Baan Jompra

ชื่อกระทู้: ตำนานพระราหู [สั่งพิมพ์]

โดย: Marine    เวลา: 2015-8-29 20:59
ชื่อกระทู้: ตำนานพระราหู

พระราหูคืออะไร


[attach]11934[/attach][attach]11935[/attach]








---เรื่องราวของพระราหู  ได้กลายเป็นปัญหาถกเถียงกันมานาน  แต่ยังหาข้อยุติไม่ได้ คัมภีร์เฉลิมไตรภพ ในวิชาโหราศาสตร์ กล่าวถึงเกล็ดตำนานของพระราหูไว้ว่า  เป็นเทวดาครองวิมานอยู่เหนือโลก  พระอิศวรทรงสร้างขึ้นมาจากหัวผีโขมดป่า  12  หัว  นำมาบดป่น ประพรมด้วยน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์  กลายเป็นเทพบุตรมีอำนาจอยู่ในสวรรค์  ต่อมาเหล่าเทวดาชุมนุมกัน กวนน้ำอมฤตได้ชักชวนพระราหูเทพบุตรร่วมกันทำน้ำศักดิ์สิทธิ์  แต่พระราหูแกล้งแชเชือนเถลไถลเสีย  





---เมื่อเหล่าเทวดากวนน้ำทิพย์เสร็จสิ้น  พระราหู  ได้แอบเข้าไปดื่มกิน  พระอาทิตย์  พระจันทร์  ไปพบเห็นเข้า จึงนำความไปฟ้องร้องพระนารายณ์  ผู้เป็นใหญ่ในแดนสวรรค์  พระองค์ทรงพิโรธขว้างจักรไปถูกพระราหูกายขาดออกเป็น 2 ท่อน  เดชะบุญที่ได้ดื่มกินน้ำอมฤตจึงไม่ตาย  คงล่องลอยอยู่ในชั้นฟ้า



---คนโบราณมีความเชื่อในเรื่องพระราหู  ไล่จับพระอาทิตย์  พระจันทร์ กลืนกิน  ดังนั้น คราใดที่เกิดสุริยุปราคา  จันทรุปราคาขึ้น ก็ชวนกันตีเกราะเคาะไม้  จุดประทัด  ยิงปืน  ให้เกิดมีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว  นัยว่าอาจทำให้พระราหูเกิดความกลัว  รีบคาย  พระอาทิตย์  พระจันทร์  จนกลายเป็นประเพณีสืบมาจนถึงปัจจุบัน   นอกจากนั้น พระไตรปิฏกในพระพุทธศาสนา   ก็กล่าวถึงเรื่อง  พระราหู  ไว้ในจันทิมสูตรและสุริยสูตร  ว่าด้วย พระราหู  พระอาทิตย์  พระจันทร์   ไว้ว่า



---สมัยเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า  ประทับอยู่ที่นครสาวัตถี  จันทิมเทวบุตร ถูกอสุรินทราหูจับกลืนกิน  จึงได้ขอให้พระองค์ช่วยเหลือให้พ้นภัยจากอำนาจพระราหู   พระองค์จึงร้องขอให้พระราหู ยุติการทำร้ายพระจันทร์  แต่พระราหูไม่ยอมฟัง  พระพุทธองค์จึงทรงสำแดงปาฏิหาริย์ขับคาถา  ทำให้พระราหูรีบคายพระจันทร์  ทำนองเดียวกับ  สุริยเทวบุตร  ถูกพระราหูไล่จับกลืนกิน พระพุทธองค์ก็ทรงช่วยเหลือให้พ้นภัย



---บางชาดกก็กล่าวความในทำนองว่า  พระพุทธเจ้าทรงมีฤทธิ์อำนาจเหนือบรรดาพรหม  และเทวดาทั้งหลาย  จึงนับถือยกย่องพระพุทธเจ้า  แต่พระราหูเทวบุตร ถือตนว่าเป็นใหญ่เหนือกว่าใครในสวรรค์  จึงไม่ยอมนบนอบต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าและแสดงลักษณะท้าทาย  ใคร่ประลองฤทธิ์เดชกับพระพุทธองค์  ดังนั้น วันหนึ่งเมื่อพระราหูทำท่าทีเป็นเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า  พระองค์กระทำปาฏิหาริย์เนรมิตพระวรกายให้ใหญ่โตมโหฬาร  ยิ่งกว่าพระราหูหลายเท่า เหมือนดังแมลงมุมเกาะชายจีวรของพระศาสนา  ทำให้พระราหูลดทิฐิมานะ หมดความกระด้างกระเดื่อง  กลับใจมาเลื่อมใสพระพุทธศาสนา


โดย: Marine    เวลา: 2015-8-29 20:59
[attach]11936[/attach]
---ข้อความเหล่านี้ทำให้เกิดความสำคัญผิดคิดว่า พระราหู  เป็นยักษ์มาร สัญลักษณ์แห่งความชั่วร้าย  เหตุไฉนผู้สร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราชจึงอ้างว่า  รูปพระราหูอมพระอาทิตย์ อมพระจันทร์  เป็นรูปรอยตราแผ่นดินของพวกศรีวิชัย  และนำมาสร้างวัตถุมงคลของศาลหลักเมือง  จึงทำให้เกิดสงสัยว่าแท้จริงแล้ว พระราหู คืออะไร



---ตามทฤษฎีทางโหราศาสตร์  ระบบสุริยคติ  ของชาวศรีวิชัยยึดถือว่า  ดวงพระอาทิตย์เป็นขุมคลังแห่งแสงและพลังความร้อน  อันเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยจักรวาล  มีดาวเคราะห์น้อยใหญ่ 7 ดวงเป็นบริวาร  ดาวเคราะห์เหล่านี้ นอกจากหมุนรอบตัวเองแล้ว  ยังโคจรรอบดวงพระอาทิตย์เพื่อรับแสง  และพลังความร้อนอยู่ตลอดเวลา



---ในบรรดาดาวเคราะห์ทั้งหลาย  โลกเราถือได้ว่าเป็นดาวเคราะห์ที่มีขุมพลังธาตุ ดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  อยู่อย่างพร้อมมูลที่สุด ทั้งยังมีชั้นบรรยากาศอันหนาแน่นห่อหุ้มอยู่โดยรอบ  ชั้นบรรยากาศที่ใสเหมือนดังเรือนกระจกนี้  ไม่เพียงแต่เป็นเกราะป้องกันไม่ให้โลกธาตุหลุดลอยออกไปได้แล้ว  ยังควบคุมอุณหภูมิให้เกิดความอบอุ่นเหมาะสม  สำหรับเป็นแหล่งกำเนิดของมวลชีวิตด้วยจึงถือว่ามีคุณสมบัติพิเศษยิ่งกว่าดาวเคราะห์ใด



