Baan Jompra
ชื่อกระทู้:
ประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง
[สั่งพิมพ์]
โดย:
oustayutt
เวลา:
2015-8-26 15:21
ชื่อกระทู้:
ประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง
ชาวบ้านในเขตจังหวัดบุรีรัมย์ และใกล้เคียง เชื่อกันว่าในชั่วชีวิตของตนต้องขึ้นเขาพนมรุ้ง เพื่อที่ไปนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนเขาพนมรุ้ง ซึ่งมีปราสาทหินเขาพนมรุ้งเป็นที่สถิตของเทพเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ฉะนั้นผู้เฒ่าผู้แก่มักจะเรียกร้องให้บุตรหลานพาขึ้นเขาพนมรุ้ง เพื่อนมัสการ สิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างน้อย 1 ครั้ง ในชั่วชีวิตของตน ความเชื่อดังกล่าวนี้ริเริ่มมีมาแต่ครั้งใดไม่ปรากฏ แต่พบว่า ชาวบ้านที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงได้ยึดถือปฏิบัติกันสืบต่อมา ผ่านคนรุ่นหนึ่งสู่อีกคนรุ่นหนึ่ง จนถือกันเป็นประเพณีว่าชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงต้องขึ้นเขาพนมรุ้ง นมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันสิงสถิตอยู่ที่ปราสาทหินทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนจน คนร่ำรวยต้องหาโอกาสให้ได้
ฉะนั้นในอดีต ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ก่อนพุทธศักราช 2481 หลังจากฤดูเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว ชาวบ้านจะเตรียมตัวพร้อมเสบียงอาหารที่เดินทางไกลไปยังเขาพนมรุ้งส่วนใหญ่ มักจะนัดแนะเพื่อนบ้านญาติพี่น้องไปพร้อม ๆ กันเป็นกองเกวียนขนาดใหญ่ หรือถ้าเป็นคหบดี ค่อนข้างมีฐานะ จะเดินทางโดยระแทะ เป็นเกวียนขนาดเล็กที่มีการตกแต่งอย่างงดงาม เป็นการแสดงฐานะของผู้เป็นเจ้าของด้วย เดินทางรอนแรมกันไปหลายวันตามระยะทางใกล้หรือไกลจากหมู่บ้านของเขา การขึ้นเขาพนมรุ้งในสมัยแรก ๆ นั้น เป็นลักษณะต่างคนต่างไป และไปพบกันที่เขาพนมรุ้ง บางกลุ่มเดินทางขึ้นเขา ขณะที่บางกลุ่มเดินลงเขาเพื่อกลับยังเคหะสถาน ตลอดฤดูแล้งระหว่างเดือน 3 ถึงเดือน 5 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ว่างจากงานไร่ นา แต่กระนั้นก็ตามชาวบ้านในละแวกจังหวัดบุรีรัมย์และใกล้เคียงได้เรียนรู้ว่า ในวันเดือน 5 ขึ้น 15 ค่ำนั้น เป็นวันที่พระอาทิตย์ขึ้นส่องแสงผ่านประตูทุกช่องทั้ง 15 ช่องตามแนวทิศตะวันออก-ตะวันตกของปราสาทพนมรุ้ง และในเย็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 พระจันทร์จะขึ้นตรงกับช่องประตูทุกช่อง เช่นเดียวกัน
“ในกรณีดังกล่าวอธิบายได้ว่า สถาปนิกหรือช่างก่อสร้างชาวขอมโบราณมีความรอบรู้ เรื่องดาราศาสตร์มาก และได้วางผังปราสาทโดยวางให้ตรงตามทิศตะวันออก-ตะวันตก โดยกำหนดเอาวันที่พระอาทิตย์ส่องแสงตั้งฉากกับพื้นโลกในบริเวณประเทศไทย นั้นคือ พระอาทิตย์จะส่องแสงตั้งฉากกับพื้นโลกเวลาเที่ยงตรง (คนยืนกลางแจ้งจะไม่มีเงา) วันที่พระอาทิตย์ส่องแสงตั้งฉากกับพื้นโลกคือ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ในพุทธศตวรรษที่ 15-16 (แต่ปัจจุบัน พระอาทิตย์ได้ทำมุมเอียงไปบ้างแล้วตามวงโคจรของโลก พระอาทิตย์ พระจันทร์ ได้ทำมุมเปลี่ยนไปตามระบบสุริยจักรวล”
