Baan Jompra
ชื่อกระทู้:
เจดีย์ปรัมบานัน
[สั่งพิมพ์]
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2013-7-10 09:25
ชื่อกระทู้:
เจดีย์ปรัมบานัน
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2013-7-10 09:34
ตำนาน-นิทานพื้นบ้าน เจดีย์ปรัมบานัน ยอกยาการ์ตา อินโดนีเซีย
ปรัมบานัน คือเทวสถานในศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซีย ตั้งอยู่ในเขตชวากลาง ห่างจากเมืองยอกยาการ์ตาไปทางตะวันออกประมาณ 18 กิโลเมตรตัววัดนั้นสร้างขื้นเมื่อราวปี พ.ศ. 1390 แต่หลังจากสร้างเสร็จได้ไม่นานตัววัดก็ถูกทอดทิ้งและถูกปล่อยให้ทรุดโทรมตามกาลเวลา จนเมื่อถึงปี
พ.ศ.2461(ค.ศ. 1918) จึงได้มีการเริ่มบูรณะวัดขึ้นมาการบูรณะของสิ่งก่อสร้างหลักสิ้นสุดลงเมื่อปี
พ.ศ. 2496 (ค.ศ. 1953) ในปัจจุบันพรัมบานันถูกยกย่องให้เป็นมรดกโลกและนับได้ว่าเป็นหนึ่งในศาสนสถานในศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ ตัววัดโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมและความใหญ่โตของปรางค์ซึ่งมีความสูงถึง 47เมตร ตำนานพื้นบ้านเกี่ยวกับเจดีย์ปรัมบานันกล่าวไว้ดังนี้
กาล ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ แคว้นปรัมบานันบนเกาะชวามีอาณาจักรอินดูที่มีอำนาจอยู่2แห่งคือ อาณาจักรเปิงกิงและอาณาจักรโบโกอาณาจักรเปิงกิงเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรื่อง และมีความอุดมสมบูรณ์ปกครองโดยกษัตริย์ที่ฉลาดหลักแหลมผู้มีนามว่าปราบู ดามาร์ โมโย ซึ่งมีโอรสเพียงองค์เดียวนามว่า เจ้าชาย ระเด่น บันดุง บอนโดโวโซส่วนอาณาจักรโบโกซึ่งเป็นเมืองขึ้นของณาจักรเปิงกิงปกครองโดยพระเจ้าปราบู โบโก ผู้ยะโสโอหังและโหดเหี้ยมดังยักษ์มารชอบกินเนื้อมนุษย์เป็นอาหารพระเจ้าปรา บู โบโกมีราชธิดาผู้มีความงดงามราวกับเทพธิดาจากสรวงสวรรค์นามว่าเจ้าหญิง โลโร จองกรัง
พระ เจ้าปราบู โบโกมีความต้องการที่จะรุกรานและยึดอาณาจักรเปิงกิงไว้ในอำนาจ จึงสมคบคิดกับอำมาตย์คู่ใจผู้โหดเหี้ยมไม่ต่างกันชื่อว่าอำมาตย์กูโปโล ทำการเกณฑ์ชายหนุ่มมาฝึกให้เป็นไพร่พลทหารและระดมทรัพย์สินของชาวบ้านเพื่อ ใช้ในการทำสงคราม
เมื่อ เตรียมการจนพร้อมสรรพแล้วจึงยกทัพเข้ารุกรานอาณาจักรเปิงกิงสงครามที่เกิด ขึ้นสร้างความเสียหายแก่ทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างมากโดยเฉพาะชาวเมืองเปิงกิง ต้องทนทุกข์ทรมารกับความยากจนและหิวโหย
เมื่อพระเจ้าดามาร์ โมโย รับรู้ถึงความลำบากของประชาชนจึงมีรับสั่งให้เจ้าชายระเด่นบันดุงยกทัพเข้า ต่อสู้กับพระเจ้าปราบูโบโกด้วยเหตุที่เจ้าชายระเด่นบันดุงเป็นผู้มีฤทธิ์เดช จึงสามารถสังหารพระเจ้าปราบูโบโกลงได้
