี เทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ ที่หอประวัติศาสตร์เพชบุระ อ.เมืองเพชรบูรณ์ กรณีการพบตำราพิชัยสงครามล้ำค่า คาดอยู่ในช่วงยุคสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์มีอายุเก่าแก่ราว 200 ปี ซึ่งนายมาวิณห์ พรหมบุญ นำมามอบให้ และได้ถูกเก็บรักษาไว้ที่หอประวัติศาสตร์เพชบุระ

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-7 20:33
[attach]4153[/attach][attach]4154[/attach][attach]4155[/attach][attach]4156[/attach][attach]4157[/attach][attach]4158[/attach]

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-11 18:59

[attach]4178[/attach]
[size=+2]
เกษตรทฤษฎีใหม่

การทำเกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นทฤษฎีแห่งการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและการบริหารงานในการทำการเกษตรที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช มหาราช ทรงพระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทย เพื่อแก้ไขปัญหาการเกษตร โดยการแบ่งพื้นที่การเกษตรออกเป็น 4 ส่วน คือ ส่วนที่หนึ่งขุดสระกักเก็บน้ำ จำนวน 30% ของพื้นที่ ส่วนที่สอง ปลูกข้าว จำนวน 30% ของพื้นที่ ส่วนที่สาม ปลูกไม้ผลไม้ยืนต้น และส่วนที่สี่ เป็น พื้นที่ที่ใช้สร้างสิ่งปลูกสร้างเช่น ที่อยู่อาศัย โรงเรือนเลี้ยงสัตว์ ฉาง จำนวน 10% ของพื้นที่ จำนวนสัดส่วนของพื้นที่นี้ทั้งหมดสามารถปรับเพิ่มหรือลด ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของสภาพพื้นที่แต่ละแห่ง เช่นครอบครัวหนึ่งมีสมาชิกจำนวน 4 คน พื้นที่มีแหล่งน้ำใช้ได้ตลอดทั้งปี แต่ดินม ีความอุดมสมบูรณ์ต่ำก็ควรปรับลดพื้นที่ขุดสระ และเพิ่มพื้นที่นาข้าวเพื่อให้มีข้าวบริโภคเพียงพอตลอดทั้งปี



พื้นที่ส่วนที่หนึ่ง จำนวน 3.6 ไร่ (30%) ขุดสระกักเก็บน้ำจำนวน 2 สระ สามารถกักเก็บน้ำ ได้รวม 10,455 ลูกบาศก์เมตร เพียงพอ ต่อการนำน้ำมาใช้ ในการทำการเกษตรได้ทั้งป ีแต่การผันน้ำมาใช้นั้น ยังคงต้องใช้เครื่องจักรกลในการสูบน้ำมาใช้ ทำให้สูญเสียพลังงานเชื้อเพลิง
จำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง ถ้าสามารถลดการใช้พลังงานลงได้หรือ หาพลังงาน เชื้อเพลิงอื่นทดแทน หรือมีการวางแผนการใช้น้ำ เช่น หากพื้นที่มีระดับที่ต่างกันมาก สามารถวางท่อนำน้ำออกมาใช้โดยไม่ต้องใช้เครื่องสูบน้ำและน้ำมัน เป็นการจัดการทำให้
ต้นทุนการเกษตรลดลงได้ในระยะยาว


พื้นที่ส่วนที่สอง 3.6 ไร่ (30%) ใช้ปลูกข้าว ดำเนินการในปี 2547 เตรียมดิน หว่านกล้าและปักดำโดยใช้ข้าวจ้าวหอมมะลิ 105 จำนวน 40 กิโลกรัม ทำการกำจัดวัชพืชในนาข้าว โดยการถอน ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 16 – 20 – 0 จำนวน 30 กิโลกรัมและปุ๋ยเคมีสูตร 40 – 0 – 0 จำนวน 30 กิโลกรัม



พื้นที่ส่วนที่สาม 3.6 ไร่ (30%) ปลูกพืชแบบผสมผสาน โดยแบ่งพื้นที่ปลูกดังนี้

1. พื้นที่จำนวน 2 ไร่ ปลูกมะม่วงพันธุ์โชคอนันต์ จำนวน 50 ต้น
2. พื้นที่จำนวน 0.5 ไร่ ปลูกกล้วยน้ำหว้า จำนวน 60 ต้น
3. พื้นที่จำนวน 0.5 ไร่ ปลูกพืชผัก จำนวน 20 แปลง
4. พื้นที่จำนวน 0.6 ไร่ ปลูกไม้ใช้สอย อาทิเช่น
- ต้นสัก จำนวน 30 ต้น
- ต้นยูคาลิปตัส จำนวน 80 ต้น
- ต้นไผ่รวก จำนวน 10 ต้น
- ต้นไผ่ตง จำนวน 5 ต้น
- ต้นหวาย จำนวน 30 ต้น




โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-11 19:00
พื้นที่ส่วนที่สี่ 1.2 ไร่ (10%) เป็นพื้นที่สร้างที่อยู่อาศัยและคอกสัตว์
1. สร้างโรงเรือนเลี้ยงไก่ จำนวน 1 หลังขนาด 3*4 เมตร เลี้ยงไก่แล้ว 3 รุ่น จำนวน 200 ตัว คัดไว้เป็นพ่อพันธุ์ จำนวน 2 ตัวและแม่พันธุ์ จำนวน 10 ตัว
2. สร้างโรงเรือนเลี้ยงเป็ดจำนวน 1 หลัง ขนาด 3*4 เมตร ใช้เลี้ยงเป็ด 3 รุ่น จำนวน 129 ตัว คัดไว้เป็นพ่อพันธุ์ จำนวน 2 ตัวและแม่พันธุ์ จำนวน 10 ตัว
3. สร้างโรงเรือนสุกร จำนวน 1 หลัง ขนาด 3.5*19.5 เมตร ดำเนินการเลี้ยงสุกรจำนวน 20 ตัว
4. สร้างศาลาถ่ายทอดเทคโนโลยี จำนวน 1 หลัง ขนาด 3.5*10.5 เมตร ใช้เป็นพื้นที่แสดงและถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกรและผู้สนใจทั่วไป




โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-11 19:19






ทดลองปลูกมะนาวในถุงพลาสติกขนาดใหญ่ แนะวิธีให้ผู้สนใจลองทำดูได้ ใช้เวลาเพียง 9 เดือนก็จะได้เห็นผล

ผ่านไป 9 เดือนเต็มของการทดลองปลูกมะนาวในถุงพลาสติกขนาดใหญ่ 600 ลิตร ใช้วัสดุปลูกที่เป็นกาบมะพร้าวสับ 2 ส่วนหน้าดินดี 1 ส่วน ผสมปุ๋ยเคมี 16-16-16 หรือ 12-12-17 ผสมคลุกลงไป 1 กก.ตั้งแต่เริ่มแรกเพียงครั้งเดียว พันธุ์มะนาวที่ทดลองมีสองพันธุ์คือตาฮิติ(ทูลเกล้า)และแป้น ระบบน้ำเป็นน้ำหยดวันละประมาณ 10 ลิตรให้วันเว้นวัน มีการตัดแต่งกิ่งกระโดงและกิ่งน้ำค้างภายในพุ่มออกเป็นระยะๆเพื่อให้ทรงพุ่ม โปร่ง ผลจากการสังเกตในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาดังนี้
1 การให้ปุ๋ยเคมีโดยวิธีดังกล่าวคลุกไปพร้อมกับวัสดุปลูกเป็นวิธีหนึ่งในการ สำรองธาตุอาหารอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอให้แก่มะนาวโดยที่ธาตุอาหารมีการสูญ เสียน้อยเนื่องจากมีการให้น้ำแบบหยดระดับความชื้นที่เรียกชื้นพอหมาดๆหรือ Field capacity ทำให้น้ำไม่มีการไหลบ่าออกนอกทรงพุ่ม

2 ระบบน้ำที่ให้เป็นแบบหยด 2 หัวหยดโดยขณะต้นเล็กใช้เพียงหัวเดียวให้วันละประมาณ 6 ลิตรวันเว้นวัน
เมื่อต้นโตทรงพุ่มแผ่คลุมถุงได้เพิ่มจำนวนหัวหยดเป็น 2 หัว เพิ่มการให้เป็น 12 ลิตร/วันเว้นวัน โดยใช้เครื่องมือวัดความชื้นในดินให้ดินชื้นพอหมาดๆหรือ Field capacity

3 พ่นสารเคมีป้องกันแมลงซึ่งหลักๆคือหนอนชอนใบโดยพ่นประมาณ 10 วัน/ครั้งตามอาการ หากใบสะอาดโรคแคงเกอร์จะทำลายน้อยมากหรือไม่มีเลย

4 มีการตัดแต่งกิ่งโดยเฉพาะกิ่งกระโดงและกิ่งน้ำค้างออกเป็นช่วงๆเพื่อควบคุม ทรงพุ่มให้แผ่ออกไม่สูงเกินไป โดยเฉพาะพันธุ์แป้นจะมีการแตกกิ่งกระโดงและกิ่งน้ำค้างภายในจำนวนมากอยู่ เสมอ