ฉะนั้นจึงพบว่าชาวบ้านจะนิยมขึ้นเขาพนมรุ้งในวันเดือน 5 ขึ้น 15 ค่ำ หรือในวันใกล้เคียง เพื่อจะได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ดังกล่าวด้วย ครั้นมีผู้คนไปนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวันดังกล่าวจำนวนมาก จึงมีผู้ริเริ่มทำบุญกุศลจัดงานนมัสการพระพุทธบาทจำลอง ปิดทองพระพุทธรูป แต่กระนั้นก็ตามยังไม่ได้จัดทำบุญกันสม่ำเสมอทุกปี
ประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้งได้กระทำกันอย่างสม่ำเสมอ น่าจะนับได้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2481 เป็นต้นมา โดยมีพระภาสธรรมญาณ วัดท่าประสิทธิ์ จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งท่านมักจะไปธุดงค์ที่เขาพนมรุ้งเป็นประจำทุกปี เพื่อปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐาน ท่านเห็นว่ามีผู้คนชาวไทย-ลาว ชาวเขมร และไทยเบิ้ง มักจะขึ้นเขาพนมรุ้งมาบำเพ็ญกุศลในวันเวลาดังกล่าวจำนวนมาก ประกอบกับท่านได้เห็นตัวอย่างชาวสุรินทร์ได้มีประเพณีขึ้นเขาพนมสวาย ในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 5 เพื่อปิดทองนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รอยพระพุทธบาทจำลอง ท่านจึงจัดประชุมชาวบ้านบุ ตำบลจระเข้มาก อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงเขาพนมรุ้ง ช่วยกันถากถางตกแต่งสถานที่บริเวณลานหน้าปราสาทเขาพนมรุ้ง เพื่อจัดงานบุญงานกุศลอันเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง โดยจัดงานนมัสการและปิดทองรอยพระพุทธบาทจำลอง
โดย:
oustayutt
เวลา:
2015-8-26 15:22
รอยพระพุทธบาทจำลองที่เขาพนมรุ้ง
จำคำบอกเล่าของ นายกวน สอดทรัพย์ อายุ 62 ปี บ้านเลขที่ 16 ตำบลหนองแวง อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์ และผู้เฒ่าผู้แก่อีกหลายท่าน เล่าว่า
รอยพระพุทธบาทจำลอง มีประดิษฐานอยู่ในปรางค์องค์น้อยมาเป็นเวลานานแล้ว ประมาณกว่า 100 ปี โดยมีปู่ย่าตายายเล่าต่อ ๆ กันมาว่า หลวงประดิษฐ์ (นามเดิมหลวงปู่มา) เป็นกำนันบ้านตาเป๊ก อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ ต่อมาได้บวชเป็นเจ้าอาวาสวัดอัมภาราม (เทิ่งอนุสรณ์) หลวงปู่มาเป็นผู้นำรอยพระพุทธบาทจำลองมาประดิษฐานที่ปรางค์องค์น้อย บนเขาพนมรุ้ง พร้อมกับรอยพระพุทธบาทจำลองที่ประดิษฐานอยู่ภูอังคาร
รศ.ดร. ม.ร.ง.สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์ (2536 : 388) ได้กล่าวไว้ในหนังสือปราสาทพนมรุ้ง ศาสนบรรพตที่งดงามที่สุดในประเทศไทย โดยได้กล่าวไว้ในภาคผนวก : ลำดับเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับปราสาทเขาพนมรุ้ง และทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ มีเหตุการณ์สำคัญที่บันทึกถึง “รอยพระพุทธบาทจำลอง” ดังต่อไปนี้
