Baan Jompra

ชื่อกระทู้: นัำหมัก ทำไมถึงเรียก “เอนไซม์” [สั่งพิมพ์]

โดย: oustayutt    เวลา: 2016-1-2 11:20
ชื่อกระทู้: นัำหมัก ทำไมถึงเรียก “เอนไซม์”
เอนไซม์ คือ โปรตีนที่คัดหลั่งมาจากเซลล์ที่มีฤทธิ์กระตุ้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในสารอื่น ๆ โดยตัวมันเองไม่เปลี่ยนแปลง
ชื่อ เอนไซม์ ถูกเสนอโดยนักสรีรวิทยาชาวเยอรมันในปี 1867 มาจากกลุ่มคำศัพท์ “Enzyme” เป็นคำเรียกสารที่มีโปรตีน และไวตามินอยู่ร่วมกัน และทำหน้าที่เป็นตัวเร่งการย่อย
สมัยพุทธกาล น้ำสมอดองถือเป็น “น้ำอมตะ และยาอายุวัฒนะ แห่งการรักษาชีวิต” น้ำดองน้ำมูตรเน่าบริสุทธิ์ ซึ่งมีอยู่ในพระไตรปิฎก ปัจจุบันพืชผักผลไม้ สมุนไพรต่าง ๆ นานาชนิด นำผักผลไม้มาหมักตาม ทฤษฎีการแตกตัวของอนุมูลสารอาหาร เพื่อให้เกิดการซึมของน้ำหมัก ซึ่งจะได้สารอาหารซึ่งอยู่ในรูปของสารละลาย ครบ 5 หมู่ ตามความต้องการของร่างกายในสภาวะฟื้นฟูและดูแลจากขบวนการหมัก ต้องใช้ระยะเวลาที่หมักนานมากกว่า 5 ปี จึงจะมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ผมผสานระหว่าง ภูมิปัญญาพื้นบ้านและความรู้ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ หากปฏิบัติถูกวิธีก็จะให้สารที่มีคุณประโยชน์ต่อการบริโภค กล่าวคือ เมื่อกินเข้าไปแล้วเป็นผลดีต่อร่างกาย เช่น จุลินทรีย์แลคติก กรดอะมิโน กรดแลคติก และสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น
ประเภทของผลไม้และสารอาหารที่ได้รับ
หมักผลไม้รสหวาน ได้วิตามิน เอ ดี อี
หมักผลไม้รสเปรี้ยว ได้วิตามิน ซี เค
หมักจากข้าว ได้วิตามิน บี ซี อี
การสังเกต
วิตามินบี จะมีกลิ่นเหม็นอมเปรี้ยว
วตามินซี จะมีกลิ่นเปรี้ยว สีส้ม
วิตามินเค จะมีสีแดง
วิตามินดี จะมีกลิ่นหอม
วิตามินอี จะมีสีใส
การผสมเอนไซม์พร้อมดื่ม
1. เอนไซม์ 1 ปีขึ้นไป 1 ส่วน ต่อน้ำผึ้ง 1 ส่วน และน้ำ 10 ส่วน นำมาผสมในภาชนะ (ถ้าใช้น้ำผึ้งที่มีความชื้น 20 % สามารถดื่มได้ทันที แต่น้ำผึ้งธรรมดาต้องหมักไว้ 3 เดือน) จึงนำมาดื่มได้
2. ถ้าไม่ดื่มโดยทิ้งไว้จนครบ 3 เดือน สามารถนำมาขยายต่อในอัตราส่วนเดิมได้อีก คือ น้ำเอนไซม์ 1 ส่วน + น้ำผึ้ง 1 ส่วน + น้ำ 10 ส่วน (เอนไซม์ที่นำมาขยายควรมีอายุการหมักตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป เมื่อนำมาขยายแล้ว ประสิทธิภาพจะไม่ลดลง แต่จะได้ปริมาณมากขึ้น และประหยัด)
น้ำเอนไซม์ที่ผ่านขบวนการหมัก
สามารถนำมา ทำอะไรได้บ้าง
อายุ 2 ปี นำมาผสมกับน้ำด่าง สามารถนำมาผลิตทำแชมพูสระผม น้ำยาซักผ้า น้ำยาล้างจาน สบู่น้ำ เป็นต้น
อายุ 4 ปี ใช้หัวเชื้อ 1 ส่วน + น้ำผึ้ง 1 ส่วน ผลไม้ 3 ส่วน น้ำ 10 ส่วน หมักต่อไป 15 วัน สามารถนำมาทำน้ำยาบ้วนปาก ล้างแผลสด แผลอักเสบ พุพอง งูสวัด และล้างสารพิษในพืชผักผลไม้
โดยนำเอนไซม์จำนวน 2 ลิตร หมักกับข้าวสุก 10 กก. และน้ำผึ้ง 1 กก. ใส่น้ำท่วมข้าว หมักภายใน 15 วัน จะได้น้ำเอนไซม์ ส่วนข้าวสุกที่หมักแล้ว นำมาใส่น้ำท่วมข้าว หมักอีก 15 วัน ได้น้ำ Enzyme ทำได้ 3 ครั้ง จนข้าวเป็นผง
อายุ 6 ปี ขยายหัวเชื้อ 1 ส่วน น้ำผึ้ง 1 ส่วน น้ำ 10 ส่วน ดื่มได้เลย เมื่อเกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ มีแก๊ส ท้องเสีย 20-30 ซีซี ใช้ทำผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม ผิวพรรณ ใบหน้า ตา จมูก ช่องปาก คอ ดับกลิ่นตัวในร่มผ้า เท้า ให้สะอาด และสดชื่น อายุ 6-10 ปี ขึ้นไป ใช้ดองสมุนไพรเป็นเวลา 1 เดือน จะได้ประสิทธิภาพตามคุณสมบัติของสมุนไพรแต่ละตัวเพิ่มขึ้น ควรรับประทานวันละ 1 ครั้ง (3-10 ซีซี) ก่อนหรือหลังอาหาร 1 ชั่วโมงครึ่ง
การหมักสมุนไพรตรีผลาสูตรโบราณ
ตรีผลา หมายถึงผลไม้สามอย่าง ประกอบด้วย สมอไทย สมอภิเภก มะขามป้อม
สมุนไพรทีมีสรรพคุณทางยาทั้ง 3 อย่าง จากผลการทดลองที่ได้มาตรฐานของอเมริกา โดยเพาะเลี้ยงเซลล์ในจานหลุมและนำสารสกัดมาทดสอบทีละชนิด พบว่า สมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม มีฤทธิ์หยุดยับยั้งและฆ่าเซลล์มะเร็งไดัอย่างดีเยี่ยม ทำหน้าที่ขับล้างสารพิษที่ตกค้างในร่างกาย และเสริมสรรพคุณซึ่งกันและกัน ตัวยาทั้ง3ชนิด จะช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดีโดยไม่ต้องอดอาหาร และช่วยระบายอ่อนๆ ขับไขมันที่พอกตามส่วนต่างๆในร่างกายออกมาพร้อมการขับถ่ายปกติ ปรับสมดุลธาตุให้ร่างกายเราได้เป็นอย่างดี