5 ข้อสังเกตเรื่องพันธุ์มะนาว มะนาวตาฮิติจะมีความเหมาะสมมากในการปลูกในภาชนะ ต้นแข็งแรง ไม่มีโรคแคงเกอร์ให้เห็น รวมทั้งทนต่อโรคสำคัญคือไวรัสกรีนนิ่งและทริสเตซ่า ทรงพุ่มแผ่ออกกว้างกว่าสูง เริ่มให้ออกดอกและติดผลได้เมื่ออายุประมาณ 8 เดือนและสามารถออกดอกติดผลอย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องบังคับ มะนาวตาฮิติจึงเหมาะสำหรับผู้ที่ปลูกมะนาวในภาชนะบนดาดฟ้าหรือข้างๆบ้านไว้ รับประทานเองในครัวเรือน ต่างจากมะนาวแป้นที่อายุเท่ากันยังไม่ปรากฏการออกดอกแต่อย่างใดเนื่องจากต้น ยังอยู่ในช่วงระยะเจริญเติบโต 1 ปีแล้วจึงจะเริ่มออกดอกและต้องบังคับน้ำ ควบคุมปุ๋ยด้วยจึงจะออกดอกได้ดี(ทำให้ต้นโทรมได้)

6 ข้อมูลที่น่าสนใจในการพัฒนามะนาวนอกฤดูโดยการใช้ต้นตอมะขวิดเสียบยอดจะทำให้ ได้มะนาวต้นเตี้ยและออกนอกฤดูโดยไม่ต้องบังคับ ข้อมูลนี้ได้จากผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ปลูกส้มเช้งหรือส้มตราบนต้นตอมะขวิดทำ ให้ส้มเช้งออกนอกฤดูอย่างสม่ำเสมอโดยไม่ต้องบังคับและทำให้ได้ส้มต้นเตี้ย สามารถปลูกในระบบชิดได้อย่างดี
ท่านที่เคารพครับตื่นเช้าขึ้นมานุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวเดินดูต้นมะนาวในสวน เห็นต้นเจริญเติบโตสบายใจอย่างบอกไม่ถูก อาชีพเกษตรเป็นอาชีพที่อิสระครับ อนาคตอันใกล้นี้เกษตรไทยและเกษตรโลกจะเป็นทองแล้วครับ อยู่ที่ใครจะมีโอกาสขุดและขุดอย่างไรหยั่งยืนยาวนาน

หมายเหตุ ข้อมูลนี้ผู้เขียนบันทึกไว้จากสวนของตัวเองเมื่อปี 2554 ก่อนเกิดการน้ำท่วมใหญ่แต่โชคดีที่บริเวณนั้นได้รับการป้องกันจากอบต.ลาด หลุมแก้วน้ำจึงไม่ท่วม ขณะนี้ปี 2556 มะนาวตาฮิติและแป้นในถุงพลาสติกขนาด 600 ลิตรยังอยู่ โดยได้ปลูกแป้นพิจิตรเพื่อศึกษาเพิ่มเข้าไปด้วย มะนาวแต่พันธุ์มีดีไปคนละอย่างแต่หากจะปลูกไว้รับประทานเองในพื้นที่จำกัด ตาฮิติน่าพิจารณามากที่สุด ผลโต ไม่มีหนาม ทนโรค ผลใหญ่ น้ำมากแม้กลิ่นและรสไม่เข้มแบบมะนาวต้นแบบอย่างแป้นก็ตาม

เปรม ณ สงขลา

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-11 19:23
เคล็ดลับในการปลูกผักหวานป่า

ผักหวานเป็นผักที่มีวิตามิน C สูง อร่อย เป็นผักที่ปลอดภัยจากสารเคมีครับที่สำคัญหากินยากและราคาแพงมาก มีคนนำมาปลูกแต่ส่วนใหญ่มักจะล้มเหลวผมเลยเอาเคล็ดลับการปลูกมาฝากผู้ที่ สนใจครับ

ข้อ 1 ก่อนปลูกผักหวาน ต้องปลูกไม้พี่เลี้ยงให้ร่มเงาก่อนสัก 1 ปี ไม้ที่ดีและเหมาะกับการปลูกที่สุดคือ ต้นแคบ้านครับ เพราะหาง่าย โตไว เป็นพืชตระกูลถั่ว ช่วยตรึงไนโตรเจน เป็นปุ๋ยให้ดินครับ ให้ร่มเงาพอประมาณไม่ทึบจนแสงลอดผ่านไม่ได้ ลำต้นตรง ดอกเอามาแกงส้มอร่อยครับ





ในรูปคือต้นแคที่ปลูกไว้เป็นไม้พี่เลี้ยงให้ร่มเงาครับ

ข้อที่ 2 การปลูกโดยการเพาะเม็ดจะโตเร็วกว่าปลูกจากกล้าครับ การปลูกจากกล้าที่เราซื้อมาต้องระวังเรื่องรากอย่าให้กระทบกระเทือน อย่าให้ดินหุ้มรากแตกครับ ไม่งั้นต้นมักตายหรือแกรนครับ

การซื้อเม็ดผักหวานที่สุกจะหาได้ยาก ถ้าได้เม็ดสดมาก็ต้องล้างเอาเปลือกหุ้มเมล็ดออกก่อน การล้างเม็ดต้องใส่ถุงมือ ไม่งั้นมันจะกัดมือ ล้างเสร็จให้ผึ่งไว้ในร่ม พอแห้งต้องเอาเม็ลดเก็บไว้ในตู้เย็นครับ เพราะเม็ดผักหวานจะมีช่วงเดือนเมษายน ปีละ 1 ครั้ง การปลูกจะต้องรอปลูกช่วงต้นฝน หรือเดือน พค -กค การเก็บในตู้เย็นจะช่วยยืดเวลาและรักษา % งอกครับ

ข้อ 3 ช่วงต้นฝนที่เราจะปลูก เราก็เอาเมล็ดมาเพาะในแกลบดำ หรือ เอากระสอบชุบน้ำแล้วเอาคลุมเมล็ด และรดน้ำให้มีความชื้นส่ำเสมอ เพื่อรอให้รากมันงอก เมื่อได้เม็ดพร้อมราก แล้วจึงย้ายไปปลูกในหลุม หรือบางคนก็เอาเม็ดไปปลูกเลย แต่การปลูกต้องมั่นใจว่าฝนตกอย่างต่อเนื่อง ถ้าฝนทิ้งช่วงต้องรดน้ำบ่อยๆครับเพื่อเพิ่ม % การงอกครับ

ข้อ 4 การขุดหลุมไม่ต้องกว้างมาก แต่เน้นความลึกให้ลึกสัก 30-50 ซ.ม. เหมือนขุดเสาบ้าน เราขุดลึกเพราะต้องการให้รากมันเดินลงดินได้ลึกๆ ในแนวดิ่ง เพื่อให้ต้นเจริญเติบโดไดเร็ว เลียนแบบธรรมชาติแหล่งที่อยู่อาศัยในธรรมชาติที่มันชอบดินลูกลัง หรือดินที่โปร่ง ที่รากมันเดินได้เร็วตามความพรุนของดิน
ขั้นตอนการเตรียมดิน เราเอาปุ๋ยคอกที่ย่อยสลายแล้วแนะนำ มูลวัวนมที่เก็บไว้อย่างน้อย 6 เดือน มูลไก่ไม่แนะนำเพราะมันเค็ม มีกรดยูริคสูง ต้นมันจะเสียน้ำและเหี่ยวตาย เมือผสมดินเสร็จเอาดินลงไปก้นหลุม จนเต็มหลุมและพูนดินให้สูงกว่าระดิบผิวดินสัก 5-10 ซ.ม. ต้องสูงกว่าระดับดินมีเหตุผลครับเพื่อกันน้ำขังในช่วงฝนตกหนักเมล็ดถ้าน้ำ ขังเมล็ดจะเน่าครับ การเตรียมหลุมควรเตรียมล่วงหน้าก่อนปลูกสัก 1 เดือนครับ

ข้อที่ 5 เมื่อฝนเริ่มตกและมั่นใจว่าเข้าหน้าฝนดีแล้ว เราก็เตรียมเมล็ดตาม ข้อ 3 เลยครับ การปลูกถ้าเพาะให้เม็ดมีราก การฝังเม็ดมีเคล็ดลับคือเราใช้ไม้ไผ่ขนาด ครึ่งนึ้วแทงทำรูนำร่องไปก่อน ให้ลึกกกว่ารากเล็กน้อย แล้วค่อยๆหย่อนเมล็ดลงไปอย่าให้รากขาด ค่อยๆกลบดิน กรณีไม่ได้เพาะให้รากงอกการหยอดเมล็ด ก็ใช้ไม่แทงนำร่องให้ลึก 5 ซม หยอดเมล็ดลงไปโดยเอาส่วนขั้วเมล็ดขึ้นบน แล้วค่อยกลบดินบางๆ จากนั้นก็คลุมหลุมปลูกด้วยฟางบางๆครับ
ผักหวานมันจะใช้เวลางอกนานมากครับ ประมาณ 2-3 เดือน ถึงจะเห็นต้นอ่อนครับ บางทีรอจนนึกว่ามันจะไม่งอกซะแล้ว ระหว่างนั้นฝนทิ้งช่วงต้องรดน้ำวันเว้นวันครับ (การหยอดเม็ดหลุมละ 2-3 เมล็ดให้ห่างกันในแต่ละมุม กันบางเมล็ดไม่งอกครับ หรือบางต้นตายในช่วงปีแรก)

