Baan Jompra

ชื่อกระทู้: ปฐวีธาตุ [สั่งพิมพ์]

โดย: Sornpraram    เวลา: 2016-4-14 06:21
ชื่อกระทู้: ปฐวีธาตุ
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2016-4-14 06:23

ปฐวีธาตุ ของดีที่ต้องมีไว้บูชา






ปฐวีธาตุ เป็นธาตุกายสิทธิ์ที่มีพลังอิทธิฤิทธิ์ในตัวมันเองตามธรรมชาติ แบ่งออกเป็นตามธาตุต่างๆในธรรมชาติได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่รู้จักและเป็นข่าวกันอย่างหนาหูในช่วงนี้ได้แก่เหล็กไหลที่มีการเรียกตามถ้ำต่างๆนั้นก็คือธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งเช่นกัน ธาตุกายสิทธิ์นี้มีแบบให้คุณและให้โทษแก่ผู้ครอบครองนั้นๆล้วนแล้วแต่ว่าเป็นแบบไหน

ปฐวีธาตุ เป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งที่มาในลักษณะของหินที่อยู่ในแม่น้ำผ่านการเจียรไนจากธรรมชาติเป็นร้อยหรือพันปีมาแล้ว ปฐวีธาตุมีความใสมาก หากเอามือไปรองจะเห็นมือผ่านหิน เมื่อได้หินนี้มาแล้วต้องผ่านการอธิษฐานจิตจากผู้บรรลุธรรมชั้นสูงจากสายปฎิบัติกรรมฐานเท่านั้น สายอาคมเวทย์มนต์เสกปฐวีธาตุไม่ได้ ปัจจุบันหากจะหาปฐวีธาตุมาบูชาไม่ง่ายนักเพราะมีคนหลอกหากินบนความศรัทธาเอาหินกรวดธรรมดามาหลอกขายเป็นปฐวีธาตุ ดังนั้นจึงไม่เกิดผลอันใดแก่ผู้บูชาเสียเงินเสียทองไปเป็นจำนวนมาก

ข้อควรรู้เกี่ยวกับปฐวีธาตุ

- เป็นหินแม่น้ำที่ต้องอยู่ในแม่น้ำที่มีน้ำไหลเท่านั้น มีความโปร่งแสง ค่อนข้างใส
- เป็นธาตุกายสิทธิ์ที่เกิดจากธาตุลม
- ปลุกเสกจากพระปฎิบัติกรรมฐานเท่านั้น ไม่ใช่สายวิชาอาคมแต่อย่างใด เช่น หลวงปู่คำพันธ์ , หลวงพ่อประสิทธิ์ , เจ้าคุณนร

วิธีบูชาปฐวีธาตุ

ปฐวีธาตุเป็นของมีฤทธิ์ในตัว บางตำราว่าเป็นหินที่เกี่ยวพันกับพญานาคราช พญานาคได้เตรียมหินเหล่านี้แก่พระอภิญญาเพื่อสร้างเป็นปฐวีธาตุ พระเกจิจึงนำปฐวีธาตุมาสร้างเป็นพระเครื่องรุ่นต่างๆ เช่น หลวงปู่คำพันธ์ ดังนั้นจึงเป็นของมงคลให้ใส่น้ำหรือเอาแช่น้ำ ลอยด้วยดอกมะลิหรือดอกไม้หอมเป็นการบูชาไว้ในที่สูง หรือ ห้องพระเพื่อการกราบไหว้สักการะในแต่ละวัน ขอโชคขอลาภก็ดีทั้งนั้น

พุทธคุณของปฐวีธาตุ

ปฐวีธาตุเป็นธาตุกายสิทธิ์ซึ่งจะมีธาตุทั้ง 4 ทั้ง ดิน น้ำ ลม ไฟ อยู่ในก้อนเดียวโดยการประจุเสกเข้าไปโดยพระเกจิเมื่อนำปฐวีธาตุมาใช้ให้อธิษฐานจิตเอาตามสุดจะปรารถนา สามารถกันภัยที่เกิดจากภัยธรรมชาติก็ดี เกิดจากมนุษย์ก็ดี ทั้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต (หลวงปู่คำพันธ์บอกว่าสามารถกันกันมันตภาพรังสีได้ทุกชนิด โปรดใช้วิจารณาญานด้วยนะครับ) ปฐวีธาตุที่จะเป็นก้อนเดี่ยวๆเลี่ยมห้อยคอหรือเป็นเม็ดเล็กๆโรยในพระเครื่องก็มีอานุภาพเท่ากัน หากจะหาของแท้ๆมาบูชาต้องหาจากที่มาดีๆจริงๆเท่านั้นครับ

หากได้ปฐวีธาตุมาบูชาให้แนะนำเลี่ยมแบบเปิดหน้าและหลังให้ปฐวีธาตุให้โดนสัมผัสกับไอร่างกายของผู้ที่บูชาซึ่งจะทำให้เชื่อมจิตและสื่อจิตไปถึงปฐวีธาตุง่ายขึ้น