“พุทธศักราช 2437 ได้มีการประดิษฐานรอยพระพุทธบาทสมัยหลัง ภายใน “ปรางค์น้อย” ทางมุมทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปราสาทประธาน และเป็นที่สักการะของประชาชนในแถบนั้นตลอดมา”
ต่อมาในปี พ.ศ. 2481 ท่านพระโอภาสธรรมญาณได้เป็นผู้นำกำหนดให้มีงานบุญประจำปี ประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง ในวันขึ้น 15 ค่ำ วันเพ็ญ และแรม 1 ค่ำ เดือน 5 (วันขึ้นเขาจริง คือ วันเพ็ญเดือน 5 ของทุกปี) มีประชาชนเป็นจำนวนมากเดินทางมาทำบุญปิดทองนมัสการรอยพระพุทธบาทจำลอง และชมความงดงามของปราสาทพนมรุ้ง
ในปี พ.ศ. 2514 กรมศิลปากรได้เริ่มโครงการบูรณะปราสาทหินเขาพนมรุ้ง ในแต่ละปีเมื่อถึงวันประเพณีขึ้นเขา ชาวบ้านเป็นจำนวนมากเดินทางขึ้นเขาเพื่อปิดทองรอยพระพุทธบาทจำลอง ซึ่งประดิษฐานอยู่ในปรางค์องค์น้อย ศรัทธาของชาวบ้านนับหมื่นคน นอกจากจะปิดทองรอยพระพุทธบาทจำลองแล้ว ยังปิดทองบริเวณภายนอกปรางค์องค์น้อยอีกด้วย
ภายหลังทางเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร ฝ่ายบูรณะปราสาทพนมรุ้ง ได้นำรอยพระพุทธบาทจำลองย้ายลงมาที่ลานด้านหน้าปราสาทในวันเพ็ญ เดือน 5 ของทุกปี เพื่อให้ประชาชนผู้มีจิตศรัทธาได้นมัสการปิดทองรอยพระพุทธบาทจำลอง และต่อมาเห็นว่าการเคลื่อนย้ายรอยพระพุทธบาทจำลองขึ้น ๆ ลง ๆ ทุกปี ไม่เป็นการสะดวกนัก จึงได้มอบหมายให้ทางวัดพนมรุ้งเป็นผู้ดูแลและจัดตั้งที่ประดิษฐาน ชั่วคราวบริเวณด้านข้างทางซ้ายมือก่อนขึ้นสะพานนาคราช
ประชาชนทั่ว ๆ ไป มีความเลื่อมใสศรัทธาและเชื่อกันว่าบริเวณเขาพนมรุ้งทั้งในอดีตและปัจจุบันเป็นดินแดนที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่สถิตของทวยเทพเทพาอารักษ์ ผู้พิทักษ์ปราสาทพนมรุ้งจากคำบอกเล่าสืบทอดกันของคนเฒ่าคนแก่
เรื่องความเชื่อในวันขึ้นเขาพนมรุ้ง ซึ่งตรงกับวันเพ็ญ เดือน 5 ของทุกปี ประชาชนทุกคนที่มาบำเพ็ญบุญที่เขาพนมรุ้งด้วยแรงศรัทธา จะต้องมีจิตใจงดงาม สำรวมทั้งกาย วาจา ใจ ประพฤติปฏิบัติตนแต่ในสิ่งที่ดีงาม พูดจาสุภาพอ่อนโยน มีสัมมาคาระต่อผู้ใหญ่ จะไม่ก่อเหตุ ทะเลาะวิวาท ตีรันฟันแทง หรือฉกชิงวิ่งราว เป็นอันขาด มิฉะนั้นจะเกิดเหตุอาเพศอย่างรุนแรง เช่น เกิดลมพายุจัด ฝนตก และเกิด ฟ้าผ่า ทำให้ผู้คนได้รับอันตราย ตื่นตระหนกตกใจ โดยเฉพาะบุคคลที่ก่อเหตุมักจะมีอันเป็นไปจนถึง แก่ชีวิต
โดย:
oustayutt
เวลา:
2015-8-26 15:33
ขบวนเสด็จของพระนางภูปตินทรลักษมีเทวีในประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง
วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ของทุกปี ประชาชนชาวจังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดใกล้เคียงเป็นจำนวนมาก นิยมเดินทางมาร่วมในประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง ดินแดนแห่งความศักดิ์สิทธิ์ สถานที่ตั้งปราสาทพนมรุ้ง ที่สถิตขององค์พระศิวะมหาเทพ ในลัทธิไศวนิกาย และเหล่าทวยเทพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวลที่ ปกปักษ์รักษาศาสนสถานแห่งนี้
ท่านพระโอภาสธรรมญาณ ได้เป็นผู้กำหนดให้มีงานบุญประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้งตั้งแต่ ปีพุทธศักราช 2481 และในปี พ.ศ. 2534 จังหวัดบุรีรัมย์ ได้ร่วมกับกรมศิลปากรและการท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย ได้จัดประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้งสืบทอดงานประเพณีเดิมให้มีความยิ่งใหญ่ตระการตา เพื่อพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ โดยนำข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับกษัตริย์ ผู้สร้างปราสาทพนมรุ้งมาเรียงร้อยเป็นเรื่องราวจำลองภาพขบวนเสด็จของพระนางภูปตินทรลักษมีเทวี ซึ่งเดินทางมาจากเมืองพระนครหลวง (ประเทศกัมพูชา) มายังเทวาลัยพนมรุ้ง ซึ่งนอกจากข้าทาสบริวารผู้ติดตามขบวนขบวนมาด้วย เพื่อถวายเทวสักการะแด่เทพเจ้าผู้พิทักษ์ทั้งสิบแห่งจักรวาล และ พระนางภูปตินทรลักษมีเทวี ผู้เป็นพระมารดาให้จัดหาพาะและวัวนมอีกอย่างละ 100 ตัว เพื่อถวายแด่ มหาฤๅษีนเรนทราทิตย์
เสียงเป่าเขาสัตว์ดังก้องกังวานไปทั่วขุนเขา ท่ามกลางความเงียบสงบบนดินแดนแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ขบวนเทพพาหนะทั้ง 10 ซึ่งประดิษฐ์ตกแต่งอย่างสวยงามต่างเคลื่อนเข้าสู่ทางเดินระหว่างช่องเสานางเรียง ตลอดทางจนถึงบันไดนาคราช ระหว่างทางที่ขบวนเสด็จผ่าน มีหญิงสาวยืนโปรยดอกไม้ เพื่อต้อนรับขบวนเสด็จของพระนางภูปตินธรลักษมีเทวี
โดย:
oustayutt
เวลา:
2015-8-26 15:35
ขบวนแห่เทพพาหนะทั้ง 10 ทิศ ประกอบด้วย
ขบวนที่ 1 หงส์ พาหนะของพระพรหม เป็นเทพเจ้าประจำทิศเบื้องบน
ขบวนที่ 2 ช้าง พาหนะของพระอินทร์ เป็นเทพเจ้าประจำทิศตะวันออก
ขบวนที่ 3 วัว พาหนะของพระอิสาน เป็นเทพเจ้าประจำทิศตะวันอกเฉียงเหนือ
ขบวนที่ 4 แรด พาหนะของพระอัคนี เป็นเทพเจ้าประจำทิศตะวันออกเฉียงใต้
ขบวนที่ 5 คชสีห์ พาหนะของพระกุเวร เป็นเทพเจ้าประจำทิศเหนือ
ขบวนที่ 6 นกยูง พาหนะของพระขันธกุมาร เป็นเทพเจ้าประจำทิศใต้
ขบวนที่ 7 นาค พาหนะของพระวิรุณ เป็นเทพเจ้าประจำทิศตะวันตก
ขบวนที่ 8 ม้า พาหนะของพระพาย เป็นเทพเจ้าประจำทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ขบวนที่ 9 รากษส พาหนะของพระนิรฤติ เป็นเทพเจ้าประจำทิศตะวันตกเฉียงใต้
ขบวนที่ 10 กระบือ พาหนะของพระยม เป็นเทพเจ้าประจำทิศเบื้องล่าง
ขบวนแห่เทพเจ้าประจำทิศทั้ง 10 ขบวนเรียงตามลำดับ โดยในแต่ละขบวนมีข้าทาส บริวารหญิง ชาย จำนวนมากมาย ร่วมในขบวนแห่เพื่ออัญเชิญเครื่องบูชาสักการะเทพเจ้าแต่ละทิศ ผู้ร่วมขบวนแห่แต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองที่ดูละม้ายคล้ายกับที่ปรากฏอยู่ในภาพจำหลักที่ปราสาทพนมรุ้ง เป็นภาพที่งดงามด้วยสีสันตระการตายิ่ง เพียบพร้อมและอุดมสมบูรณ์ด้วยเครื่องราชสักการะบูชาครบถ้วน