ข้อที่ 6 จากนั้นมาถึงเคล็ดลับอีกข้อ คือ การทำที่ป้องกันต้นอ่อนครับช่วงปีแรกสำคัญครับ การทำที่ป้องกันจะช่วยมันรอดพ้นจากการจิกของไก่ การเหยียบต้นอ่อนของสัตว์เลี้ยงหรือศัตรูอื่นๆ ป้องกันแดดจัดที่จะทำให้ต้นมันตาย หรือรอดจากอากาศแห้งแล้ง การทำก็ง่ายๆคือใช้ไม้ไผ่มาปักหลัก 4 - 6 มุม สูงสัก 50 ซม (ในภาพทำต่ำไปหน่อย พอปีที่ 2 ต้นมันจะล้นออกมา แต่ต้องรอให้ลำต้นสูงสัก 30 ซม จึงจะมั่นใจได้ว่าต้นมันรอดไม่ต้องการที่ป้องกันอีก) จากนั้นก็ล้อมด้วย ตาข่ายเขียวรอบหลุมที่ปลูก ด้านบนก็ใช้ตาข่ายคลุมด้วยกรณีที่แดดตอนบ่ายแรงส่องตรงๆโดนต้นผักหวาน หรือใช้ทางมะพร้าวคลุมก็ได้ แต่ถ้าพืชนำร่องให้ร่มเงาไม่ให้โดนแดดตอนบ่ายตรงๆ ก็ไม่ต้องใช้ที่คลุมด้านบนก็ได้ครับ ถ้าอยู่กลางแดดทั้งวันไม่มีร่มเงาจากไม้นำร่อง จำเป็นมากสำหรับการพรางแสง ตาขายเขียวที่ใช้ใช้ป้องกันแสงได้ที่ 50- 60 % หมายความว่าแสงลอดได้ 40 -50%ครับ






ข้อที่ 7 ระยะปลูกไม่แน่นอนครับแล้วแต่ว่าเราจะต้องการปลูกเป็นพุ่มแบบระยะชิด เพื่อเก็บเอาแต่ยอดขาย หรือซึ่งต้องการปลูกแบบห่างกันพื่อให้ต้นใหญ่เอาผลิตเมล็ด (บางทีต้องรอเกิน 10 ปี กว่าจะให้เม็ด) และเก็บยอดด้วยก็ปลูกห่าง
ตามความเหมาะสมกับพื้นที่ครับ ให้ถือหลักว่าดินเลวปลูกถี่ ดินดีปลูกห่าง ตามหลักของวิชาเกษตรที่เคยได้เรียนมาตอนอยู่มหาวิทยาลัยครับ

(ที่ทดลองปลูกหลังบ้านผม เป็นแบบปลูกชิด ระยะ 2*2 เมตร เป็นการทดลองปลูกเพื่อเก็บยอดครับ )


ข้อที่ 7 เคล็ดลับการดูแล แรกปลูก - 1 ปีครึ่ง เป็นช่วงวิกฤติของผักหวานครับต้นที่โตก็โตไปเลยครับ ต้นที่ตายก็ตายโดยไม่มีเหตุผล ต้นที่แกรนก็แกรนไป เพื่อนๆสูง 50 ซม บางต้นยังแกรนเลยอายุ 3 ปีแล้วสูงไม่ถึง 20 ซม การกำบังแดดโดยร่มเงาต้นไม้นำร่องเป็นสิ่งสำคัญ และ ต้องช่วยเรื่องการป้องกันลำต้นในช่วง แรกปลูก- 2 ปีแรก ด้วยมุ้งเขียวจะช่วยให้มันรอดมากขึ้น จากการประเมินด้วยสายตา อัตราการงอกของเมล็ดอยู่ประมาณ 70% ตอนที่ปลูก
เมื่อมันงอกแล้วเป็นต้น มันจะรอดเหลืออีกไม่เกิน 80% ของต้นที่งอกครับในปีที่ 2 ก็ถือว่าสูงกว่าปลูกแบบฝากเทวดาดูแลมากครับ




โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-11 19:23
ข้อที่ 8 เคล็ดลับที่สำคัญ เมื่อเข้าปีที่ 2 มันต้องผ่านฤดูหนาวและฤดูแล้งที่สำคัญของมัน ถ้าผ่านไม่ได้มันมักจะตายช่วงนี้แหละครับ ข้อปฎิบัติต้อง รดน้ำวันเว้นวัน รดจนชุ่ม แต่ไม่แฉะจนน้ำขังนะครับ มันจะเน่าตายครับ ต้องทำต่อเนื่อง จนเข้าฤดูฝนปีที่ 2 ครับ ต้นมันจะใหญ่ขึ้นผิดหูผิดตาครับ พอเข้าแล้งปีที่ 3 ต้นมันจะโตพอที่จะหาเลี้ยงตัวเองได้ แต่ก็ต้องรดน้ำครับ 7 วันครั้ง และคลุมโคนต้นด้วยฟางข้าวเพื่อลดการระเหยของน้ำ

ภาพของผักหวานที่สมบูรณ์ผ่านมา 1 ปีครึ่งครับ








จะเห็นว่าการปลูกผักหวานต้องใช้การดูแลแบบใกล้ชิดอย่างน้อย 3 ปี จึงมั่นใจว่ามันจะรอดแน่นอน จากนั้นก็ฝากเทวดาเลี้ยงได้เลยครับ มันจะอึดสุดๆ และให้ยอดท่านกินในหน้าแล้ง


ข้อ 9 เคล็ดลับที่ดูว่าต้นผักหวานอายุ 3 ปี ขนาดไหนถึงจะปล่อยไม่ต้องดูแล ผมให้ข้อสังเกตุง่ายๆ

> ต้นต้องสูงไม่น้อยกว่า 50 ซม
> เราสังเกตเปลือกที่ลำต้นจะมีสีน้ำตาลเข้ม เหมือนผิวต้นกระถิน
> การเจริญเติบโตในปีต่อไปจะค่อยๆโตช้าๆ ไม่รวดเร็วเหมือนสามปีแรกครับ
> ช่วงหน้าแล้ง มีนาคม มันจะเริ่มแตกยอดอ่อนให้เราเก็บครับ

ผมมีต้นที่ผมปลูกอีกสวนมาให้ดูครับ อายุ 3 ปี ที่โตเป็นปกติ สมบูรณ์และเริ่มให้ยอดอ่อนครับ (ส่วนที่โตไม่ดีลองไปดูในบล็อดเก่าของผมที่เขียนไว้ครับ)








ข้อ 10 เคล็ดลับการดูแล

> การให้ปุ๋ยให้ปุ๋ยคอกเท่านั้น และที่มันชอบคือมูลโคที่เก็บสักครึ่งปี ผ่านการย่อยสลาย ให้ช่วงต้นฝนโรยรอบๆทรงพุ่ม ต้นละ 5 - 10 กก แล้วแต่ขนาดต้น มูลสัตว์อื่นต้องหมักอย่างน้อย 1 ปี ขึ้นไป ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ไม่ควรให้เป็นดีที่สุด

> ผักหวานชอบดินร่วน ดินลูกรัง หรือดินที่มีการระบายน้ำดี ไม่ชอบดินเหนียวดินที่ระบายน้ำไม่ดี ไม่ชอบที่แฉะ เราจะพบผักหวานในป่าเต็งรัง ป่าละเมาะ ป่าที่มีการทิ้งใบในหน้าแล้ง หรือ พบมากตามภูเขาแถว จ.ลำปาง ลำพูน ตาก กาญจนบุรี ที่มีหน้าแล้งชัดเจน เราจะพบว่าไฟไหม้ป่าจากล่าสัตว์และการเก็บของป่า ที่สำคัญก็คือ ผักหวาน เมื่อมีผักหวานคนเก็บของป่าจะใช้ไฟเผาเอาไข่มดแดงไฟก็จะไหม้ป่า และการเผาป่าของคนเก็บของป่าเพื่อจะให้ เห็ดถอบ หรือ เห็ดเผาะ มันเป็นเห็ดดิน พอเผาเสร็จ เมื่อฝนตกมันจะเกิดดีขึ้น คนเก็บของป่าเล่าให้ฟัง ตอนแรกไปทำงานทางเหนือสงสัยว่าไฟทำไมไหม้ป่าบ่อยพอไปถามคนเก็บของป่าเลยรู้ ครับ การปลูกผักหวานช่วยลดโลกร้อน ตามกระแสรักโลกครับ

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-11 19:24
> การบังคับผักหวานแทงช่อ ง่ายๆ คือ การรูดใบผักหวานจากกิ่งให้หมด จากนั้นรดน้ำวันเว้นวันครับ

> ศัตรูพืชพอมีแต่ไม่มาก ที่พบคือ เพลี้ยแป้ง และเพลี้ยไฟ ที่ชอบมาดูดน้ำเลี้ยงตอนต้นยังเล็ก ในช่วงที่แล้งจัดๆ ฝนทิ้งช่วงนานๆ


ผมชอบกินผักหวานครับ แกงผักหวานใส่ปลาย่างสุดยอดของอาหารครับ
หรือ เอามาผัดน้ำมันหอยก็อร่อยๆสุดๆ เอาสเต็กมาแลกก็ไม่ยอม

>>> สาเหตุที่ผมปลูกผักหวานเพราะผมขี้เกียจครับ ตอนเด็กๆผมอยู่ลพบุรีช่วงหน้าแล้งก็จะไปหาเก็บผักหวานป่า ตามป่าละเมาะ หรือชายเขา ไกลก็ไกล ร้อนมากช่วง เมษายน แดดโคตรร้อน มันจะมีอยู่ไม่กี่จุด และไม่มีการบอกกัน ถ้าไปช้าจะโดนเก็บไปก่อน เดินไปฟรี ถ้ารอให้มันออกช่อใหม่ก็ช้าไป จึงเป็นที่มาของการพยายามปลูกผักหวานของผม ตอนนี้หน้าแล้งผมมีผักหวานกินตลอด ทุกปี

