เยี่ยมนรก โดย หลวงตาแพรเยื่อไม้ จัดพิมพ์ โดย ธรรมสภา วัตถุนิยมอันเป็นรากฐานของวิทยาการแผนใหม่ ได้ทำให้เรื่องสวรรค์ – นรกพังทลายลงไปเกือบไม่เหลือไว้ในความคิดคำนึงของคนปัจจุบัน เพราะถือว่าพิสูจน์ไม่ได้ บางลัทธิถึงกับเห็นว่าเป็นยาเสพติดให้โทษ ในทางธรรมเล่า ก็เกิดมีนักธรรมบางประเภท จัดเอานรกสวรรค์ เป็นอุปาทานอันร้ายกาจ ทำให้ไปนิพพานช้า เมื่อมีการพูดถึงนรกสวรรค์กันขึ้นมา ก็มักจะพูดถึงกันอีกทัศนะหนึ่ง เช่นในแง่เปรียบเทียบที่ไม่มีสาระอยู่ในตัวเอง นรกสวรรค์ตามทัศนะใหม่เอี่ยมนี้ จะต้องลูบคลำสัมผัสได้ ขึ้นนรกตกสวรรค์กันอย่างทันตาเห็น หากใครไปพูดถึงนรกสวรรค์ตามความหมายเดิมซึ่งมีอยู่ในคัมภีร์พระศาสนา ก็ถูกจัดเป็นบุคคลประเภท “หัวเก่า” ล้าสมัย นี่คือการพังทลายของนรกสวรรค์ ก็เมื่อนรกสวรรค์พังทลาย หรือได้ถูกแปลงรูปไปเสียแล้วเช่นนี้ รากฐานแห่งจรรยาของมนุษย์คือ หิริโอตตัปปะและศรัทธาอันบริสุทธิ์ ก็พลอยแปรปรวนไปด้วย เป็นเหตุให้คนเราอายชั่วกลัวบาปกัน อีกแบบหนึ่ง คือจะอายและเกรงกลัวกันก็ต่อเมื่ออยู่ในที่แจ้งเท่านั้น ส่วนศรัทธาในความดีเล่า ก็ไม่นิยม “ปิดทองหลังพระ” ไม่ยอมทำความดีในที่ลับ เหตุนี้จึงทำให้มีป้ายและคำโฆษณาของนักบุญมากมาย นี่แหละจรรยาของนักบุญยุคใหม่ ยุคที่นรกสวรรค์ถูกลืมและเยาะเย้ย แม้นรกสวรรค์จะถูกลืม และคัมภีร์พระศาสนา เช่น เนมิราชชาดก หรือมาลัยสูตร จะไม่ได้รับการคารวะนับถือจากนักศึกษารุ่นใหม่ แต่ก็ยังมีประสบการณ์จากบางคน ซึ่งเกิดมาพ้องตรงกันกับเหตุการณ์ หรือเนื้อหาที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ หลวงตาขอเชิญท่านพิจารณาเรื่องดังต่อไปนี้ เด็กหญิงลัดดา อินทรวิจิตร อายุย่าง ๑๔ ปี อยู่กับคุณปู่คุณย่าของเธอ ที่บ้านเลขที่ ๓๔ ตรอกพระยาไม้ ติดกับวัดหลวงตา มาตั้งแต่อายุ ๖-๗ ขวบ ตามปกติคุณย่าของเธอ (นางวงษ์ จูงใจ) เป็นคนใจบุญ ทำบุญใส่บาตรเป็นประจำในตอนเช้า ตอนเพลก็จัดปรุงอาหารถวายพระตามกุฏิต่างๆ โดยให้เด็กหญิงลัดดาผู้นี้บ้าง คนในบ้านบ้าง ตนเองบ้าง นำไปถวาย และมิเพียงแต่พระเจ้าพระสงฆ์เท่านั้น ยังเผื่อแผ่ไปถึงสัตว์นานาชนิด เช่น แมว สุนัข ไก่ นก (กระจอก) กา ทั้งในบ้านและที่วัด โดยเฉพาะรอบกุฏิของหลวงตา แมว