อำมาตย์กูโปโลเมื่อเห็นกษัตริย์ ของตนถูกสังหารจึงถอยทัพกลับเข้าเมือง พร้อมทั้งแจ้งกับเจ้าหญิงโลโรว่าพระราชบิดาของนางได้ถูกสังหารโดยเจ้าชาย ระเด่นบันดุง ทำให้เจ้าหญิงโลโรเสียใจเป็นอย่างมาก
หลังจากมีชัยชนะต่อพระเจ้าปราบูโบโก เจ้าชายระเด่นบันดุง ก็ยกทัพติดตามอำมาตย์กูโปโลไปจนถึงในเมืองเมื่อพบเห็นเจ้าหญิง โลโรผู้งดงามราวกับนางฟ้าก็เกิดหลงรักอยากจะรับนางเป็นภรรยาแต่เจ้าหญิงโลโร ไม่ต้องการเนื่องจากเจ้าชายระเด่น บันดุงเป็นผู้ที่สังหารบิดาของตน จึงกำหนดเงื่อนไขขึ้นมาสองข้อ หากเจ้าชายสามารถทำตามเงื่อนไขนางจึงจะยอมแต่งงานด้วยเงื่อนไขข้อแรกคือให้ ขุดสระน้ำขนาดใหญ่ภายหลังได้ชื่อว่า ซูมูร์ จาลาตุนดา (sumur Jalatunda)เงื่อนไขที่สองคือ จะต้องสร้างเจดีย์ 1,000 องค์ให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งคืนเจ้าชายระเด่น บันดุงก็รับเงื่อนไขทั้งสองของนาง
เจ้าชายระเด่นบันดุง จึงสั่งการให้สร้างสระน้ำจนเสร็จอย่างรวดเร็วแล้วจึงเชิญให้เจ้าหญิง โลโรให้มาตรวจดู เมื่อมาถึงสระน้ำเจ้าหญิงโลโรก็ออกอุบายให้เจ้าชายลงไปว่ายน้ำให้ดูแล้วแอบ สั่งให้อำมาตย์กูโปโลนำก้อนหินมาถมเพื่อฝังร่างเจ้าชายระเด่นบันดุงไว้ใต้ สระน้ำแต่เจ้าชายระเด่นบันดุง สามารถร่ายคาถาป้องกันตนเองและหนีออกมาจากสระได้ได้อย่างปลอดภัยแล้วกลับไป หาเจ้าหญิงโลโรด้วยความโกรธแค้นแต่เมื่อได้เห็นใบหน้าอันงดงามของเจ้าหญิงก็ ทำให้คลายความโกรธลงเจ้าหญิงโลโรจึงทวงสัญญาข้อที่สองที่ให้เจ้าชายระเด่น บันดุงสร้างเจดีย์1,000องค์ให้เสร็จภายในคืนเดียวเจ้าชายจึงร่ายมนต์เรียก เหล่าภูติผีปีศาจให้มาช่วยสร้างเจดีย์ให้ทันเวลาแต่เจ้าหญิงโลโรไม่ต้องการ แต่งงานกับเจ้าชายระเด่นบันดุงจึงสั่งให้นางกำนัลทั้งหลายนำฟางข้าวไปเผาทาง ทิศตะวันออกเพื่อให้ท้องฟ้ามีสีแดงสว่างเหมือนกับเวลารุ่งเช้าเพื่อทำให้ไก่ ขันเหล่าภูติผีปีศาจปีศาจเมื่อเห็นว่าถึงเวลารุ่งเช้าแล้วจึงหยุดการทำงาน แล้วกลับไปรายงานเจ้าชายระเด่นบันดุงว่าไม่สามารถสร้างเจดีย์1,000องค์ให้ เสร็จทันเวลาได้แต่ได้สร้างเสร็จไปแล้ว 999 องค์ยังขาดแค่เพียงองค์เดียวเท่านั้น
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2013-7-10 09:30
เจ้าชายระเด่นบันดุง
รับรู้ด้วยญาณได้ว่าที่จริงแล้วยังไม่ครบกำหนดเวลาหนึ่งคืน แต่เป็นเพราะอุบายของเจ้าหญิงโลโรแต่ก็เรียกให้เจ้าหญิงโลโรมาตรวจนับเจดีย์ ทั้งหมด
เจ้าหญิงจึงแจ้งว่าเจดีย์ที่สร้างขึ้นไม่ครบตามสัญญาเพราะมีเพียง 999 องค์ดังนั้นนางจึงไม่ต้องแต่งงานด้วย
เจ้าชายระเด่นบันดุงรู้สึกโกรธมากที่ เจ้าหญิงโลโรไม่ยอมรับการขอแต่งงานของ แถมยังออกอุบายเพื่อทำร้ายและกลั่นแกล้งต่างๆเพื่อไม่ให้เจ้าชายทำตาม เงื่อนไขได้
จึงประกาศวาจาสิทธิ์ว่า..
