Baan Jompra
ชื่อกระทู้:
ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด
[สั่งพิมพ์]
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2015-11-16 05:56
ชื่อกระทู้:
ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด
ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด
ศ.นพ.อมร ลีลารัศมี อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อและยาต้านจุลชีพ
ปัจจุบันเรามักได้ยินข่าวการเสียชีวิตจากเหตุ “ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด” อยู่บ่อยครั้ง เกิดเป็นข้อสงสัยสำหรับใครหลายคนว่า ติดเชื้อในกระแสเลือดคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และสามารถป้องกันได้หรือไม่
ความหมายของ “ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด”
ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด หมายถึง การที่มีเชื้อก่อโรคในกระแสเลือดซึ่งสามารถตรวจพบได้ด้วยวิธีการเพาะเชื้อหรือวิธีการพิเศษต่างๆ เช่น เทคนิกทางโมเลกุล โดยทั่วไป ร่างกายเกิดการติดเชื้อขึ้นที่ส่วนใดส่วนหนึ่ง แล้วเชื้อก่อโรคนั้นหลุดเข้าสู่กระแสเลือด ก่อให้เกิดการอักเสบติดเชื้อที่บริเวณส่วนอื่นของร่างกายหรือทั่วทั้งร่างกาย หากเชื้อมีความรุนแรงมาก อาจพัฒนาไปสู่ภาวะช็อก และการทำงานของอวัยวะภายในต่างๆ ล้มเหลว มีอันตรายถึงชีวิต จึงจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เชื้อดังกล่าวได้แก่ จุลชีพต่าง ๆ เช่น เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ซึ่งการติดเชื้อทุกส่วนของร่างกายสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ทั้งสิ้น
ทั้งนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การพบเชื้อในกระแสเลือดกับการติดเชื้อในกระแสเลือดนั้นไม่เหมือนกัน กล่าวคืออาจมีการตรวจพบเชื้อในกระแสเลือด แต่ถ้าเชื้อนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดโรคหรืออาการผิดปกติใดๆ อย่างนี้ไม่นับว่าติดเชื้อในกระแสเลือด ในภาวะปกติร่างกายจะมีกลไกการปราบเชื้อที่ปะปนอยู่ในกระแสเลือดอยู่แล้ว การติดเชื้อในกระแสเลือดจึงไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ในคนปกติที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง แต่มักพบภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดในผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วย หรือเชื้อมีความสามารถที่จะหลบหลีกการทำลายเชื้อโรคของร่างกายได้
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด
> ความเจ็บป่วย
ทำให้สุขภาพร่างกายอ่อนแอ ภูมิต้านทานต่ำ ไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคตับแข็ง เนื่องจากตับจะเป็นตัวกรองเชื้อโรคไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย เมื่อตับไม่สามารถทำงานได้ เชื้อโรคจึงสามารถผ่านเข้าไปในกระแสเลือดได้ง่ายขึ้น ผู้ที่ถูกตัดม้ามก็มีปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดได้ง่ายกว่าคนทั่วไปเช่นกัน
> การทำหัตถการต่างๆ
เช่น การสวนทวาร หรือการเสียบสายสวนปัสสาวะ ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น สำหรับผู้ป่วยที่มีภูมิต้านทานต่ำ ระบบภูมิคุ้มกันอาจไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคได้หมด จึงเกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดขึ้น ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังเรื่องการใส่เครื่องมือหรืออุปกรณ์ต่างๆ เข้าไปในร่างกายให้มาก เช่น ถ้าจำเป็นต้องให้น้ำเกลือเข้าหลอดเลือดดำผ่านทางสายยาง ก็ไม่ควรเสียบเข็มคาหลอดเลือดดำไว้นานเกิน 3-4 วันต่อครั้ง
> สาเหตุอื่นๆ