คาถาบูชาปฐวีธาตุจุดธูป 7 ดอก
"นะโม 3 จบ"
"หิตะรา มันทิโล กะสิรา กะละลาสติ โสจะถิโห คะเนคะเน 3 จบ"


http://mongkol88.blogspot.com/2015/08/pataveetath.html


โดย: Sornpraram    เวลา: 2016-4-14 06:21


ปฐวีธาตุ ที่สุดแห่งขลัง ของหลวงปู่คำพัน โฆษปัญโญ

โดย...รณธรรม ธาราพันธุ์




ตลอดชีวิตของคน “ทำ” พระเป็น ย่อมรู้แน่แก่ใจว่าเครื่องมงคลชิ้นใดที่ตนได้ “บรรจุคุณ” ไว้อย่างเต็มที่ที่สุด หรือทราบชัดว่า ของสิ่งใดที่ทรงไว้ซึ่ง “อานุภาพ” อย่างถึงที่สุด แล้วมักเก็บงำของนั้นไว้เป็นอย่างดี ไม่ใคร่ตกถึงมือใครง่ายๆ ดังเช่นของสิ่งอื่นทั่วไป เช่น หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ยากที่ใครจะได้ตะกรุดธาตุหก, หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ยากที่ใครจะได้พระพรหมผง และสำหรับหลวงปู่คำพัน




ใครจะเอาปฐวีธาตุก็ยากนัก คงเป็นเพราะท่านเหล่านั้นเกรงว่าผู้รับจะไม่รู้ถึงคุณค่าของของนั้น หรือไม่ก็กลัวผู้รับไปจะเปลี่ยนใจเป็นโจรในภายหลัง ซึ่งจะยากแก่การปราบปราม

                                                                        ผมก็เดาได้แค่นี้แหละ




ในศักดิ์สิทธิ์ฉบับก่อนโน้นที่เคยกล่าวถึงของป้องกันนิวเคลียร์ได้ มีหลายท่าน จ.ม. ไปถามผมว่ากันอย่างไรได้ระเบิดตกลงมาตรงหน้ายังกันได้หรือ? โถ ! ถ้าถึงขนาดนั้นอย่าว่าแต่คนแขวนเลย พระก็คงจะป่นนะครับ ที่ผมบอกว่าป้องกันได้นั้น หมายถึง กัน “กัมมันตภาพรังสี” ต่างหาก เป็นที่แน่ชัดว่าประเทศไทยไม่ถูกบอมบ์ด้วยนิวเคลียร์ดังเช่นที่ญี่ปุ่นเคยดอก แต่กัมมันตภาพรังสีที่ฟุ้งกระจายไปในชั้นบรรยากาศมันจะมากับอากาศที่หายใจกับเมฆ กับฝน และแม่น้ำ ลำธารต่างๆ ฝุ่นรังสีย่อมปนเปื้อนอยู่ทั่วไป มงคลวัตถุที่ท่านผู้ทรงคุณทั้งหลายเจริญภาวนาให้ จะมีอานุภาพทำลายกัมมันตภาพรังสีเหล่านั้นให้มีสภาวะเป็นกลาง ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย

                                                                        ไม่ใช่ระเบิดตกลงหลังคาบ้านแล้วไม่ตายครับ

                                                                        นั่นเป็นความเชื่อของผมโดยส่วนตัว ใครจะเชื่อก็ไม่ว่า ใครไม่เชื่อก็ไม่ว่าเป็นของธรรมชาติอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสสอนสัตว์โลกอยู่เป็นนาน คนเชื่อก็มีคนไม่เชื่อก็มี สำมะหาอะไรกับผม

                                                                        คนไม่เชื่อหยุดอ่านก่อนได้เพื่อความสบายใจ ส่วนคนเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างเชิญอ่านต่อไป เพราะผมจะเข้าเรื่องสำคัญ

ย้อนไปเมื่อสมัยท่านเจ้าคุณนรฯ ยังทรงสังขารอยู่ ท่านเคยปรารภว่า พระรูปเหมือนนั่งในใบโพธิ์ของท่านประสบความสำเร็จ (คือมีคนนิยมมาก) ต่อไปจะมีผู้สร้างพระใบโพธิ์อีกมากมายแต่ไม่ประสบความสำเร็จดังเช่นของท่าน




หากจะมีพระทางภาคอีสานรูปหนึ่ง ประสบความสำเร็จในพระรูปเหมือนใบโพธิ์เช่นของท่าน แต่พระรูปนั้นจะต้องอธิษฐานจิตปฐวีธาตุได้ด้วย

                                                                        ปรารภนี้เป็นที่น่าสนใจ ใครที่รู้ต่างก็ออกแสวงหาพระผู้เสกปฐวีธาตุเป็น คำว่า “เป็น” ของท่านคุณนรฯ คงหมายถึงทำได้มากจนแพร่หลายไปในหมู่ชนได้ ไม่ใช่ทำเพียงแค่ก้อนสองก้อนก็จบ