---ทั้งยังมีดวงจันทร์  เป็นดาวบริวารโคจรไปรอบโลกคอยส่องแสงให้เกิดสว่างในยามค่ำคืนอีกด้วย  ชาวศรีวิชัยจึงจำแนกโลกออกจากระบบสุริยจักรวาลมาเป็นระบบย่อยเรียกว่า " ระบบจันทรคติ"  โดยยึดถือดวงจันทร์เป็นใหญ่  เพราะค้นพบนัยความหมายว่า  ดวงจันทร์  มีคุณต่อโลกอย่างหาที่สุดมิได้  หากปราศจากดวงจันทร์เสียแล้ว   โลกนี้ก็คงอ้างว้าง ว่างเปล่าเหมือนดังดาวเคราะห์ดวงอื่น  ไม่มีมวลชีวิตและธรรมชาติในโลก  กล่าวกันว่าข้างขึ้นข้างแรม  น้ำขึ้นน้ำลง  ประจำเดือนสตรี  เป็นได้ชัดว่าเกิดจากอิทธิพลของดวงจันทร์



---การที่โลกหมุนรอบตัวเอง และโคจรไปรอบดวงอาทิตย์ ซีกโลกอีกด้านหนึ่งไม่ได้รับแสงสว่างจะบังเกิดเป็น เงามืด  เรียกว่า  กลางคืน  ภายในเงามืดที่หนาวเย็น ทำให้ละอองธาตุบังเกิดความชื้น  จับตัวกันมีน้ำหนักและควบแน่น  บังเกิดปฏิกิริยาเห็นได้จากการเป็นสื่อทางเดินของธาตุไฟได้อย่างดี  และมีแรงดึงดูดรุนแรงกว่าในภาคกลางวัน



---เหตุที่โลกบังเกิดหดเงามืดขึ้นในภาคกลางคืน  เงามืดของโลกที่ทอดตัวออกไปในชั้นบรรยากาศ  แผ่ขยายขอบเขตออกไปกว้างไกลสุดพรรณนา  ยิ่งไกลออกไปเท่าไหร่  เงามืดก็ยิ่งดำมืดมหึมาเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ  ท่ามกลางเงามืดของโลก ในภาคกลางคืนนี่แหละทางโหราศาสตร์เรียกว่า  "พระราหู"   ที่อัดแน่นไปด้วยละอองธาตุทั้ง 4  และคลื่นพลังนานาชนิด  แผ่กระจายขึ้นไปในชั้นบรรยากาศที่หนาวเย็นยะเยือก



---แม้ว่ายิ่งบางเบาก็ตาม  แต่คลื่นพระราหูนี้ได้แปลสภาพเป็นสื่ออันทรงประสิทธิภาพของโลก  สำหรับรองรับอนุภาคแสงดาวประการหนึ่ง  และเป็นเส้นทางลำเลียงระบบธาตุบนชั้นบรรยากาศ ลงมาปรุงแต่งกับระบบธาตุในโลก  เพื่อให้เกิดรูปธรรมชาติดังที่รู้เห็นกันอยู่  โดยปกติคลื่นบรรยากาศที่อยู่ในเงามืดซึ่งเรียกว่า  พระราหู  เราพบเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ตั้งแต่แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า  ความมืดก็ย่างกรายเข้ามาในยามราตรีอันเป็นเวลาสงบร่มเย็น  คนเราจะง่วงเหงาหาวนอนอยากพักผ่อน





---ด้วยเหตุนี้โหราจารย์จึงอุปมา "พระราหู"  ว่าเหมือนดังนักพรตผู้ทรงศีล  ผู้ใฝ่สันโดษและมักน้อย ไม่ใช่ยักษ์มารดังที่เข้าใจกัน  นอกจากนั้น ดาวเคราะห์ดวงอื่นก็มีเงามืดเรียกว่า  พระราหู  เช่นเดียวกับโลก  ดังนั้น  พระราหู  ตามความหมายทางดาราศาสตร์ จึงแตกต่างกับความเชื่อของคนโบราณ  หรือข้อความในพระไตรปิฏกของพุทธศาสนา



---แต่ในวิชาโหราศาสตร์ของชาวศรีวิชัย กล่าวถึงความลึกลับพิสดาร  ที่ซ่อนอยู่ภายในขอบเขตเงามืดของโลก  ซึ่งเราพบเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หลังจากแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ฝุ่นละอองธาตุทั้ง  4   ของโลก  ถูกพลังความร้อนของดวงอาทิตย์เผาผลาญ จนระเหยระเหิด ล่องลอยขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศ  แปรสภาพเป็นพื้นที่สนามธาตุอันยิ่งใหญ่ อยู่ภายในเงามืด  ใหญ่โตมโหฬารสุดพรรณนา  เกิดปฏิกิริยาจากความหนาวเย็น  ทำให้รวมตัวกันแน่นหนากว่าภาคกลางวัน



---พลังกดดันของกระแสธาตุนี้เอง ทำให้คนเราเกิดง่วงเหงาหาวนอน  บ้างก็ดื่มเครื่องดองของเมา  บ้างก็อยากพักผ่อน สนุกสนาน  บ้างก็อยากจำศีลภาวนา  วิชาโหราศาสตร์เรียกความควบแน่นของกระแสธาตุภายในเงามืดของโลกในยามค่ำคืนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บนชั้นบรรยากาศของโลกว่า " ระบบชั้นบรรยากาศธาตุ"  มีการเคลื่อนไหวสั่นสะเทือนเหมือนดังระลอกคลื่นในมหาสมุทร



---เนื่องจากการหมุนรอบตัวเองของโลกและโคจรไปรอบดวงอาทิตย์  ระบบชั้นบรรยากาศธาตุภายในเงามืดดังกล่าวนี้  วิชาโหราศาสตร์เรียก " คลื่นพระราหู"  อันเป็นที่มาของนิทานโหราศาสตร์กล่าวว่า  เหล่าเทวดากวนน้ำอมฤตบนสวรรค์ชั้นฟ้าสำเร็จเสร็จสิ้น  ถูกพระราหูแอบขโมยดื่มกิน  จนกลายเป็นตำนานชาติเวรการประกอบอาชญากรรมกันมาตั้งแต่ครั้งเทวดาสร้างโลก  ติดตามจองล้างจองผลาญกันมาจนถึงทุกวันนี้



โดย: Marine    เวลา: 2015-8-29 21:00
[attach]11937[/attach]

---แท้จริงแล้ววิชาโหราศาสตร์ได้อธิบายให้ทราบว่า  ระบบชั้นบรรยากาศของโลกหรือที่เรียกกว่า  คลื่นพระราหู  นั้น  เป็นแหล่งรองรับอนุภาคแสงดาว  หรือรัศมีดาว  ซึ่งสะท้อนคลื่นพลังแสงมายังโลก  ในรูปสีสันสวยสดงดงาม ผสมผสานกับแสงอาทิตย์ในตอนกลางวัน  เมื่อกระทบกับละอองธาตุน้ำ ก็จะเปล่งประกายเป็นสีรุ้งงามจับตา  แต่ในภาคกลางคืน อนุภาคแสงดาวไม่สามารถเดินทางเข้ามาสู่โลกได้ เพราะขาดสื่ออันทรงประสิทธิภาพสูงสุด คือ  คลื่นพลังแสงอาทิตย์



---ด้วยเหตุนี้ คลื่นพลังแสงดาวที่เดินทางไกลแสนไกล  ถูกบังคับให้ผสมผสานกับระบบธาตุของโลก  ไปตามลักษณะของธาตุที่เหมือนกัน  หรือเกื้อกูลกัน  ดังบทประพันธ์เกี่ยวกับการผสมธาตุระหว่างอนุภาคแสงดาวกับระบบโลกธาตุ  ไว้ว่า "เมื่อมิตรก็ชื่นชอบ  บ่มีโทษแถลงทัณฑ์  ปางเป็นศัตรูสรร  พะบาปะอุบัติเป็น"  ดังนี้เป็นต้น