โดย: oustayutt    เวลา: 2016-1-2 11:21
ตรีผลาช่วยล้างสารพิษ ปรับสมดุลธาตุ ลดน้ำหนัก ต้านมะเร็ง ดีท็อกซ์ลำไส้ ขจัดไขมันในเส้นเลือด

ทำน้ำสมุนไพรตรีผลาเพื่อดื่มเป็นยาอายุวัฒนะ

วิธีแบบโบราณ
คนโบราณใช้น้ำตาลทรายแดงหรือน้ำตาลกรวด น้ำตาลกรวดจะไม่ค่อยละลาย)

วิธีหมัก การหมักตรีผลา สมอพิเภก สมอไทยกับมะขามป้อม นำมาทำความสะอาดจัดการทุบให้ผลสมอพิเภกแตกปริเล็กน้อย แล้วใส่ในโหลแก้วสลับกับน้ำตาลกรวดเป็นชั้นๆ ปิดฝาให้มิดชิดวางทิ้งไว้ในที่ร่ม
จากนั้นทุกอาทิตย์หมั่นเอียงโหลแก้วให้น้ำหมักไหลท่วมเนื้อผลสมอพิเภกและน้ำตาลกรวดที่อยู่ด้านบน เมื่อเวลาผ่านไปสองเดือนผมถึงทราบว่าทำไมยายและคนโบราณใช้น้ำตาลทรายแดงในการหมักสมอพิเภก เพราะน้ำตาลกรวดจะไม่ค่อยละลายไม่เหมือนสมอและมะขามป้อมซึ่งเมื่อทิ้งไว้สองสัปดาห์ก็จะละลายจนหมด
เมื่อทิ้งไว้อย่างน้อยสามเดือน ก็สามารถนำน้ำหมักมาปรุงเป็นสมุนไพรตรีผลา