                                                                        หากันอยู่นาน ก็ระแคะระคายว่ามีพระทางจังหวัดนครพนมรูปหนึ่ง ท่านทำปฐวีธาตุได้ เอ ! หรือท่านจะ “รับมุข”ที่ท่านเจ้าคุณนรฯพูด ทว่า เมื่อเช็คกับผู้รู้ท่านหนึ่งท่านว่าพระเถระรูปนั้นทำปฐวีธาตุแจกศิษย์มาแต่ปี พ.ศ. 2495 ก่อนท่านเจ้าคุณนรฯ เสียอีก





                                                                        จึงออกสืบเสาะจนได้ความว่าเป็น หลวงปู่คำพัน โฆษปัญโญ

                                                                        หลวงปู่คำพันทราบถึงวิธีการอธิษฐานปฐวีธาตุได้อย่างไร มันมีที่มาอย่างนี้ครับ

                                                                        กลับไปหลายสิบปีก่อน ครั้งหลวงปู่คำพันยังเป็นพระหนุ่ม ๆ มีผู้เฒ่าที่ครอบครองตำราสำคัญอยู่ นัยว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ครั้นชายชราใกล้ถึงที่สุดแห่งอายุขัย ก็ได้สั่งกำชับบุตรชายว่า เมื่อพ่อตายแล้วจงเอาคัมภีร์เล่มนี้ไปมอบให้กับหลวงพ่อคำพันแต่เพียงรูปเดียวเท่านั้น

               
โดย: Sornpraram    เวลา: 2016-4-14 06:22
สั่งความได้ไม่นานก็ลาโลกนี้ไป บุตรชายก็ทำตามสั่งทุกประการ นำตำราไปมอบให้หลวงพ่อคำพัน เมื่อท่านเปิดอ่านก็ปรากฏว่าตัวอักษรในนั้น เป็น “ตัวธัมใหญ่” ทั้งหมดซึ่งถือว่าเป็นอักขระที่มีความศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ใช้จารเฉพาะตำราชั้นสูงเท่านั้น

                                                                        เมื่ออ่านไปเรื่อยจึงทราบว่าหนังสือนั้นเป็นตำราที่ว่าด้วยการ “อธิษฐานปฐวีธาต” สามารถทำธาตุธรรมชาติธรรมดาให้มีอานุภาพ มีพลังงานขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์

                                                                        ท่านจึงศึกษาวิธีการจนแตกฉาน จดจำได้ทุกขั้นตอน ในเวลาต่อมาก็มีพระภิกษุรูปหนึ่งมาขอตำรานั้นไป ท่านก็กรุณามอบให้ ทุกวันนี้ยังไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ใคร

                                                                        หลวงปู่คำพันได้เมตตาอธิบายถึงคุณลักษณะของปฐวีธาตุที่ถูกต้องตามตำราทุกประการว่า ต้องเป็นกรวดที่แช่อยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติเท่านั้น จะอยู่บนบกไม่ได้ ตัวกรวดเมื่อเก็บขึ้นมาต้องมีลักษณะเดิมตามธรรมชาติของเขา จะบิ่น จะแตกหักหรือร้าวไม่ได้เลย

ที่สำคัญสุดยอด คือต้อง “โปร่งแสง” เท่านั้น

                                                                        คำว่าโปร่งแสงหมายถึง แสงสามารถลอดทะลุผ่านได้ ไม่ใช่โปร่งใส ถ้าโปร่งใสจะหมายถึงมองทะลุเห็นภาพอีกด้านได้ ซึ่งคงไม่มีกรวดชนิดใดเป็นเช่นนั้นแน่ หรือถ้ามีคงหายากสุดๆ

และด้วยคุณลักษณะเช่นนี้เองที่ทำให้ปฐวีธาตุของหลวงปู่คำพันเป็นของหายากที่สุด แม้ว่าทางวัดจะพยายามแก้ไขด้วยการนำกรวดจากแม่น้ำโขงชนิดขุ่นมาถวายท่านอธิษฐานแทนก็ตาม มันก็หาถูกต้องตามตำราบังคับไม่ หากท่านก็อนุโลมให้เป็นปฐวีธาตุได้เช่นกัน

                                                                        ผิดกับครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ เช่นท่านเจ้าคุณนรฯ ด้วยท่านมีข้อแม้กับปฐวีธาตุว่า ต้องอยู่ในอำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการเท่านั้น ส่วนจะใสหรือขุ่น จะใหญ่หรือเล็ก ท่านไม่เอามาเป็นประมาณ

                                                                        ผมเองก็เพิ่งทราบว่า ไม่เพียงท่านเจ้าคุณนรฯ หรือหลวงปู่คำพันเท่านั้นที่ทำปฐวีธาตุได้ พระมหาเถระผู้ทรงคุณสูงสุดคือ หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี ก็ทำปฐวีธาตุ แต่ง่ายดายมาก ด้วยการให้ศิษย์เก็บเอากรวดที่ข้างกุฏิท่านนั่นแหละมาอธิษฐาน