---การปรับแต่งแปลงสภาพระบบโลกธาตุในชั้นบรรยากาศท่ามกลางความมืด  อุปมาดังเหล่าเทวดาผสมพันธุ์กันบนสวรรค์ชั้นฟ้า  อธิบายให้ทราบถึงที่มาของพิธีกวนน้ำอมฤตตามหลักแห่งเหตุผล  ซึ่งนักโหราศาสตร์โบราณพยายามศึกษาค้นคว้า  จนทราบถึงความลับของธรรมชาติอันเป็นต้นกำเนิดของมวลชีวิต  ธรรมชาติ  และการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงขึ้นในโลกตามกฏวัฏจักร อธิบายให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างโลก  ชั้นบรรยากาศและดวงดาวในจักรวาล



---แต่ระบบชั้นบรรยากาศธาตุ ที่อยู่นอกโลกหรือคลื่นพระราหู อันเกิดจากการปรุงแต่งแปลงสภาพของโลกธาตุและอนุภาคแสงดาว  บันดาลให้เกิดขั้วบวก  ขั้วลบ  และความเป็นกลาง  ล่องลอยวนเวียนอยู่รอบโลก  ถูกแต่งเติมเสริมสภาพให้เกิดความเข้มข้นจากแสงอาทิตย์  แสงจันทร์  อยู่ตลอดเวลา  โลกไม่สามารถดึงดูดลงมาผสมกับระบบธาตุบนพื้นโลกได้  เพราะว่าบนชั้นบรรยากาศอันบางเบา  ฝุ่นละอองธาตุที่ไร้น้ำหนัก ถูกพลังดึงดูดของจักรวาลต่อต้านขัดขวางไว้ เหมือนดังการชักเย่อกัน ระหว่างโลกกับดวงดาว  ไม่มีฝ่ายใดแพ้ชนะกัน



---นักโหราศาสตร์ค้นพบว่า ดวงจันทร์ที่โคจรไปรอบโลก  คราใดเคลื่อนที่ผ่านมาประสานแรงดึงดูดร่วมกับโลก  จึงสามารถแย่งชิงเอากระแสธาตุบนชั้นบรรยากาศ  ให้เข้ามาอยู่ในรัศมีที่โลกสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้   การดึงดูดกระแสธาตุจากรอบนอกของชั้นบรรยากาศ เข้าสู่ชั้นใน  จึงกลายเป็นที่มา ของเรื่องสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  ซึ่งมีเทพเจ้าผู้เป็นใหญ่คือ  พระอินทร์  ทรงช้างเอราวัณ ลอยฟ่องอยู่เหนือวิมานเมฆ  และคำศัพท์ทางวิชาการโหรเรียกว่า"ฤกษ์บน"  และ  "ตรียาง-นวางค์"  พร้อมที่จะหลั่งไหลลงมาผสมผสานกับธาตุในโลก  ดังปรากฏการณ์ฝนตก  หรือ  ลมพัด  ซึ่งเป็นเหตุที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวโลกไปตามจังหวะที่เรียกว่า   "ฤกษ์ล่าง"  



---หลักฐานการค้นพบที่มาอันน่าพิศวงของการก่อกำเนิด  มนุษย์  สัตว์  พืช  และสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกของนักโหราศาสตร์  นอกจากอธิบายให้คำตอบได้ว่า  เหตุใดดวงดาว จึงเข้ามามีอิทธิพลต่อชะตาชีวิตของคนเราและความเป็นไปในโลกแล้ว  ยังสรุปความเห็นว่า เงามืดของโลกภาคกลางคืนหรือที่เรียกว่า  พระราหู  เป็นตัวการสำคัญอย่างยิ่ง  ถ้าปราศจากเงามืดอันหนาวเย็นดังกล่าวนี้เสียแล้ว  ระบบชั้นบรรยากาศธาตุ ไม่สามารถเดินทางเข้ามาปรุงแต่ง แปลงสภาพกับธาตุของโลกได้  ดังนั้น เงาราหูจึงเปรียบดังทางเดิน  หรือ  ท่อลำเลียงธาตุจากชั้นบรรยากาศจากรอบนอกสุดขนาดมหึมา  ลงมาสู่ชั้นกลางของบรรยากาศ  ก่อนที่โลกจะดึงดูดลงมาปรุงแต่งแปลงสภาพกับธาตุในโลก  เพื่อให้เกิดสภาพที่เรียกว่า ธรรมชาติ ขึ้นในโลก



---รากฐานอันก่อให้เกิดสรรพสิ่งทั้งหลาย  แล้วดับสูญไปในรูปวงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดของ  วัฏสงสาร  ซึ่งขัดแย้งกับนิพพานธรรม ด้วยเหตุนี้  พระราหู จึงเป็นบ่อเกิดของกิเลสตัณหา  อุปมาดังมารแห่งพรหมจรรย์  ผู้แสวงหาความหลุดพ้น จะต้องลด ละ เลิก เพื่อหลีกหนีมายา  อุปาทานโดยเชื่อว่าเป็น  อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา



---การล่วงรู้ถึงกระบวนการอันซับซ้อนซ่อนเงื่อน  ที่แฝงเร้นอยู่ภายในเงามืดของโลก ว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญยิ่ง  ในการกำเนิดสรรพสิ่งทั้งหลายขึ้นเฉพาะในโลกของเรา  เพราะในที่สุดแล้ว ไม่ว่าอนุภาคแสงแห่งดวงดาว  ระบบธาตุบนชั้นบรรยากาศ  และระบบธาตุในโลก  ก็ถูกปรุงแต่งแปลงสภาพให้เกิดภาพมายา อุปาทาน ขึ้นบนพื้นผิวโลก  ในรูปปรากฏการณ์ธรรมชาติ  และเห็นว่าพระราหู เป็นเงามืดที่เกิดจากโลก เฉพาะด้านที่แสงอาทิตย์สาดส่องไปไม่ถึง จึงอ้างว่าพระราหูไม่ใช่ดาวเคราะห์  เปรียบเปรยว่าเป็นอสูรกายท่อนหัว  ที่ถูกจักรพระนารายณ์ตัดขาด ลอยละล่องอยู่บนอากาศเหนือโลก  ส่วนท่อนหางลองอยู่ในทิศตรงกันข้าม  ก็คือ เวลากลางวันและกลางคืนในโลก



---แม้ว่าพระราหู จะมีสภาพเป็นอากาศธาตุที่ห่อหุ้มโลกอยู่ก็ตาม  แต่เป็นตัวการบันดาลให้เกิดสิ่งทั้งหลายโลดแล่นกันบนพื้นผิวโลก  จึงตัดตอนอุปมาเสียใหม่ว่า  พระราหู  หมายถึง  โลก  ซึ่งเป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวในจักรวาลที่มี  มนุษย์  สัตว์  พืช  และธรรมชาติ  เกิดขึ้นต่อเนื่องกันไป ไม่มีวันสิ้นสุด  เปรียบดังพระราหู ถูกจักรพระนารายณ์ แม้กายขาดออก 2 ท่อน  ก็ไม่ตาย เป็นอสูรกายคอยรังควาญพวกเทวดา ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ในที่สุดมนุษย์ก็กบฏต่อพระผู้เป็นเจ้าและมีฤทธิ์อำนาจยิ่งกว่าเทวดาเสียอีก เพราะว่าสามารถศึกษาเรียนรู้ความลับของจักรวาล และความเป็นไปในโลกมนุษย์  อันเป็นที่มาของคำว่า  ศิวศาสตร์  หรือ  โลกศาสตร์  ซึ่งต่อมาเพี้ยนเป็นไสยศาสตร์  ถูกดูแคลนว่าเป็นความเชื่อที่งมงายไร้เหตุผล  จนกระทั้งไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้ว  พระราหู  เป็นอย่างไร