เช่น การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันในผู้เสพยาเสพติด ซึ่งนอกจากจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคผ่านทางเข็มฉีดยาแล้ว ในสารเสพติดยังมีเศษสิ่งสกปรกจำนวนมาก และอาจเกิดตะกอนหากละลายน้ำไม่ดี เมื่อตะกอนเหล่าเข้าสู่กระแสเลือด อาจไปบาดอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของหัวใจและปอด เกิดเป็นแผล และเมื่อมีเชื้อโรคไปจับที่แผลก็สามารถก่อให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีประเด็นของการรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดได้ เพราะเชื้อโรคบางอย่างความสามารถสูง สามารถเจาะผ่านเยื่อบุลำไส้เข้าไปในกระแสเลือดได้
อาการแสดง
เมื่อเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด ร่างกายจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อการติดเชื้อ เรียกว่า เป็นกลุ่มอาการตอบสนองต่อการอักเสบทั่วร่างกาย (Systemic inflammatory response syndrome; SIRS) ยกตัวอย่าง เช่น
- มีไข้สูงเกิน 38.3 องศาเซลเซียส บางรายอาจมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
- ชีพจรเต้นเร็วเกิน 90 ครั้งต่อนาทีในผู้ใหญ่
- หายใจเร็วเกิน 24 ครั้งต่อนาที ในผู้ใหญ่
- เม็ดเลือดขาวเพิ่มจำนวนมากขึ้น
นอกจากนั้นยังมีอาการจำเพาะที่ที่เกิดบริเวณอวัยวะที่ติดเชื้อ เช่น อาการปัสสาวะแสบขัด แสดงว่าอาจมีการติดเชื้อที่ระบบขับปัสสาวะ หรือมีอาการไอ เจ็บหน้าอก อาจหมายถึงการติดเชื้อที่ปอด เป็นต้น
การวินิจฉัยและรักษา
แพทย์จะวินิจฉัยจากลักษณะอาการของผู้ป่วย ร่วมกับการเจาะเลือดเพื่อนำไปเพาะหาเชื้อ ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 3-5 วัน แต่เนื่องจากการติดเชื้อในกระแสเลือดเป็นภาวะที่ฉุกเฉิน แพทย์จึงต้องอาศัยการวินิจฉัยเบื้องต้น และเลือกให้ยาต้านจุลชีพหรือยาปฏิชีวนะที่ครอบคลุมเชื้อที่น่าจะเป็นสาเหตุไว้ก่อน ซึ่งถ้าผู้ป่วยได้รับยาต้านจุลชีพที่ “ตรง” กับเชื้อในช่วง 1-2 ชั่วโมงแรกของการติดเชื้อ โอกาสรอดชีวิตก็จะยิ่งสูงขึ้น ในทางตรงกันข้ามหากผู้ป่วยได้รับยาที่ “ไม่ตรง” กับเชื้อ หรือได้รับยาช้าไป 4-5 ชั่วโมง ความเสี่ยงในการเสียชีวิตก็จะเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน ดังนั้นแพทย์จึงพิจารณาให้ยาที่ครอบคลุมที่สุด จากนั้นจึงค่อยปรับยาให้เหมาะสม หรือปรับเปลี่ยนยาให้ตรงกับเชื้อเมื่อทราบผลการเพาะเชื้อแล้ว
นอกจากการให้ยาต้านจุลชีพ แพทย์จะทำการรักษาแบบประคับประคองไปพร้อมๆ กันด้วย เช่น ฟอกไตเมื่อเกิดภาวะไตวาย ให้ออกซิเจน ให้เลือด ให้สารน้ำ ใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือพิจารณาให้ยาลดไข้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีไข้สูง เป็นต้น
การติดเชื้อในกระแสเลือดสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ซึ่งพื้นฐานการป้องกันที่ดีคือการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดยการออกกำลังกาย รับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ และพักผ่อนให้เพียงพอ หรือฉีดวัคซีนป้องกันโรคบางอย่าง นอกจากนี้ยังควรหมั่นสังเกตร่างกายของตนเองให้ดี หากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดปกติที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที อย่าชะล่าใจ เพราะทุกนาทีที่ผ่านไป อาจหมายถึงความเสี่ยงต่อชีวิตที่เพิ่มขึ้น
http://www.healthtoday.net/thailand/feature/feautre_150.html
โดย:
lnw
เวลา:
2015-11-17 05:51
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2015-12-22 06:47
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/)
Powered by Discuz! X3.2