                                                                        หาง่ายแต่หายาก

“หา” แรกง่าย เพราะเอากรวดข้างกุฏิไม่ต้องไปไกล “หา” หลังยาก เพราะของไม่มี คนอยากได้ก็ฝันไปก่อน รวมทั้งผม

ไม่เพียงหลวงปู่ขาวเท่านั้นที่ทำปฐวีธาตุ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ ก็ทำ ทำจริงๆนะมีคนใกล้ชิดที่เชื่อถือได้ ได้รับจากมือหลวงปู่ดูลย์มาจริงๆ

                                                                        ก็น่าแปลกที่ท่านเหล่านั้นสามารถทราบได้ว่ากรวดธรรมดาหากกำหนดจิตให้เป็นของมีพลังงานด้วยกระบวนการทางจิตที่ซับซ้อนเกินปุถุชนจะเข้าถึงได้ละก็ ย่อมมีอานุภาพสุดจะประมาณ

ขนาดกันนิวเคลียร์ได้ก็แล้วกัน

                                                                        หลวงปู่คำพันบอกว่า ในตำราระบุไว้ว่าผู้จะอธิษฐานปฐวีธาตุได้นั้นต้องเป็นผู้เดินวิปัสสนาล้วน จะเป็นผู้เล่นทางสายวิชาคือคาถาอาคมไม่ได้เลย จึงหมดสงสัยว่าทำไมหลวงปู่ขาว หลวงปู่ดูลย์ก็ทำเป็น

                                                                        ปฐวีธาตุของครูบาอาจารย์องค์อื่น ผมไม่ทราบว่าท่านอธิษฐานจิตในการป้องกันอย่างไร แต่ของหลวงปู่คำพันท่านอธิษฐานว่า

                                                                        ให้ป้องกันภัยอันจะเกิดแต่ธรรมชาติก็ดี ภัยอันเกิดแต่มนุษย์ก็ดี กันได้ทั้งสิ้น กันภัยจากอาวุธยุทโธปกรณ์ทุกชนิดที่มีอยู่ในปัจจุบัน และที่จะมีขึ้นในอนาคต

                                                                        ท่านเรียกการอธิษฐานแบบนี้ว่า “เสกครอบลงไป”

การเสกแบบนี้ไม่เหมือนกับการเสกพระเครื่องทั่วไปของท่าน ท่านจึงย้ำว่า “ปฐวีธาตุนี้เป็นของที่ดีที่สุดเท่าที่มีอยู่”เหนือกว่าวัตถุมงคลทั้งปวงของท่าน

                                                                        ครั้งหนึ่งท่านพระอาจารย์เวทย์ อาจารย์สัมปันโน ศิษย์ก้นกุฏิของหลวงปู่คำพัน คิดหาปฐวีธาตุ ชนิดถูกต้องตามตำราทุกประการมาถวายหลวงปู่คำพันเสก จึงหาอาสาสมัครได้พระ เณร และญาติโยมจำนวนหนึ่ง ออกค้นหาปฐวีธาตุในลำน้ำโขง

                                                                        การตามล่าหาของดีในคราวนั้นเป็นความยุ่งยากลำบากเหลือแสน เพราะน้ำในแม่น้ำโขง เย็นยะเยียบ เมื่อลงแช่ไปนานๆ ก็เกิดหนาวสั่นจับไข้ไม่สบายกันถ้วนหน้า อีกทั้งกรวดที่ควานขึ้นมานับร้อยๆ ก้อนในแต่ละครั้ง จะมีใสตามตำราสักก้อนก็แสนยาก

                                                                        บางก้อนใสแจ๋วแต่บิ่นก็ต้องทิ้งไป เวลาทิ้งก็ต้องเอาไปทิ้งไกล ไม่อย่างนั้นเวลางมลงไปก็เจอก้อนเก่าอีก บางทีลุยป่าหญ้าเข้าไปหาในที่ที่ว่างเปล่า งมๆ อยู่เจ้าของที่ก็มาไล่เพราะเขาไม่รู้ว่ามาทำอะไรกันก็มี จึงเป็นความทุกข์สาหัสของผู้ออกหาจริงๆ ทีมล่าปฐวีธาตุดำเนินการอยู่นานนับเดือน ปรากฏปฐวีธาตุชนิดถูกแบบ 100 % ได้เพียง 200 กว่าก้อนเท่านั้น

เป็นของยืนยันว่าหายากแท้ๆ

                                                                        เมื่อนำปฐวีธาตุไปถวายหลวงปู่คำพันอธิษฐานจิตแล้ว คณะผู้ค้นหาก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า ของดีขนาดนี้จะทำอย่างไรจึงสมควร ถ้าเพียงแต่เก็บงำเอาไว้กับคนบางคนก็จะตกอยู่แค่นั้น และต่อไปในกาลข้างหน้า ใครจะทราบไว้ว่ากรวดก้อนนี้คืออะไร ?