>>> สุดท้าย ถ้าข้อมูลทีประโยชน์กับท่าน ก็ขอยกความดีให้คุณพ่อของผม ที่ปลูกและดูแล ผมเพียงหาเมล็ดให้ท่านปลูกเท่านั้นเองครับ เมื่อสวนหลังบ้านผมมีผักหวานโตขึ้น ปีหน้าจะเอามารายงานผู้ที่สนใจครับ<<<

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-11 19:24
แรกกล้าผักหวานป่า

มนุษย์เราดำรงเผ่าพันธุ์ด้วยเพศเป็นหลัก เป็นข้อเท็จจริงที่รับรู้กันโดยทั่วไป เป็นเรื่องปกติ เป็นสัญชาตญาณ ต้นไม้ก็เช่นกันการเพาะเมล็ด เป็นวิธีขยายพันธุ์พืชโดยอาศัยเพศ ทำให้เราได้ต้นกล้าใหม่ที่เกิดมาจากส่วนของเมล็ด แต่ที่พิเศษกว่านั้น แม้ไม่ต้องใช้เพศ ต้นไม้ก็ขยายพันธุ์ได้ครับ เป็นต้นว่า การตอนกิ่ง ปักชำ ติดตา สกัดราก แยกหน่อ ต่อไหล หรือจะเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อก็นับว่าใช่ ด้วยวิธีเหล่านี้เราจะได้ต้นกล้าใหม่จากส่วนอื่น ๆ ของพืช อันได้แก่ กิ่ง ราก เหง้า ไหล ก้าน ใบ ไปจนถึงลำต้น ไม่ใช่จากเมล็ด พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่ต้องมีการผสมพันธุ์ เอ๊ย! ผสมเกสรตัวผู้กับตัวเมียจนกลายเป็นเมล็ดเพื่อสืบสายขยายพันธุ์นั่นเอง
ในแวดวงไม้ผล การขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดไม่เป็นที่นิยม ความที่มักจะกลายสายพันธุ์ เติบโตขึ้นมาผิดแผกไปจากต้นแม่ มีผลให้เกิดความผิดเพี้ยนในแง่ปริมาณและคุณภาพของผลผลิตได้ค่อนข้างสูง
แต่ข้อดีของการเพาะด้วยเมล็ด ก็คือ เราจะได้ต้นไม้ที่มีระบบรากแก้วที่แข็งแรงและหาอาหารเก่ง จากข้อดีนี่เอง ชาวสวนจึงนิยมเพาะเมล็ดเพื่อใช้เป็นต้นตอในการขยายพันธุ์ด้วยการเสียบยอด ติดตา ต่อกิ่ง แทนการเพาะด้วยเมล็ดโดยตรง
ถ้าสนใจเกี่ยวกับการขยายพันธุ์พืชอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แนะนำให้เข้าไปเรียนรู้จากภาควิชาพืชสวน คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตามลิงค์นี้เลยครับhttp://web.agri.cmu.ac.th/hort/course/359301/pprop/index1.html
ทีนี้เมื่อขยายพันธุ์กันพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็ว่าจะชวนมาแวะบ้านสวนเนิร์สเซอรี่ ไปดูเด็กแรกเกิดกัน ปกติแล้วผมเป็นคนเดินช้า แต่ความเร็วของชีวิตในอัตรานี้ ทำให้ผมทันที่จะได้เห็นการผลิบานของเมล็ดพันธุ์ เห็นการก่อกำเนิดของบางชีวิตในสวนนี้อยู่เนือง ๆ
อันที่จริงแล้วจะเร็วหรือช้าก็ไม่น่าใช่ข้อจำกัดในการมองเห็นความงามของธรรมชาตินะ-ผมว่า ความรีบเร่งนั้นอาจทำให้ภาพพร่ามัว ไม่ชัดเจน แต่ขอเพียงคุณเพ่งอย่างพินิจ ค่อย ๆ ปรับโฟกัสให้ชัดขึ้น เพียงเท่านี้คุณก็สามารถสัมผัสสุนทรียะที่รายล้อมอยู่รอบตัวคุณได้ทุกที่ ทุกเวลา
สำคัญที่ตัวคุณเองว่าอยากจะมองเห็นหรือเปล่า …
ในทุก ๆ วันหรืออาจนับเป็นวินาที บนดาวสีน้ำเงินดวงนี้จะมีชีวิตใหม่เกิดขึ้นอยู่เสมอ ทั้งคน พืช สัตว์ นับกันไม่หวาดไม่ไหว ลองนึกดูสิครับ ถ้าเราได้เป็นส่วนหนึ่งในการเริ่มต้นของชีวิต แม้จะไม่ใช่เชื้อสายหรือผู้ให้กำเนิด แค่ได้เอื้อให้เกิดช่วงเวลามหัศจรรย์อย่างนั้น ได้ยืนชื่นชมอยู่ใกล้ ๆ หรือคุดคู้แอบดูอยู่ใต้เตียง ก็ล้วนให้ความรู้สึก ‘ลุ้น’ ได้ไม่แพ้กัน
.
ผมหมายถึง “การเพาะเมล็ดผักหวานป่า” น่ะครับ
.
.

เมล็ดผักหวานป่ากลมรีรูปไข่ จะเริ่มสุกสีออกเหลืองมะปรางราวเดือน เม.ย.-พ.ค. (ภาพนี้ได้รับความเอื้อเฟื้อจาก อ.ธวัชชัย นาคะบุตรhttp://naturalagri.multiply.com/ ต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ)
.

หลังจากแยกเนื้อที่หุ้มเมล็ดออก หย่อนลงถุงเพาะ ออกแรงกดแค่ปริ่มเสมอดิน อย่าถึงกับมิดเมล็ด รดน้ำพอให้ดินชื้น อย่าให้แฉะ นับวันผ่านประมาณเดือน รากก็เริ่มแทงดิน เหมือนลงเสาหลัก
.
เมื่อสีเขียวโคนกล้าเริ่มจาง หน่ออ่อนก็ค่อย ๆ สลัดหลุดจากขั้ว ออกมาให้แดดให้ลมช่วยบ่มเพาะ รอเวลากล้าแกร่ง

.
ทำเป็นลืมไปราวสัปดาห์ ต้นกล้าก็ระบัดใบเขียว … งาม



โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-11 19:25
นอกจากการเพาะเมล็ดแล้ว การขยายพันธุ์ผักหวานป่ายังทำได้อีกหลายวิธี ตั้งแต่การตอนกิ่ง การชำราก ไปจนถึงการล้อมไม้ใหญ่มาปลูกกันเลย แต่การเพาะเมล็ดก็ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุดทั้งในแง่ปริมาณจากที่สามารถขยายพันธุ์ได้จำนวนมากในเวลาที่รวดเร็ว และในแง่คุณภาพจากการมีระบบรากแก้วที่ดีกว่านั่นเอง และเผื่อไว้ว่ามีใครสนใจ ก็จะขอเขียนคร่าว ๆ ถึงการขยายพันธุ์ผักหวานป่าแบบอื่น ๆ ให้อ่านกันเพลิน ๆ
“การตอนกิ่ง” ว่ากันว่าเป็นวิธีที่ยากที่สุด เพราะนอกจากจะออกรากยากแล้วยังใช้เวลานาน ๓-๔ เดือนเลยทีเดียว น่าจะมีเหตุผลมาจากธรรมชาติของผักหวานป่าที่มักจะ “หวงราก” นั่นเอง แต่วันนี้ผมมีเคล็ดลับจากเซียนมาฝาก กลั่นจากประสบการณ์กว่ายี่สิบปีในการปลูกผักหวานป่าของ ผู้ใหญ่รับ พรหมมา ผญ.บ้าน หมู่ ๗ ต.หนองบัว อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี … รู้ไว้ใช่ว่านะครับ
.
“…ให้เลือกกิ่งกระโดงอายุข้ามปีหรือกิ่งกระโดงที่แตกใหม่ในปีนั้นกลางอ่อนกลางแก่ก็ได้ ควั่นเปลือก ลอกเปลือก ขูดเยื่อเจริญเหมือนการตอนกิ่งทั่วไป ขั้นตอนนี้ให้สังเกตถ้าเปลือกลอกออกง่ายไม่ติดแก่น กิ่งตอนกิ่งนั้นจะแทงรากเร็ว แต่ถ้าลอกเปลือกออกยาก ก็จะแทงรากช้าหรือไม่แทงรากเลย เมื่อขูดเยื่อเจริญแล้ว ใช้กะปิพอกแผลให้มิด ทิ้งไว้จนกะปิแห้งจึงหุ้มด้วยตุ้มตอนขุยมะพร้าวเหมือนการตอนกิ่งทั่วไป หลังจากนั้นประมาณ ๒ เดือน – ๒ เดือนครึ่ง ตุ้มตอนก็จะแทงรากออกมา
เทคนิคการขยายพันธุ์ด้วยวิธีตอนอีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อเห็นว่ารากพัฒนาจากสีขาวเป็นสีน้ำตาลแล้วเป็นสีเขียว (แก่จัด) ลักษณะอวบอ้วนสมบูรณ์ดี จำนวนเต็มตุ้ม จึงลงมือ “ควั่นเตือนก่อนตัด” เพื่อบังคับให้ยอดของกิ่งตอนกิ่งนั้นหาอาหารจากขุยมะพร้าวในตุ้มตอนขึ้นไปเลี้ยงตัวเอง แทนการรับจากกิ่งใหญ่ต้นแม่ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลา ๑-๒ อาทิตย์ หรือจนกว่าจะแน่ใจว่าส่วนยอดของกิ่งตอนกิ่งนั้นได้อาหารจากตุ้มตอนแน่นอนแล้ว จึงตัดลงมาจากต้นแม่
ตำแหน่งควั่นตอนกิ่งสำคัญมาก ต้องเลือกตรงที่เป็นตุ่มใหญ่หรือข้อหรือปม โดยให้แผลบนอยู่ที่ข้อหรือปมนั้น ส่วนขุยมะพร้าวจะต้องผสมกับดินชื้นโคนต้นอัตราส่วน ๑:๑ สวมตุ้มตอนแล้วต้องรัดให้แน่นเพื่อกระชับแผลให้สนิท
เมื่อตัดลงมาจากต้นแม่แล้วให้นำลงชำต่อในถุงดำ โดยที่หลังจากแกะถุงพลาสติกหุ้มตุ้มตอนจนเหลือแต่ขุยมะพร้าวลงถุงดำนั้น จะต้องกดวัสดุเพาะชำในถุงดำให้แน่นจนแน่ใจว่ากระชับรากหรือไม่มีช่องว่าง ถ้ามีช่องว่างหรือไม่กระชับรากจะทำให้รากชะงักการเจริญเติบโตได้ แล้วจึงนำมาอนุบาลในเรือนเพาะชำ แสงแดดไม่เกิน ๓๐-๔๐ เปอร์เซ็นต์ต่ออีก ๒-๓ เดือน หรือให้กิ่งตอนได้แตกใบอ่อนในถุงดำอย่างน้อย ๒-๓ ชุด จนแน่ใจว่าต้นกล้ามีระบบรากเลี้ยงตัวเองได้แล้วจึงนำไปปลูกในแปลงจริง…”
ที่มา: วารสารเกษตรใหม่ ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๔๒ เดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๔๗