---แต่นับว่าโชคดี ที่ครูบาอาจารย์ของชาวศรีวิชัย  ได้ถ่ายทอดความรู้วิชาโหรราศาสตร์ สืบสานหลักปรัชญากันมาไม่ขาดสายจนถึงปัจจุบัน  จึงสามารถอธิบายให้เหตุและพิสูจน์ได้ว่าพระราหูคืออะไร   กล่าวโดยสรุปแล้ว  พระราหู   ก็คือ ระบบชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลก  ตั้งแต่ระดับชั้นพื้นผิวดิน  จนกระทั่งเขตติดต่อกัน แดนอวกาศเฉพาะด้านที่ไม่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ อาณาเขตอันกว้างใหญ่ไพศาลตกอยู่ในความมืดมน อนธการดำทะมึน  แผ่ขยายขอบเขตออกไปในห้วงจักรวาล   หาขอบเขตมิได้





---แหล่งที่ร่มเย็นไปจนถึงความหนาวเหน็บต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง  เป็นที่รวมของฝุ่นละอองธาตุ  คลื่นพลังนานาประการ  อุปมาดังท่อดึงดูดระบบธาตุจากชั้นบรรยากาศลงมาป้อนให้แก่โลกอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก  จึงเป็นรากฐานการก่อกำเนิดสิ่งทั้งหลายที่เรียกว่า  ธรรมชาติในโลก  วิชาโหราศาสตร์เรียกเงามืดนี้ว่า  พระราหู  มีคุณสมบัติเป็น  อากาศธาตุ  หรือธาตุลมไม่ใช่ดาวเคราะห์



---ในภาคพยากรณ์ของวิชาโหราศาสตร์ ซึ่งต้องการผลที่เกิดขึ้น เป็นปรากฏการณ์ของสิ่งทั้งหลายในโลก  เนื่องจาก การปรุงแต่งแปลงสภาพของระบบธาตุจากชั้นบรรยากาศกับระบบธาตุในโลกมีส่วนสัมพันธ์กับอนุภาคแสงดาว  แสงอาทิตย์  แสงจันทร์  ที่โคจรหมุนเวียนเป็นวงจรจึงเปลี่ยนแปลงกำหนดให้  พระราหู  เป็นโลกอีกอย่างหนึ่ง



---ด้วยเหตุนี้ พระราหูจึงหมายถึง โลกและเงามืดของโลกหรือภาคกลางวันในโลก  อันเป็นขุมคลังแห่งวิทยาการที่ศึกษาไม่มีวันจบสิ้น  เพิ่มพูนสติปัญญาให้โลกพัฒนาการรุ่งเรืองจนถึงทุกวันนี้  อย่าดูหมิ่นดูแคลนพระราหู.



โดย: Marine    เวลา: 2015-8-29 21:02
*อีกข้อคิดประวัติราหู



---ปัจจุบัน มีผู้สนใจบูชาราหู เป็นจำนวนมากในเวลาที่มีการเกิดปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ คือ อุปราคา ซึ่งเป็นเพียงการเกิดเงาบังดวงอาทิตย์ หรือ ดวงจันทร์ ตามวิถีการโคจรของดวงดาวเท่านั้นเอง



---หลวงปู่ได้เป็นห่วงลูกหลาน ที่หลงงมงายกับการบูชาราหู ซึ่งเป็นที่มาของ บทโศลกข้างต้น ที่ท่านได้กล่าวขึ้นมา เมื่อตอนแสดงธรรมประจำต้นเดือน วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545 หลวงปู่จึงได้ดำริ ให้นำเรื่องของราหู ซึ่งเป็นเพียง อสูร ตนหนึ่ง มาลงเป็นนิทานธรรมะ ให้ลูกหลานได้อ่านและทราบกัน โดยที่มาของนิทานเรื่องนี้ มาจากหนังสือโบราณ ที่กล่าวถึงกำเนิดเทวะ ในตอนที่กล่าวถึงว่า..



---เทพและมารทั้งหลาย ได้มีความรู้สึกกลัวความแก่ ความเจ็บและความตาย อีกทั้งประจวบกับบรรดามารและเทพทั้งหลาย ได้เห็นพวกพ้องมิตรสหายทั้งหลาย ได้หมดบุญหมดวาสนาจากอัตภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน จะต้องไปเกิดในที่อันไม่พึงปรารถนา ต่างฝ่ายต่างก็ให้ปริวิตกกังวล กลัวเวลาแห่งการที่ต้องไปเกิด ในที่อันไม่น่าปรารถนาของตนจะมาถึง ต่างก็พยายามแสวงหาวิธีเอาตัวรอด จากมรณะและภพภูมิอันไม่พึงปรารถนา ทั้งเทพและพรหมมารทั้งปวง ก็พากันมาประชุมปรึกษาหาวิธีแก้มรณกรรมอันจะเกิดขึ้นแก่ตน (เข้าใจว่ายุคนั้น คงจะยังไม่ปรากฏพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ จึงยังไม่มีใครบอกและสอนถึงวิธีพ้นจากเกิด แก่ เจ็บ และตาย)



---ทุกตนในเทวสภาและพญามารทั้งหลาย ก็เห็นสมควรจะต้องไปปรึกษาท่านผู้รู้ และท่านผู้รู้เหล่านั้นก็คือ ครู อาจารย์ของตน ซึ่งเป็นฤๅษีดาบส อยู่ ณ ป่าหิมวันต์ ครั้นปรึกษาเป็นที่ตกลงกันเช่นนั้นแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็สำแดงเดชานุภาพ เหาะมาสู่ ณ ที่พักแห่งอาจารย์ของตน และพากันแจ้งเหตุที่มาหาให้แก่อาจารย์ของตนได้ฟัง



---บรรดาเทพฤๅษี ผู้เป็นอาจารย์ของเทพและมารทั้งหลาย ได้เห็นความปริวิตกของสัทธิวิหาริก คือ ลูกศิษย์ของตนเช่นนั้น ก็นั่งพิเคราะห์ดูด้วยญาณ (ซึ่งมิได้ประกอบด้วยปัญญาหยั่งรู้)ก็ได้รู้วิธีที่จะเอาชนะมรณกรรม ได้ด้วยการหาของบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ทั้งพันชนิด และน้ำบริสุทธิ์ทั้งหมื่นโลกธาตุมารวมกัน และคละประกอบด้วยเทพมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่หมื่นคาบ และใช้เทพโอสถที่มีชีวิตทั้ง ๗ ชนิด บดเข้าด้วยกัน  ด้วยภูเขาชิเนรุมาศ และใช้น้ำตาของพญานาคทั้ง ๘ เป็นตัวผสาน



