Baan Jompra

ชื่อกระทู้: ตำนานเหล็กไหล [สั่งพิมพ์]

โดย: Marine    เวลา: 2015-8-10 21:52
ชื่อกระทู้: ตำนานเหล็กไหล
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Marine เมื่อ 2015-8-16 19:05

ตำนานเหล็กไหล

[youtube]e9KE9IxkYj4[/youtube][youtube]U7Iwnu0uOCM[/youtube]
เหล็กไหลเป็นโลหะธาตุที่มีความลี้ลับพิสดาร แปลกประหลาดมหัศจรรย์แตกต่างไปจากโลหะธาตุทั้งปวง จึงได้ถูกจัดอยู่ในฐานะ "ธาตุกายสิทธิ์" ที่มีชีวิตจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นไปตามวิบากของกฎแห่งกรรม ที่บันดาลให้วิญญาณในสังสารวัฏมาปฏิสนธิ ในสภาวะที่เป็นโลหะธาตุที่ศักดิ์สิทธิ์มี อิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติทั่วไป

ดังนั้น "เหล็กไหล" จึงถือเสมือนหนึ่งเป็น "สัตว์โลกที่มีชีวิต" เผ่าพันธุ์หนึ่งในโลก เพราะเหล็กไหลมีทั้งตัวผู้และตัวเมีย สามารถเคลื่อนไหวได้ เสพบริโภคน้ำผึ้งเป็นอาหาร มีการขับถ่ายออกมาได้ ซึ่งเรียกกันว่า "ขี้เหล็กไหล" นอกจากนี้ยังสามารถเสพกามได้ แต่เป็นการเสพกามกันทางกระแสจิตวิญญาณ เพราะเพียงแต่มีความรู้สึกใคร่ในกามารมณ์ ก็สามารถบรรลุจุดสุดยอดได้ในทันที โดยไม่ ต้องมีการถูกต้องสัมผัสกัน และชอบพักผ่อนหลับนอนในสถานที่สงบตามถ้ำ

เหล็กไหลจึงจัดเป็นสัตว์ที่ประเสริฐเผ่าพันธุ์หนึ่งของโลก จัดอยู่ในจำพวกเทพ แต่เป็นเทพที่ มาชดใช้วิบากกรรมในโลกมนุษย์ ดังนั้นจึงทำให้มีพวก ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ นาค คอยให้ความอารักขาอีกทีหนึ่ง เหล็กไหลจึงมีถิ่นกำเนิด และบารมีที่แตกต่างกันไป ตามเผ่าพันธุ์และวรรณะ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะ และสมมุติเรียกหาเพื่อให้เห็นความแตกต่างชัดเจนขึ้นเท่านั้น เช่น




โดย: Marine    เวลา: 2015-8-10 22:20
[attach]11814[/attach][attach]11815[/attach]

ข้อมูลจากForward Mail
เรียบเรียงโดยกระปุกดอทคอม

          เหล็กไหล...ก้อนแร่เหล็กบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ได้รับการอธิษฐานบรรจุฤทธิ์ โดยพระฤาษีผู้ทรงฌาณชั้นสูง เพื่อธำรงคุณงามความดี โดยมีธาตุกายสิทธิ์เป็นผู้คอยช่วยเหลือผู้ที่มีความทุกข์ยากให้พ้นภัย จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งที่มีรังสีหรือพลังปราณที่ทรงอำนาจในการป้องกันตัว และสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวให้พ้นจากภัยอันตรายอันเกิดจากอาวุธปืนหรือของมีคม เป็นสสารที่มีชีวิตเป็นอมตะและหายากยิ่ง ต้องมีพิธีกรรมมากมายกว่าจะได้มา

            ฉะนั้นเหล็กไหลจึงเป็นวัตถุอาถรรพณ์ที่มีราคาแพง เพราะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย และเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า เหล็กไหลมีอานุภาพยอดเยี่ยม สามารถคุ้มครองชีวิตคนที่มีเหล็กไหลพกติดตัว และจะได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัยจากอุบัติภัยร้ายแรง รวมถึงอาวุธร้ายแรงนานาชนิดได้อย่างน่าอัศจรรย์นั่นเอง