“โลโร จองกรัง เอ๋ย! เจดีย์ที่ขาดอยู่อีก1องค์มันก็คือตัวเจ้าเองอย่างไรเล่า”
เมื่อ สิ้นคำวาจาสิทธิ์ร่างของเจ้าหญิงโลโร จองกรัง ก็เปลี่ยนไปกลายเป็นรูปปันหิน อีกทั้งบรรดานางกำนัลก็ต้องคำสาปให้เป็นสาวแก่ดูแลเจดีย์ไปจนสิ้นชีวิต
*ด้วยเหตุนี้คนในยุดก่อนจึงมีความเชื่อว่า หากใครพาคู่รักมาที่เจดีย์ปรัมบานันแห่งนี้ ความรักของทั้งคู่ก็จะสิ้นสุดลง
ที่มา
http://webboard.yenta4.com
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2013-7-10 09:42
รูปปั้น โลโร จองกรัง
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2013-7-10 09:44
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2013-7-10 09:51
เทวาลัยที่แสดงให้เห็นถึงศรัทธาที่มนุษย์มีต่อศาสนาทำให้มนุษย์สามารถสร้างศิลปกรรมที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างน่าอัศจรรย์
(เมื่อมนุษย์ศรัทธาในตัวเองและเชื่อมั่นในตัวเอง
แล้วโชคชะตาจะทำอะไรได้
)
ศรัทธานั้นเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้มนุษย์สร้างสรรค์สิ่งมหัศจรรย์ขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ
พราหมณ์บานัน
นครหลวงอาณาจักรชวาโบราณ
ประวัติการสร้างเทวสถานแห่งนี้มีว่า
แผ่นดินชวาโบราณมีเมืองใหญ่อยู่
4
เมือง
เมืองกาหลังนั้นมีพระเจ้าแผ่นดินที่มีอานุภาพมากมีนามว่า
เทวกสุมา
ได้ส่งลูกไปเรียนศาสนาฮินดูที่อินเดีย
เมื่อกลับมาได้เจ้าหญิงอินเดียเป็นชายา
กลับมายังชวาพร้อมด้วยทหารและช่างที่มีฝีมือทางสลักหินจำนวนมาก
ทำให้ดินแดนชวานั้นรุ่งเรืองด้วยศาสนาฮินดู
ลายจำหลักทีมีเอกลักษณ์เฉพาะของพรัมบะนัน
คือเป็นรูปสิงห์อยู่ในซุ้ม
มีต้นกัลปพฤกษ์อยู่สองข้าง
โคนต้นกัลปพฤกษ์มีรูปกินรีและกินนร
เหนือซุ้มเป็นลายพันธ์พฤกษา
มีแม่ลายขมวดเข้าหากันตรงกลาง
ลายนี้อาจเป็นต้นเค้าของหน้ากาลในยุคต่อมา
(วิบูลย์
ลี้สุวรรณ)
ต้นกัลพฤกษ์บางแห่งมีรูปสัตว์ต่างๆเช่น
ปลา
ช้าง
กวาง
ลิง
นกยูง
ผนังรอบลานทักษิณชั้นบนแบ่งออกเป็นซุ้มๆ
แต่ละซุ้มมีรูปเทวดาหรือรูปเทพธิดาสามองค์
ระหว่างซุ้มมีภาพจำหลัก
62
ภาพ
เป็นรูปคนเริงระบำในหมู่ไม้
ภาพเหล่านี้ได้รับอิทธิพลจากศิลปะอินเดีย
และยังมีภาพจำหลักเรื่องรามยณะหรือรามเกียรติ์ยุคเก่าจากคัมภีร์หนึ่งของอินเดียที่สูญหายไปแล้วจำนวน
24
รูป
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2013-7-10 09:46
รอบฐานชั้นบนมีภาพพระอิศวรหรือพระศิวะ
24
ภาพ
แสดงถึงเทพผู้รักษาทิศ
17
องค์
เรียงจากทิศตะวันออกไปทางทิศใต้
ตะวันตก
และเหนือ
ทิศละองค์บ้าง
สององค์บ้าง
ส่วนเทวาลัยพระนารายณ์
และเทวาลัยพระพรหม
นั้นมีรูปแบบคล้ายคลึงกับเทวาลัยพระศิวะคือ
ผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
หลังคาประดับด้วยรูปอาคารจำลอง
รูปร่างคล้ายเจดีย์
แต่ลายเส้นแบ่งออกเป็นซี่ๆคล้าย อมลกะ
หลังคามีเส้นรอบนอกเป็นรูปโค้งสูงตามแบบศิลปะอินเดียเหนือ
เทวสถานประธานทั้งสามองค์มีลักษณะโดยรวมคล้ายคลึงกัน
แต่เทวาลัยพระพรหมและพระนารายณ์มีขนาดเล็กกว่า
และการตกแต่งก็มีภาพจำหลักเช่นเดียวกัน
แต่เนื้อเรื่องต่างกันไป
กลุ่มเทวาลัยพรัมบานัน
เทวสถานทั้งหมดตั้งอยู่ในกำแพงสีเหลี่ยมจัตุรัส
3
ชั้น
แต่ละชั้นมีประตูทุกทิศ
ลานชั้นในสุดมีพื้นที่
110
ตารางเมตร
ชั้นกลาง
222
ตารางเมตร
ชั้นนอก
กว้าง
ยาว
ด้านละ
390
ตารางเมตร
ชั้นในและชั้นกลางมีศูนย์กลางร่วมกันและอยู่ค่อนไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกำแพงชั้นนอก
บริเวณศูนย์กลางประกอบด้วยเทวาลัยขนาดใหญ่สามองค์
องค์กลางเป็นเทวาลัยของพระศิวะหรือพระอิศวร
ทิศใต้เป็นเทวาลัยของพระพรหม
และทิศเหนือเป็นเทวาลัยของพระวิษณุหรือพระนารายณ์
ตรงข้ามเทวาลัยพระศิวะมีเทวาลัยขนาดเล็กประดิษฐานรูปโคนันทิ
และยังมีเทวาลัยขนาดเล็กอีกสององค์
ทั้งสามองค์หันหน้าไปทางทิศตะวันตก
เทวาลัยพรัมบานันนี้สร้างขึ้นตามคติ
ตรีมูรติ
ในศาสนาพราห์มที่นับถือเทพผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง
3
องค์ได้แก่
พระพรหมผู้สร้าง
พระวิษณุผู้รักษา
และพระศิวะผู้ทำลาย
คตินี้เป็นรากฐานปรัชญาที่ว่า
สรรพสิ่งเกิดขึ้น
ดำรงอยู่
แล้วดับไป
เทวาลัยทั้งสามสร้างอุทิศถวายแด่เทพเจ้าทั้งสาม
พรัมบานันเป็นเทวาลัยที่ยิ่งใหญ่ของศาสนาพราหมณ์
มีคความมหัศจรรย์ไม่น้อยหน้า
บุโรบุโดร์
มหาเจดีย์ที่ยิ่งใหญ่ของพุทธศาสนาที่อยู่ไม่ไกลกัน
ประมาณว่าเริ่มสร้าง
พ.ศ.1300
(ก่อนการสร้างปราสาทนครวัด
300
ปี)
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2013-7-10 09:49
1.
อาณาจักรศรีวิชัย
หรือ
อาณาจักรศรีโพธิ์
เกิดในปี(
พ.ศ. 1202
- ราวพุทธศตวรรษที่ 18)ก่อตั้งโดย
ราชวงศ์ไศเลนทร์
ในช่วงที่
อาณาจักรฟูนัน
ล่มสลาย มีอาณาเขตครอบคลุม
มลายู
เกาะชวา
เกาะสุมาตรา
ช่องแคบมะละกา
ช่องแคบซุนดา
และบริเวณภาคใต้ของ
ประเทศไทย
พื้นที่อาณาจักรแบ่งได้สามส่วน คือส่วน
คาบสมุทรมลายู
เกาะสุมาตรา
และ
หมู่เกาะชวา
โดยส่วนของชวาได้แยกตัวออกไปตั้งเป็น
อาณาจักรมัชปาหิต
ต่อมาเมื่ออาณาจักรศรีวิชัยอ่อนแอลง อาณาจักรมัชปาหิตได้ยกทัพเข้ามาตีศรีวิชัย ได้ดินแดนสุมาตราและบางส่วนของคาบสมุทรมลายูไป และทำให้ศรีวิชัยล่มสลายไปในที่สุด ส่วนพื้นที่คาบสมุทรที่เหลือ ต่อมาเชื้อพระวงศ์จาก
อาณาจักรเพชรบุรี
ได้เสด็จมาฟื้นฟูและตั้งเป็น
อาณาจักรนครศรีธรรมราช
2.