---เมื่อเทพฤๅษีทั้งหลายได้รู้วิธีเอาชนะมรณกรรมแล้ว ก็แจ้งแก่บรรดาเทพและมารผู้เป็นลูกศิษย์ พร้อมกับให้แยกย้ายกันไปหาสรรพยาทั้งหลาย เทพและมารทั้งปวง เมื่อได้ฟังมา ว่ามีวิธีที่จะเอาชนะมรณกรรมได้ โดยการกวนยาวิเศษ ก็โห่ร้องด้วยความลิงโลด แล้วจัดแบ่งหน้าที่ที่จะไปเอาของวิเศษทั้งหลาย ในทิศทางต่างๆ มารวมกัน



---ครั้นเมื่อได้ของวิเศษมาครบตามจำนวนที่ต้องการแล้ว เทพฤๅษีผู้เป็นอาจารย์ทั้งหลาย ก็มีบัญชาให้พญาครุฑ ไปยกเขาพระสุเมรุ มาทำเครื่องบด แล้วให้พระธรณีเนรมิตสถานที่บด พร้อมทั้งสั่งการบรรดาเทพและมารทั้งปวง ให้เทของวิเศษทั้งหลายรวมกัน แล้วให้พญาครุฑวางเขาพระสุเมรุทับ แล้วสั่งให้พญานาคทั้งเจ็ดเนรมิตกายให้ยืดยาวประดุจดังเชือกเส้นใหญ่ทั้งเจ็ดรวมกัน ให้เทวะทั้งหลายจับปลายเชือกด้านซ้าย ยักษ์และมารทั้งหลายจับปลายเชือกด้วนขวา เทพฤๅษีผู้เป็นอาจารย์ของเทวดาอยู่ด้านหน้า เทพฤๅษีผู้เป็นอาจารย์ของยักษ์และมารทั้งหลายอยู่ด้านหลัง ทั้งสองด้านได้พร้อมกันสาธยายเทพมนต์



---ในขณะที่เทพและมารช่วยกันฉุดเชือกนาคเพื่อให้เขาพระสุเมรุนั้น หมุนไปทางด้านซ้ายและขวา โดยมีพญาครุฑคอยหัวเหาะพยุงเขาพระสุเมรุอยู่ด้านบน ยาทิพย์นี้ใช้เวลาบดอยู่  เจ็ดปี เจ็ดเดือน เจ็ดวัน จึงจะสำเร็จ ในขณะที่กำลังบดยาทิพย์ด้วยความขะมักเขม้น เหล่าเทวดาทั้งหลาย ก็ออกอุบายให้ยักษ์และมารทั้งปวง ออกกำลังดึงแต่ฝ่ายดียว เมื่อถึงคราวที่ฝ่ายตนจะดึง ก็พากันใช้นิ้วเอื้อมไปแหย่สะดือพญานาค เมื่อพญานาคโดนแหย่สะดือ ก็ให้รู้สึกแสยง ยกตัวให้สั้นลง ในขณะที่ยักษ์ทั้งหลายดึงอยู่ด้วย ก็ทำให้เขาพระสุเมรุหมุนไปทางเทวดา ทำให้ดูประหนึ่งว่า เทวดาดึงให้หมุนด้วยกำลัง และเป็นจังหวะที่เทวดาทั้งปวง ส่งเสียงให้เหมือนว่ากำลังจะออกแรงอย่างเต็มที่  ทำอยู่ดังนี้ตลอดไป เจ็ดปี เจ็ดเดือน และเจ็ดวัน



---ครั้นเมื่อ ยาทิพย์ปรุงสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว เทพฤๅษี พญาครุฑ พญานาค ยักษ์มาร ทั้งหลาย ก็พากันอ่อนแรงไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เหล่าเทวดาทั้งหลาย เห็นได้ที ก็ชิงเอายาทิพย์ทั้งหลายเหาะขึ้นไปยังทิพย์วิมานของตน กล่าวฝ่ายพญามาร ยักษ์ ครุฑ และนาคทั้งหลาย เมื่อได้สติฟื้น ก็ได้พากันมาสำรวจดูยาทิพย์ จึงได้รู้ว่าหายไปหมดแล้ว พร้อมกับหมู่เทวดาทั้งปวง ก็พากันโกรธแค้นเทวดา แต่ก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้ เพราะครูฤๅษีได้ห้ามไว้ว่า  เมื่อเทวดานั้นได้กินยาทิพย์นั้นเข้าไปแล้ว จักเป็นผู้มีเดช มีอานุภาพมาก และฆ่าก็จะไม่ตาย เราทั้งหลายไม่สามารถต่อกรได้



---มารทั้งหลาย ต่างฝ่ายต่างก็เก็บเอาความเจ็บแค้นเอาไว้ในอุรา แล้วพากันกลับไปยังที่อยู่ของตน ในหมู่ของมารทั้งหลาย ยังมียักษ์ตนหนึ่ง ซึ่งมีชื่อว่า อสุรินทรราหู ซึ่งเป็นบุตรของนางยักษ์ชื่อ วิปจิตกับเทพชื่อพฤหัส ได้ครุ่นคิดเคียดแค้นแน่นอยู่ในอก คิดหาวิธีที่จะชิงเอายาทิพย์กลับคืนมาจากเทวดา ให้ได้คิดไปคิดมาจึงนึกขึ้นมาได้ว่า บิดาของเรา คือ พระพฤหัส ซึ่งเป็นเทวดา ถึงเราจะมีมารดาเป็นยักษ์ แต่เราก็มีเลือดของพ่ออยู่ด้วย



---ถ้าเราแปลงกายเป็นเทพ ไปเข้าร่วมหมู่ของเทวดา เพื่อจะขอแบ่งยาทิพย์ พวกเทพเหล่านั้นคงจะจับเราไม่ได้ ถึงแม้ว่าพวกเทพเหล่านั้น จะสามารถสัมผัสกลิ่นอันเป็นทิพย์ได้ เราก็มีกลิ่นกายของเทวดาอยู่ในตัวเหมือนกัน พวกมันคงจะไม่รู้หรอกน่า ว่าเราแปลงกายไป คิดดังนั้นแล้ว อสุรินทรราหูร่ายเวทย์จำแลงกายเป็นเทวดา แล้วก็เหาะขึ้นไปสู่เทวสภา พร้อมกับเข้าไปสู่หมู่ของเทวดาทั้งหลาย เพื่อขอส่วนแบ่งยาทิพย์



---ขณะนั้น เหล่าเทวดาทั้งหลาย ก็กำลังประชุมฉลองชัยชนะที่สามารถใช้กลอุบาย เอาชนะพญามารและยักษ์ทั้งหลายได้ พร้อมกับชิงเอายาทิพย์มาเป็นของตนได้สำเร็จ และแจกจ่ายยาทิพย์ ให้แก่เหล่าเทวดาทั้งหลาย ขณะนั้นอสุรินทรราหูจำแลง ก็ได้รับส่วนแบ่งยาทิพย์กับเขาด้วย มิทันช้า อสุรินทรราหูจำแลง ก็รีบกลืนยาวิเศษนั้นทันที ยาก็ได้สำแดงเดช ทำให้อสุรินทรราหูและเทวดาทั้งปวง มีอาการมึนเมาไปกันทั่วหน้า มนต์ที่จำแลง แปลงกายก็คลายออก