          คำว่า "ธาตุกายสิทธิ์" นั้น หมายถึง วัตถุธาตุบางชนิดที่ปรากฏอยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ ประกอบไปด้วยพลังงานอันมหาศาล อันเกิดจากเจตสิกผู้ครอบครองธาตุนั้นแฝงเร้นอยู่ ใช้สำหรับป้องกันภัยให้กับตนเองโดยธรรมชาติ แต่บางครั้งไม่ได้ปรากฏให้เห็นชัดเจน กลับซึมลึกลงไปอยู่ใต้พื้นผิวโลก ตามป่าตามเขา ตามถ้ำ แม้แต่ห้วยหนอง คลองบึง รอจนกว่าผู้ที่มีภูมิจิตภูมิธรรมสูงไปพบเข้า แล้วหยิบยกเอาธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้มาใช้ประโยชน์ เพื่อมวลมนุษยชาติและปกป้องคุ้มครองคนหมู่มาก ดังนั้นจึงเชื่อกันว่า "เหล็กไหล" จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งที่ประกอบด้วยธาตุที่สำคัญดังนี้

          1. ธาตุเหล็ก คือ ธาตุหลักเนื่องจากมีความแข็งแกร่งมากที่สุดในยุคนั้น

          2. ธาตุดิน ที่ถูกความอัดแน่นของโลก จนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาเป็นหินสีต่างๆ เช่น เพชร นิล จินดา อัญมณีหลากสี

          3. ว่านมหามงคล ที่มีฤทธิ์อำนาจในตัว เช่น ว่านต่างๆ ไพรดำ ซึ่งเป็นพืชที่ดูดซับเอาพลังต่างๆ จากผืนดินเก็บสะสมเอาไว้ในตนเอง จนเกิดฤทธิ์เดช

          4. ปรอท หรือธาตุอื่นๆ ที่สามารถเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนที่ได้ด้วยตนเอง โดยการอ่อนตัวแล้วกลิ้งไหลไป มีฤทธิ์อำนาจทางความยืดหยุ่น หรือหดตัวเองได้ หลีกภัยได้เร็ว ปรับสภาพตนเองให้เป็นไปในลักษณะต่างๆ ได้

          ดังนั้นแร่เหล็กที่อยู่ภายใต้ลาวานั้น ย่อมได้รวบรวมเอาสรรพสิ่งจากธาตุกายสิทธิ์ทั้งหลายเหล่านั้นรวมกันไว้ในตัวเอง คือมีฤทธิ์ในการปกป้องตนเองให้พ้นจากภัยในทุกรูปแบบ เพราะฉะนั้นเมื่อมหาฤาษีได้ใช้อิทธิฤทธิ์ดึงธาตุเหล่านี้ขึ้นมา แล้วถอดจิตด้วยฌาณสมาบัติเข้าแฝงตนอยู่ในธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้ เพื่อฝึกฝนปฏิบัติทางจิตให้ยิ่งๆ ขึ้นไป จึงทำให้เจตสิกของผู้ทรงฌาณนั้นเกิดพลังอันมหาศาล แม้แต่จะงอเหล็กก็ยังได้ จนมนุษย์ได้ค้นพบสิ่งเหล่านี้เข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ และไม่ทราบว่ามันคืออะไร ก็เลยเรียกกันว่า "เหล็กไหล" ตามสภาวะการแสดงอิทธิ์ฤทธิ์ที่ปรากฏต่อสายตาในขณะนั้นนั่นเอง คือลักษณะเหมือนก้อนเหล็กที่ยืดตัวได้ มีสีสรรต่างๆ กันหลายรูปแบบ เหล็กไหลจึงเป็นธาตุ กายสิทธิ์ที่ทรงอิทธิฤทธิ์ จนกลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่ผู้คนแสวงหาไม่รู้จักจบมาทุกยุคทุกสมัยตราบจนเท่าทุกวันนี้

          ดังนั้น "เหล็กไหล" จึงเป็นที่ปรารถนาและใฝ่ฝันของคนทั่วไป แม้บางที่จะต้องเสี่ยงภัยถึงขั้นเอาชีวิตแลกก็ยอม เรื่องราวของเหล็กไหลจึงดูเหมือนเป็นเรื่องลี้ลับซับซ้อน และหลายคนคงอยากจะรู้เหมือนกันว่า เหล็กไหลคืออะไรกันแน่... เกิดขึ้นมาได้อย่างไร... เหล็กไหลที่ทรงอิทธิฤทธิ์นี้ มีจริงหรือไม่...? จึงเป็นปรัศนีที่ท้าทายความกระหายใคร่อยากรู้ตามลักษณะวิสัยของมนุษย์ จึงทำให้ต้องเที่ยวหาคำตอบจากผู้รู้ทั้งหลาย หรือผู้มีประสบการณ์ที่มีความรู้ที่พึงเชื่อถือได้ จนกลายเป็นตำนาน "เหล็กไหล" ที่เล่าขานสืบทอดกันมาแต่สมัยโบราณตราบถึงปัจจุบัน

