รูปสลักที่เหมือนกับฟาโรห์นี้ค้นพบเมื่อราวปี ค.ศ.2010 บริเวณแอ่งวิกตอเรีย (Victoria Crater) ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 750 เมตร ลึก ประมาณ 70 เมตร ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เสนอว่าแอ่งอุกกาบาตนี้น่าจะมีความเก่าแก่ราวหนึ่งพันล้านปีมาแล้ว สิ่งที่น่าสนใจคือภาพที่ถ่ายมานั้นเมื่อลอง มองดูบริเวณผนังของหน้าผาของแอ่งรูปวงกลมแล้วก็จะพบว่าจุดหนึ่งของแหลมที่ยื่นเข้ามาในแอ่งนั้นมันมีสิ่งที่หน้าตาเหมือนกับรูปสลักฟาโรห์ไม่มีผิดเพี้ยนปรากฏให้เห็นอยู่!!
เมื่อลองวิเคราะห์ที่บริเวณนั้นก็จะเห็นได้ว่ามันเป็นภาพที่ดูแล้วคล้ายคลึงกับฟาโรห์ที่อยู่ในร่างของเทพเจ้าโอซิริส (Osiris) ประทับยืนขาแนบชิดติดกัน โดยที่ศีรษะสวมมงกุฎขาว (White Crown) ซึ่งสื่อถึงดินแดนอียิปต์บน (Upper Egypt) ทางตอนใต้ของประเทศอียิปต์ นอกจากนั้น เมื่อขยายภาพเข้าไปดูใกล้ๆยังปรากฏให้เห็นใบหน้าอย่างค่อนข้างชัดเจน อีกทั้งยังเสมือนว่ารูปสลักนั้น สวมเคราปลอม และยังมีเครื่องประดับพระศอตามแบบฉบับของชาวอียิปต์โบราณสวมเอาไว้อีกด้วย แต่จะเหมือนหรือไม่เหมือนอย่างไร ลองดูภาพประกอบแล้วตัดสินใจด้วยตัวของท่านเองแล้วกันนะครับ
ภาพต่อไปเป็นอีกหนึ่งลักษณะพิเศษที่น่าสนใจไม่แพ้รูปสลักฟาโรห์นั่นก็คือ “อักษรภาพ” (Hieroglyphs) ของชาวไอยคุปต์บนก้อนหินซึ่ง เป็นภาพที่ถ่ายได้โดยยานคิวริออซิตีและออกข่าวเมื่อปลายปี ค.ศ.2014 ที่ผ่านมา
ภาพที่ว่านี้เรียกได้ว่าสามารถสร้างความฮือฮา ได้มากทีเดียวครับ เพราะมันเป็นภาพของก้อนหินบนดาวอังคารที่คล้ายกับถูกสลักเป็นรูปมนุษย์ นั่นทำให้ทั้งนักวิชาการและนักวิชา เกิน หลายฝ่ายได้เสนอทฤษฎีออกมามากมาย ข่าวได้เสนอเกี่ยวกับก้อนหินที่ค้นพบนี้ว่ามันน่าจะถูกสลักให้เป็นรูปคนอย่างจงใจ และอาจจะเป็นไปได้ด้วยว่าอักษรภาพนั้น เกิดจากการสกัดโดยใช้ของมีคมบางประเภท และเมื่อลองนำเอาภาพบนหินดังกล่าวไปเทียบกับภาพสลักของอารยธรรมอียิปต์โบราณก็พบว่ามันมีความคล้ายคลึงกับอักขระของชาวไอยคุปต์เสียด้วยสิ
ซึ่งถ้าได้ลองดูรูปสลักบนหินนี้อย่างชัดๆอีกครั้งหนึ่งจากมุมมองของนักอียิปต์วิทยาก็คงจะบอกว่ามันไม่ได้คล้ายคลึงกับภาพคนในอักษรภาพของชาวไอยคุปต์สักเท่าไรครับ เพราะว่าภาพนี้แสดงคนในลักษณะหัวกลมๆ โดยมีลำตัว แขนและขาในลักษณะของก้างปลาเสียมากกว่า ซึ่งชาวไอยคุปต์ไม่ได้สลักรูปคนในลักษณะนี้แต่อย่างใด
