Baan Jompra

ชื่อกระทู้: เวียนว่าย ตายเกิด [สั่งพิมพ์]

โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-7-4 22:06
ชื่อกระทู้: เวียนว่าย ตายเกิด
ลักษณะที่น่าสนใจของผู้จำอดีตชาติได้
จากรายการจำแนกผู้ที่จำอดีตชาติได้ทั้ง ๑๖ ราย ในหมู่บ้านตะคร้อ อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์ จะเห็นได้ว่ามีลักษณะพิเศษของผู้ที่จำอดีตชาติได้ที่น่าสนใจอยู่หลายประการ ซึ่งข้อมูลต่างๆเหล่านี้อาจเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้เรา ได้รู้และเข้าใจถึงธรรมชาติการเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์ได้ ซึ่งผู้เขียนได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลและแสดงข้อที่น่าสังเกตไว้ดังต่อไปนี้ คือ
         
สาเหตุการเสียชีวิต (Previous Personality’s Mode of Death)
จากรายการจำแนกผู้ที่จำอดีตชาติได้ทั้ง ๑๖ รายในหนังสือเล่มนี้ จะเห็นได้ว่ามีผู้จำอดีตชาติได้ที่ในอดีตชาติป่วยเสียชีวิตหรือเสียชีวิตตามปกติธรรมชาติ(Natural Death) เพียง ๓ ราย แต่มีผู้จำอดีตชาติได้ที่ในอดีตชาติเสียชีวิตแบบผิดปกติธรรมชาติ คือเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุหรือเสียชีวิตเพราะถูกฆาตกรรม หรือที่เรียกกันตามภาษาชาวบ้านว่า ตายโหง(Violent Death) มากถึง ๑๓ ราย    ซึ่งสอดคล้องกันกับข้อมูลกรณีศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้ในต่างประเทศ ที่พบว่ามีจำนวนของผู้จำอดีตชาติได้ที่ในอดีตชาติเสียชีวิตแบบผิดปกติธรรมชาติ มากกว่าผู้จำอดีตชาติได้ที่ในอดีตชาติป่วยเสียชีวิตหรือเสียชีวิตตามปกติธรรมชาติ
Table 1-1.  Previous Personality’s Mode of Death(Actual or Presumed) in solved and Unsolved Casea
Culture
                    Solved
Unsolved b
N
Violent
Natural
N
Violent
Natural
Burma
168
76(45%)
92(55%)
37
35(95%)
2(5%)
India
193
95(49%)
98(51%)
47
40(85%)
7(15%)
Lebanon
94
65(69%)
29(31%)
18
17(94%)
1(6%)
Sri Lanka
35
19(54%)
16(46%)
55
49(89%)
6(11%)
Thailand
32
13(41%)
19(59%)
2
2(100%)
0(0%)
United States(USA)
14
6(43%)
8(57%)
30
29(97%)
1(3%)
TOTAL
536
274(51%)
262(49%)
189
172(91%)
17(9%)
a The data in this table derive from an analysis made in 1982 and were published in Cook et al. (1983).
b For unsolved cases , figures are based on the mode of death mentioned by the subject.
ตารางแสดงสาเหตุการเสียชีวิตเมื่อในอดีตชาติ ของกรณีศึกษาทั้งหมด ๗๒๕ ราย จาก ๖ ประเทศ จากหนังสือ
REINCARNATION AND BIOLOGY (Volume 1 : Birthmarks) เขียนโดย Ian Stevenson,M.D.
จากตารางด้านบนจะเห็นได้ว่า มีผู้จำอดีตชาติได้ที่ในอดีตชาติเสียชีวิตด้วยสาเหตุ จากการป่วยไข้ซึ่งเป็นการเสียชีวิตตามปกติธรรมชาติ (Natural Death) จำนวน ๒๗๙ ราย ส่วนผู้จำอดีตชาติได้ที่ในอดีตชาติเสียชีวิตด้วยสาเหตุ รุนแรง กะทันหัน อุบัติเหตุ ถูกฆาตกรรม หรือที่เรียกกันตามภาษาชาวบ้านว่าตายโหง(Violent Death) มีมากถึง ๔๔๖ ราย  จากทั้งหมด ๗๒๕ ราย ในจำนวนนี้ ๒๗๔ ราย สามารถพิสูจน์สาเหตุการเสียชีวิตในอดีตชาติได้(Solved)  ส่วนอีก ๑๗๒ ราย ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัด แต่ได้รับคำบอกเล่าจากตัวของผู้จำอดีตชาติได้เอง(Unsolved)
จากสถิติที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดดังกล่าว อาจเป็นที่มาของความเชื่อของคนไทยที่ว่า  ผู้ที่จำอดีตชาติได้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่เสียชีวิตแบบผิดปกติธรรมชาติหรือตายโหง เนื่องจากพวกเขายังไม่หมดอายุไข จึงต้องเกิดมาอีกครั้งเพื่อใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ และคิดกันไปว่าชีวิตที่เหลืออยู่ดังกล่าวคงจะเหลืออยู่ไม่มาก ทำให้เชื่อกันว่าผู้ที่จำอดีตชาติได้จะอายุสั้น อันเป็นที่มาของความพยายามที่จะไม่ให้เด็กพูดถึงเรื่องราวในอดีตชาติ หรือพยายามทำให้เด็กหยุดพูดถึงอดีตชาติโดยเร็วนั่นเอง
มีคำถามว่า ทำไมคนที่ในอดีตชาติเสียชีวิตด้วยสาเหตุที่ผิดปกติธรรมชาติ หรือตายโหง จึงมักจะจำอดีตชาติได้ ?
ผู้เขียนมีสมมุติฐานว่าด้วยการจำอดีตชาติได้และการจำอดีตชาติไม่ได้ดังนี้คือ การที่บางคนสามารถจำอดีตชาติได้นั้น อาจมีสาเหตุมาจากการที่ความทรงจำในอดีตชาตินั้น ยังอยู่ในระดับของ วิถีจิตหรือจิตสำนึกปกติ(Consciousness) เพราะความทรงจำในอดีตชาตินั้น ถูกระลึกถึงอยู่เสมอ หรือถูกทบทวนอยู่บ่อยๆ หรือมีความฝังใจ หรือมีเจตนาที่แรงกล้า หรือมีความหนักแน่นมั่นคง หรือมีความชัดเจน หรือเพราะจิตวิญญาณของผู้เสียชีวิตมีสติสัมปชัญญะรู้สึกตัว ขณะเสียชีวิต หรือหลังจากเสียชีวิต หรือขณะวิญญาณก้าวลงสู่ครรภ์มารดา หรือขณะอยู่ในครรภ์มารดา หรือขณะคลอดจากครรภ์มารดา หรือหลังคลอดจากครรภ์มารดา ทำให้ความทรงจำในอดีตชาตินั้นถูกยกขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกันกับวิถีจิตหรือจิตสำนึกปกติ จึงทำให้สามารถจำอดีตชาติได้ด้วยความทรงจำปกติตั้งแต่เด็ก