โดย: Marine    เวลา: 2015-8-10 22:21
[attach]11816[/attach]


สีสันและคุณประโยชน์  


          1. สีเงินยวง เหล็กไหลชนิดนี้มีอริยเทพ อริยพรหมในระดับ อรูปฌาณ รักษาอยู่ เป็นเหล็กไหลที่มีบารมีธรรมในชั้นสูง พบมากในแถบที่มีอากาศเย็นจัด พวกลามะทิเบตมักใช้พกติดตัว จึงพบมากในเขตเทือกเขาสูงที่มีหิมะปกคลุม เช่นประเทศทิเบต จีน แถบภาคเหนือของไทย ลาว ดีเด่นทางเมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี แคล้วคลาด และล่องหนหายตัวได้ ชอบช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรม หรือดลใจให้ผู้ครอบครองมีจิตใจฝักใฝ่อยู่ในการสร้างบุญสร้างกุศล

          เหล็กไหลชนิดนี้จัดได้ว่า เป็นเหล็กไหลที่มีบารมีธรรมสูงสุดในบรรดาผู้ครอบครองเหล็กไหลทุกชนิด สมัยโบราณมักจะนำไปจัดสร้างพระพุทธรูปหรือเครื่องรางของขลังในสมัยโบราณ ดังนั้นเหล็กไหลชนิดนี้จึงมักจะอยู่ในความครอบครองของนักบวชต่างๆ เช่น ฤาษี ชีไพร ภิกษุสงฆ์ผู้ท่องเที่ยวหาความวิเวกตามป่าเขา

          2. สีเขียวปีกแมลงทับ เหล็กไหลชนิดนี้มี อริยเทพ อริยพรหม ในระดับ รูปฌาณ เป็นผู้ดูแลรักษา เพื่อมอบให้กับผู้ที่มีบุญบารมี และผู้ที่กำลังประพฤติปฏิบัติอยู่ในบุญกุศล เพื่อแสวงหาความหลุดพ้นนั้น ส่วนใหญ่จะมีบริวารเป็นจำนวนมากคอยอารักขาหลายชั้น ผู้พบเห็นส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประพฤติธรรม ที่บังเอิญผ่านเข้าไปพบเข้าโดยบังเอิญ หรือเกิดจากการลองใจของเทพผู้รักษาเหล็กไหลก็แล้วแต่ บุคคลธรรมดาทั่วไปอย่าหมายว่าจะครอบครองเป็นเจ้าของได้โดยง่าย

         ดีเด่นในทุกๆ ทาง ไม่ว่าเป็นเมตตามหานิยม โชคลาภ แคล้วคลาดกันภัย ล่องหนหายตัว มหาอุด คงกระพัน ยืดได้หดได้ เล่นกับไฟ กินน้ำผึ้ง

          3. สีทอง หรือ สีน้ำตาลอ่อน เหล็กไหลชนิดนี้จะมีเทวดาจำพวกคนธรรพ์และเหล่าเพชรพญาธร เป็นผู้ดูแลรักษา มีฤทธิ์อำนาจใกล้เคียงกับเหล่าพญานาค แต่มีฤทธือำนาจพิเศษกว่าคือสามารถที่จะลื่นไหลไปมาได้ สามารถที่จะกำบังกายได้ มีอยู่ตามป่าเขาทั่วไป

          ดีเด่นทางด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ และความรักเด่นเป็นพิเศษ

          4. สีเขียวอมดำ เหล็กไหลชนิดนี้มี อริยะเทพ อริยะพรหม ในระดับ รูปพรหม เป็นอริยะธรรมในระดับสูง ที่มุ่งบำเพ็ญบารมีรักษาพระพุทธศาสนา จะอยู่เฝ้ารักษาพระบรมสารีริกธาตุหรืออรหันต์ธาตุที่สำคัญไว้ จึงมักจะปรากฏเป็นลูกไฟดวงใหญ่เป็นสีแสงคุ้มครองรักษาธาตุศักดิ์สิทธิ์ ไม่ให้ผู้คนเข้าไปรบกวน