ถัดจากขบวนเทพพาหนะ ทั้ง 10 ขบวน เป็นขบวนเสด็จของพระนางภูปตินทรลักษมีเทวี เคลื่อนขบวนมาโดยราชยาน พร้อมด้วยนางจริยา นางสนองพระโอษฐ์ ราชยาน ซึ่งมีชายฉกรรจ์ล่ำสันแบกหามเคลื่อนไปอย่างช้า ๆ งดงามด้วยริ้วธงทิวประจำขบวน พร้อมเหล่าเครื่องประดับยศพริ้วไสวมีความอลังการดุจกาลเวลาในอดีตที่เทวาลัยพนมรุ้งมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด คลาคล่ำไปด้วยผู้ศรัทธาในองค์พระศิวะมหาเทพ ซึ่งได้รับความนับถือสูงสุดในศาสนฮินดู ลัทธิไศวนิกาย แห่งปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์
โดย:
oustayutt
เวลา:
2015-8-26 15:35
ประวัติและที่มาของขบวนเสด็จพระนางภูปตินทรลักษมีเทวี
สุรินทร์ คล้ายจินดา (2534 : 6 – 7 และ 12 – 15) ได้กล่าวไว้ในบทการแสดงแสง – เสียง ชุด “มหาเทวปราสาทพนมรุ้ง” เนื่องในโอกาสพิธีเปิดอุทธยานประวัติศาสตร์ปราสาทพนมรุ้ง โดยอำนวยการสร้างและจัดแสดงโดยจังหวัดบุรีรัมย์ กรมศิลปากร และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้กล่าวถึงที่มาของขบวนเสด็จพระนางภูปตินทรลักษมีเทวีไว้ในฉากที่ 2 : อดีตสมัย
บทสนทนาระหว่าง องค์เรนทรทิตย์ กับ หิรัณยะ
คำบรรยาย
“หิรัณยะ บุตรแห่งเรา พวกเราสายเลือดมหิธร มีความเชื่อมั่นยิ่งนักในมหิทธานุภาพแห่ง องค์ศิวะมหาเทพ จึงสร้างเทวาลัยเพื่อบูชาพระองค์ไว้บนยอดเขา หิรัณยะ เจ้าจดจำศิวะราตรีในปีนั้นได้หรือไม่”
- ให้ผู้แสดงจัดขบวนแห่ประทีปโคมไฟ แต่ยังไม่จุดโคมไฟ จัดขบวนในความมืด เมื่อปรากฏร่างองค์อินทราทิตย์ที่สะพานนาคราช
- เมื่อเริ่มคำบรรยาย “เมื่อเจ้าอายุ 7 ขวบ ... จึงจุดประทีปโคมไฟ แล้วเคลื่อนขบวนมายัง หน้าปราสาท
คำบรรยาย
“หิรัณยะ เมื่อเจ้าอายุ 7 ขวบ ศิวะราตรีของปีนั้น พระแม่เจ้าภูปตินทรลักษมีเสด็จมาบวงสรวงองค์ศิวะมหาเทพ แล้วถวายเทพพาหนะ ขบวนแห่เทพพาหนะ ประดับธงทิวหลากสี ผู้คนมากมายระดมประโคมเครื่องเสียงก้องกังวานไปทั้งภูผา กลางแสงเจิดจ้าของดวงตะวัน”
โดยได้กล่าวถึงตัวละคร และอุปกรณ์การแสดงในขบวนเสด็จของพระนางภูปตินทรลักษมีเทวี ไว้ดังต่อไปนี้
ฉากที่ 2 อดีตสมัย
ตัวละคร
1. พระนางภูปตินทรลักษมี
2. แม่นางสุรภี สาวพรหมจารีย์ผู้รำบวงสรวง
3. ทหารหญิง 16 คน
4. คหบดี 15-20 คน
5. พนักงานแบกเสลี่ยงผลไม้บวงสรวง 12 คน
6. คนรับใช้ 20 คน (ชายหรือหญิงให้เป็นคู่)
7. นางสนม (หรือผู้ติดตามประเภท 2)
8. พราหมณ์ 3 คน (จากแรก 3 และเพิ่มอีก 1 คน)
9. พราหมณ์ 4 คน
10. นักดนตรี 5 คน
อุปกรณ์การแสดง
1. ฉัตรดอกไม้ไหว 4 ฉัตร (ทหารหญิง 4 คน)
2. กลด 2 คัน (ทหารหญิง 2 คน)
3. คบเพลิง 12 อัน (คนรับใช้ 12 คน)
4. เสลี่ยงผลไม้ 3 เสลี่ยง (ทหารชาย 12 คน)
5. พานพนมดอกไม้ 4 พาน (ทหารหญิง 4 คน)