---เทพอาทิตย์และจันทร์ได้สังเกตเห็นว่า อสูรแปลงกายมากินยา ก็พากันโวยวายและเรียกพวกเทวดาให้ช่วยกันจับ เป็นที่ตะลุมบอนโกลาหล แต่ก็หาจับได้ไม่ เมื่อจับเป็นไม่ได้ ก็ต้องจับตาย เหล่าเทวดาทั้งหลาย ก็พากันรุมตีฟันอสุรินทรราหู เป็นการใหญ่ แต่ก็หาได้ทำอันตรายแก่อสุทริราหูได้ไม่ แถมยังแสดงเดชา รุกรบ ต่อยตี หมู่เทวดาทั้งหลายจนพ่ายแพ้ หนีกระเจิดกระเจิง



---เหล่าเทพและเทวดาทั้งหลาย ก็พากันวุ่นวาย (ถ้ามีคำถาม ถามว่าก็ไหนเมื่อเทพเหล่านั้น ก็ได้กินยาทิพย์เหมือนกัน แต่ทำไมถึงสู้ยักษ์ตนเดียวไม่ได้ ข้อนี้ต้องวินิจฉัยตรงชื่อ คงจะเข้าใจได้ง่ายดี ที่ว่าต้องวินิจฉัยตรงชื่อ ก็เพราะตามความหมายของคำว่า ยักษ์หรืออสูร แปลว่า ผู้ไม่พ่ายผู้มีเดช ผู้มีอำนาจ ผู้มีกำลัง ส่วนคำว่า เทวดา เทพ แปลว่า ผู้มีรูปสวย ผู้มีบุญ ผู้มีสุข ผู้มีวาสนา) เพราะฉะนั้น เหล่าเทวดาถึงจะมีจำนวนมาก แต่ก็หาได้มีกำลัง มีเดชเท่ากับอสูรไม่





โดย: Marine    เวลา: 2015-8-29 21:04
[attach]11938[/attach]


---เมื่ออสุรินทรราหู ได้ชัยชนะแก่หมู่เทวาดา ก็มีจิตกำเริบ ไล่ทำร้ายและทำลายอาละวาดไปทั่วแดนสวรรค์ ข้างฝ่ายพระอาทิตย์และเทพจันทร เห็นท่าไม่ดีก็เหาะไปเฝ้า พระนารายณ์ ทูลเรื่องทั้งหลายให้เทพผู้เป็นใหญ่ได้ทรงทราบ พระนารายณ์เป็นเจ้า ได้ทรงสดับรับฟังแล้วก็ทรงกริ้ว ทรงบริภาษด้วยวาจาที่เกริ้ยวกราดว่า "ไอ้อสูรตัวขลาด บังอาจกำเริบขึ้นมาราวีบนแดนสวรรค์เชียวหรือ" ว่าแล้วก็ทรงขว้างจักรแก้ว ออกไปตัดร่างของอสุรินทรราหู ขาดเป็นสองท่อน ท่อนขาถึงบั้นเอวก็หลุดกระเด็นออกไปนอกจักรวาล เหลือแต่ท่อนหัวกับตัว



---ถึงกระนั้น ก็มิอาจทำให้อสุรินทรราหูถึงแก่ความตายได้ไม่  และด้วยความตกใจกลัว อสุรินทรราหู ก็เหาะหนีมายังที่อยู่ของตน และพกพาความโกรธแค้นอาทิตย์และจันทร ที่เป็นเหตุให้เกิดเรื่องวุ่นวายบนสวรรค์ และเป็นเหตุให้กายของตนขาดเป็นสองท่อน อสุรินทรราหู กลับมาคิดแค้นต่อเทพอาทิตย์ และจันทรว่า เพราะเทพสองตนนี้ทีเดียว เป็นผู้บอกให้เหล่าเทวารุมทำร้ายตนและเป็นเพราะเทพสองตนนี้อีกเหมือนกัน ที่เป็นผู้ไปบอกองค์นารายณ์จนเป็นเหตุให้ข้วางจักรแก้ว มาตัดร่างตนถึงกับขาดเป็นสองท่อน ความอัปยศอดสูและเจ็บช้ำนี้ เราจะตอบแทนคืนให้เทพทั้งสอง อย่างสาสม

---ณ บัดนั้นเป็นต้นมา อสุรินทรราหู ก็เฝ้าคอยที่จะหาโอกาสราวี แก่อาทิตย์และจันทรอยู่ตลอดเวลา มีอยู่ครั้งหนึ่ง เทพอาทิตย์และจันทร จะไปประชุมยังเทวสภา ระหว่างทางอสุรินทรราหู ได้มาคอยดักทำร้าย เทพทั้งสองก็เหาะหนีจวนเจียนหนีไม่พ้น แต่เผอิญเหาะมาทางทิศที่ตั้งแห่งภูเขาไกรลาศ ซึ่งเป็นที่อยู่ของบิดรเทพ คือ เทพผู้เป็นพ่อของเทพทั้งหลาย เทพอาทิตย์และจันทรก็เหาะหนีเข้าไปยังที่อยู่ของบิดรเทพ



---อสุรินทรราหู ตามมาติดๆ เมื่อเห็นว่าศัตรูของตนหนีไปพึ่งผู้มีเดชรุ่งเรืองเช่นนี้ อสูรก็มาหยุดคิดว่า เพราะคราวที่แล้ว เราผลีผลาม รุกไล่ ติดตามเทพทั้งสอง ไปโดยไม่ได้ดูตาม้าตาเรือ จนเป็นเหตุ ให้กายเราขาดเป็นสองท่อน เที่ยวนี้ขืนติดตามมันเข้าไปอีก อาจหัวขาดออกจากตัวอีกก็ได้ คิดดังนั้นแล้ว ก็คำรามด้วยความเคียดแค้นว่า ฝากไว้ก่อนนะไอ้ขี้ขลาด คราวหน้าถ้าเห็นอีก ข้าจะกินเสียให้หนำใจ ว่าแล้วก็เหาะกลับไปยังที่อยู่ของตน



---ฝ่ายเทพบิดร เมื่อเห็นอาทิตย์และจันทรเทพ เหาะมาสู่ยังที่พักของตนอย่างลุกลี้ลุกลน ก็ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย เทพทั้งสองจึงเล่าแจ้งแถลงไข ให้ทรงทราบ และขอร้องให้เทพบิดรทรงช่วย พระบิดรจึงทรงเนรมิตอาชาสีแดง พร้อมราชรถให้แก่อาทิตย์เทพและเนรมิตอาชาสีขาว ๘ ตัว พร้อมราชรถให้แก่จันทรเทพ ประทานให้เอาไว้เป็นพาหะหลบหนีอสูร แล้วทรงสั่งว่า คราใดที่ท่อนขาของอสุรินทรราหูลอยมาติดตัว ท่านทั้งสองจะต้องโดนอสูรกลืนกิน