          เด่นทางด้านอิทธิ์ฤทธิ์ เนรมิตภาพมายา ส่งเสริมผู้ใฝ่ในการปฏิบัติธรรมในรูปแบบการชี้แนะผ่านทางนิมิตรสมาธิ หรือความฝัน จัดเป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากมากชนิดหนึ่ง

          5. สีชมพู เหล็กไหลชนิดนี้มี อริยเทพ อริยพรหม ในระดับ รูปฌาณ รักษาอยู่ เป็ไหลที่มี บารมีธรรมในระดับสูงรองลงมาจาก อรูปฌาณ พบมากในเขตป่าเขาที่มีความชุ่มชื้น มักอยู่ตามถ้ำภูผาที่ลึกลับ พบเห็นได้ยาก นอกจากผู้มีบารมีธรรมเข้าถึงสัจจธรรมเท่านั้น

         ดีเด่นทางด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ แคล้วคลาด กันภัย ช่วยเหลือผู้เป็นสัมมาทิฏฐิให้สำเร็จในสิ่งที่อธิษฐานไว้ โดยไม่ขัดกับกฏแห่งกรรม

โดย: Marine    เวลา: 2015-8-10 22:22
6. สีเหลือง เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของภูมิจิตภูมิธรรม ของเหล่าอริยเทพ อริยพรหม ในระดับรูปฌาณ ที่ปรารถนาพุทธภูมิในระดับ พระปัจเจกพุทธเจ้า สีสันเหมือนกับแสงนวลของพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ มักแฝงเร้นในที่สงบด้วยป่าเขา ลำเนาไพร ถ้ำคูหาที่สงบเยือกเย็นบนภูเขาสูงๆ เรียกลมเรียกฝนได้ มีอิทธิ์ฤทธิ์ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ได้มากมาย เช่น ดวงรัศมีกลมใหญ่ส่องสว่างทั่วภูเขา จะพบเห็นได้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น

          เหล็กไหลประเภทนี้สามารถอธิษฐานขออาราธนาบารมีจากพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์ได้ แต่จะไม่มีเทพเข้าไปสิงสถิตย์อยู่ แต่เทพพรหมในระดับจ่างๆ จะเข้าไปอธิษฐานของบารมีและเฝ้ารักษาอยู่ภายนอกเท่านั้น ไม่มีใครจะบังคับหรืออัญเชิญท่านด้วยอิทธิ์ฤทธิ์หรือวิชาคาถาอาคมใดๆ เว้นแต่ขอชมบารมี ขอคำแนะนำในการปฏิบัติธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไป โดยมาปรากฏในลักษณะนิมิตรต่างๆ ในขณะนั่งสมาธิ

         7. สีฟ้าอ่อน เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ อริยะเทพ ในระดับมหาเทพชั้นสูง ผู้ครอบครองเหล็กไหลชนิดนี้ จะเป็นผู้มีบารมีเดิมที่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน เพื่อช่วยส่งเสริมด้านบารมีธรรมทั้งนักบวชและฆราวาสให้เป็นผู้สอนธรรมในระดับปานกลาง จนถึงระดับสูงขึ้นไป

          มีฤทธิ์อำนาจในการขจัดปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ ดับพิษร้อน ป้องกันภูติผีปีศาจ แต่มีขอบเขตและรัศมีที่จำกัด สามารถล่องหนหายตัวได้ กันฟ้าผ่า มีความเย็นจนสามารถกำจัดไฟได้ในรัศมีของมัน

          8. สีน้ำตาลอมแดง เหล็กไหลชนิดนี้มีพวก นาค นาคา ผู้บำเพ็ญศีลเฝ้ารักษาอยู่ จึงมีฤทธิ์อำนาจในทางความร้อนแรงด้วยพิษแห่งนาคทั้งหลาย จึงทำให้เหล็กไหลประเภทนี้มีสีออกทางน้ำตาลเข้มและน้ำตาลอมแดง

          มีฤทธิ์อำนาจในทำลายล้างพวกมนต์ดำ อวิชชา ป้องกันภูติผีปีศาจได้

         9. สีดำเหมือนนิลเหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ เหล่าเทพ คนธรรพ์ บังบด เพชรพญาธร ยักษ์ ผู้ปรารถนาจะสร้างบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป แต่ยังติดอยู่ในระดับโลกียฌาณ คือยังมีความ โลภ โกรธ หลง ติดอยู่ จึงทำให้มีบารมีทางธรรมน้อยกว่าเหล็กไหลชนิดอื่นๆ