แต่ถึงจะไม่ได้คล้ายคลึงกับอักษรภาพของชาวอียิปต์โบราณ ภาพนี้ก็ช่างเหมือนกับภาพคน ที่มนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์บนโลกของเราวาดลงบนผนังถ้ำเป็นอย่างมาก
สำหรับภาพต่อไปเป็นอีกหนึ่งเครื่องรางสำคัญ ของชาวไอยคุปต์นั่นก็คือ “อังค์” (Ankh) ครับ อังค์ถือได้ว่าเป็นเครื่องรางยอดฮิต อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตด้วยครับ นั่นจึงทำให้ไกด์นำเที่ยวที่อียิปต์ส่วนใหญ่จะบอกว่ามันคือ “กุญแจแห่งชีวิต” (Key of Life) ซึ่งก็แล้วแต่จะเรียกครับ กล่าวกันว่าอังค์นั้นเป็นต้นแบบให้กับสัญลักษณ์ไม้กางเขนในศาสนาคริสต์ด้วยเช่นกัน แต่ที่แน่ๆก็คือในเชิงวิชาการแล้วนั้นต้นแบบทางกายภาพของอังค์ที่แท้จริงคือ “เชือกผูกรองเท้า” (Sandal Strap) ครับ
นักอียิปต์วิทยาเสนอว่าคนที่ถืออังค์ได้จะมีเพียงแค่เทพเจ้าหรือไม่ก็องค์ฟาโรห์เท่านั้น เพราะต้องการสื่อว่าผู้ที่มีอำนาจในการให้หรือปลิดชีวิตใครก็ตามอยู่ที่บัญชาของเทพเจ้าและองค์ฟาโรห์นั่นเองครับ สิ่งที่น่าสนใจก็คือเจ้า “อังค์” ที่ว่านี้มันไปโผล่อยู่บนดาวอังคารด้วยครับ!! โดยเจ้ายานคิวริออซิตีที่ไปปฏิบัติการอยู่บนดาวอังคารได้ส่งภาพปริศนานี้มา และมันก็ได้รับการอัพโหลดลง ยูทูบ (YouTube) ไปเมื่อเดือนมกราคม ค.ศ.2015 ที่ผ่านมานี้เองครับ
ภาพที่ปรากฏให้เห็นอยู่บนชั้นหินก็คือสัญลักษณ์ที่ดูยังไงก็เหมือนกับอังค์ไม่มีผิดเพี้ยน ด้วยสิ่งนั้นมีวงกลมด้านบนเชื่อมติดกับเส้นตรงแนวขวาง และด้านล่างมีเส้นตรงแนวตั้งอีกเส้นหนึ่งลากยาวลงมา ทำให้ดูยังไงก็ไม่ผิดเพี้ยนไปจากอังค์แน่ๆ และ ถ้านั่นคืออังค์จริงๆ ก็น่าสนใจเหมือนกันครับว่าเหตุใดมันจึงไปปรากฏอยู่บนชั้นหินของดาวอังคารแบบโดดเดี่ยวไร้ซึ่งอักขระตัวอื่นเคียงข้างเช่นนั้น
ส่วนภาพสุดท้ายที่จะนำเสนอกันในครั้งนี้เพิ่งปรากฏให้เห็นเมื่อปลายเดือนมิถุนายน ค.ศ.2015 ที่ผ่านมานี้เองครับ ด้วยเป็นสิ่งที่ดูแล้วเชื่อว่าทุกคนที่เห็นภาพนี้ย่อมต้องนึกถึงอียิปต์โบราณเป็นเสียงเดียวกันอย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่ค้นพบบนพื้นผิวดาวอังคารนั้นก็คือ “พีระมิด” ครับ
ข่าวเกี่ยวกับพีระมิดปริศนานอกโลกองค์นี้ ได้เสนอว่ายานคิวริออซิตีได้ค้นพบแบบจำลองมหาพีระมิดของอียิปต์บนดาวอังคารและนั่นอาจจะหมายความว่าดาวอังคารเคยมีอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ถือกำเนิดขึ้นมาก่อนโลกก็เป็นได้!!