.

(หมายเหตุ: ‘กะปิ’ เป็นสารเร่งรากชนิดหนึ่งครับ เป็นภูมิปัญญาไทยที่เกิดจากการสังเกตและทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเห็นผล ไอ้พวกฮอร์โมนเร่งรากราคาแพงที่ฝรั่งมันทำมาขายแหกตาคนไทยน่ะ ลองชิมดูเถอะครับ…เค็มคาวเหมือนกะปิทั้งนั้น)
อีกวิธีคือ “การชำราก” เหมาะกับผักหวานป่าที่มีอายุเกินกว่า ๑๐ ปีขึ้นไป ไม้ใหญ่วัยฉกรรจ์ขนาดนั้นจะมีระบบรากแผ่ทางข้างไปตามผิวดินเป็นทางยาว ให้เริ่มที่เปิดหน้าดินแล้วตัดรากส่วนที่เป็นรากประธานเป็นท่อนๆ ยาวประมาณ ๓-๕ นิ้ว นำไปเพาะในถุงดำโดยวางท่อนรากราบไปกับพื้นลึกพอมิด บำรุงรักษาตามปกติ ประมาณ ๑-๒ เดือน ตอรากจะแทงรากใหม่ จากนั้นจึงจะแทงยอดขึ้นมาเป็นต้นกล้า หรือเมื่อตัดรากเป็นท่อนแล้ว ให้ทาแผลด้วยปูนกินหมากเมื่อปูนแห้งจึงกลบดินกลับเหมือนเดิม บำรุงรักษาตามปกติ รดน้ำสม่ำเสมอ ประมาณ ๑-๒ เดือนก็จะมีหน่อผักหวานแทงขึ้นมา เมื่อหน่อโตก็ให้ขุดย้ายมาชำในถุงดำต่ออีก ๓-๔ เดือน จึงนำลงปลูก วิธีนี้เรียกอีกอย่างว่า“การแยกหน่อ”
.
.

.
.

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-11 19:26

มีเกษตรกรบางคนใช้วิธีเปิดหน้าดินให้เห็นราก จากนั้น “ทุบราก” ให้แตกแล้วกลบดินอย่างเดิม คลุมทับด้วยเศษใบไม้ใบหญ้า รดน้ำตามสมควร หน่อผักหวานก็สามารถแทงขึ้นมาจากรากที่ถูกทุบได้ น่าจะคล้ายกันกับภาพข้างบน เป็นผักหวานป่าในสวนผมเองครับ ไม่แน่ใจว่าโดนหินบาดรากหรือคมมีดตัดหญ้าก็ไม่ทราบได้ วันดีคืนดี หน่อผักหวานก็แทงขึ้นมาให้ตาเห็น พิสูจน์ข้อมูลข้างต้นได้หมดจดสิ้นสงสัย
กับบ้านสวนเอง ที่นี่เราขยายพันธุ์ผักหวานป่าด้วยเมล็ดครับ (อาศัยขอปันจากสวนโน้นบ้าง ขอซื้อจากสวนนี้บ้าง) ความที่อายุต้นยังน้อย ไม่เหมาะที่จะ ขูด ควั่น หั่น สับ เพื่อขยายพันธุ์ได้อย่างไม้ใหญ่ ผมจึงไม่สามารถหาภาพการตอนกิ่งหรือการชำรากมาให้ดูได้ เพราะยังไม่ได้ลองทำกับผักหวานป่าในสวนตัวเอง แต่ถึงแม้วิธีการเพาะเมล็ดจะมีท่วงทีลีลาเบสิกไม่พลิกแพลง แต่เปอร์เซ็นต์ ‘ติด’ ก็สูงเอาการ
สำหรับขั้นตอนการเพาะโดยละเอียดสามารถศึกษาได้จากเอกสาร ผักหวานป่านะครับ คงไม่ต้องนำมาลงซ้ำในบล็อกนี้อีก
.
เหมือนเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนอย่างไรชอบกล ถือซะว่าได้ย้อนอดีตไปในวัยเด็ก วันที่ถอดรองเท้าเดินย่ำลุยแปลงเกษตรสมัยประถม จำได้ว่าที่โรงเรียนผม ไม้พรวนดินเป็นงานแรกที่ครูสั่งให้ทำ เหลาไม้ไผ่ให้เป็นช้อนปากยาว ๆ มีด้ามจับ ของใครของมัน ใช้แล้วเก็บไว้ที่โรงเรือน ไม่ต้องเอากลับบ้าน (คงกลัวเอาไปตีกบาลกัน)
ต่อมาก็เรียนวิธีขึ้นแปลงปลูก สูงเท่านั้น กว้างเท่านี้ ต้องเป๊ะ ลองทำแล้วจำให้ดีเพราะมีสอบ พอได้แปลงแล้วก็เริ่มปลูก ทั้งผักกินหัว-กินใบ ยืนพื้นก็พวก ผักกาด คะน้า แครอท โตขึ้นมาหน่อยก็เรียนเรื่องขยายพันธุ์ ปักชำ ตอนกิ่ง ไปตามเรื่อง ในตอนนั้นอะไร ๆ ก็ไม่เข้าหัวเข้าหูหรอกครับ รู้แต่ว่าเรียนสนุกอย่างเดียว
‘เกษตร’ จึงเป็นวิชาที่ผมชอบมากวิชาหนึ่งในวัยและวันเวลานั้น ความที่ได้ออกมาข้างนอก ไม่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้องเรียน วิชาเกษตรมักจะอยู่ในคาบเช้า เป็นวิชาแรก ๆ ของวัน อากาศจึงเย็นสบาย เด็ก ๆ ก็ยังสด ยังไม่ถูกทุบให้น่วมจากเลขคณิต วิทยาศาสตร์ หรือภาษาไทย อีกหนึ่งความน่ารักของวิชาเกษตรก็คือ เป็นวิชาที่ ‘ตก’ ยาก ถ้าข้อเขียนไม่ผ่าน ไม่ไหวจริง ๆ ครูก็ไล่ไปถอนหญ้า ปลูกผัก รดน้ำ ล้างพลั่ว ล้างจอบ หาคะแนนพิเศษมาเข็นให้จนผ่าน
แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ได้รับจากวิชานี้มีอยู่สองอย่างที่จำได้ไม่มีลืม หนึ่ง-ซึ่งใครที่เคยผ่านจะรู้สึกได้ถึงความแสบสันต์ นั่นคือ ตุ่มแก้วใสบนฝ่ามือทั้งสองข้างที่แตกเป็นแผลแสบไส้ เรียกมันว่าความเจ็บปวด สอง-วิชานี้สอนให้แรกรู้สึกถึงความหวานกรอบของผักที่ปลูกและรอยยิ้มแย้มยินดีของพ่อกับแม่ในวันที่เราเอากิ่งที่ตอนเองกับมือไปปลูกที่บ้าน เรียกมันว่าความภาคภูมิใจ
.
เกษตรในวันนี้ที่ทำให้ชีวิตอยู่สุข ก็คงมาจากวิชาเกษตรในวันนั้นที่สนุกสนาน เรียกมันว่าเป็น ‘แรกกล้าของชีวิต’ ก็คงจะไม่ผิดนัก