สุนัข และนกกระจอกอุดมสมบูรณ์ ผู้มีหน้าที่นำมาเลี้ยงก็คือเด็กหญิงลัดดาผู้นี้ พระเณรมักจะสัพยอกเธอ โดยตั้งสมญาว่า “เทพีข้าวแมว” บ้าง “กี๋” บ้าง ซึ่งเธอก็ไม่เคยโกรธ นอกจากนี้ยังปรากฏว่าคุณย่ามีความเข้มงวดกวดขันในเรื่องจรรยามารยาทของเธอมาก อบรมให้นอบน้อมพระเจ้าพระสงฆ์ และผู้หลักผู้ใหญ่ ขยันขันแข็งในกิจบ้านการครัวอย่างเกือบจะผิดวิสัยเด็ก ต้องตื่นแต่เช้ามืดเข้าครัวหุงต้มและรีบไปจ่ายตลาด เพื่อกลับมาจัดปรุงอาหารให้ทันใส่บาตรพระ เสร็จจากงานครัวและใส่บาตรแล้วก็นำหนังสือพิมพ์ ไปถวายให้พระเณรในวัดได้อ่าน หลายกุฏิ ขุนสุนัข เลี้ยงแมว เอาข้าวสารไปหว่านโปรยเลี้ยงนก ตามที่ต่างๆ จากนั้นก็ประกอบงานอาชีพโดย คุณย่าได้จัดปรับปรุงในด้านติดถนนเป็นบริการเสริมสวย และฝึกปรือเธอให้รู้จักศิลปะเสริมความงาม เมื่อคิดถึงอายุของเธอแล้ว ก็นับว่ามีฝีมือน่าชมทีเดียว ลูกค้าของเธอมากเหมือนกัน มาเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๑๐ เช้ามืดเธอนอนไม่ตื่น ถึงคุณย่าจะปลุกด้วยวิธีรุนแรงเธอก็นอนเงียบ คุณย่าแปลกใจเพราะปกติเด็กหญิงลัดดาไม่เคยดื้อและเกรงกลัวอยู่ เมื่อสัมผัสถูกต้องเนื้อตัวดู เย็นชืด เมื่ออุ้ม ก็อ่อนปวกเปียก คุณย่าตกใจ จึงปลุกสามี (ส.ต.อ. ผาด จูงใจ) ให้ลุกขึ้น แล้วก็ช่วยกันแก้ไข ปฐมพยาบาล คลำชีพจรไม่เต้น เอาสำลีรอจมูก ไม่มีลมผ่าน, ตกลงนำส่งโรงพยาบาลศิริราช เมื่อแพทย์รับไว้และทำการแก้ไขพยาบาล ส.ต.อ.ผาด กับเพื่อนคนหนึ่งก็อยู่เฝ้าไข้หลานจนเวลาผ่านไปประมาณ ๙.๓๐ น. จึงพื้น อาการแรกที่เธอฟื้น เธอได้ร้องว่า “หนูกลัวแล้ว อย่าทำหนูเลย” สองสามครั้ง มีอาการตัวสั่นหวาดกลัว ส.ต.อ.ผาด เห็นดังนั้นจึงพูดปลอบ “ปู่อยู่กับหนูที่นี่ หนูไม่ต้องกลัวอะไร.....” เธอหยุดร้อง ลืมตาแล้วก็หลับไป หายใจเหนื่อยหอบตัวสั่นเทา คุณปู่จึงถามหลานว่า “หนูกลัวอะไรหรือ ? ที่นี่ไม่มีใครมาทำอะไรหนูได้หรอก” เธอพูดทั้งๆ ยังหอบว่า “หนูเห็นคนรูปร่างใหญ่โต ถือไม้กระบอง หัวมีเขาสองเขาและอีก ๔-๕ คน หัวโพกผ้าแดงเข้ามาทางหน้าต่าง เข้ามาบีบคอหนู แล้วอุ้มหนูไป หนูเรียกให้ปู่ช่วย ปู่ก็ไม่ช่วย” เนื่องจากหลานยังเหนื่อยและตื่นเต้น คุณปู่จึงยังไม่รบกวนซักถามอีก ปล่อยให้นอนพักผ่อน และแพทย์ได้ให้น้ำเกลือในเวลาต่อมา ปล่อยให้นอนพักผ่อน และแพทย์ได้ให้น้ำเกลือในเวลาต่อมา จนเวลาล่วงไปถึงประมาณ ๑๕.