คนโบราณจะหมักผลไม้สามชนิดแยกกัน จะจำแนกสัดส่วนของสมุนไพรทั้งสามชนิดเพื่อรักษาอาการตามฤดูกาลต่างๆดังนี้คือ

1.มหาพิกัดตรีผลา แก้ในกองปิตตะ (ฤดูร้อน) มีส่วนของตัวยาเพิ่มและลดดังนี้
ลูกสมอพิเภก หนัก 12 ส่วน
ลูกสมอไทย หนัก 8 ส่วน
ลูกมะขามป้อม หนัก 4 ส่วน

2.มหาพิกัดตรีผลา แก้ในกองวาตะ (ฤดูฝน) มีส่วนของตัวยาเพิ่มและลดดังนี้
ลูกสมอไทย หนัก 12 ส่วน
ลูกมะขามป้อม หนัก 8 ส่วน
ลูกสมอพิเภก หนัก 4 ส่วน

3.มหาพิกัดตรีผลา แก้ในกองเสมหะ (ฤดูหนาว) มีส่วนของตัวยาเพิ่มและลดดังนี้
ลูกมะขามป้อม หนัก 12 ส่วน
ลูกสมอพิเภก หนัก 8 ส่วน
ลูกสมอไทย หนัก 4 ส่วน

ปัจจุบัน มีทำน้ำสมุนไพรตรีผลาเพื่อดื่มเป็นยาอายุวัฒนะโดยใช้อัตราส่วนผสมเท่าๆกันผสมน้ำผึ้งชงน้ำดื่มทุกวันเป็นประจำก็น่าจะได้ประโยชน์จากสรรพคุณของสมุนไพรทั้งสามตัวและน้ำผึ้งเช่นกัน

น้ำหมักสัปรดกับน้ำผึ้งเดือน 5 นัาหมัก งานวิจัยสมัยใหม่แพทย์แผนปัจจุบัน
เรียกน้ำ"เอนไซม์ " ที่ผ่านขบวนการหมักเกิน 1 ปี อาจใช้ผลไม้ชนิดอื่น เช่น ชมพู่ มะเฟิ่อง ลูกยอ และผลไม้อีกหลายชนิดที่มีอยู่ เป็นต้น

หลักก็คือนำผลไม้ 3 กก. + น้ำผึ้ง 1 กก. + น้ำ 10 ลิตร

หมักไว้เป็นเวลา 3 เดือน – 1 ปี


เช่นการน้ำหมักสัปรดกับน้ำผึ้งเดือน 5 สุดยอดน้ำหมัก สรรพคุณของเอ็นไซม์ชีวภาพน้ำสัปรด ( ลดน้ำหนักได้ดีมากๆ )

1.เนื้อสัปรด 3 กิโลกรัม

2.น้ำผึ้งแท้ 1 กิโลกรัม

3.โหลแก้ว 1 ใบ

4.นำเนื้อสัปรด+น้ำผึ้งผสมกันใสโหลแก้วแล้วปิดฝาไว้ไม่ต้องแน่นมากทิ้งไว้ 90 วันเริ่มทานได้เมื่อทานน้ำหมดเติมสัปรด+น้ำผึ้งใหม่ทิ้งไว้ 90 วันก็ทานได้อีกแต่ถ้าทิ้งไว้ 1 ปีเราจะได้ วุ้นสัปรดครับทานได้บำรุงรางกายดีมากๆ

5.การทานเป็นยา 1 ช้อนแกงต่อน้ำ 1 แก้วทานก่อนอาหารทุกๆวัน

6.การทานเพื่อลดน้ำหนัก 1 ช้อนแกงต่อน้ำ 1 แก้ว ทานหลังทานอาหารแล้วทุกๆมื้อ

7.ถ้าหมักไว้ 1 ปีจะเกิดวุ้นสัปรด นำมาดอกกับน้ำผึ้งหันเป็นชิ้นๆ ขนาด 1นิ้วทานวันละชิ้นแต่ต้องรอประมาณ 1 ปีนะ