6. ระฆัง (ธิเบต) นำขบวน (พราหมณ์ 1 คน)
7. ผ้าขาวปูลาดพระบาท (ยาว 40 เมตร) พร้อมแท่งเหล็กขนาด 6 หุน ยาวเท่งละ 120 เซนติเมตร 24 แท่ง (ทหารชาย 2 คน)
8. เชิงเทียน (ปักเทียน 5 เล่ม) 2 เชิง (ทหารชาย 2 คน)
9. กระถางธูป (ขนาดปาก 10 นิ้ว) (ทหารชาย 1 คน)
10. โคมช่อ (ช่อละ 6 โคม) 2 ช่อ (ทหารหญิง 2 คน)
11. อาวุธ (ดาบ, หอก, โล่) 4 ชุด (ทหารหญิง 4 คน)
12. โต๊ะหมู่ 1 ชุด
13. ตั่งนั่ง 1 ตัว
14. พัดโบก 2 พัด (จากฉากที่ 3)
15. เทริด (ของนางรำ) พร้อมด้วยพานรอง
16. พวงมาลัยดอกดาวเรือง 1 พวงใหญ่, ดอกมะลิ 1 พวง
การจัดแสดงแสง-เสียง ชุด “มหาเทวปราสาทพนมรุ้ง” ได้บรรยายภาพขบวนเสด็จพระนาง ภูปตินทรลักษมีเทวี ในพิธีพวงสรวงองค์ศิวะมหาเทพ และถวายเทพพาหนะมีความงดงามตระการตา และให้ความรู้สึกย้อนรำลึกถึงภาพเหตุการณ์ในอดีตได้อย่างงดงามน่าประทับใจยิ่ง ในเรื่องราวที่ผ่านระยะเวลานับพันปี โดยสุรินทร์ คล้ายจินดา ได้เขียนบทการแสดงแสง-เสียง เหตุการณ์ซึ่งเป็นที่มาของขบวนเสด็จพระนางภูปตินทรลักษมีเทวี ในประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษา มีบท การแสดงในหน้า 13-15 ดังต่อไปนี้
คำบรรยาย
“ครั้นรัตติกาลพาความมืดมาห่อคลุมขุนเขา เบื้องบนโน้นกลางห้วงเวหาหาว ดวงดาวระยิบ ระยิบ กระพริบ เต็มแผ่นฟ้า เบื้องล่างนั้นเล่าแสงประทีปในขบวนเสด็จของพระแม่เจ้าก็ดุจเดียวกับ แสงดาวเบื้องบน ลอยเลื่อนเคลื่อนขึ้นมายังเบื้องหน้ามหาเทวลัย
- เสียงครางระฆัง
- เสียงนกกลางคืนร้อง บินข้ามศีรษะ
- เสียงดวงวิญญาณ, เพลง
การแสดง
- ขบวนพระแม่เจ้าฯ เคลื่อนขึ้นมายังหน้าปราสาท
- พราหมณ์ 2 คน (จากฉากที่ 2) พาคนออกมาจัดที่ทางเตรียมรับเครื่องบวงสรวง
- นำหน้าขบวนด้วยพราหมณ์ ครางระฆัง
- ขบวนขึ้นมาถึงหน้าปราสาท พนักงานจัดเครื่องบวงสรวง พระแม่เจ้าฯ กระทำสักการะ แล้วไปประทับที่ตั่ง เครื่องประดับขบวน (ฉัตรดอกไม้ไหว, โคมช่อ, พัดโบก, กลด, คบเพลิง) ยืนประดับฉาก เชิญพานเทริด และพานพวงมาลัยมายังพระแม่เจ้า แม่นางสุรภีนั่งที่มุมหนึ่งแล้วคลานเข้ามากราบพระแม่เจ้าฯ พระแม้เจ้ามอบเทริด พนักงานช่วยจัดเทริดสวมศีรษะแม่นางฯ มอบพวงมาลัยดอกดาวเรือง แม่นางรับก้มกราบ คลานออกมา สักการะถวายพวงมาลัยฯ ดนตรีบรรเลง เริ่มบวงสรวง
คำบรรยาย
“ครานั้นแม่นางสุรภี สาวพรหมจารย์ เป็นผู้ร่ายรำถวายสักการะแด่พระศิวะมหาเทพ นางนั้น มีวงพักตร์งามผ่องใสดุจพระจันทร์วันเพ็ญ เรือนร่างเอวองค์ทรวดทรงทั่วสารพางค์ไม่มีใครเปรียบได้ ลีลาเยื้องย้ายร่างก็ดุจเทพประทานมา ท่านยังจำได้มั้ย ประภูวิษัยวานน”
- การรำบวงสรวง 3 นาที
- เมื่อรำจบ แม่นางสุรภีกราบที่แท่นเครื่องบวงสรวง
- พระแม่เจ้าฯ รับพวงมาลัยดอกมะลิ ลุกขึ้นเดินขึ้นไปบนสะพานนาค พราหมณ์เดินนำโปรยดอกดาวเรือง พระแม่เจ้าฯ ไปหยุดอยู่กลางสะพานนาค แล้วแสดงท่าตามคำบรรยาย
- เพลง
- แสงสีเหลืองที่สะพานนาค, ที่รูปโยคี, ปล่อยควันในปราสาท
คำบรรยาย