จึงตกลงใจสร้างรูปเหมือนหลวงปู่คำพัน ขนาด 3 นิ้วเศษๆ ด้วยเนื้อว่าน แล้วบรรจุของสำคัญสุดยอดนี้ลงไปเพื่อให้อยู่เป็นที่เป็นทาง และเพื่อเพิ่มความเป็นมหามงคลให้กับรูปเหมือน

พระรุ่นนี้สร้างในปี พ.ศ. 2538 มีจำนวนเพียง 227 องค์ เท่ากับจำนวนศีลของพระ รูปเหมือนทั้งหมดดำเนินการปลุกเสกแบบ “บินเดี่ยว” โดยหลวงปู่คำพันในอุโบสถโบราณของวัดแก่งตอย เป็นการเสกแบบเฉพาะเจาะจงลงไปสำหรับพระบูชา 3 นิ้ว, รูปเหมือนลอยองค์เนื้อว่าน ชนิดแขวนคอ รุ่น 2 และพระอุปคุตพันฤทธิ์ มีเรื่องแปลกอยู่ว่าขณะดำเนินการสร้างรูปเหมือนแบบบูชานี้อยู่ หลวงปู่คำพันก็ให้คนมาเอารูปเหมือนที่เสร็จก่อนเพื่อนไป 2 องค์ บอกว่าเพื่อเอาไปเสกก่อน แล้วมอบให้กับศิษย์คนสำคัญในวงการ 2 คน แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของพระรูปเหมือนรุ่นนี้ยิ่งนัก

เมื่อผู้เสกถูกใจ คงไม่ต้องคิดให้มากว่าจะดีวิเศษอย่างไร ผมเห็นปฐวีธาตุเป็นของที่ดีที่สุดอยู่แล้ว จะหาชนิดถูกแบบอย่างนี้ก็หายาก ในเมื่อมีบรรจุอยู่ในรูปเหมือนนี้ ก็ต้องคว้าไว้ก่อน

                                                                        ปัจจุบันรูปเหมือนแบบบูชารุ่นแรกยังพอมีเหลืออยู่ที่ท่านพระอาจารย์เวทย์เจ้าอาวาสวัดแก่งตอย จำนวนที่เหลืออยู่เข้าใจว่าราว 30 องค์ ทราบว่าทางวัดยังคงอัตราค่าบูชาไว้เท่าเดิม คือ 1,500 บาท ถ้าจะว่าแพงก็จงดูความละเอียดประณีตของงานก่อนเถิด ทั้งผง ทั้งเส้นเกศา ทั้งปฐวีธาตุชนิดถูกแบบล้วนมีอยู่ในพระรุ่นนี้อย่างสมบูรณ์ (บทความนี้เขียนไว้หลายปีแล้ว) ที่สำคัญ ราคานี้หลวงปู่คำพันเป็นผู้ตั้งเอง

                                                                        ปัจจัยทั้งหมดหาได้ตกอยู่กับใครไม่ แม้แต่หลวงปู่คำพันผู้เป็นองค์เสก แต่จะเป็นทุนในการบูรณะวัดแก่งตอย ซึ่งเป็นวัดร้างมาเนิ่นนานในอดีตให้กลับเจริญรุ่งเรืองใช้ประโยชน์ได้สมเป็นศาสนสถานในพระพุทธศาสนา

                                                                        ได้ทั้งของดี ได้ทั้งบุญ จะเอาอย่างไรอีก

                                                                        ใครคิดว่าจะบูชามาเพื่อแกะปฐวีธาตุออกแขวนผมก็ไม่ว่ากัน

                                                                        สมัยก่อนที่ คุณอำพล เจน อนุญาตให้บริเวณบ้านเป็นสนามลองพระอยู่นั้น ได้มีการหยิบยกเอาปฐวีธาตุของหลวงปู่คำพันชนิดไม่ถูกแบบมาทดสอบให้เห็นจริง โดยระบบ “ยิง” ซึ่งเป็นระบบพิสูจน์ให้เห็นจริงกันได้จะจะตา

                                                                        คุณอำพลไม่ได้เป็นคนยิง ผู้ยิงเป็นตำรวจแม่นปืน แต่แม่นปืนก็ยังไม่ชัวร์ จึงต้องเอาปืนจ่อปฐวีธาตุในระยะ “เผาขน”ปากกระบอกปืน ห่างจากปฐวีธาตุไม่เกิน 1 นิ้ว เรียกว่าใครดีใครอยู่

                                                                        ก่อนจะกดเปรี้ยงลงไป

ผลคือลูกปืนแฉลบผ่านองค์ธาตุไปได้อย่างน่าประหลาด ซึ่งในระยะจ่อยิงขนาดนั้น อย่าว่าแต่ปฐวีธาตุเลย ให้ยิงเด็ดหนวดยุงตัวผู้ก็คงไม่พลาด เป็นที่ประจักษ์ว่าคงอานุภาพด้านแคล้วคลาดกันภัยได้จริง

                                                                        แม้ว่าปฐวีธาตุก้อนนั้นจะเป็นชนิดไม่ต้องตามตำราก็ตาม
โดย: oustayutt    เวลา: 2017-6-29 23:09