          มีฤทธิ์อำนาจทางการคุ้มครอง แคล้วคลาดกันภัย เป็นมหาอุด คงกระพัน

         10. เจ็ดสีประกายรุ้ง เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ อริยะเทพ อริยะพรหมผู้รักษาเหล็กไหล ที่ปฏิบัติจนสภาวะจิตเป็นสีประกายรุ้งรัศมีสวยสดงดงาม เป็นธาตุที่หาได้ยากที่สุดและมี อำนาจครอบจักรวาลประหนึ่งแก้วสารพัดนึก แต่สิ่งที่จะอธิษฐานนั้นจะสำเร็จได้โดยไม่เกินอำนาจของกฏแห่งกรรมตามวาสนาเท่านั้น


โดย: Marine    เวลา: 2015-8-11 21:04
วิธีการหาเหล็กไหล

การที่จะรู้ได้ว่าสถานที่แห่งใด ถ้ำหรือภูเขาใดเป็นสถานที่ ที่มีธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลอยู่นั้น นอกจากจะสามารถสังเกตได้ จากลักษณะของถ้ำตามที่ได้กล่าวถึงในข้างต้นไปแล้วนั้น ยังมีข้อสังเกตอีกประการหนึ่งคือถ้ำที่มีเหล็กไหลอยู่นั้นจะพบว่ามี ขุยดินหรือขุยเหล็กอันเกิดจากการเคลื่อนตัวของเหล็กไหลตก อยู่ตามบริเวณพื้นถ้ำโดยรอบ ขุยดินหรือขุยเหล็กที่ว่านี้จะมี ลักษณะเป็นเม็ดกลมมนสีดำๆ มีเนื้อคล้ายโลหะหรือมีลักษณะ เป็นขุยผงสีดำๆ ซึ่งมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ขี้ดิบเหล็กไหล" ซึ่งขี้ดิบเหล็กไหลยังถือว่าเป็นของขลังอีกอย่างหนึ่งด้วย

หากขี้ดิบเหล็กไหลยังอยู่ในสภาพใหม่ๆ แสดงว่าตัวเหล็กไหล ยังคงอยู่ในบริเวณนั้น แต่ถ้าสังเกตเห็นขี้ดิบเหล็กไหลมีลักษณะเก่า แสดงว่าบริเวณนั้นเคยมีเหล็กไหลมาอาศัยหลบซ่อนตัวอยู่แต่ว่า ได้ย้ายจากไปแล้ว อย่าได้เสียเวลาเฝ้าสังเกตขี้ดิบเหล็กไหลเก่า เพราะเหล็กไหลน้ำหนึ่ง(ประเภทเหล็กไหลปีกแมลงทับ) เมื่อย้ายที่อยู่แล้วจะไม่ย้อนกลับมาอยู่ในสถานที่เดิมอีก

ขี้ดิบเหล็กไหลที่กองอยู่บริเวณพื้นถ้ำนั้นสันนิษฐานได้ว่าเกิด ขึ้นจากการเคลื่อนตัวของเหล็กไหลขณะที่เข้า-ออกจากรัง แล้ว รังสีจากเหล็กไหลไปทำปฏิกิริยากับหินในบริเวณนั้นจนเกิดเป็นขุย เหล็กไหลหรือขี้เหล็กไหลร่วงลงมาแล้วทับถมกันเป็นเวลานาน. ดังนั้นบริเวณที่พบกองขี้ดิบเหล็กไหลตกอยู่จึงค่อนข้างมีโอกาส ที่จะพบว่ามีเหล็กไหลอยู่

ในการจะหาเหล็กไหลชั้นดีหรือเหล็กไหลประเภทน้ำหนึ่ง ได้จะต้องสังเกตขี้ดิบเหล็กไหลให้เป็นเสียก่อน โดยต้องสามารถ แยกให้ออกว่าเป็นขี้ดิบของเหล็กไหลประเภทไหน และเป็นขี้ดิบ เหล็กไหลใหม่หรือเก่า เพราะถ้าเป็นขี้ดิบเหล็กไหลเก่าแล้วหากทำ พิธีเรียกไปก็เสียเวลาเปล่า เนื่องจากตัวเหล็กไหลย่อมไม่ได้อยู่ใน บริเวณนั้นแล้ว ในการเรียกเหล็กไหลจึงต้องสังเกตขี้ดิบเหล็กไหล ให้เป็นเสียก่อน โดยเลือกเอาเฉพาะขี้ดิบเหล็กไหลที่ยังใหม่อยู่ และจะต้องเป็นขี้ดิบเหล็กไหลประเภทน้ำหนึ่งเท่านั้น