“ที่นั่น บนสะพานนาคราชนั้น พราหมณ์โปรยดอกดาวเรืองสีเหลืองสว่างราวกับปูลาดด้วย ทองคำ พระแม่เจ้าประทับยืนอยู่เหนือดอกไม้ เงยพระพักตร์ เพ่งสายพระเนตรไปที่หมาโยคี ยกพระหัตถ์ทั้งสองประคองมาลัยมะลิกระพุ่มพนม พลางย่อพระองค์ลงคุกเข่าพระโอษฐเปล่งพระสุรเสียง โอม นมัศ ศิวายะ”
- เมื่อพระแม่เจ้าทรุดกายลงนั่ง, ผู้แสดงอื่น ๆ หมอบกราบ
- พราหมณ์มาเชิญเสด็จเข้าในปราสาท
- ผู้แสดงอื่น ๆ เข้าที่ประตูด้านข้าง
- เมื่อพระแม่เจ้าเสด็จเข้าไปแล้ว แสงภายนอกปิดมืดลง ให้ผู้แสดงช่วยเก็บอุปกรณ์ เข้าปราสาทไปด้วย
คำบรรยาย
“พราหมณ์ปุโรหิต นำเสด็จผ่านโคปุระ”
- ปล่อยควันในปราสาท
- แสงสีเหลืองฉายที่ปรางค์ประธาน
คำบรรยาย
“ภายในปรางค์ประธาน องค์สุวรรณลิงคัม ประดิษฐานอยู่เหนือพระแท่นโยนิโทรณะ ท่ามกลางหมอกควันของกำยานเผา หอมกรุ่นมาจากมุมทั้งสี่ ในห้องครรภคฤห เครื่องสังเวย ทั้งนม เนย น้ำผึ้ง น้ำจันทร์ ข้าวสาร ข้าวสุก วางอยู่เรียงราย พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์เริ่มขึ้นเมื่อโรยดินเทศลงเหนือสุวรรณลิงคัม แล้วราดรดด้วยน้ำบริสุทธิ์จากกุณโฑทองคำ น้ำเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อผ่านดินเทศแล้วไหลไปตามโสมสูตรสู่ภายนอก พิธีบวงสรวงมหาเทพและพระแม่อุมาเทวีสัมฤทธิ์ผล”
- เสียงราดน้ำ
- เสียงสังข์ บัณเฑาะว์ สวดมนต์
- แสงสีน้ำเงินทั้งหมด
- เสียงลมพัด
- เพลงอารมณ์โศกเศร้า (ตุม-มุง)
คำบรรยาย
“ตั้งแต่ศิวะราตรีปีนั้น พระแม่เจ้า จากไป ไม่กลับมาอีก พระแม่เจ้าคงเสด็จส่งศานติ ความสงบนิรันดร”
โดย:
oustayutt
เวลา:
2015-8-26 15:36
พระนางภูปตินทรลักษมีเทวี
อำไพ คำโท (2527 : 93, 95) ได้กล่าวไว้ในหนังสือสมบัติอีสานใต้ ครั้งที่ 3 ในเรื่อง ศิลาจารึกภาษาขอม ปราสาทหินเขาพนมรุ้ง โดยได้กล่าวถึง ศิลาจารึกปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์. จารึกด้วยภาษาสันสกฤต ปรากฏอยู่ด้านที่ 1 บทที่ 8 บรรทัดที่ 15-16 มีข้อความในศิลาจารึก และคำแปลที่กล่าวถึงพระนางภูปตินทรลักษมีเทวี ดังต่อไปนี้
บทที่ 8
(บรรทัดที่ 15) ภูภฺฤทฺภวานฺยภวา ภุวิ ภูปตนฺทฺรลกษฺมีรฺ วภูว ภูวนภิมตา ภวฺานี
(บรรทัดที่ 16) ศฺรีสูรฺยยปิตฺรนุภาวา จตุรนฺ นเรนฺทฺรา ทิตฺยาภิทํ (ต) มฺ อสุฤชชฺ ชคทินฺทุวิมฺวมฺ
คำแปลบทที่ 8
ภูปตนทรลักษมี ถือกำเนิดในราชสกุลวงศ์ นางได้รับความนับถือจากบุคคลทั้งหลายว่าเป็นอวตาร (ภวานี) เป็นผู้ประกอบด้วยคุณลักษณะแห่งพระบิดา คือ พระเจ้าสูรย (วรมัน) นางได้ให้กำเนิดแก่ นเรนทราทิตย์ ผู้คล่องแคล่ว และเปรียบเสมือนดวงจันทร์ สำหรับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่
หลักฐานข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ที่ปรากฏในศิลาจารึกปราสาทพนมรุ้ง ได้มีการศึกษาโดยนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี หลายท่าน อาทิ ศาสตราจารย์ ยอร์ช เซเดย์, สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี, ศาสตราจารย์หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล, ศาสตาจารย์มานิตย์ วัลลิโภดม, รศ.ดร.ม.ร.ว.สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์, คุณอำไพ คำโท เป็นต้น