โดย: Sornpraram    เวลา: 2017-7-9 20:43
oustayutt ตอบกลับเมื่อ 2017-6-29 23:09

แอบทราบมาว่า..อาจารย์ก็ทำไว้เหมือนกันนะ  
โดย: oustayutt    เวลา: 2017-7-9 21:02
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2017-7-9 20:43
แอบทราบมาว่า..อาจารย์ก็ทำไว้เหมือนกันนะ

ฝากบอกอาจารย์ด้วยครับ ว่าขอรับกลับบ้านครับ
โดย: Sornpraram    เวลา: 2017-7-10 08:13
oustayutt ตอบกลับเมื่อ 2017-7-9 21:02
ฝากบอกอาจารย์ด้วยครับ ว่าขอรับกลับบ้านครับ


โดย: Sornpraram    เวลา: 2017-8-4 07:07
คาถาบูชาปฐวีธาตุจุดธูป 7 ดอก

"นะโม 3 จบ"

"หิตะรา มันทิโล กะสิรา กะละลาสติ โสจะถิโห คะเนคะเน 3 จบ"

โดย: Nujeab    เวลา: 2017-8-4 10:14
ปฐวีธาตุ
โดย: Sornpraram    เวลา: 2017-8-5 06:18
Nujeab ตอบกลับเมื่อ 2017-8-4 10:14
ปฐวีธาตุ


โดย: Nujeab    เวลา: 2017-8-7 10:10
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2017-8-5 06:18


โดย: Sornpraram    เวลา: 2017-8-7 10:13
Nujeab ตอบกลับเมื่อ 2017-8-7 10:10


โดย: Nujeab    เวลา: 2017-8-7 11:45
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2017-8-7 10:13


โดย: oustayutt    เวลา: 2017-11-3 22:53
ของอาจารย์ได้มาแว้วววว
โดย: oustayutt    เวลา: 2017-11-8 20:58

โดย: Sornpraram    เวลา: 2017-11-15 12:48
oustayutt ตอบกลับเมื่อ 2017-11-3 22:53
ของอาจารย์ได้มาแว้วววว