8.ทำไว้หลายๆโหลเราก็จะมีทานตลอดเพื่อสุขภาพที่ดี

9.สังเกตุเวลาทานแล้วจะเรอได้ดีเพราะช่วยระบบการย่อย

10.ระบบขับถ่ายจะดีมากๆลองสังเกตุดูประมาณ 7 วันเริ่มเห็นผลชัดเจน

ประโยชน์ของน้ำหมักสัปรดกับน้ำผึ้ง
ช่วยให้ตับอ่อนทำงานน้อยลง ลดการผลิตเอนไซม์ย่อยอาหารลง
ช่วยให้ระบบขับถ่ายสมบูรณ์ และทำความสะอาดลำไส้อย่างเป็นระบบทำให้ระบบนิเวศในลำไส้ใหญ่สมบูรณ์ไม่มีสิ่งตกค้าง ลดความเสี่ยงสารพิษและการเกิดมะเร็ง
ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย เมื่อเซลล์ได้รับสารอาหารที่สมบูรณ์เซลล์และอวัยวะต่างๆก็แข็งแรงและสมบูรณ์สามารถแบ่งเซลล์ได้ตามปกติ

ช่วยลดและกำจัดอนุมูลอิสระ อนุมูลอิสระเป็นตัวทำลายเซลล์ในอวัยวะภายในให้เสียหาย อวัยวะที่อ่อนแอหรือเริ่มเสื่อมสภาพ เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคความเสื่อมร่างกาย เช่น ความดันโลหิตสูง/ต่ำ, เบาหวาน, คลอเลสเตอรอลสูง, มะเร็ง, ตับอ่อนบวม เป็นต้น

ช่วยให้ผิวพรรณดูอ่อนกว่าวัย เอนไซม์ช่วยให้เซลล์ได้รับสารอาหารที่สมบูรณ์ ทำให้เซลล์นุ่มกระชับ ลดริ้วรอยเนืองจากคลอลาเจนและอิลาสตินได้รับการซ่อมแซมและฟื้นฟู

ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ภูมิคุ้มกันคือ เครื่องจักรอัจฉริยะของร่างกายมนุษย์ที่สร้างมาเพื่อปกป้องและดูแลความปลอดภัยให้เซลล์ในร่างกายทุกๆอณูเซลล์ เม็ดเลือดขาวและเอนไซม์โปรติเอส คือสองสิ่งที่ต้องทำงานร่วมกันเพื่อกำจัดผู้รุกราน ถ้าขาดเอนไซม์โปรติเอสการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันจะไม่สมบูรณ์เป็นเหตุให้เชื้อโรคสามารถเล็ดรอดเข้าร่างกายได้ ดูง่ายเมื่อคุณเป็นหวัดคัดจมูกนั่นเป็นสัญญาณว่าระบบภูมิคุ้มกันของคุณขาดประสิทธิภาพในการป้องกันตัวเอง

ช่วยทำให้ระบบเส้นเลือดสะอาด เอ็ม-ซายน์ เมื่อกินในขณะท้องว่าง จะทำเอนไซม์ถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด และทำหน้าที่แทนเมตาบอลิคเอ็นไซม์ในการย่อยสลาย เศษซากโปรตีนจาการตายของเซลล์ต่างๆ ไขมันตกค้าง คลอเลสเตอรอล น้ำตาลส่วนเกิน ทำให้การขนส่งสารอาหารไปเลี้ยงเซลล์ในอวัยวะต่างๆได้อย่างสมบูรณ์

แพทย์แผนปัจจุบัน ให้ความสนใจในการนำหลัก เอนไซม์บำบัด มาใช้กับผู้ป่วยในหลาย ๆ โรค เช่น โรคเบาหวาน เอนไซม์ บางชนิด ช่วยไปยับยั้ง การเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง เซลล์เนื้องอกได้ ้ดังเช่นตรีผลาของหมอโบราณใน สมัยพุทธกาล จึงเป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่คุณควรให้ความสนใจศึกษา ค้นคว้าเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มทางเลือกหนึ่งในกับการดูแลสุขภาพของคุณเองได้

ข้อมูล ทั่วไป: หนังสือ เอนไซม์ น้ำหมักชีวภาพเพื่อการพอเพียง
โดย ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์ุวงศ์ บรรณาธิการ
TEAY
โดย: Sornpraram    เวลา: 2016-6-8 06:28





ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2