แต่ถึงแม้ว่าพีระมิดในอียิปต์โบราณจะมีมากมายถึง 118 องค์ และพีระมิดที่ใหญ่ที่สุดในเมือง กิซา (Giza) จะสูงถึงราว 147 เมตร ทว่าพีระมิดที่ยานคิวริออซิตีค้นพบนี้กลับมีขนาดเพียงแค่เท่ากับ “รถยนต์” คันหนึ่งเท่านั้นเอง แต่กลุ่มที่สนับสนุนทฤษฎีสมคบคิดก็ได้เสนอว่าถึงแม้ขนาดที่ค้นพบในภาพถ่ายจะไม่ได้ใหญ่ไปกว่ารถยนต์ เราก็ยังปฏิเสธไม่ได้ว่าบางทีภาพที่เห็นมันอาจจะเป็นเพียงแค่ “ส่วนยอด” ของพีระมิดขนาดมหึมาที่ฝังตัวอยู่ใต้พื้นผิวอันกว้างใหญ่ของดาวอังคารก็เป็นได้
ถ้าลองมาฟังความเห็นของทั้งสองฝ่ายก็ต้องบอกว่าแต่ละฝั่งล้วนมีเหตุผลของตัวเองมาอ้างครับ ทางฝ่ายทฤษฎีสมคบคิดก็บอกว่าจากภาพที่เห็นนี้มันคือพีระมิดอย่างแน่แท้ และมันก็มีเหลี่ยมมุมที่ชัดเจนเหมือนถูกสร้างขึ้นมาอย่างจงใจ แต่ทางนักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการก็เสนอว่าพีระมิดนั้นอาจจะไม่ได้เกิดจากความเพี้ยนของแสงและเงาก็จริง แต่กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะถูกสร้างขึ้นมาด้วยฝีมือของสิ่งมีชีวิตอันชาญฉลาดนอกโลกแต่อย่างใด และมันก็อาจจะเป็นเพียงแค่หินตามธรรมชาติที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับพีระมิดเท่านั้นเอง
ถ้าความผิดปกติที่จับภาพได้บนพื้นผิวดาวอังคารทั้ง 4 ครั้งเป็นของชาวอียิปต์โบราณจริงๆแล้วล่ะก็ ชาวไอยคุปต์ก็ควรจะต้องมีตำนานหรือความเชื่อที่เกี่ยวกับดาวอังคารด้วยเช่นกัน ถ้าพูดถึงเรื่องของดาวอังคารในอารยธรรมโบราณแล้ว ดูเหมือนว่าอารยธรรมที่เชื่อมโยงดาวสีแดงดวงนี้เข้ากับอาณาจักรของพวกเขาชัดเจนที่สุดคืออาณาจักรโรมันเพราะพวกเขาได้ทำการเชื่อมโยงดาวอังคารเข้ากับเทพเจ้ามาร์ส (Mars) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม เทียบเท่ากับเทพแอรีส (Ares) ในตำนาน ของชาวกรีก แต่ถ้าว่ากันตามความเชื่อของชาวไอยคุปต์แล้วนั้น พวกเขาไม่ได้มีตำนานที่เกี่ยวข้องกับดาวอังคารเลยครับ ถึงแม้ว่าเราจะทราบว่าพวกเขาเรียกดาวอังคารว่า “เฮรเดเชร” (Hr dSr) ซึ่งแปลว่า “ฮอรัสแดง” (Horus the Red) เปรียบกับสีของดาวอังคาร แต่กระนั้นก็ไม่เคยปรากฏตำนานที่ว่าพวกเขาเคยไปอยู่ที่ดาวอังคารมาก่อน หรือแม้แต่เคยมีบรรพบุรุษอาศัยอยู่ที่ดาวดวงนั้นแต่อย่างใดครับ
โดยสรุปแล้ว ถึงแม้ว่าเราจะค้นพบร่องรอยของอารยธรรมไอยคุปต์บนดาวอังคารถึง 4 ชิ้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าดาวอังคารจะเคยมีอารยธรรมที่ก้าวหน้ากว่ามนุษย์อาศัยอยู่เมื่อหลายล้านปีก่อนจริงๆแต่อย่างใด เพราะความผิด ปกติที่ค้นพบนั้นมันดูโดดเดี่ยวผิดวิสัยที่ชาวไอยคุปต์มักจะสลักอักขระหรือรูปปั้นต่างๆในงานศิลปะและสถาปัตยกรรมเอาไว้เป็นกลุ่มก้อนมากกว่า นั่นจึงทำให้เราปักใจเชื่อได้ยากว่าภาพพิศวงที่ยานสำรวจบนดาวอังคารถ่ายมาได้จะเป็นร่องรอยของบรรพชนแห่งอารยธรรมไอยคุปต์จริงๆ
ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าคำตอบที่มีความเป็นเหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์มากที่สุดในขณะนี้ก็คือภาพเหล่านั้นมันเป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่เรียกว่า “แพริโดเลีย” (Pareidolia) ซึ่งทำให้เราเห็นสิ่งต่างๆเป็นใบหน้ามนุษย์หรือคล้ายคลึงกับสิ่งที่เราคุ้นชิน ทั้งๆที่เมื่อได้ลองวิเคราะห์สิ่งเหล่านั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว มันกลับไม่ได้เกี่ยวข้องกับภาพที่ถูกสร้างขึ้นมาในจินตนาการของเราเลยแม้แต่น้อยเท่านั้นเองล่ะครับ.
โดย : ณัฐพล เดชขจร
ทีมงาน นิตยสาร ต่วย'ตูน
majoy ตอบกลับเมื่อ 2016-1-2 21:32
เป็นอะไรที่น่าค้นหานะนี่
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2016-1-6 14:57
จะไปค้นหาที่ไหน
majoy ตอบกลับเมื่อ 2016-1-6 21:57
เขาว่า กัญชา ทำให้เราลอยได่ เดี๋ยวไปสูบแถวเขากะลา เผื่อติดต่อกับอารยธรรมลี้ลับได้ครัช
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) | Powered by Discuz! X3.2 |