[attach]11820[/attach]การหาเหล็กไหลอีกวิธีหนึ่งสามารถทำได้โดยการสังเกตว่า ในวันที่พระจันทร์เต็มดวงหรือคืนวันเพ็ญจะมีเหล็กไหลบางชนิดออกมาจากรังเพื่ออาบแสงจันทร์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักเป็นบริเวณที่ราบ เชิงเขาที่มีลำธารไหลผ่านและบริเวณนั้นจะต้องมีลักษณะเป็นหินกรวดก้อนเล็กๆ คล้ายเม็ดทราย เมื่อดวงจันทร์เดินทางเข้าใกล้โลก มากที่สุดแร่เหล็กไหลจะผุดตัวเองขึ้นมาเล่นแสงจันทร์เหมือนหอยหลอดที่ผุดขึ้นมาจากพื้นทราย และเหล็กไหลที่มีอานุภาพมาก ๆ จะเปล่งแสงเป็นดวงไฟออกมาเล่นกับแสงจันทร์ ดังนั้นในบริเวณที่มีแสงดังกล่าวจึงอาจจะพบรังเหล็กไหลอันเป็นเหล็กไหลชั้นรองได้ นักเล่นแร่แปรธาตุในสมัยโบราณมักนิยมหาเหล็กไหลตามธรรมชาติ กันด้วยวิธีการนี้ เพราะไม่ต้องมีพิธีกรรมให้ยุ่งยาก เพียงแค่เฝ้า คอยสังเกตให้ถูกที่และถูกเวลาเท่านั้นก็จะสามารถได้ธาตุกายสิทธิ์ เหล็กไหลมาแต่โดยง่าย

ผู้ที่มีวิชาและรู้เคล็ดลับของธรรมชาติจึงมักจะไปคอยดักเก็บ เหล็กไหลประเภทนี้ ในต่างประเทศก็มีปรากฏการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้น ในหลายแห่งทั่วโลก ดังที่ได้เคยแพร่ภาพในสารคดีของต่างประเทศ ที่ช่างภาพได้ไปเฝ้าบันทึกภาพแร่เหล็กไหลผุดขึ้นจากดินในคืนวัน พระจันทร์เต็มดวงเช่นกัน แต่ปรากฏว่านักวิทยาศาสตร์ได้กล่าวถึง ปรากฏการณ์ในลักษณะนี้ว่าเกิดจากอำนาจแรงดึงดูดของดวงจันทร์ ที่มีผลต่อโลกจึงส่งแรงดึงดูดนั้นไปยังแร่ธาตุบางชนิดที่ฝังตัวอยู่ใต้ ผิวดินและเป็นผลให้แร่ใต้ดินผุดตัวขึ้นมาบนดินได้

ผู้ที่รู้แหล่งของแร่เหล็กไหลประเภทนี้มักไปดักรอเก็บ เหล็กไหลที่ผุดตัวขึ้นมาจากดิน ว่ากันว่าเหล็กไหลประเภทนี้ มีอานุภาพพอสมควร ถึงแม้จะไม่ใช่เหล็กไหลประเภทน้ำหนึ่ง ที่หายากที่สุด แต่ก็จัดได้ว่าเป็นสายพันธุ์ของเหล็กไหลอันเป็น วัตถุธาตุที่ทรงพลังมากที่สุดในโลกธาตุ เพราะการที่เหล็กไหลได้ผุดตัวขึ้นมาเองนี้ก็ถึอได้ว่าเป็นการแสดงอานุภาพอันน่าอัศจรรย์ จนอาจกล่าวได้ว่าเหล็กไหลที่ผุดตัวขึ้นมาจากพื้นดินเมื่อได้กระทบกับแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญย่อมถือเป็นวัตถุธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่ง