---กล่าวฝ่ายอสุรินทรราหู เมื่อไม่สามารถจะทำร้ายอาทิตยเทพและจันทรเทพได้ดังหวัง ก็ให้รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่าน จึงเหาะขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์ ไปอาละวาดไล่ทำร้ายเหล่าเทวดาทั้งหลาย จนเป็นที่หนำใจ แล้วก็เหาะกลับยังที่อยู่ของตน ครั้นอสุรินทรราหูไปแล้ว เทพและเทวดาทั้งหลาย ก็ออกจากที่ซ่อนไปเฝ้าพระนารายณ์ ยังเทวสภา แล้วประชุมปรึกษา ว่าจะทำการป้องกันไม่ให้อสุรินทรราหู มาไล่ทำร้ายได้อย่างไรองค์อินทร์ ก็ทรงตรัสว่า สรรพสิ่งในโลกเมื่อมีจุดเด่นก็ต้องมีจุดด้อย อสูรตนนี้ ถึงมันจะกินยาทิพย์ ฆ่าฟันไม่ตายแต่ก็ต้องมีวิธีทำลายอาถรรพ์และทำร้ายชีวิตมันได้เหมือนกัน อยู่ที่ว่าใครจะเป็นผู้ไปล้วงเอาความลับนี้มาได้



---เหล่าเทวะทั้งหลาย พากันนิ่งเงียบและนั่งก้มหน้า ไม่มีผู้ใดที่จะขันอาสา เวลาผ่านไปสักครู่ ก็มีเสียงดังก้องกังวาลมาทางด้านท้ายแถวว่า ข้าพเจ้าท้าวจาตุมมหาราชทั้ง ๔ ขอขันอาสา ที่จะไปล้วงความลับของอสูรตนนี้  หมู่เทวะทั้งหลาย ต่างหันมามองท้าวมหาราชทั้ง ๔ ด้วยแววตาและดวงจิตที่ชื่นชมความกล้าหาญ เสียสละ ของมหาราชทั้ง ๔ องค์อินทร์ ก็ทรงถามว่า ท่านทั้ง ๔ เห็นประโยชน์อะไรในการขันอาสาครั้งนี้  ข้าพเจ้าทั้ง ๔ เห็นความสุขสงบ ควรจะมีต่อหมู่มหาเทพทั้งหลาย ถ้าสามารถกำจัดอสูรร้ายนี้ได้ และอีกอย่างข้าพเจ้าทั้ง ๔ เท่านั้น เป็นผู้ควรต่อการครั้งนี้



---เหตุเพราะหมู่เทวะทั้งหลาย มีกลิ่นกายไอสวรรค์ปรากฏอยู่ทั่วทุกท่าน ถ้าจะจำแลงแปลงกายเป็นอสูร อสุรินทรราหูผู้มีปัญญาและประสาทสัมผัสที่ว่องไว อาจจะจับพิรุธได้และมีอันตราย  แต่ข้าพเจ้าทั้ง ๔ เป็นผู้ไม่มีกลิ่นไอสวรรค์และเป็นผู้ไม่มีกลิ่นไออสูร ข้าพเจ้าทั้ง ๔ จึงเป็นผู้เหมาะแก่การอาสาไปล้วงความลับของอสุรินทรราหู ด้วยประการฉะนี้เจ้าข้า สาธุ สาธุ ดีแล้วมหาราชทั้ง ๔  ท่านช่างเป็นผู้กล้าและเสียสละยิ่ง ปวงเทพทั้งหลายก็พากันแปล่งสาธุการสรรเสริญ



---ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ ก็เหาะมายังที่อยู่ของอสุรินทรราหู และร่ายเวทย์แปลงกายเป็นอสูรน้อย เข้าไปขันอาสารับใช้ต่อกิจการต่างๆ จนเป็นที่รักใคร่ของจอมอสูรและยอมสอนวิทยาการต่างๆ ให้จนหมดพุง อสูรแปลงทั้ง ๔ กล่าวกับอสุรินทรราหูผู้เป็นอาจารย์ว่า "ท่านอาจารย์ที่เคารพ หมู่เทวดามีอยู่ด้วยกันจำนวนมาก จะพากันรุมทำร้ายท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ต้องระวัง พวกกระผมเป็นห่วง"



---อสุรินทรราหูจึงได้กล่าวกับศิษย์ของตนว่า "เจ้าทั้ง ๔ มิต้องเป็นห่วง หมู่เทพทั้งหลาย ไม่สามารถจะฆ่าเราได้หรอก เพราะเรามีวิธีรักษาอาถรรพ์ของยาทิพย์ให้อยู่ได้ เราจะบอกต่อเจ้าให้ฟัง แต่เจ้าจะต้องให้สัจจะแก่เราว่า จะไม่บอกใคร  มหาราชทั้ง ๔ รับปาก อสุรินทรราหู ก็บอกความลับแก่ศิษย์ของตน ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ เมื่อได้รู้ความลับของอสุรินทรราหู ก็ปลีกตัวเหาะกลับมายังเทวสภา ปวงเทพทั้งหลาย เมื่อได้เห็นท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ กลับมาสู่เทวสภา ก็พากันปริวิตกว่า กิจที่ไปสืบความลับของจอมอสูรจะสำเร็จไหมหนอ



---ฝ่ายมหาราชทั้ง ๔ เมื่อมาถึงเทวสภาแล้ว ก็ตรงเข้าไปอัญชลีแก่องค์อินทรราชผู้เป็นใหญ่ แล้วกราบทูลว่า "บัดนี้ภารกิจที่ข้าพระองค์ทั้ง ๔ ขันอาสาไปปฏิบัติ ได้สำเร็จลุล่วงแล้วพระเจ้าข้า"  มหาเทพผู้เป็นประธานในหมู่เทพทั้งปวงก็ตรัสถามว่า แล้วมีวิธีใดที่จะกำจัดจอมอสุรินทรราหู ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ จึงกราบทูลว่า "ข้าแต่จอมอัมรินทร์ปิ่นสวรรค์ ข้าพเจ้าทั้ง ๔ ไม่สามารถบอกความลับแก่ผู้ใดได้ เหตุเพราะข้าพเจ้าทั้ง ๔ ได้รับปากกับจอมอสูรไว้แล้วว่า ถ้าได้ล่วงรู้ความลับที่จะสังหารจอมอสูรแล้ว จะไม่บอกแก่ใครเป็นอันขาดพระเจ้าข้า แต่ถ้าเมื่อใดที่อสุรินทรราหูจอมอสูร ขึ้นมาอาละวาดบนสรวงสวรรค์อีก ข้าพเจ้าทั้ง ๔ ขออาสาที่จะหาวิธีกำราบจอมอสูร ให้พ่ายแพ้ไปจนได้ พระเจ้าข้า "



---จอมอัมรินทร์ผู้เป็นใหญ่ และเหล่าเทพทั้งปวง เมื่อได้ฟังท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔กล่าวเช่นนั้น ก็โสมนัสยินดี พากันเปล่งสาธุการ จนดังกังวาลก้องไปทั่วโลกทั้งสาม แล้วเหล่าเทพทั้งหลาย ก็ได้กล่าวสรรเสริญแก่ท่านท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ ว่า ท่านทั้ง ๔ ช่างเป็นผู้กล้าหาญ เสียสละ กตัญญู และรักษาสัจจะเป็นเลิศ