ส่วนผู้ที่จำอดีตชาติไม่ได้นั้น อาจมีสาเหตุมาจากการที่ความทรงจำในอดีตชาตินั้น ถูกดึงเข้าไปอยู่ในระดับของ ภวังคจิตหรือจิตใต้สำนึก(Subconsciousness) เพราะความทรงจำในอดีตชาตินั้น ไม่ได้ถูกระลึกถึงอยู่เสมอ หรือไม่ได้ถูกทบทวนอยู่บ่อยๆ หรือไม่มีความฝังใจ หรือไม่มีเจตนาที่แรงกล้า หรือไม่มีความหนักแน่นมั่นคง หรือไม่มีความชัดเจน หรือเพราะจิตวิญญาณของผู้เสียชีวิตขาดสติสัมปชัญญะไม่รู้สึกตัว ขณะเสียชีวิต หรือหลังจากเสียชีวิต หรือขณะก้าวลงสู่ครรภ์มารดา หรือขณะอยู่ในครรภ์มารดา หรือขณะคลอดจากครรภ์มารดา หรือหลังคลอดจากครรภ์มารดา ทำให้ความทรงจำในอดีตชาตินั้นถูกดึงเข้าไปเก็บไว้ในระดับเดียวกันกับภวังคจิตหรือจิตใต้สำนึก   จึงทำให้ไม่สามารถจำอดีตชาติได้ด้วยความทรงจำปกติตั้งแต่เด็ก  

โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-7-4 22:07
จากสมมุติฐานดังกล่าวสามารถอธิบายได้ว่า สาเหตุที่ทำให้ผู้ที่เสียชีวิตด้วยเหตุที่ผิดธรรมชาติ รุนแรง กะทันหัน อุบัติเหตุ หรือถูกฆาตกรรม(Violent Death) เมื่อสืบชาติมาเกิดใหม่พวกเขามักจะจำอดีตชาติได้มากกว่าผู้ที่เสียชีวิตด้วยสาเหตุธรรมชาติ ก็อาจเนื่องมาจากผู้ที่เสียชีวิตด้วยสาเหตุดังกล่าวนั้น พวกเขาได้ประสบกับเหตุการณ์ที่รุนแรงน่ากลัว เกิดขึ้นกะทันหันไม่ทันตั้งตัว เกิดอุบัติเหตุ หรือถูกฆาตกรรม ในทางพุทธศาสนาเรียกอารมณ์ที่แจ่มชัดมาก รุนแรงมาก มีผลกระทบมาก ที่เกิดขึ้นทางหู ตา จมูก ลิ้น และทางกาย ว่า "อติมหันตารมณ์" และเรียกอารมณ์ที่แจ่มชัดมาก รุนแรงมาก มีผลกระทบมาก ที่เกิดขึ้นทางใจว่า "วิภูตารมณ์" ซึ่งอารมณ์ที่แจ่มชัดมาก รุนแรงมาก มีผลกระทบมาก จะทำให้จำได้แม่น จำได้นาน หรือจำฝังใจ เหมือนกับที่บุคคลทั่วไปได้ประสบเหตุการณ์ลักษณะเหล่านี้แล้วจำได้จนวันตาย อาจประกอบด้วยความคั่งแค้นที่หนักแน่นมั่นคง อาจประกอบด้วยความเป็นห่วงหรือเสียดาย ในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำหรือสิ่งที่ตั้งใจไว้ ทำให้เกิดความคิดถึงระลึกถึงอยู่เสมอ จึงทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นๆถูกยกขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกันกับวิถีจิตหรือจิตสำนึกปกติ (Consciousness) เมื่อสืบชาติมาเกิดใหม่จึงมีโอกาสที่จะจำอดีตชาติได้มากกว่าผู้ที่เสียชีวิตด้วยสาเหตุธรรมชาติ เช่น เสียชีวิตเนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บ เพราะเหตุว่าก่อนจะเสียชีวิต ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะรับรู้ถึงอาการผิดปกติต่างๆที่เกิดกับร่างกายมาก่อนแล้ว จึงมีเวลาทำใจให้พร้อมรับกับความตายที่กำลังจะมาถึง อีกทั้งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีความรุนแรง เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของแต่ละบุคคลไม่มีใครทำให้เกิด จึงไม่เป็นเหตุให้เกิดความฝังใจ แค้นใจ ความทรงจำนั้นๆจึงไม่ค่อยจะมั่นคงหนักแน่นหรือไม่ถูกระลึกอยู่เสมอ จึงถูกเก็บไว้ในระดับของภวังคจิตหรือจิตใต้สำนึก(Subconsciousness)ที่ลึกลงไป  ทำให้โอกาสที่จะจำอดีตชาติได้ด้วยความทรงจำปกติ จึงมีน้อยกว่าผู้ที่เสียชีวิตด้วยสาเหตุที่ผิดธรรมชาติ  
ในพระไตรปิฎก มีการแสดงถึงการมีสติระลึกรู้สึกตัว ขณะที่วิญญาณก้าวลงสู่ครรภ์มารดา ขณะอยู่ในครรภ์ และขณะคลอดจากครรภ์มารดา ดังปรากฏใน  สัมปสาทนียสูตร ความว่า

โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-7-4 22:08
พระสารีบุตร ได้กราบทูลสรรเสิรญธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้วว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังมีอีกข้อหนึ่ง เป็นข้อธรรมที่เยี่ยม คือ
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมในการก้าวลงสู่ครรภ์ การก้าวลงสู่ครรภ์ ๔ เหล่านี้
คือ
สัตว์บางชนิดในโลกนี้ ไม่รู้สึกตัว(ตอน)ก้าวลงสู่ครรภ์มารดา ไม่รู้สึกตัว(ตอน)อยู่ใน
ครรภ์มารดา ไม่รู้สึกตัว(ตอน)คลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์
ข้อที่ ๑
ยังอีกข้อหนึ่ง สัตว์บางชนิดในโลกนี้ รู้สึกตัว(ตอน)ก้าวลงสู่ครรภ์มารดาอย่าง
เดียว แต่ไม่รู้สึกตัว(ตอน)อยู่ในครรภ์มารดา ไม่รู้สึกตัว(ตอน)คลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์
ข้อที่ ๒
ยังอีกข้อหนึ่ง สัตว์บางชนิดในโลกนี้ รู้สึกตัว(ตอน)ก้าวลงสู่ครรภ์มารดา รู้สึก
ตัว(ตอน)อยู่ในครรภ์มารดา แต่ไม่รู้สึกตัว(ตอน)คลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์
ข้อที่ ๓
ยังอีกข้อหนึ่ง สัตว์บางชนิดในโลกนี้ รู้สึกตัว(ตอน)ก้าวลงสู่ครรภ์มารดา
รู้สึกตัว(ตอน)อยู่ในครรภ์มารดา รู้สึกตัว(ตอน)คลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์
ข้อที่ ๔
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้ก็เป็นข้อธรรมที่เยี่ยม ในการก้าวลงสู่ครรภ์
(สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค สัมปสาทนียสูตร)
ความฝันบอกเหตุ (Announcing Dreams)
จากข้อมูลเรื่องราวของผู้ที่จำอดีตชาติได้ทั้ง ๑๖ รายในหนังสือเล่มนี้ จะเห็นได้ว่ามีผู้จำอดีตชาติได้ถึง ๗ ราย ที่มีลักษณะของความฝันบอกเหตุว่าผู้เสียชีวิตจะสืบชาติมาเกิดใหม่หรือฝันบอกเหตุว่าจะมีบุตร ซึ่งมีทั้งแม่ของผู้ที่เสียชีวิตเป็นผู้ฝัน บุคคลอื่นเป็นผู้ฝัน และแม่ของผู้ที่จำอดีตชาติได้เป็นผู้ฝันเอง แต่ในที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็นแม่ของผู้ที่จำอดีตชาติได้เป็นผู้ฝันเอง และจะมีลักษณะของความฝันบอกเหตุอยู่ ๒ ลักษณะ คือ ลักษณะที่ฝันว่าผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วมาปรากฏให้เห็นในฝันและพูดหรือแสดงให้รู้ว่าจะมาเกิดใหม่ และลักษณะที่ฝันว่าเก็บเครื่องประดับหรือของมีค่าได้หรือมีคนนำมามอบให้ เช่น สร้อยคอ ต่างหู ไฟแช็ก เป็นต้น  มีคำถามว่า ความฝันบอกเหตุคืออะไร และมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันกับการจำอดีตชาติได้และการสืบชาติมาเกิดใหม่อย่างไร ?
ลางบอกเหตุ ในทางพุทธศาสนาเรียกว่า “บุพนิมิต” หรือ “บุรพนิมิตต์” (portend) คือ ลักษณะ สภาวะ อาการ เหตุปัจจัย หรือเครื่องหมายที่แสดงให้รู้ล่วงหน้าก่อนที่ปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์ใดๆจะเกิดขึ้น เช่น ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นในตอนเช้าเราจะมองเห็นแสงสว่างที่ขอบฟ้าก่อน หรือก่อนที่ฝนจะตกเราจะเห็นเมฆฝนก่อน อย่างนี้เรียกว่าเป็นบุพนิมิต ซึ่งจะมีสิ่งที่เป็น สัญลักษณ์ หรือ เครื่องหมายที่แสดงให้เห็นล่วงหน้า(Presages) ว่าสิ่งนั้นๆ เหตุการณ์นั้นๆ หรือปรากฏการณ์นั้นๆกำลังจะเกิดมีเกิดเป็นขึ้นมา สัญลักษณ์หรือเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นล่วงหน้านี้มีอยู่หลายประเภท เช่น ลักษณะของคน สัตว์ สิ่งของ พืช ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ความฝัน เป็นต้น   ความฝัน เป็นสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายอย่างหนึ่งที่สามารถแสดงถึงลางบอกเหตุล่วงหน้าได้  

โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-7-4 22:08
ในทางพุทธศาสนา มีหลายคัมภีร์ที่กล่าวถึงมูลเหตุแห่งความฝันไว้ เช่น คัมภีร์ทุติยสมันตปาสาทิกา และ คัมภีร์สารัตถสังคหะ เป็นต้น ในคัมภีร์สารัตถสังคหะมีการกล่าวถึงลักษณะการเกิดขึ้นของความฝันว่ามี ๔ ลักษณะ คือ
๑.     ธาตุโขก เกิดจากธาตุวิปริต คือ ความฝันที่เกิดจากความเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงของสสารและพลังงานในร่างกาย ร่างกายมีความผิดปกติ หรือป่วยเป็นโรคต่างๆ เช่น บางคนนอนทับแขนตัวเองทำให้เลือดเดินไม่ได้ ทำให้เกิดอาการชาหรือเจ็บที่แขน จึงฝันว่ามีคนมาตีแขนบ้างประสบอุบัติเหตุและบาดเจ็บที่แขนบ้าง หรือบางคนเป็นหวัดคัดจมูกจึงฝันว่ามีคนมาปิดปากปิดจมูกทำให้หายใจไม่ออกบ้าง อยู่ในที่แคบที่ไม่มีอากาศหายใจบ้าง หรือขณะนอนหลับได้ยินเสียง ได้กลิ่น มีบางสิ่งมาสัมผัส หรือมีบางสิ่งมาทำให้เกิดความรู้สึกร้อนเย็น ก็นำสิ่งที่มากระทบขณะนั้นๆมาฝันเป็นเรื่องเป็นราวได้ เป็นต้น อย่างนี้เรียกว่าความฝันที่เกิดจากธาตุวิปริต
๒.    อนุภูติบุพพะ เกิดจากอารมณ์ในกาลก่อน คือ ความฝันที่เกิดจากอารมณ์หรือความรู้สึกที่เกิดขึ้น ที่เก็บไว้ หรือยังค้างคาใจอยู่เมื่อก่อนที่จะนอนหลับ เช่น บางคนก่อนนอนได้คุยกับเพื่อนเรื่องการเรียน จึงเก็บมาฝันว่าทำข้อสอบได้คะแนนสูงหรือฝันว่าถูกครูต่อว่าหรือฝันว่าทำการบ้านถูกหมดทุกข้อ บางคนทำจานใบที่แม่ชอบแตกในตอนกลางวัน จึงเก็บมาฝันในตอนกลางคืนว่าได้ซื้อจานใบใหม่ที่เหมือนกันทุกประการกับใบที่แม่ชอบมาไว้แทนที่เรียบร้อยแล้ว บางคนมีความตั้งใจว่าจะบวชทดแทนคุณพ่อแม่นานมาแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสและเวลาที่จะบวชเนื่องจากติดภารกิจการงาน และตอนกลางวันเขาได้เห็นพระสงฆ์ คืนนั้นเขาจึงเก็บเอาอารมณ์ความตั้งใจในกาลก่อนมาฝันว่าได้บวชให้พ่อแม่ เป็นต้น อย่างนี้เรียกว่าความฝันที่เกิดจากอารมณ์ในกาลก่อน
๓.    เทวโตปสังหรณ์ เกิดจากเทวดาหรือพวกโอปปาติกะ(เทวดา,พรหม,สัตว์นรก,เปรต,ภูตผีปีศาจวิญญาณ(แล้วแต่จะเรียกกัน)) มาดลสังหรณ์หรือมาเข้าฝัน เช่น วิญญาณคนตายมาเข้าฝันขอให้อุทิศส่วนบุญไปให้  มาเข้าฝันบอกหวย เทวดามาเข้าฝันบอกสิ่งที่เป็นมงคล เป็นต้น อย่างนี้เรียกว่าความฝันที่เกิดจากโอปปาติกะดลสังหรณ์
๔.    บุพพนิมิต เกิดจากบุพนิมิตหรือความฝันบอกเหตุ คือ ความฝันที่บอกล่วงหน้าว่าจะเกิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นในภายหน้า ซึ่งอาจเกิดจากญาณรู้ของเราเองหรือพวกโอปปาติกะมาดลสังหรณ์ เช่น ฝันว่าผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วมาขอเกิดด้วยและต่อมาบุตรที่เกิดมาจำอดีตชาติได้ว่าเป็นคนที่เคยมาเข้าฝันมาเกิด , ฝันว่าไฟจะไหมบ้านและต่อมาได้เกิดไฟไหม้บ้านจริงๆ เป็นต้น อย่างนี้เรียกว่าความฝันบอกเหตุ