ที่มา http://thaimetalamulet.blogspot.com/2012/04/blog-post_346.html



โดย: Marine    เวลา: 2015-8-11 21:07
พระคาถาอัญเชิญเหล็กไหล

เมื่อตัดเหล็กไหลได้แล้วก็ต้องใช้คาถาอันเชิญธาตุกายสิทธิ์มาอยู่ด้วยเพื่อความเป็น ศิริมงคลพระคาถาอันเชิญเหล็กไหลไว้บูชามีดังนี้

พุทโธเมนาโถ ธัมโมเมนาโถ สังโฆเมนาโถ

สะกะพะจะ ปูชาจะ บูชาท่านผู้ดูแลรักษา ธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ ทรงฤทธิ์อานุภาพ

อิสะวาสุ อิติปิโส ภะคะวา

เหล็กไหลเจริญมา เจริญยิ่ง เจริญดี สิ่งดี ๆ ทั้งหลายหลั่งไหลเข้ามาหาข้าพเจ้า

สัมมะ สัมมา สัมมา สัมมะ มะอะอุ

นะมะพะทะ นะโมพุทธายะ

พระคาถาอาคมต่างๆ ที่ได้บันทึกไว้ในหนังสือนี้ยังไม่เคยปรากฏการตีพิมพ์ที่ไหนมาก่อน นับเป็นโชคดีของท่านผู้สนใจเพราะหาผู้รู้เรื่องเหล่านี้ยาก ไม่มีตำราจะให้ศึกษา เพราะคนโบราณจะหวงวิชา จะให้วิชาที่ตนรู้ ทำได้ ตายไปพร้อมกับตนเองเว้นแต่จะถ่ายทอดให้ลูกหลานเท่านั้น คนไหนเกเรก็ไม่ได้อีกเช่นกัน บางครั้งก็ถ่ายทอดให้ไม่หมด เพราะกลัวศิษย์คิดล้างครูก็มีเหมือนกัน

เทพเทวาเป็นผู้มอบให้

เหล็กไหลประเภทนี้ เกิดจากการอธิษฐานจิต ของผู้ที่มีคุณธรรม ที่มีความประสงค์จะขอบารมีจากเหล็กไหล เพื่อประโยชน์ในการทำนุบำรุงพระศาสนา โดยมิได้ใช้เวทมนต์วิชาการต่าง ๆ ไปบีบคับหรือแย่งชิงเอา แต่อาศัยบุญบารมีที่ตนเองได้เคยบำเพ็ญมาแต่ครั้งอดีตชาติ และเคยเป็นเจ้าของสิ่งนี้มาก่อน

เมื่อถึงเวลาเหล่าเทพเทวา นาคนาคา คนธรรพ์ ยักษ์ ผู้ดูแลรักษาสิ่งเหล่านี้ จะนิมิตบอกให้รู้ เพื่อให้มารับเอาของสิ่งนี้ซึ่งเป็นของคู่บารมีไปรักษา เพราะผู้มีบารมีในที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ รักษาศีลหรือปฏิบัติมาก่อน จึงมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอดีตตนเองได้ค่อนข้างมาก จึงสามารถเป็นเจ้าของเหล็กไหลนี้ ซึ่งจะเป็นการพบโดยบังเอิญหรือได้มาด้วยความศรัทธาจากการบูชาหรือจะด้วยแรงอธิษฐาน หรือนิมิตบอกก็ตาม

แผ่บารมีทิ้งไว้เมื่อถึงเวลาจุติ

เหล็กไหลประเภทนี้ เกิดจากเทพพรหมเทวา ผู้รักษาเหล็กไหลได้บำเพ็ญบารมีธรรมจนเข้าสู่อริยมรรค หรือ พ้นจากวิบากกรรมบางอย่าง จะจุติในภพภูมิที่สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป ก็จะทิ้งธาตุขันธ์หรือสิ่งที่เคยรักษาไว้อยู่ โดยการอธิษฐานจิตทิ้งเอาไว้ในถ้ำหรือสถานที่ลึกลับ ให้เทพเทวาหรือยักษ์ คนธรรพ์คอยเฝ้ารักษา จนกว่าจะพบผู้ที่มีบารมีธรรมพอจะรักษาสิ่งเหล่านี้ให้ ก็จะมอบให้โดยวิธีใดวิธี หนึ่งดังนี้