โดย: Sornpraram    เวลา: 2017-12-4 05:51

โดย: oustayutt    เวลา: 2017-12-12 22:43

โดย: oustayutt    เวลา: 2018-6-22 20:40
ปฐวีธาตุหลวงปู่คำพันธ์
โดย...อำพล เจน
-----------------------------
ควรจะทำอย่างไรเมื่อถูกโจรปล้นหรือจี้ ?
คำถามนี้น่าสนใจ
คำตอบที่ดีที่สุด โดยมากมักจะตอบออกมาจากผู้ที่เกิดมาทั้งชีวิต ยังไม่เคยถูกปล้นจี้เลยสักครั้ง
คุณหมอไพโรจน์ อำพนพิศลย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวังหิน ศีรษะเกษบอกว่าได้สั่งไว้กับลูกเมีย
“ถ้าโจรมันขึ้นบ้านขอให้ทุกคนหนีออกจากบ้านให้ได้ เอาตัวเองรอด, อย่าหวงสมบัติ, ข้าวของหลายอย่างของเราเก่าแล้ว ถ้าโจรมันเอาไปหมดเลยก็ดี จะได้ซื้อใหม่ซะที”
นี่ตอบแบบหมอ คือรักษาชีวิตให้รอดไว้ก่อน
และก็ควรมีสุขภาพที่ดี ปลอดจากโรค
ซึ่งก็คือปลอดภัยจากการบาดเจ็บเพราะถูกโจรทุบตี
ยิ่งสมควรกระทำ
พูดแบบมีคนมีสตังค์อีกด้วย คือเสียเท่าไรไม่ว่า ..ขอให้ปลอดภัยไว้ก่อน
อีกคนหนึ่ง (ขอสงวนนาม) เป็นเพื่อนก๊วนเดียวกับคุณหมอ เป็นคนมีฐานะร่ำรวย
สมัยเรียนแพทย์ด้วยกัน เป็นคนเดียวที่ขับรถสปอร์ตมาเรียนหนังสือ สาวๆล้อมหน้า ล้อมหลัง มีเงินแจกให้เพื่อนฝูงใช้ทุกวัน พกแต่แบงก์ใหม่ๆ แบงก์เก่าไม่เอา คุณหมอคอยรับอานิสงส์ ได้รับแบงก์เก่าๆไว้ใช้บ่อยๆ
แถมยังคุยอีกว่าในโลกนี้มี 2 สิ่งที่ตนเองซื้อไม่ได้ คือรถไฟกับเครื่องบิน
รวยขนาดไหนให้นึกดู
วันหนึ่งถูกโจรจี้จะเอานาฬิกาข้อมือ แกฮึดสู้ไม่ยอมให้จี้ จะเพราะเสียดายหรือจะเพราะอะไรมิทราบ โจรมันเลยจิ้มเอาด้วยมีด
ตายคาที่ซีครับ
นาฬิกาแค่เรือนเดียว ยกให้โจรมันไปซะก็หมดเรื่อง มีปัญญาซื้อเอาใหม่อีกกี่เรือนก็ย่อมได้อยู่แล้ว..รวยออกอย่างนั้น
เออ..ถ้าเป็นคนมีสมบัติชิ้นเดียวที่ต้องหวงแหน จนลืมห่วงชีวิตของตนเอง ก็ว่าไปอย่าง
ควรยอมเสียนาฬิกาเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้แบบคุณหมอไพโรจน์ว่า บางทียังจะมีโอกาสทาบทามซื้อรถไฟกับเครื่องบิน จะซื้อได้หรือไม่ ก็ยังจะมีชีวิตอยู่ต่อมาได้อีกตั้งหลายสิบปี
น่าเสียดายที่ไม่ไปฟังคุณหมอไพโรจน์ก่อนถูกจี้เอานาฬิกา
คุณเป้าเป็นอีกคนที่ไม่เคยฟังคุณหมอ เคยถูกจี้และแถมฮึดสู้โจร แล้วรอดชีวิตมาได้อีกด้วย
คุณเป้า (ขอสงวนนามจริง) เป็นหลานชายเพื่อนของผมเอง คุณชยันต์ รักเกียรติ หรือเสี่ยสันต์ เมืองอุบลฯ เป็นคนที่ฐานะครอบครัวค่อนข้างดี จึงมีทุนรอนส่งคุณเป้าไปเรียนเมืองนอกได้
แต่ว่าอยู่เมืองไทยจะมั่งมีอย่างไรก็ตามไปถึงเมืองนอกแล้ว เป็นอันว่าต้องกลายเป็นคนจนพอๆกับคนอื่นทั้งนั้น
จะคอยใช้แต่เงินส่งเสียจากพ่อแม่ ไม่มีหวังจะพอ ต้องเรียนไปทำงานไปด้วยแทบทุกคน
เบื้องหลังนักเรียนนอกคนโก้ ก็คือคนล้างจาน หรือเด็กเสิร์ฟอาหารในร้านอาหารเกือบทั้งหมด
ไม่ได้พูดเหน็บให้เกิดปมด้อย
มันเป็นความจริงที่นักเรียนนอกมักภูมิใจในสภาวะที่เกิดขึ้นกับตน เมื่อเรียนอยู่ต่างประเทศ เพราะมันทำให้บรรลุภาวะของชีวิตที่เป็นผู้ใหญ่ไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัว
คุณเป้าเรียนอยู่เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย หลังเลิกเรียนก็ไปทำงานในร้านอาหาร บางทีเข้างานกะดึก กลับบ้านเกือบสว่างก็มี
วันหนึ่งเลิกงานราวๆตี 4 ขึ้นรถไฟใต้ดินกลับที่พัก พอลงรถไฟต้องเดินอีกหน่อยจึงจะถึงบ้าน ระหว่างนั้นมีโจรฝรั่งชายและหญิง 2 คน เข้ามาจี้ จะเอาเป้ที่คุณเป้าสะพายหลัง คุณเป้าซึ่งจะต้องถือว่าตอนนั้นเป็นคนจนไปแล้วจึงหวงเป้เต็มที่ ฮึดฮัดไม่ยอมให้ โจรผู้ชายเลยชักปืนกดเปรี้ยงแบบเผาขน
แค่ยิงนัดแรกโจรมันก็ตกใจแล้วครับ
พอยิงจนหมดโม่ มันก็ขวัญบิน