หลักฐานที่ปรากฏในศิลาจารึก ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ได้กล่าวแสดงถึงผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์กษัตริย์ ผู้ครองราชย์เมืองพระนคร (ในประเทศกัมพูชา ปัจจุบัน) มีความสัมพันธ์กับองค์นเรนทราทิตย์ ผู้ทรงสละความเป็นราชตระกูลมาบำเพ็ญพรตเป็นโยคี ณ เขาพนมรุ้ง บทที่ 8 บรรทัดที่ 15-16 ระบุให้สันนิษฐานได้ว่า
พระนางภูปตินทรลักษมีเทวี เป็นพระธิดาของกษัตริย์สูรยาวรมันที่ 2 ซึ่งครองราชย์ที่เมือง พระนคร ในระหว่างปี พ.ศ. 1655-1695 และ องค์นเรนทราทิตย์ เป็นพระโอรสขงพระนางภูปตินทรลักษมีเทวี ซึ่งต่อมาองค์นเรนทราทิตย์ ได้ทรงสละความเป็นราชตระกูลมาบำเพ็ญพรตเป็นโยคี โดยมีพระโอรสองค์หนึ่ง คือ เจ้าชายหิรัณยะ ซึ่งมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าเจ้าชายหิรัณยะ คือ ผู้สร้างศิลาจารึกปราสาทพนมรุ้ง หลักที่ 120
อำไพ คำโท ได้กล่าวถึง ศิลาจารึกปราสาทพนมรุ้งด้านที่ 4 บทที่ 27 บรรทัดที่ 6-8 มีข้อความในศิลาจารึก และคำแปลที่กล่าวถึง องค์นเรนทราทิตย์ และหิรัณยะ ดังต่อไปนี้
บทที่ 28
(บรรทัดที่ 5) ( ศิ ) ษฺยสฺ สุตศฺ จ สุปิตุสฺ สุคุโรรฺ นเรนฺทฺรา
(บรรทัดที่ 6) ทิตฺยสย โส ยมฺ อุทิโต วรุณารุกกว
(บรรทัดที่ 7) วิงฺศตยตีตวยสา สเมติษฺฐิปตฺ ตทฺ
(บรรทัดที่ 8) หิรณฺยชนกํ ส หิรณยนามา
คำแปลบทที่ 28
ศิษย์และบุตรของนเรนทราทิตย์ ผู้เป็นบิดาที่ที่และอาจารย์ที่ดี เขาได้ถือกำเนิดมาดั่งดวงอาทิตย์ จากมหาสมุทร... และเมื่อเขาอายุพ้น 20 ปี เขาก็ได้ให้ช่างสร้างประติมากรรมรูปอันนี้เป็นรูปแห่งบิดาของเขา หล่อขึ้นด้วยทอง เขาผู้นี้นามว่า หิรัณยะ
จากหลักฐานที่ปรากฏในศิลาจารึกพนมรุ้ง ทำให้เป็นข้อมูลสันนิษฐานได้ว่า เจ้าชายหิรัณญะ ผู้สืบสายราชวงศ์ มหิธรปุระ เป็นกษัตริย์ผู้ทรงสร้างอาณาจักรที่เคยมีความเจริญรุ่งเรืองในอดีตนับพันปีในอาณาจักร หรือแคว้นอันเป็นที่ตั้งของปราสาทหินเขาพนมรุ้ง ปราสาทหินเมืองต่ำ ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นดินแดนอันสงบสุขที่มีความโดดเด่น งดงามสูงส่งทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และโบราณคดี มอบไว้เป็นมรดกอันล้ำค่าให้รุ่นลูกรุ่นหลานชาวจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งมีกลุ่มชนที่อาศัยอยู่อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดในดินแดนที่เคยปกครองโดยกษัตริย์ราชวงศ์มหิธรปุระแห่งเมืองพนมรุ้ง
โดย:
oustayutt
เวลา:
2015-8-26 15:38
http://www.baanjomyut.com/library_2/tradition_and_phanom_rung/01.html
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/)
Powered by Discuz! X3.2