๐๐ น. จึงตรวจอาการอีกครั้ง เห็นว่าปลอดภัยจึงอนุญาตให้นำกลับบ้านได้ เมื่อถึงบ้าน มีอาการหิว รับประทานอาหารแล้วก็หลับไปพักใหญ่ ครั้นตื่นขึ้น คุณปู่คุณย่าจึงช่วยกันสอบถามความทรงจำอันประหลาดของเธอ ต่อไปนี้ จะได้เรียบเรียงเรื่องราวในความจำของเธอโดยอาศัยบันทึกของ ส.ต.อ.ผาด จูงใจ คุณปู่ของเธอและหลวงตา ได้สอบถามเธอด้วยตนเองบ้าง ขอเรียบเรียงแต่ย่อๆ เท่าที่หน้ากระดาษจำกัด เมื่อเธอถูกอุ้มออกทางหน้าต่างไปแล้วถูกบังคับให้เดินไปในที่ที่ไม่เคยผ่าน เธอเห็นต้นไม้ประหลาดขึ้นอยู่มากมายเป็นป่าพืดไปทีเดียว ต้นไม้นั้นมันมีหนามแหลมคมเต็มไปหมด มีคนทั้งผู้หญิงผู้ชาย ล้วนแต่เปลือยกายพากันปีนป่ายขึ้นไป ถูกหนามแทงเลือดโซมกาย คนไหนกลัวเจ็บไม่ยอมขึ้น ก็มีคนข้างล่างคอยเอาหอกแทงกัน ต้องปีนขึ้นไปให้หนามเกี่ยวแทงเจ็บปวดร้องลั่น พอขึ้นไปสูงๆ ก็มีนกตัวใหญ่ ปากเป็นเหล็กบินมาจิกฉีกเนื้อออกเป็นชิ้นๆ เธอทนดูไม่ต้องต้องหลับตาเพราะเสียวสยอง เดินต่อไป ลืมตาขึ้นอีกครั้ง พบผู้ชายผู้หญิงหลายคนถูกมัดยืนอยู่ บนหัวมีกงจักรพัด คมจักรบาดหัวกระจุยกระจาย เลือดเนื้อสาดกระเซ็นเป็นวง เธอแข็งใจถามเขาว่าทำไมเป็นอย่างนี้ เขาบอกเธอว่า เมื่อเป็นมนุษย์อยู่ เขาเนรคุณทารุณพ่อแม่อย่างสาหัส จากนั้นก็ถึงศาลาหลังหนึ่งมีผู้หญิงแก้ผ้าอยู่บนนั้น กำลังใช้มือที่กำผ้าทุบอกตัวเอง แล้วก็ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด เธอถามว่าทุบอกทำไม ? นางบอกว่าเมื่อเป็นคน นางทารุณเฆี่ยนตีลูกตนเองและลูกเลี้ยงด้วยความเกลียดชัง ต่อไปก็พบ ปู่ของเธอเอง (มิใช่ ส.ต.อ.ผาด) ถูกมัดไว้ไม่มีผ้านุ่ง มีน้ำเลือดน้ำเหลืองไหลเฟะเยิ้มทั้งตัว ปู่บอกเธอว่าเมื่อยังมีชีวิตอยู่ได้เบียดเบียนรังแกทั้งคนและสัตว์ไว้มาก “หนูช่วยปู่ด้วย” แต่เธอช่วยปู่ไม่ได้ ถูกบังคับให้ผ่านปู่ไป ได้พบ เจ็กขายปลาที่ตลาดนกกระจอก (ตลาดสดข้างบ้าน) เธอจำได้เห็นกำลังถูกมัดให้นอนอยู่ มีหัวถูกผ่าออกเป็นสองซีก ผอมมีแต่หนังหุ้มกระดูก |
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) | Powered by Discuz! X3.2 |