เพราะลูกปืนด้านหมดทุกนัด
โจรผู้หญิงคงอยากได้เป้ของคุณเป้ามากเลยโดดเข้ามาแย่ง คุณเป้าก็ยื้อเป้เอาไว้ไม่ยอมปล่อย ยักแย่ยักยัน กลายเป็นเกมส์ชักคะเย่อ
โจรผู้ชายเห็นไม่ได้การเอาด้ามปืนตีหัวคุณเป้า แล้วลากโจรผู้หญิงวิ่งหนีหายไปในความมืด
คุณเป้าทรุดลงนั่ง
เอามือกุมหัวป้อยๆ
เป้ก็ไม่เสียให้โจร
ครับใช่แล้ว...ไม่ต้องสงสัยเลย
คุณเป้าแขวนปฐวีธาตุของหลวงปู่คำพันธ์ โฆษปัญโญ วัดธาตุมหาชัย นครพนม
(ทราบภายหลังว่าแขวน ๒๕ พุทธศตวรรษอีกองค์ด้วย)
นี่คือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่คนไทยชาวพุทธมีวาสนามากกว่าคนชาติอื่น
แม้เป็นเรื่องนอกเหตุเหนือผลพ้นคำอธิบาย แต่คนต่างชาติมากมายมาเริ่มคล้อยใจเชื่อเรื่องแบบนี้กันมาก ทั้งๆที่นับถือศาสนาอื่น ดูอย่างมาเลเซีย สิงคโปร์ หรือฮ่องกง ที่เป็นตลาดใหญ่เมืองไทยส่งวัตถุมงคล ไปเป็นสินค้าออกมาตั้งนานแล้ว
ใครจะหาว่าผมพูดเป็นเล่นๆ
ถ้าจะพูดเล่นต้องพูดแบบนี้ว่า วัตถุมงคลเดี๋ยวนี้ถือเป็นสินค้าส่งออกที่รัฐบาลกำลังพิจารณาสนับสนุนให้เพิ่มกำลังผลิตเพื่อรับภาระเศรษฐกิจฟื้นตัวในปีหน้า
แต่วัตถุมงคลไม่ใช่สินค้า
พูดเล่นได้
พูดจริงไม่ได้
วัตถุมงคลยังคงเป็นของหายาก เป็นของลี้ลับ ที่บางทีทั้งชีวิตคุณจะมีได้แค่ชิ้นเดียวหรือองค์เดียวเท่านั้น
ปฐวีธาตุของหลวงปู่คำพันธ์ก็เช่นเดียวกันถือเป็นของหายาก ถึงแม้องค์หลวงปู่ผู้เสกปฐวีธาตุยังคงดำรงสังขารอยู่ ไปขอปฐวีธาตุกับท่านก็ยังยาก
ใครไม่เชื่อให้ไปลองขอกับท่านดู
ถ้าขอได้ง่ายๆ ปฐวีธาตุจะถือเป็นของหายากได้อย่างไร
ปฐวีธาตุที่มีชื่อเสียงขึ้นสุดขอบฟ้าไกลเห็นจะเป็นของท่านเจ้าคุณนรฯ ที่ตลอดทั้งชาตินี้หรือชาติหน้าคนมากมายไม่มีวาสนาได้เป็นเจ้าของ
ถึงจะมีคนใจดีเอามามอบให้ จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นของจริง
ปฐวีธาตุคือก้อนกรวดดี ๆ นี่เอง
เขาให้มาแล้วเอามาขึ้นใส่สร้อยแขวนไปคงครั่นเนื้อครั่นตัวพิกล
ถ้าไม่ได้มาเมื่อท่านเจ้าคุณนรฯ ยังคงชีพอยู่เป็นอันว่าเมินเสียเถอะ
เขาลือกันว่าท่านเจ้าคุณนรฯ ทำนายไว้ล่วงหน้าว่าต่อไปจะมีผู้เสกปฐวีธาตุได้ ซึ่งจะเป็นพระอยู่ริมแม่น้ำโขง
กลุ่มลูกศิษย์ท่านเจ้าคุณนรฯกลุ่มหนึ่งจึงดั้นด้นไปกราบหลวงปู่คำพันธ์ถึงวัดธาตุ มหาชัย ซึ่งหลวงปู่เองก็ได้เล่าให้ฟังภายหลังว่าว่าเขามากันจริง
เขาคิดว่าพระรูปนั้นเป็นหลวงปู่
แต่หลวงปู่คิดอย่างไรไม่มีใครกล้าถาม
เวลานี้องค์หลวงปู่ก็ยังอยู่ถ้าไม่เอาปฐวีธาตุตอนนี้แล้วจะรอไว้ตอนไหน แม้ต่อไปในภายหน้า ใครจะหาอะไรมาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเป็นปฐวีธาตุของท่านจริงหรือไม่จริงอย่างไร
นี่คือปัญหา
ปัญหาเมื่อมีทางแก้ก็ไม่ต้องกังวล
แต่หากว่าปัญหานั้นไม่มีทางแก้ แม้กังวลไปก็ไม่มีประโยชน์
ทางแก้คือต้องเอาปฐวีธาตุบรรจุไว้ในองค์พระ เพราะเมื่อเป็นองค์พระแล้วเหล่าชาวยุทธจักรสามารถดูออกว่าแท้หรือเทียม
ถ้าเป็นก้อนกรวดลุ่นๆชาวยุทธ์ยังไม่มีวิธีพิสูจน์
เหลือแค่วิธีนั่งดูทางใน
จริงไม่จริง..จะเชื่อได้แค่ไหน
ผลที่สุดจะกลุ้มใจกันต่อไป
(ข้อเขียนนี้ตีพิมพ์ในหนังสือศักดิ์สิทธิ์ คอลัมน์สืบหาพระเครื่องดี นานหลายปีแล้ว ตั้งแต่หลวงปู่คำพันยังมีชีวิตอยู่)



โดย: Sornpraram    เวลา: 2018-7-11 06:32

โดย: Sornpraram    เวลา: 2018-7-11 06:34
Nujeab ตอบกลับเมื่อ 2017-8-4 10:14
ปฐวีธาตุ

ปฐวีธาตุ ของดีที่ต้องมีไว้บูชา




โดย: Nujeab    เวลา: 2018-7-12 10:21
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2018-7-11 06:34
ปฐวีธาตุ ของดีที่ต้องมีไว้บูชา






ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2