---กล่าวฝ่ายอสุรินทรราหูอยู่ในที่พำนักของตน  เมื่อได้ยินเสียงแช่ซ้องสาธุการของชาวสวรรค์ ก็คิดเคืองใจจิตว่า ไอ้พวกมดพวกปลวกนี้ ชักกำเริบใหญ่ บังอาจส่งเสียงรบกวนเวลาพักผ่อนของเรา เห็นทีจะต้องขึ้นไปอาละวาดเสียให้เข็ดหลาบ คิดดังนั้นแล้ว จอมอสูรผู้มีเดช ก็สำแดงฤทธิ์ เหาะขึ้นไปสู่นภากาศ แล้วร่ายเวทย์เนรมิตกายให้กว้างใหญ่ แล้วแผ่อำนาจบาตรใหญ่ตวาดออกไปว่า ไอ้พวกมดปลวกขี้ขลาดทั้งหลาย ชักกำเริบ บังอาจรบกวนเราผู้เป็นใหญ่ ซึ่งกำลังพักผ่อนอาศัยอยู่ใต้บาดาล  เห็นทีวันนี้เราจะกลืนกินพวกเจ้า ให้สาสมกับโทษทัณฑ์ ที่บังอาจรบกวนเรา



---ว่าแล้วจอมอสูร ก็อ้าปากขึ้น ซึ่งดูลึกล้ำและกว้างใหญ่ สามารถดูดอมดวงดาวในมหาจักรวาลไว้ได้ทีเดียว แม้แต่เทวสภาขององค์อินทร์ที่ว่ากว้างใหญ่ สามารถบรรจุปวงเทพทั้งหลายได้ถึงแปดหมื่นสี่พันโกฏิ ก็ยังไม่ทำให้กระพุ้งแก้มของจอมอสูรโป่งพองขึ้นมาได้ ฝ่ายหมู่เทวะน้อยใหญ่ เมื่อได้เห็นจอมอสุรินทรราหู แสดงเดชเพื่อจะกลืนกินพวกตนไปพร้อมกับเทวสภา ก็ให้เกิดอาการหวาดผวา ระวังสะดุ้งกลัว พากันหลีกหนีหลบซ่อน เป็นที่สับสนอลหม่าน หาได้มีผู้ใดคิดจะต่อกรจอมอสูรไม่




โดย: Marine    เวลา: 2015-8-29 21:04



---ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ เมื่อเห็นอสุรินทรราหูสำแดงเดช เพื่อจะกลืนกินเทวสภาเช่นนั้น มหาราชทั้ง ๔ ก็ออกไปยืนปรากฏอยู่ในทิศทั้ง ๔ ของเทวสภา แล้วก็ร่ายเวทย์สำแดงตน ให้จอมอสูรใด้เห็นเป็นสองภาพ คือ ภาพหนึ่งเป็นอสูรน้อย แล้วเปลี่ยนมาเป็นเทพพิทักษ์ทิศ กลับไปกลับมาอยู่ดังนี้ เป็นสองคำรบแล้ว อสุรินทรราหู เมื่อได้เห็นดังนั้น ก็จำได้ว่า เทพพิทักษ์ทิศทั้ง ๔นี้ คืออสูรน้อยลูกศิษย์เรา แล้วเราก็เป็นผู้บอกวิธี ที่จะทำให้เราตายได้อย่างไร เห็นทีเราจะเสียรู้เทพพิทักษ์ทิศทั้ง ๔ นี้เสียเป็นได้ คิดดังนั้นแล้ว อสุรินทรราหูก็รีบหุบปาก หดตัวเหาะหนีลงสู่บาดาลที่อยู่แห่งตนทันที



---นับแต่แต่บัดนั้นมา เหล่าเทพเจ้าและมหาเทพทั้งหลาย ก็สถาปนาให้ท่านท้าวจาตุมหาราช เป็นเทพพิทักษ์สวรรค์และโลกในทิศทั้ง ๔ มีหน้าที่อภิบาลดูแลสวรรค์และโลกให้สงบสุขตลอดเวลา

*บทความท้ายเรื่อง



---มีผู้ถามว่า ทำไมเทวดาถึงขี้โกง ไม่แบ่งยาทิพย์ให้แก่พวกอสูร อันนี้ก็คงจะตอบลำบากซักหน่อยนะ เพราะฉันมิใช่เทวดา แต่ถ้าจะให้ พวกเทวดาคงคิดว่า ถ้าขืนปล่อยให้พวกอสูรได้กินยาทิพย์คงจะยุ่งเป็นแน่ เพราะขนาดไม่ได้กินยาทิพย์ และเวลารบกันระหว่างอสูรกับเทวดา บ่อยครั้งที่เทวดาเป็นผู้พ่ายแพ้ เพราะสู้กำลังอำนาจของอสูรไม่ได้ เมื่อสู้ไม่ได้เทวดาก็ต้องหนีกลับเข้าประตูสวรรค์



---เมื่อเข้าไปสู่ประตูสวรรค์แล้ว พวกอสูรก็จะไม่กล้าติดตามเข้าไป เพราะเกรงกลัวบารมีของเทพพิทักษ์ทั้ง ๔ หรืออีกนัยหนึ่ง สรวงสวรรค์และวิมานทั้งหลายนั้น เกิดด้วยบุญฤทธิ์ พวกอสูรเป็นผู้มิได้ทำบุญมาแต่เก่าก่อน หรือถ้าทำก็ทำบุญมาน้อย เลยไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของสวรรค์และวิมานทั้งหลาย เช่นเดียวกัน ตราบใดที่เหล่าเทวดารบชนะพวกอสูร ซึ่งส่วนใหญ่ก็รบด้วยอุบายปัญญา ถ้าจะลุ้นด้วยฝืมือแล้ว คงจะยาก เอาเป็นว่าเมื่อเทวดาฟลุ๊กรบชนะ พาไพร่พล รุกรบติดตามอสูรไปจนถึงประตูบาดาล อสูรหนีเข้าประตูบาดาลได้ เทวดาก็หมดสิทธิ์ติดตามต่อไป



---เหตุเพราะเมืองบาดาล เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความมืดและอับชื้น หนึ่งวันจะเห็นแสงสว่างเพียงแค่สองชั่วยามเท่านั้น เหตุที่เป็นเช่นนี้ คงเป็นเพราะบุญกรรม ของคนพาลทั้งหมดที่ได้สร้างสมเอาไว้ เมื่อตายไป หลังจากชดใช้กรรมหนักๆ ทั้งหลาย บนโลกมนุษย์หมดสิ้นหรือเบาบางลง แล้วก็ไปเกิดในอัตภาพของอสูรหรือยักษ์ มีรูปร่างหน้าตาน่าเกลียด ขาดปัญญา มีแต่พละกำลัง และจมปลักอยู่ในความโลก โกรธ หลง เช่นนั้น เพราะฉะนั้น พวกเทวดาก็เลยไม่กล้าที่จะเหยียบย่าง กล้ำกรายเข้าไปในเขตของพวกอสูรด้วย ประการฉะนี้.









..........................................................................









ที่มา.....http://www.sil5.net/index.asp?contentID=10000004&title

=%BB%C3%D0%C7%D1%B5%D4%C3%D2%CB%D9&getarticle=18&keyword=&catid=

เรียบเรียงโดย

                                                                                                                  พลตำรวจโท สรรเพชญ ธรรมาธิกุล

                                                                                            (อดีต) ผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล

รวบรวมโดย...แสงธรรม







ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2