Baan Jompra
ชื่อกระทู้:
เบื้องหลังนครวัดในวัดพระแก้ว ร.๔
[สั่งพิมพ์]
โดย:
oustayutt
เวลา:
2016-5-18 16:23
ชื่อกระทู้:
เบื้องหลังนครวัดในวัดพระแก้ว ร.๔
ผู้ที่ไปชมวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว วัดเดียวที่ตั้งอยู่ในพระบรมมหาราชวัง และยังเป็นวัดที่มีชาวต่างประเทศเข้ามากกว่าคนไทย เพื่อชมความงามอันวิจิตรตระการตาของศิลปะไทย แต่ทั้งไทยและเทศต่างแปลกใจที่เห็นปราสาทนครวัดจำลองขนาดใหญ่ ตั้งเด่นตระหง่านอยู่ในพระอารามแห่งนี้ด้วย และตั้งคำถามกันว่า นครวัดมีความเกี่ยวพันอะไรกับวัดพระแก้ว
โดย:
oustayutt
เวลา:
2016-5-18 16:37
เรื่องนี้คงต้องย้อนไปถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้คนไทยได้เห็นความมหัศจรรย์ของปราสาทหินแบบขอม ซึ่งใช้หินล้วนๆเป็นวัสดุก่อสร้าง จึงมีพระราชดำริที่จะให้รื้อปราสาทหินที่มีอยู่เกลื่อนในเขตไทย ย้ายเข้ามาสร้างในกรุงเทพฯสักแห่งสองแห่ง จึงมีรับสั่งให้ พระสุพรรณพิศาล กับ ขุนชาติวิชา ออกไปสำรวจหาที่เมืองนครธม นครวัด และเมืองพุทไธสมัน ว่ามีปราสาทไหนพอจะย้ายได้บ้าง ซึ่งขณะนั้นดินแดนเหล่านี้ยังเป็นพระราชอาณาจักรสยาม
พระสุพรรณพิศาลกับขุนชาติวิชากลับมาทูลรายงานว่า ได้ไปสำรวจมาหลายตำบลแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นปราสาทใหญ่ๆ รื้อมาคงไม่ได้ แต่ที่เมืองเสียมราฐ มีปราสาทไผทตาพรหม อยู่ ๒ หลัง สูงแค่ ๖ วา เห็นว่าพอจะรื้อเข้ามาได้ จึงโปรดให้มีตราไปเกณฑ์คนเมืองพระตะบอง เมืองเสียมราฐ เมืองพนมศก เป็นแรงงานให้พระพิศาลไปรื้อปราสาทผไทตาพรหมเข้ามา โดยแบ่งกำลังคนออกเป็น ๔ ผลัดๆละ ๕๐๐ คน
ต่อมาเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (นอง) ได้ส่งพระยาอานุภาพไตรภพ เจ้าเมืองเสียมราฐ เข้ามากราบทูลว่า ได้เกณฑ์คนให้พระสุพรรณพิศาลตามรับสั่งแล้ว แต่พอตั้งพิธีพลีกรรมบวงสรวงและลงมือรื้อปราสาทเมื่อวันเสาร์ที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๐๓ ปรากฏว่ามีชาวเขมรประมาณ ๓๐๐ คนออกมาจากป่า เข้ายิงฟันพวกรื้อปราสาท ฆ่าพระสุพรรณพิศาลกับพระวังและลูกชายของพระสุวรรณพิศาลตาย รวม ๓ คน ทั้งยังไล่แทงฟันพระมหาดไทย พระยกกระบัตร และคนอื่นๆบาดเจ็บอีกหลายคน แต่พวกที่ถูกเกณฑ์แรงงานมาไม่ถูกทำร้าย จากนั้นก็หนีกลับเข้าป่าไป
ทรงทราบแล้วจึงรับสั่งให้พระยาอภัยภูเบศร์ และพระยาอานุภาพไตรภพ รื้อปราสาทคนละหลังเข้ามาให้จงได้ พร้อมทั้งสืบหาผู้ร้ายรายนี้ให้ได้ด้วย
เหล่าบรรดาเสนาบดีเมื่อทราบดังนั้นจึงเข้าชื่อกันทำเรื่องกราบบังคมทูลว่า ปราสาทหินที่เมืองเขมรนั้น กษัตริย์แต่โบราณได้สร้างไว้ มีอายุเป็นร้อยเป็นพันปีมาแล้ว เพื่อจะให้เป็นเกียรติยศติดแผ่นดิน หากไปรื้อเอามา คนสมัยนี้ก็ไม่มีปัญญาที่จะยกหินก้อนใหญ่ขนาดนั้นได้ หรือรื้อเอาเข้ามาแล้วทำขึ้นใหม่ไม่ได้ หรือมีเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้นอีกเหมือนครั้งนี้ ก็จะเป็นการเสียพระเกียรติยศ ขอพระราชทานให้รับสั่งงดเสียดีกว่า แต่สำหรับผู้ร้ายนั้นให้สืบสวนเอาตัวให้จงได้
เมื่อทรงพิจารณาตามคำกราบบังคมทูลของเหล่าเสนาบดีแล้ว จึงมีรับสั่งให้งดรื้อปราสาทผไทตาพรหม แต่ไม่เลิกล้มพระราชดำริที่จะให้คนกรุงเทพฯได้ดูปราสาทขอม โปรดเกล้าฯให้พระสามภพพ่ายไปลอกแบบปราสาทนครวัดมา วัดส่วนกว้างส่วนยาวส่วนสูงอย่างละเอียด ซึ่งใช้เวลาเกือบ ๔ เดือน พระสามภพพ่ายได้วัดส่วนต่างๆของปราสาทนครวัดมาทุกซอกทุกมุม รวมทั้งลวดลายต่างๆ อย่างจดไว้ตอนหนึ่งว่า
“...มียอดปรางค์ในระหว่างกลาง ๗ ศอก สูง ๑๕ วา มีประตูและบันไดขึ้นไปจากพื้นทั้ง ๔ ปราสาท มีประตูออกจากปราสาทเข้าไปปราสาทใหญ่ หลังคาพระระเบียงเอาศิลายาว ๒ ศอก หน้าใหญ่ ๑ ศอกเศษ หน้าน้อยกำมา ๑ ทับเหลื่อมกันขึ้นไปประจบเป็นอกไก่ พื้นหลังคาสลักเป็นลูกฟูก เอาศิลาแผ่นยาวๆทับหลังเหมือนอย่างทับหลังคา ไม่มีสิ่งไรรับข้างล่างก็อยู่ได้ทั้ง ๓ ชั้น ด้วยเป็นของหนัก ถัดพระระเบียงเข้าไปเป็นลานกว้าง ๑๐ วาถึงองค์ปรางค์ เขมรเรียกว่าปราสาท ฐานกว้าง ๑๑ วา สูง ๑๙ วา ๒ ศอก มีในร่วมข้างในที่หว่างมุม ๔ ด้าน กว้าง ๗ ศอกคืบ ตรงกลางนั้นก่อตัน หน้ากระดานสลักเป็นลายเขมร กลีบขนุน สลักเป็นครุฑ เป็นเทวดา ตั้งพระพุทธรูปไว้ในหว่างมุขทั้ง ๔ มุข มุขละองค์...”
จึงโปรดฯให้ช่างกระทำจำลองตามแบบที่ถ่ายเข้ามานั้น ขึ้นไว้ในวัดพระศรีรัตนศาสดารามจนทุกวันนี้
ปราสาทตาพรหม
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/)
Powered by Discuz! X3.2