ในพุทธประวัติ มีการกล่าวถึงความฝันบอกเหตุไว้ว่า คืนหนึ่งก่อนที่จะตั้งพระครรภ์เจ้าชายสิทธัตถะ พระนางเจ้ามายาราชเทวี พระมารดาของเจ้าชายสิทธัตถะ ได้ทรงพระสุบิน(ฝัน)ว่า มีช้างเผือกชูดอกบัวบุณฑริก(บัวขาว)มาเข้าเฝ้าพระนาง ทำประทักษิณ(เดินเวียนขวา)เวียนพระแท่นที่บรรทม(นอน) ๓ รอบ แล้วปรากฏเสมือนเข้าไปสู่พระอุทร(ท้อง)เบื้องขวาของพระราชเทวี จากนั้นพระนางเจ้าก็เสด็จตื่นจากบรรทม พวกพราหมณ์ทำนายความฝันของพระนางว่า พระสุบิน(ฝัน)ของพระราชเทวีเป็นมงคลนิมิตปรากฏ พระนางจะได้พระโอรส ผู้มีบุญญาธิการยิ่งใหญ่ในโลก ซึ่งต่อมาพระนางก็ตั้งพระครรภ์และให้กำเนิดพระโอรส คือเจ้าชายสิทธัตถะ หรือพระพุทธเจ้าในกาลต่อมานั่นเอง
ในทางวิชาการ มีนักทฤษฎีจิตวิเคราะห์ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน ได้ใช้ความพยายามอย่างมากที่จะค้นหาปริศนาแห่งความฝัน เช่น ซิกมันด์ ฟอยด์(Sigmund Freud) คาร์ล กุสตาฟ จุง(Carl Gustav Jung) เป็นต้น ซึ่งพวกเขาก็ยังไม่สามารถเข้าถึงคำตอบที่แน่นอนแท้จริงได้ แต่พวกเขาก็มีสมมุติฐานเกี่ยวกับความฝันหลายประการ เช่น ความฝันคือขบวนการของความพยายามที่จะแก้ปัญหาของจิต ความฝันคือความกังวลในใจถ้าไม่มีความกังวลก็จะไม่ฝัน ความฝันสำหรับเด็กคือความกลัว ความดีใจ ความเสียใจ ความอยากได้หรือความต้องการ ความฝันคือการแสดงออกถึงอุปนิสัยของผู้ฝัน ความฝันเกิดจากแรงจูงใจหรือสิ่งเร้าทั้งจากภายในและภายนอกร่างกายและจิตใจ ความฝันคือขบวนการแจกแจงปัญหาหรือการขจัดสิ่งที่กังวลในใจ ความฝันคือการตอบสนองอารมณ์ในด้านต่าง เป็นต้น ลักษณะของความฝันที่หลายๆคนเคยประสบมาจะมีทั้ง ฝันที่เป็นไปตามความชอบความปรารถนา ฝันที่ขัดแย้งหรือตรงข้ามกับความชอบความปรารถนา ฝันถึงสิ่งที่เคยได้พบเห็นเคยได้ประสบมาก่อน ฝันถึงสิ่งที่ไม่เคยพบเคยเห็นหรือเคยได้ประสบมาก่อน ฝันวิจิตรพิสดาร ฝันว่าได้ไปในสถานที่ที่ไม่เคยพบเห็นหรือเคยไปมาก่อน ฝันว่าได้ไปสวรรค์ไปนรก หรือฝันเรื่อยเปื่อยจับใจความไม่ได้ไม่มีแก่นสารสาระ จะเห็นได้ว่าความฝันนั้นเป็นสิ่งที่หลากหลายละเอียดอ่อนและซับซ้อนเกินกว่าจะหาเหตุผลมาอธิบายได้เพียงพอ และด้วยความหลากหลายละเอียดอ่อนและซับซ้อนของความฝันนี้เอง ทำให้นักจิตศาสตร์บางคนถึงกับสรุปเอาเองว่า ความฝันของคนเรานั้นเป็นเพียงแค่ความฟุ้งซ่านของจิต เป็นเรื่องเพ้อเจ้อที่ไร้แก่นสารสาระ
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าความฝันจะเป็นสิ่งที่หลากหลายละเอียดอ่อนซับซ้อนและยากที่จะเข้าถึงได้ เนื่องจากความฝันของคนเรานั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุดังที่กล่าวมาแล้ว  และปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้อย่างชัดเจนแน่นอน ว่าความฝันในแต่ละครั้งนั้นเกิดจากสาเหตุใด แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ได้ประสบกับเหตุการณ์เชิงประจักษ์เกี่ยวกับความฝันบอกเหตุและความพิเศษของความฝันอยู่เนืองๆ มีทั้งฝันเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าและฝันที่เป็นจริง จึงทำให้ยังไม่สามารถสรุปลงไปได้ว่า ความฝันของคนเรานั้นเป็นแค่เพียงเรื่องเพ้อเจ้อไร้แก่นสารสาระ อย่างที่นักจิตศาสตร์บางคนสรุปไว้ได้  
ความฝันที่แสดงถึงลางบอกเหตุล่วงหน้านี้ ท่าน ศาสตราจารย์นายแพทย์ เอียน  สตีเวนสัน อดีตหัวหน้าคณะศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผู้จำอดีตชาติได้ จากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับความฝันบอกเหตุ และความพิเศษของความฝัน จากการติดตามศึกษาวิจัยผู้จำอดีตชาติได้ทั่วโลก ท่านเรียกความฝันลักษณะนี้ว่า “Announcing Dreams”  ซึ่งมีความหมายในภาษาไทยว่า  “ความฝันบอกเหตุ”  เป็นความฝันลักษณะหนึ่งที่พบว่ามีความสัมพันธ์กันกับการสืบชาติมาเกิดใหม่ของผู้ที่จำอดีตชาติได้ คือ ก่อนที่เด็กที่จำอดีตชาติได้จะเกิดมานั้น พบว่ามีกรณีศึกษาจำนวนมากที่แม่ของเด็กฝันว่าผู้ที่เสียชีวิตมาบอกว่าจะขอมาเกิดด้วยหรือมาบอกว่ามาเกิดด้วยแล้ว และต่อมาปรากฏว่าเด็กที่เกิดมาจำอดีตชาติได้ว่าเป็นผู้เสียชีวิตที่มาเข้าฝันก่อนหน้านี้สืบชาติมาเกิด ซึ่งจากข้อมูลจำนวนมากที่ได้ทำให้คณะที่ทำการศึกษาวิจัยทราบว่าความฝันนั้น เป็นสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายอย่างหนึ่งที่สามารถแสดงถึงลางบอกเหตุล่วงหน้าได้  และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับการสืบชาติมาเกิดใหม่และการจำอดีตชาติได้

โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-7-4 22:10
ในหมู่บ้านของผู้เขียนการสังเกตเกี่ยวกับความฝันบอกเหตุนั้น เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ปู่ย่าตายายท่านบอกต่อๆกันมานานแล้ว เนื่องจากเชื่อกันว่าความฝันนั้นบางครั้งก็สามารถบอกถึงเหตุที่จะเกิดขึ้นในภายหน้าได้ โดยเฉพาะความฝันที่บอกล่วงหน้าว่าจะมีบุตร หรือความฝันที่บอกล่วงหน้าว่าคนที่เสียชีวิตไปแล้วจะสืบชาติมาเกิด โดยมีหลักในการสังเกตง่ายๆคือ ถ้าผู้หญิงที่กำลังจะตั้งครรภ์หรือตั้งครรภ์แล้วฝันว่าได้เห็น ได้มา รับมา ยินยอม หรือเลือกไว้ซึ่งสัญลักษณ์ สิ่งของ หรือตัวตนบุคคล ที่บ่งบอกถึงเพศชายหรือหญิง บุตรที่เกิดมาก็จะเป็นเพศนั้น เช่น  กรณีที่ฝันว่าเก็บสร้อยคอ แหวน เข็มขัด นาฬิกา หรือเครื่องประดับได้ มีผู้นำมาให้ ได้รับ รับมา หรือเลือกไว้ ถ้าหากผู้ฝันจำไม่ได้ว่าสิ่งของเหล่านั้นเป็นลักษณะเครื่องประดับหรือเครื่องใช้ของผู้ชายหรือของผู้หญิงก็บอกได้เพียงว่าจะมีบุตรเท่านั้น แต่ถ้าผู้ฝันจำได้ชัดเจนว่าเป็นลักษณะของผู้ชายหรือของผู้หญิง ก็จะสามารถบอกชัดลงไปได้ว่าบุตรที่เกิดมานั้นจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิง   กรณีที่ฝันเห็นเป็นคู่สองอย่าง เช่น ฝันว่าเก็บต่างหูและไฟแช็กได้ ซึ่งเป็นลักษณะเครื่องประดับหรือเครื่องหมาย ทั้งของผู้ชายและของผู้หญิง บุตรที่เกิดมาก็จะเป็นแฝดชายหญิง เป็นต้น
กรณีที่ฝันเห็นเป็นตัวตนบุคคล ถ้าฝันเห็นเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ผู้ชายหรือผู้หญิง มาขออยู่ด้วย มาขอเกิดด้วย มาบอกว่ามาเกิดด้วยแล้ว หรือมีคนนำเด็กมาให้เลือก และผู้ฝันได้มา รับมา เลือกไว้ หรือยอมอนุญาต บุตรที่เกิดมาก็จะมีเพศตรงตามที่ฝัน กรณีที่ฝันเห็นเป็นคู่ เช่น คู่ชายกับชาย คู่หญิงกับหญิง หรือคู่ชายหญิง บุตรที่เกิดมาก็จะเป็นคู่แฝดที่มีเพศตรงตามที่ฝัน มีบางกรณีที่ฝันเห็นเป็นตัวตนบุคคลเพศหนึ่งแต่มีการบอกกล่าวว่าจะเกิดมาเป็นเพศตรงข้ามกัน เช่น จากชายเป็นหญิง หรือจากหญิงเป็นชาย
กรณีที่ฝันว่าเห็น ได้มา รับมา เลือกไว้ซึ่งสัญลักษณ์ สิ่งของ หรือตัวตนบุคคลที่บอกล่วงหน้าว่าจะมีบุตรและต่อมามีการตั้งครรภ์จริงๆ แล้วต่อมาได้ฝันอีกว่า สัญลักษณ์ สิ่งของ หรือตัวตนบุคคลที่เห็น ที่ได้มา รับมา เลือกไว้ นั้นได้หายไป จากไป หลุดไป ขาดไป ซึ่งเป็นเครื่องหมายของความพลัดพราก ก็ตีความหมายได้ว่าบุตรที่อยู่ในครรภ์จะแท้ง เป็นต้น ส่วนบางรายผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วมาเข้าฝันบอกว่าจะมาเกิดด้วยหรือมาขออยู่ด้วย ก็ตีความได้ว่าผู้ที่มาเข้าฝันนั้นจะมาเกิดในครรภ์และส่วนใหญ่เด็กที่เกิดมาก็จะจำอดีตชาติได้ด้วย  
สำหรับข้อมูลการศึกษาเกี่ยวกับความฝันบอกเหตุว่าจะมีบุตรนี้ ผู้เขียนได้เริ่มทำการศึกษาและเก็บข้อมูลเบื้องต้นมาบ้างแล้วตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๕๔๓ จนถึงปัจจุบัน โดยการสัมภาษณ์กลุ่มสตรีที่มีบุตรแล้วและกลุ่มสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ ทั้งศาสนาพุทธและศาสนาอื่นๆจำนวนหนึ่ง เกี่ยวกับความฝันบอกเหตุว่าจะมีบุตร ซึ่งพบว่าส่วนใหญ่สตรีที่มีบุตรแล้วหรือสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ จะมีความฝันบอกเหตุว่าจะมีบุตร ส่วนที่เหลือจะจำไม่ได้ ไม่ได้สังเกต ไม่ได้สนใจ หรือเป็นเพราะไม่มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ และพบว่าความฝันบอกเหตุไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับชาวไทยที่นับถือศาสนาพุทธเท่านั้น แต่กับผู้ที่นับถือศาสนาอื่นก็พบว่ามีความฝันบอกเหตุในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับการศึกษาความฝันบอกเหตุว่าจะมีบุตรนี้ ผู้เขียนจะได้นำมาเสนอในโอกาสต่อไป

โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-7-4 22:10
รอยตำหนิบนผิวหนังที่มีมาตั้งแต่แรกเกิด (Birthmarks)
รอยตำหนิบนผิวหนังที่มีมาตั้งแต่แรกเกิดของคนเรานั้น ในทางการแพทย์พบว่ามีอยู่หลายลักษณะ แต่ที่จะกล่าวถึงในที่นี้เป็น รอยตำหนิที่มีมาตั้งแต่แรกเกิด ที่มีลักษณะและตำแหน่งตรงกันกับบาดแผลและรอยลักษณะอื่นๆของผู้เสียชีวิต ที่ผู้จำอดีตชาติได้ยืนยันว่าเป็นตัวของเขาในอดีตชาติ โดยเฉพาะลักษณะรอยตำหนิที่พบในกรณีศึกษาผู้จำอดีตชาติได้ทั้ง ๑๖ รายในที่นี้ ได้แก่ รอยแผลเป็น ปาน หรือรอยผื่นแดง ตั้งแต่แรกเกิดที่ตรงกันกับ บาดแผล รอยป้ายศพ หรือรอยลักษณะอื่นๆของผู้เสียชีวิต ที่ผู้จำอดีตชาติได้ยืนยันว่าเป็นตัวของเขาในอดีตชาติ
รอยแผลเป็นตั้งแต่แรกเกิดที่ตรงกันกับบาดแผลของผู้เสียชีวิต(Scars Corresponding to Wounds on Deceased Persons)จากข้อมูลเรื่องราวของผู้ที่จำอดีตชาติได้ทั้ง ๑๖ ราย ในหนังสือเล่มนี้ มีกรณีของเด็กที่จำอดีตชาติได้ ๔ ราย คือรายของ นายเทเวศน์ เรียบสัมพันธ์ เด็กชายนพพร ใจเร็ว  นางเสงี่ยม นันกลาง และ เด็กชายวัชระ ใจเร็ว ที่นอกจากพวกเขาจะพูดและแสดงออกถึงความทรงจำในอดีตชาติให้กับหลายๆคนได้ประจักษ์แล้ว พวกเขายังมีรอยแผลเป็นตั้งแต่แรกเกิดตรงกันกับลักษณะและตำแหน่งบาดแผลของผู้เสียชีวิต ที่พวกเขายืนยันว่าเป็นตัวของเขาในอดีตชาติอีกด้วย และไม่ใช่ตรงกันแค่เพียงแห่งเดียว ในที่นี้มี ๓ ราย ที่มีรอยแผลเป็นและลักษณะความผิดปกติอื่นๆตั้งแต่แรกเกิด ที่ตรงกันกับลักษณะและตำแหน่งบาดแผลของผู้เสียชีวิต มากกว่า ๑ แห่ง คือ กรณีของ เด็กชายนพพร ที่มีรอยแผลเป็นที่ศีรษะด้านหลัง ๑ แห่ง มีติ่งเนื้อคล้ายเนื้องอกในปากบริเวณกระพุ้งแก้มด้านขวา ๑ แห่ง และใบหูด้านขวาพับเข้าผิดปกติคล้ายกับใบหูขาด  กรณีของ นายเทเวศน์ ที่มีรอยแผลเป็นที่ศีรษะด้านหลัง ๑ แห่ง และที่ใต้ราวนมด้านขวา ๑ แห่ง กรณีของ นางเสงี่ยม ที่มีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่บริเวณหน้าอก ต้นแขนทั้ง ๒ ข้างและที่บริเวณลำคอมีรอยแผลเป็นรอยเกลียวเชือกรอบลำคอ ส่วนกรณีของ เด็กชายวัชระ ที่มีรอยแผลเป็นที่บริเวณศีรษะด้านหลัง ๑ แห่ง ซึ่งในทางวิชาการถือว่าเป็นกรณีศึกษาที่ น่าเชื่อถือมาก(Strongest case) เนื่องจากมีหลักฐานที่เป็นรูปธรรมที่สามารถพิสูจน์ทราบและยืนยันความมีอยู่จริงของการสืบชาติมาเกิดใหม่และการจำอดีตชาติได้ของคนเราได้
และจากรอยแผลเป็นของเด็กที่จำอดีตชาติได้ ที่สืบเนื่องมาจากบาดแผลที่ทำให้เสียชีวิตในอดีตชาตินี้เอง ที่ทำให้ผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับการจำอดีตชาติได้ของคนเราได้ทราบว่า วิญญาณของผู้เสียชีวิตสามารถนำรอยแผลโดยเฉพาะบาดแผลที่ทำให้เสียชีวิตในอดีตชาติ ติดตัวมาในรูปแบบของรอยแผลเป็นเมื่อเขาได้สืบชาติมาเกิดใหม่ได้ ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้จากการศึกษาพบว่าไม่ได้มีเฉพาะกรณีศึกษาผู้จำอดีตชาติได้ในประเทศไทย ในศาสนาพุทธ หรือในประเทศที่มีความเชื่อในเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิดเท่านั้น   
คณะที่ทำการศึกษาวิจัยผู้ที่จำอดีตชาติได้หลายคณะในหลายประเทศทั่วโลก ก็พบเด็กในศาสนาหรือในความเชื่ออื่นๆที่จำอดีตชาติได้และมีรอยแผลเป็นตั้งแต่แรกเกิด ตรงกันกับบาดแผลของผู้เสียชีวิตจำนวนมากเช่นกัน  บางกรณีมีหลักฐานทางนิติเวชหรือบันทึกทางการแพทย์ยืนยันความตรงกันอย่างชัดเจน ทำให้ในปัจจุบันนี้คณะที่ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผู้ที่จำอดีตชาติได้ในหลายประเทศ กำลังให้ความสนใจที่จะศึกษาวิจัยเจาะลึก เกี่ยวกับกรณีของรอยตำหนิตั้งแต่แรกเกิดลักษณะดังกล่าวนี้เป็นพิเศษ  และผลจากการศึกษาเกี่ยวกับรอยตำหนิและความผิดปกติตั้งแต่แรกเกิดของผู้ที่จำอดีตชาติได้ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับอดีตชาตินี้เอง ทำให้นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้ สามารถทำการติดตามศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้ ได้ตั้งแต่แรกเกิดแล้ว โดยการสังเกตจากรอยแผลเป็นที่มีมาตั้งแต่แรกเกิดของเด็ก ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมาพบว่าผู้ที่มีแผลเป็นตั้งแต่แรกเกิดเกือบทุกรายจะจำอดีตชาติได้ด้วย มีบางรายเท่านั้นที่ไม่มีข้อมูลเพียงพอเนื่องจากเด็กที่จำอดีตชาติได้เป็นเด็กที่ไม่ค่อยพูด จึงไม่ได้พูดอะไรให้ฟังมากพอที่จะสืบหาที่มาที่ไปของรอยแผลเป็นนั้นๆได้

โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-7-4 22:13
ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้


https://sites.google.com/site/reincarnationthailand/Home/hnangsux-16-krni-suksa-phu-ca-xdit-chati-di/prisna-chiwit-hlangkh-wam-tay-laea-kar-keid/khana/withi-phisucn-chiwit-hlangkh-wam-tay-tay-laew-keid/prawati-khwam-pen-ma-khxng-hmuban-takhrx/nay-thewes-n-reiyb-samphanth/dek-chay-nph-phr-cirew/cesda-tem-hatth/dek-chay-xdisr-sukh-phochn/dek-chay-phngsthr-sr-chay/dek-chay-vththikir-non-nxy/nang-sengiym-nan-klang/nangsaw-sm-lim-khng-sa-to/nay-thir-a-phanth-wngs-kha-pha/dek-chay-wr-wathn-ceriy-phrxm/nang-surangkhna-mala/dek-chay-phl-wathn-cul-phothi/dek-chay-phirocn-na-dng/dek-chay-wachra-cirew/nay-xanac-xa-wi-su/hnangsux-xatth-thrrm-payha

โดย: Metha    เวลา: 2013-7-5 02:47
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย metha เมื่อ 2013-7-5 02:50

ทำไมคนเราต้องเกิดบ่อยจังครับ...น่าจะเกิดครั้งเดียวแล้วดับสูญสลายหายไป
โดย: Sornpraram    เวลา: 2019-8-18 06:39





ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2