หลวงจีนอี้จิง
เคยเดินทางจาก
เมืองกวางตุ้ง
ประเทศจีน
โดยเรือของพวกอาหรับ ผ่านฟูนันมาพักที่อาณาจักรศรีวิชัยในเดือน 11
พ.ศ. 1214
เป็นเวลา 2 เดือน ก่อนที่จะเดินทางต่อผ่าน
เมืองไทรบุรี
ผ่านหมู่เกาะคนเปลือยนิโคบาร์ ถึงเมืองท่า ตามพรลิงก์ที่อินเดีย เพื่อสิบทอด
พระพุทธศาสนา
หลวงจีนอี้จิงบันทึกไว้ว่า
พุทธศาสนา
แบบมหายานเจริญรุ่งเรืองใน
อาณาจักรศรีวิชัย
ประชาชนทางแหลมมลายูเดิมส่วนใหญ่นับถือ
พระพุทธศาสนา
แต่ก็ได้ติดต่อกับพ่อค้าอาหรับมุสลิม ที่เดินทางผ่านเพื่อไปยังประเทศจีน ดังนั้นในเวลาต่อมาศาสนาอิสลามจึงได้เผยแพร่ไปยังมะละกา กลันตัน ตรังกานู ปาหงะ และ ปัตตานี จนกลายเป็นรัฐอิสลามไป ต่อมาใน
พ.ศ. 1568
( วิกิพีเดีย )
3.
พุทธศตวรรษที่ 13อาณาจักรเจนละได้ถูกกษัตริย์ชวาจากราชวงศ์ไศเลนทร์แห่งอาณาจักรชวาภาคกลางรุกรานสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 1นั้นอาณาจักรเจนละนั้นได้แตกแยกเป็นพวกเจนละบกคืออยู่ลุ่มน้ำศตวรรษโขงตอนใต้ และพวกเจนละน้ำ อยู่ในดินแดนลาวตอนกลาง ส่วนของเจนละน้ำนั้นถูกชวายึดครองได้นอกจากนี้อาณาจักรชวายังได้นำตัวรัชทายาทคือ เจ้าชายวรมันที่ 2ไปเป็นตัวประกันที่อาณาจักรชวาอีกด้วย
4.
ราชวงศ์ที่ปกครองศรีวิชัยคือราชวงศ์ไศเลนทร์ ปกครองตลอดทั่วไปในแหลมมลายูลงไปถึงเกาะต่างๆศรีวิชัยมั่งคั่งทางเศรษฐกิจเพราะสามารถควบคุมช่องแคบมะละกาได้ เรือที่ผ่านไปมาต้องแวะพักจอดเรือตามเมืองท่าต่างๆ ของแค้วนศรีวิชัย ศรีวิชัยมีความสัมพันธ์กับประเทศจีนเป็นอย่างดี มีการส่งคณะทูตไปเจริญสัมพนธ์ไมตรีกับจีนเป็นระยะๆ ประมาณ 12 ครั้ง และใน พ.ศ. 1536เคยขอความช่วยเหลือจากจีนให้ช่วยปราบกองทัพของชวาที่ยกมารุกราน และใน พ.ศ. 1550ศรีวิชัยได้ทำสงครามกับแคว้นมะทะรัม ซึ่งอยู่ในชวากลาง และได้รับชัยชนะจึงมีอำนาจเหนือมะทะรัม
กลางพุทธศตวรรษที่ 16 ทำสงครามกับพวกโจละ (
Chola อยู่ทางตะวันออกของอินเดีย) เพราะโจละจะเข้าแย่งชิงผลประโยชน์ทางการค้าแถบแหลมมลายูไปจากศรีวิชัย การรบดำเนินมาหลายปี ที่สำคัญเกิดขึ้นในพ.ศ. 1568 แถบเมืองตักโกละ(ตะกั่วป่า หรือ ตรัง) เคดาห์ตูมาสิก (สิงคโปร์) ลังกาสุคะนครศรีธรรมราช ไชยาแม้จะยึดครองศรีวิชัยไม่ได้แต่สงครามครั้งนี้มีผลให้บรรดาเมืองต่างๆที่เคยขึ้นต่อแคว้นศรีวิชัยกระด้างกระเดื่องจนถึงขั้นยกทัพมาชิงดินแดนบางแห่ง เช่นพระเจ้าไอร์ลังคะ แห่งแคว้นเคดีรีในชวาตะวันออก ผลจากการทำสงครามกับโจละทำให้ศูนย์กลางจากศรีวิชัยย้ายจากเมืองไชยาไปอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช ต่อมาอำนาจทางการปกครองของศรีวิชัย เปลี่ยนจากราชวงศ์ไศเลนทร์ไปเป็นราชวงศ์ปทุมวงศ์ กษัตริย์ของศรีวิชัยราชวงศ์ใหม่พยายามรักษาอิทธิพลบนแหลมมลายูไว้รวมทั้งช่องแคบและหมู่เกาะ
http://www.kwc.ac.th/0e-book%20ThaiKingdom/10ANaJatBoRan2.htm
ที่มา..
http://www.bloggang.com
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/)
Powered by Discuz! X3.2