บทความดีๆจาก : บ้านสวนบล็อก

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-11 19:27
มะนาวเป็นพืชที่ได้รับความนิยม และเป็นพืชที่ตลาดมีความต้องการสูง เนื่องจากชาวไทยนิยมบริโภคมะนาว มายาวนาน จนกระทั่งปัจจุบัน มะนาว ยังมีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยกลิ่นและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ จึงทำให้มะนาวใช้ประกอบทั้งอาหารคาวหวาน หรือแม้แต่น้ำมะนาว ดื่มแก้กระหายคลายร้อน นอกจากประเทศไทยแล้ว ตลาดต่างประเทศก็ต้องการมะนาวอยู่มากเช่นกัน แต่ด้วยข้อจำกัดทางการผลิตทำให้มะนาว ขาดตลาดในบางช่วง ทำให้ผลผลิตราคาสูงแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด หากเกษตรกรท่านไหนอยากจะทดลองปลูกมะนาว เพื่อบังคับออกนอกฤดู ลองทำตามวิธีของ พันโทจรัญ หนูเนียม เกษตรกรผู้ปลูกมะนาวในวงท่อซิเมนต์ โดยใช้พื้นที่ ที่ใช้ในการปลูกมะนาวมีประมาณ 20 ไร่ สร้างรายได้อย่างงดงาม


ลักษณะพื้นที่ที่เหมาะต่อการปลูกมะนาว ในวงบ่อซ๊เมนต์ :

ปลูกในวงบ่อซีเมนต์ เพราะสามารถบังคับให้ผลผลิตออกนอกฤดูกาลได้ เนื่องจากสามารถให้ปุ๋ยและน้ำได้ในปริมาณจำกัด

1. การเตรียมวงบ่อซีเมนต์

ใช้บ่อซีเมนต์ขนาด 80-100 ซม. สูง 50 ซม. วางบนฝาบ่อขนาดเดียวกัน (ราคาบ่อและฝาชุดละ 300 บาท) โดยไม่ต้องเชื่อมติดเพื่อการระบายน้ำ ไม่ควรให้มีช่องว่างที่ใหญ่เกิน เพราะอาจทำให้ดินไหลออกมาเพื่อรดน้ำนาน ๆ ควรวางวงบ่อบริเวณที่แสงแดดส่องได้ทั่วถึง (พื้นที่ 1 ไร่ปลูกมะนาวได้ 120-130 บ่อ)

2.การเตรียมดินปลูก

ควรเลือกหน้าดินที่มีอินทรียวัตถุเพียงพอ ผสมปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกในอัตราส่วน 2:1 หรือส่วนผสมของดินร่วน : ปุ๋ยหมัก 3:2 หรือดินร่วน : ปุ๋ยคอก 3:1 และอาจปรับสภาพดินด้วยปูนโดโลไมท์ ปริมาณพอสมควร คลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่ดินที่ผสมแล้วลงในวงบ่อให้เต็มแล้วพูนดินเป็นรูปหลังเต่า

3.การเลือกกิ่งพันธุ์

- ครั้งแรกที่ปลูก ได้นำกิ่งมาจากต่างจังหวัด ครั้งต่อไปมีการเพาะชำกิ่งเอง

- ควรเลือกกิ่งพันธุ์ที่มีการเจริญเติบโตเต็มที่

- เลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ทนโรคเพื่อป้องกันโรคแคงเกอร์


4.ขั้นตอนการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์

ขุดหลุมเล็กกลางวงบ่อ ปลูกกิ่งพันธุ์มะนาวโดยแผ่รากมะนาวไม่ให้ขดเป็นก้อน กลบดินที่โคน ปักไม้ผูกกับต้นมะนาว เพื่อป้องกันการโยกของต้น ให้ใช้เศษหญ้าคลุมหน้าดิน แล้วรดน้ำให้ชุ่ม

5.การให้น้ำ

สัปดาห์แรกรดน้ำทุกวัน ๆ ละ 1-2 ครั้งให้ดินชุ่ม ต่อไปจึงรดน้ำวันเว้นวันและรดน้ำเมื่อดินแห้ง ถ้าดินไม่มีความชื้นรดน้ำทันที การปลูกมะนาวแบบนี้จะขาดน้ำไม่ได้

6.การตัดแต่งกิ่ง

- ตัดแต่งกิ่งหลังเก็บลูกโดยตัดแต่งกิ่งผุ กิ่งไขว้กัน กิ่งอยู่ชิดดินให้เหลือเฉพาะกิ่งหลัก

- ตัดแต่งกิ่งให้โปร่ง และให้แสงแดดส่องได้ทั่วถึง

7.การค้ำกิ่ง

มะนาวที่ปลูกในวงบ่อซีเมนต์ มีรากอยู่ในพื้นที่จำกัด เมื่อติดลูกมากอาจทำให้ต้นล้มหรือกิ่งหัก จึงควรค้ำกิ่งแบบคอกสี่เหลี่ยมหรือใช้ไม้ง่าม

8.การเก็บลูก

มะนาวปลูกในวงบ่อซีเมนต์ จะเริ่มติดลูกเมื่อปลูกได้ประมาณ 8 เดือน ให้เก็บลูกทิ้งบ้าง เพื่อให้ต้นเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ ปีต่อมาจึงค่อยให้มีลูกมาก เมื่อลูกมะนาวแก่จัดไม่ควรทิ้งไว้นาน ควรเก็บลูกทันที เพราะอาจทำให้ต้นทรุดได้ง่าย

++ การบังคับให้มะนาวออกลูกนอกฤดู ++

ควรบังคับมะนาวที่ต้นมีความสมบูรณ์ โดยปลิดผลที่ออกตามฤดูให้หมด ให้ต้นมะนาวอดน้ำในเดือน กันยายน – ตุลาคม โดยใช้ผ้าพลาสติกคลุมรอบวงบ่อ ไม่ให้ต้นมะนาวได้รับ 10-15 วัน เมื่อใบมะนาวเหี่ยวหรือร่วงบ้าง จึงเอาผ้าพลาสติกออกและให้น้ำตามปกติ พร้อมให้ปุ๋ยเคมีสูตร 12-24-12 หรือ 8-24-24 ต้นละ 1-2 ช้อนแกง หลังจากนั้น 10-15 วัน ต้นมะนาวจะออกดอก บำรุงดูแลมะนาวตามปกติอีก 4-5 เดือน จึงเก็บผลมะนาวได้

ที่มา :
ศูนย์ทางด่วนข้อมูลการเกษตร *1677
สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.นครศรีธรรมราช

แหล่งอ้างอิง :
พันโท จรัญ หนูเนียม ม.7 ต.ท่าดี อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช




โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-11 19:30
[youtube]Um4KL2LZ4zI[/youtube]

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-11 19:31
[youtube]EXcS2FCybHI[/youtube]

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-15 17:56
ข้อผิดพลาดในการทำลูกชิ้นทั่วไป

1. เนื้อสีซีด เนื้อนิ่ม ไม่สด
ผลที่ได้ : ลูกชิ้นจะมีเนื้อนิ่ม ไม่แน่น อัตราการดูดน้ำต่ำ

2. ระหว่างการบดเนื้อ มีน้ำซึมออกมาจากเนื้อมาก
ผลที่ได้ : ลูกชิ้นจะมีเนื้อนิ่ม ไม่แน่น เนื้อยุ่ย ไม่เหนียว ไม่กรอบ
วิธีแก้ไข : แช่แข็งเนื้อก่อนนำมาบด

3. ส่วนผสมเละเนื่องจากปริมาณน้ำแข็งมากเกินไป
ผลที่ได้ : ลูกชิ้นจะมีเนื้อข้างในนิ่มเนื่องจากดูดซับน้ำเอาไว้มาก
วิธีแก้ไข : เพิ่มปริมาณเนื้อหรือแป้ง

4. อุณหภูมิส่วนผสมขณะนวดหรือสับสูง
ผลที่ได้ : ส่วนผสมเละ ไม่เหนียว มีสีคล้ำลง
วิธีแก้ไข : แช่แข็งเนื้อก่อนนำมาบดแล้วนำไปนวดหรือสับเพื่อลดอุณหภูมิส่วนผสม

5. นวดหรือสับส่วนผสมเสร็จแล้ววางทิ้งไว้ ไม่ขึ้นรูปทันที
ผลที่ได้ : ส่วนผสมจะคลายตัว ความเหนียวและความเนียนซึ่งเกิดจากการเป็นอีมัลชั่น (การจับตัวของน้ำกับไขมัน) จะลดลง

6. อุณหภูมิในถาดต้ม (ไม่ใช่หม้อต้ม) ต่ำกว่า 40 องศาเซลเซียสนานเกินไป (อุณหภูมิในถาดต้มที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 50 องศาเซลเซียส)
ผลที่ได้ : ลูกชิ้นจะไม่กรอบ เนื้อเละ เสียรูปทรงเนื่องจากลูกชิ้นจะปริแตก

7. ต้มลูกชิ้นในหม้อต้มที่อุณหภูมิสูง (ประมาณ 80-90 องศาเซลเซียส) นานเกินไป
ผลที่ได้ : ลูกชิ้นจะมีเนื้อนิ่ม ชุ่มน้ำเกินไป ผิวหน้าจะแตกขรุขระ ถ้านานมากจะเสียรูปทรง เนื้อจะแตกออกจากกัน

8. แช่น้ำเย็นนานเกินไป
ผลที่ได้ : ลูกชิ้นจะไม่กรอบ เนื้อแน่นแต่นิ่มเพราะดูดน้ำเข้าไปมาก

9. แช่น้ำเย็นน้อยไป หรือ ไม่ได้แช่น้ำเย็น
ผลที่ได้ : ผิวหน้าลูกชิ้นจะกระด้าง เกิดสีคล้ำได้ง่าย ผิวไม่เรียบเนียน

10. ปริมาณสารประกอบฟอสเฟต (เรียกกันโดยทั่วไปว่า "แป้งเหนียว") มากเกินไป
ผลที่ได้ : ลูกชิ้นจะมีรสฝาดลิ้น เฝื่อนคอ
โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-18 20:58
สถานที่สยองขวัญของไทย อันดับ 1 ซอยรามคำแหง 32



ลึกเข้าไปในซอยรามคำแหง 32 ท่านจะพบบ้านทรงสเปนหลังหนึ่งรูปทรงสวยสง่าน่าอยู่ แต่บ้านนี้ไม่มีใครอยู่อาศัยนานกว่า 20 ปีแล้ว ปล่อยให้ทิ้งร้างเก่าทรุดโทรมอย่างน่าใจหาย ประวัติของบ้านมีว่าเจ้าของบ้านเป็นชาวต่างชาติ วันหนึ่งเจ้าของบ้านขับรถออกไปทำงานตามปกติ ที่บ้านมีสาวใช้อยู่เพียงคนเดียว คนร้ายไม่ทราบจำนวน ซึ่งคงมาแอบสังเกตการณ์นานพอสมควรได้ฉวยโอกาสเข้าปล้น และฆ่าสาวใช้ตายคาที่ นับตั้งแต่นั้นมักจะได้ยินเสียงผู้หญิง ร้องให้ช่วยดังโหยหวนน่าสยดสยอง และยังเห็นผู้หญิง (เข้าใจว่าเป็นสาวใช้ที่ถูกฆ่าตาย ) เดินวนเวียนวูบวาบอยู่ในบ้าน เจ้าของบ้านทนอยู่ไม่ไหวต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น เล่ากันว่าหลังจากนั้น มีคนได้ยินเสียงผู้หญิงร้องให้ช่วย ดังมาจากบ้านร้างบ่อยๆ และมีคนเห็นผู้หญิงลึกลับยืนอยู่หน้าบ้านเป็นประจำเมื่อเข้าไปใกล้ก็หายไป

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-24 20:27
"ตำหนักมังกรขาว" หรือ White Dragon King กลับมาโด่งดังอีกครั้ง เมื่อมีข่าวว่า “อาเจียว” หรือ เจิ้นเซอะสือ หรือจิลเลี่ยน ชุง ดารานักร้องสาวแห่งวง “ทวินส์” จากฮ่องกงบินมาหาเพื่อพึ่งใบบุญเพื่อดับทุกข์ทางใจของตัวเอง พร้อมกับเจ้านายของตัวเอง นายอัลเบิร์ต เหยียง แห่ง Emperor Entertianment Group หลังจากเกิดกรณีภาพฉาวกับ “เฉินกว้านซี” อดีตแฟนหนุ่มถูกเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตไปทั่วโลก

       “อาเจียว” พร้อมคณะเดินทางมาเพื่อมาหาหลวงปู่มังกรขาวซึ่งลงประทับทรงในร่างของ “อาจารย์กิมน้ำ” หรือนายกิมน้ำ แซ่จิว เมื่อวันที่ 9 มีนาคมที่ผ่านมา ทำหลายคนอยากรู้จักเรื่องราวของ “ตำหนักมังกรขาว” ให้มากยิ่งขึ้น

       ตำหนักมังกรขาวและหลวงปู่มังกรขาวนั้น ตั้งอยู่ที่ ต.สุรศักดิ์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งถ้ามาจากกรุงเทพฯ ถึงเขตตัวอำเภอศรีราชา เลยห้างโรบินสันไปหน่อยตรงไฟแดงเลี้ยวเข้าสถาบันการศึกษานามกระเดื่อง “อัสสัมชัญศรีราชา” วิ่งรถไปตามถนนสายนั้นข้ามทางรถไฟไปสักพักให้มองทางซ้ายมือจะมีป้ายบอกทางเข้าตำหนักมังกรขาว สถานที่สงบในแมกไม้ร่มรื่น ทุกเสาร์-อาทิตย์ จะมีสานุศิษย์จำนวนมากมารอการลงประทับทรงของหลวงปู่มังกรขาว ตามบัตรคิว

       ตามตำนาน หลวงปู่มังกรขาว ลงมาประทับทรงเพื่อโปรดมนุษย์มาตั้งแต่ปี 2519 ที่หนองมน และย้ายมาอยู่ที่ใหม่ที่บ้านพักของอาจารย์กิมน้ำ แซ่จิว เมื่อเดือนธันวาคมปี 2527 และต่อมาปี 2530 อาจารย์กิมน้ำซื้อที่ดิน 35 ไร่บริเวณที่ติดบ้านพัก ในราคา 1.5 ล้านบาท เพื่อสร้างตำหนักโดยใช้เงินก่อสร้างประมาณ 10 ล้านบาท เสร็ขเมื่อปี 2531 เปิดฉลองตำหนักเมื่อวันที่18 มิถุนายน ปีเดียวกัน

       ลูกศิษย์คนแรกๆ หลวงปู่มังกรขาวนั้น เป็นที่รู้จักกันดีในเมืองไทยและฮ่องกง คือนายหว่อง ชองชาน หรือ นายคีรี กาญจนพาสน์ นักธุรกิจระหว่างชาติ ไปจนถึงดารานักร้อง คนในวงการบันเทิงฮ่องกงไม่ว่าจะเป็น อลัน ทัม และเหล่าดาราจาก ATV อาทิ หลิว เต๋อ หัว, เหมียว เฉียว เหว่ย, เจิงหัวเจียน, หรือกระทั่ง หงจินเป่า ทุกคนต่างพากันมาหาหลวงปู่มังกรขาวเมื่อมีปัญหาและเพื่อความเป็นศิริมงคลของชีวิต สำหรับ อลัน ทัมแล้ว ถือว่าเป็นศิษย์คนโปรดอีกคนหนึ่งในช่วงปี 2531 ถึง 2534 เพราะเขาเป็นเพื่อนกับ คีรี กาญจนพาสน์

       ตามเรื่องเล่าต่อๆ กันมานั้น ครั้งแรกที่หลวงปู่ฯ ปรากฏสังขารให้สานุศิษย์ได้เห็น ท่านบอกชื่อของท่านเป็นภาษาจีนว่า “แป๊ะ เล้ง ฮ้วง” แปลว่ามังกรขาว และต่อมามีการวาดภาพออกมา โดยช่างวาดภาพตามศาลเจ้าจุดธูปบอกท่าน จึงวาดได้ ผู้วาดคือ นายเอี๋ยว ไม่ทราบนามสกุล และต่อมาก็มีการปั้นรูปของท่าน โดยขณะปั้นรูปเป็นแบบนั้น หลวงปู่มังกรขาวได้มาบัญชาการปั้นเอง จนคนปั้นพูดว่า “อาปู่เฮี้ยน”

       “ข้าจะเฉลยประวัติของข้าสักเล็กน้อย ชะตาของข้ากำหนดให้ข้าลงมาโปรดมนุษย์นี่ก็มีสัญญาอยู่เบื้องบน ร่างของข้าลงมาเกิดมีสัญญากันไว้ อยู่เบื้องบนมีบันทึกต่างๆเอาไว้ว่า ลงมาโปรดมนุษย์นี่ต้องเป็นตัวแทนพญามังกรขาว ชาติกำเนิดมีอะไรต่างๆอยู่ในตัว แต่ห้ามเปิดเผยอะไรต่างๆไม่ให้ผู้คนได้รู้ ...”

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-24 20:28


       แล้ว..อาจารย์กิมน้ำ แซ่จิวเป็นใคร!?

       อาจารย์กิมน้ำ เป็นชาวกรุงเทพฯ ไปอยู่กับมารดาที่อำเภอพาน จ.เชียงราย พออายุ 13 ปี ได้เดินทางเข้ากรุงเทพ จนวัยหนุ่มก็มาอยู่ที่หนองมน อ.เมืองชลบุรี เปิดร้านขายจักรยานยนต์ สมรสกับคุณศรีรัตน์ ชิตวิเศษ

       อาจารย์กิมน้ำ ผ่านอุปสรรค ผ่านมารผจญมามากมาย ระหว่างเป็นร่างทรงของหลวงปู่มังกรขาว จากปี 2519 เป็นต้นมา

       หากนับจากเริ่มที่ศรีราชา หลวงปู่มังกรขาวเทศนาและโปรดประทับทรงเพื่อช่วยผู้คน ก็ตกราว 20 ปีเข้ามาแล้ว (เปิดตำหนักมังกรขาว18 มิถุนายนปี 2531)

       ปี 2534 ทีมข่าว“ผู้จัดการ”ศูนย์ข่าวภาคตะวันออก และ “ผู้จัดการปริทรรศน์” เคยเข้าไปสัมภาษณ์ อาจารย์กิมน้ำ ซึ่งก็ไม่เต็มใจยอมให้สัมภาษณ์เท่าใดนัก ได้แต่สนทนากันบางเรื่องบางราว เพราะช่วงนั้นอยู่ระหว่างการยึดอำนาจของ รสช. แต่ก็ถือว่าอาจารย์กิมน้ำปรากฏเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ครั้งแรกก็ว่าได้ (ในเซ็กชั่น “ผู้จัดการปริทรรศน์” หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22-28 กรกฎาคมปี2534) นั่นก็นานมาถึง 17 ปีแล้ว

       อาจารย์กิมน้ำ มีแต่ช่วยเหลือผู้คน ตามคำบัญชาของหลวงปู่มังกรขาว เมื่อประทับทรง การช่วยเหลือสังคมมีมากจนนับแทบไม่หวาดไม่ไหว เมื่อปี 2534 อาจารย์บอกไว้ว่า...เกือบจะท้อแท้ กว่าจะผ่านมารไปได้ บางครั้งก็เบื่อหน่ายและเหนื่อยมาก ทั้งร่างกายและสุขภาพจิต ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบด้าน เกือบจะหมดความอดทน หลวงปู่ฯ ได้รับสั่งกับอาจารย์ว่า ในป่าไม้หาง่ายแต่จะหาไม้ตรงหายาก และอีกประโยคหนึ่งว่า จะข้ามทะเลมัวแต่เมาคลื่นจะผ่านได้หรือ..


โดย: oustayutt    เวลา: 2013-8-24 20:31
ความท้อแท้ก็หมดไปจากจิตใจ มีแต่ความเข้มแข็ง อดทน อดกลั้น ยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา จึงผ่านกระแสพายุมารต่างๆ และสร้างตำหนักหลวงปู่มังกรขาวให้สาธุชนผู้ใจบุญและสานุศิษย์ได้กราบไหว้ ขอบารมีแสงสว่าง ขอพรกันจนถึงทุกวันนี้..

       ปัจจุบัน สานุศิษย์ของหลวงปู่มังกรขาวและอาจารย์กิมน้ำมีอยู่มาก มีทั้งนักการเมือง ส.ส. ส.ว. นักธุรกิจ ชาวจีนจากไต้หวัน ฮ่องกง ดารานักร้อง ผู้อำนวยการสร้าง และอื่นๆ

       อาจารย์กิมน้ำยังมีไฟแช็กที่ระลึกของ พล.อ.อ.เกษตร โรจนนิล และ พล.อ.อ.อนันต์ กลินทะ ขณะโด่งดังในกองทัพอากาศและมีอำนาจใน รสช. เป็นไฟแช็ก ดูปองค์ ราคาแพง เป็นที่ระลึกเพราะอาจารย์สูบบุหรี่ ตอนปี 2534 นั้น

       เรื่องราวของอาจารย์กิมน้ำ พร้อมหลวงปู่มังกรขาวผู้ลงมาประทับทรงเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ยังมีอีกมาก โดยเฉพาะเรื่องราวของคนที่มาหาทั้งคนไทยและต่างประเทศซึ่งมักประสบความสำเร็จกลับไป

       มีคำเทศนาบทหนึ่งน่าสนใจ เขียนติดไว้ในตำหนักหลวงปู่มังกรขาวว่า..

       มัวแต่รุ่มร้อน ใครจะชื่นชอบ
       อารมณ์ไม่ดี สำเร็จไม่ได้
       อารมณ์ไปเถิด คนไม่เข้าใกล้
       เสียงดังไปเถิด ลูกมือไม่มี
       ไม่มีเหตุผล หามิตรไม่มี
       ไม่อดทนไว้ เมื่อไรเจริญ
       จะให้ถูกใจ ต้องทำคนเดียว
       คิดให้ซึ้งซึ้ง จะรู้สึกเอง
       สาธุ สาธุ สาธุ.


       ปริศนาของ“อาเจียว” กำลังจะถูกไขในเร็ววันว่า หลวงปู่เทศนาและบอกอะไรกับเธอไปบ้าง เธอจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร เช่นเดียวกับ บรรดาดารานักร้องนักแสดงฮ่องกงที่เคยมาหาหลวงปู่ฯ ซึ่งทุกคนผ่านอุปสรรคชีวิตไปด้วยดี

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-9-1 20:17
เรื่องอุบาสก 5 คน
                                          ในสมัยพุทธกาล อุบาสกทั้ง ๕ คน ปรารถนาอยากจะฟังธรรม จึงไปสู่เชตวันมหาวิหาร ถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนั่งฟังธรรม ณ ที่ควรแห่งหนึ่ง  บรรดาอุบาสกเหล่านั้น ขณะที่นั่งฟังธรรมจากพระศาสดาอยู่ อุบาสกคนหนึ่งนั่งหลับ  คนหนึ่งนั่งเขียนแผ่นดินด้วยนิ้วมือ คนหนึ่งนั่งเขย่าต้นไม้  คนหนึ่งนั่งแหงนหน้ามองดูอากาศ ส่วนอีกคนหนึ่งฟังธรรมโดยเคารพ
                      พระอานนทเถระผู้ถวายงานพัดพระศาสดาอยู่ เห็นอาการของอุบาสกเหล่านั้น  กราบทูลพระศาสดาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงบันลือลั่นดุจมหาเมฆคำรน ทรงแสดงธรรมแก่อุบาสกเหล่านี้ แต่อุบาสกเหล่านั้น เมื่อพระองค์ตรัสธรรมอยู่กลับนั่งทำอาการอย่างนี้"
                                  พระศาสดาตรัสตอบว่า. "อานนท์ เธอไม่รู้จักอุบาสกเหล่านั้นหรือ?"
                      "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่รู้จัก พระเจ้าข้า."
                      "ก็บรรดาอุบาสกเหล่านั่น อุบาสกผู้นั่งหลับแล้วนั่นเกิดในกำเนิดแห่งงูตลอด ๕00 ชาติ พาดศีรษะไว้บนขนดทั้งหลายแล้วหลับ แม้ในกาลนี้ความอิ่มในการหลับของเขาย่อมไม่มี เสียงของเราย่อมไม่เข้าไปสู่หูของเขา
                                  ฝ่ายบุรุษผู้นั่งเขียนแผ่นดินด้วยนิ้วมือ เกิดในกำเนิดไส้เดือนตลอด ๕00 ชาติโดยลำดับ ขุดแผ่นดินแล้ว แม้กาลนี้ก็เขียนแผ่นดินอยู่ ด้วยอำนาจความประพฤติที่ตนได้เคยประพฤติแล้ว ย่อมไม่ฟังเสียงของเรา

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-9-1 20:17
ฝ่ายบุรุษผู้นั่งเขย่าต้นไม้อยู่นั่น เกิดแล้วในกำเนิดลิงตลอด ๕00 ชาติโดยลำดับ แม้กาลนี้ก็เขย่าต้นไม้อยู่ ด้วยสามารถแห่งความประพฤติที่ตนได้เคยประพฤติมาแล้วในกาลก่อน เสียงของเราย่อมไม่เข้าหูของเขา
                                  แม้พราหมณ์ผู้นั่งแหงนหน้ามองอากาศอยู่นั่น ก็เกิดเป็นพราหมณ์ผู้บอกฤกษ์ตลอด ๕00 ชาติโดยลำดับ ในกาลนี้ แม้ในวันนี้ก็ยังแหงนหน้าดูอากาศอยู่ ด้วยสามารถแห่งความประพฤติที่ตนได้เคยประพฤติมาแล้วในกาลก่อน เสียงของเราย่อมไม่เข้าหูของเขา
                      ส่วนพราหมณ์ผู้ฟังธรรมโดยความเคารพนั่น เกิดเป็นพราหมณ์ผู้ท่องมนต์ตลอด ๕00 ชาติโดยลำดับ แม้กาลนี้ ก็ย่อมฟังธรรมโดยเคารพ เป็นดังเทียบเคียงมนต์อยู่"
                       ภายหลังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงพระธรรมเทศนาจบแล้ว อุบาสกผู้ฟังธรรมโดยเคารพนั้น ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล

                        จากหนังสือคุยกันวันพุธ "ฉบับรวมเล่ม" โดยคณะสหายธรรม

โดย: Metha    เวลา: 2013-9-2 07:11

ยาวไปยาวไป
โดย: รามเทพ    เวลา: 2013-9-2 07:33
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-9-2 07:11
ยาวไปยาวไป


สั้นๆ ครับ ..


        มัวแต่รุ่มร้อน ใครจะชื่นชอบ
       อารมณ์ไม่ดี สำเร็จไม่ได้
       อารมณ์ไปเถิด คนไม่เข้าใกล้
       เสียงดังไปเถิด ลูกมือไม่มี
       ไม่มีเหตุผล หามิตรไม่มี
       ไม่อดทนไว้ เมื่อไรเจริญ
       จะให้ถูกใจ ต้องทำคนเดียว
       คิดให้ซึ้งซึ้ง จะรู้สึกเอง
       สาธุ สาธุ สาธุ.



โดย: Metha    เวลา: 2013-9-2 07:53
รามเทพ ตอบกลับเมื่อ 2013-9-2 07:33
สั้นๆ ครับ ..


ขอบพระคุณครับ
โดย: oustayutt    เวลา: 2014-2-8 13:08
[attach]6420[/attach]มีของส่งถึงอาจารย์ครับ



โดย: Sornpraram    เวลา: 2015-8-16 06:24

โดย: oustayutt    เวลา: 2015-8-18 20:40
[attach]11876[/attach][attach]11877[/attach]

โดย: Sornpraram    เวลา: 2015-8-19 06:35

โดย: Sornpraram    เวลา: 2016-5-29 08:07

โดย: oustayutt    เวลา: 2016-8-26 22:12
ขอเล่าเรื่องการฝึกจิต ของผมนะครับ ^^ ผมเองมีหลายๆครั้้งที่ไม่ได้นั่งเจริญสมาธิวิปัสนาในห้องพระ ผมก็จะใช้วิธี
กำหนด พุทโธ ก่อนนอนและตื่นนอน แทน และในระหว่าวันก็ครั้งไหนระลึกได้ก็ พุทโธสัก4,5รอบ  ฟังธรรมระหว่างขับรถบ้าง(ก็ไม่ตลอดนะครับก็ฟังเพลงบ้าง) ธรรมของหลวงพ่อหลวงปู่ ที่ท่านเทศน์ 5 นาที10นาทีก็ได้ธรรมะเตือนสติเยอะเเล้วครับ
โดย: Sornpraram    เวลา: 2016-10-4 05:21





ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2