1.เหล็กไหล ที่เคยไหลผ่านไปมาตามซอกถ้ำซอกผา มีลักษณะเป็นแผ่น ๆ เป็นปื้น เป็นก้อนขนาดต่าง ๆ ฝังตัวอยู่ตามซอกหินในถ้ำที่ลี้ลับ รอเวลาผู้มีวาสนาเอาไปทำประโยชน์ เหล็กไหลประเภทนี้จะไม่ไหลย้อยเคลื่อนที่ไปไหนอีก แต่จะถูกพรางตาจากบุคคลผู้ไร้วาสนา หากผู้มีวาสนาได้พบเห็นและทำพิธีให้ถูกต้อง ก็จะมีฤทธิ์อำนาจเป็นเหล็กไหลชั้น 1 ได้เหมือนกัน

2.องค์เหล็กไหล สำหรับผู้มีบารมีที่เข้าไปบำเพ็ญฌาณตามป่าเขาหรือถ้ำลึกลับ เทพผู้รักษาจะมอบให้ ถ้าต้องการ


ที่มา : [size=13.1999998092651px]http://thaimetalamulet.blogspot.com/2012/04/blog-post_7063.html

โดย: Marine    เวลา: 2015-8-11 21:09
เหล็กไหลรักษาโรค

เหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์เป็นหนึ่งในวัตถุที่มีพลังงานพิเศษที่เทพเจ้าได้มอบไว้ให้โลกมนุษย์ เนื่องจากภายในเหล็กไหลมีเจตจำนงบางประการของเทพเจ้าซ่อนอยู่ ซึ่งผู้รู้ในยุคต่อๆมาได้ไขปริศนาเกี่ยวกับธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลว่าเป็นวัตถุที่สามารถช่วยโลกให้พ้นจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นได้ แต่การนำเหล็กไหลมาใช้ก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่หลายคนเข้าใจกัน เพราะวิธีการใช้เหล็กไหลนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพลังจิตของผู้ครอบครองเหล็กไหลโดยตรง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าผู้ที่สามารถนำเอาพลังงานพิเศษของเหล็กไหลมาใช้ได้นั้นต้องเป็นผู้ที่ฝึกสมาธิจิตมาเป็นอย่างดีแล้วนั้นเอง

"พลังงานจากเหล็กไหลสามารถนำมาใช้ในเรื่องอะไรได้บ้าง?" คำถามนี้เป็นคำถามที่น่าสนใจมากเหล็กไหลมีพลังงานสูงส่งภายในตัว และสามารถแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานในรูปแบบอื่นๆ ได้อีกมากมาย และดูเหมือนว่าจะไม่จำกัดด้วยซ้ำ อานุภาพจากเหล็กไหลที่มากมายนี้ สามารถนำมาใช้ได้หลากหลาย แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถพบเห็นมาก ที่สุดคือการนำพลังอำนาจของเหล็กไหลในทางการบำบัดรักษาโรค


ที่มา [size=13.1999998092651px]http://thaimetalamulet.blogspot.com/2012/04/blog-post_2932.html

โดย: Marine    เวลา: 2015-8-11 21:10
น้ำมนต์เหล็กไหลรักษาโรค

น้ำมนต์เหล็กไหล
น้ำมนต์เหล็กไหลคือน้ำมนต์ศักดสิทธิ์ที่เกิดจากการแผ่ พลังงานจากเหล็กไหลลงสู่ธาตุน้ำโดยการนำเหล็กไหลซึ่งอาจเป็น องค์เหล็กไหลชั้นเยี่ยมหรือจะเป็นรังเหล็กไหลก็ได้ลงไปแช่ในน้ำ โดยทั่วไปจะแช่ทิ้งไว้เฉย ๆ เป็นเวลาตั้งแต่ 20นาทีขึ้นไป เพราะตาม ธรรมชาติของเหล็กไหลนั้นย่อมแผ่รัศมีของตัวเอง และเมื่อเหล็กไหล ได้แผ่รังสีลงในน้ำก็จะทำให้น้ำนั้นเริ่มมีประจุพลังงานของเหล็กไหล วิ่งไปมาอยู่ภายใน ประจุพลังงานของเหล็กไหลทีกระจายลงน้ำไม่เป็นอันตราย ต่อคนและสัตว์

ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้น้ำธรรมดาๆเป็นนํ้าอมฤตที่สามารถนำมาใช้บรรเทาอาการเจ็บป่วย หรือทำให้ร่างกายแข็งแรงทนทานต่อเชื้อโรคในอากาศ และช่วยในการปรับธาตุ ให้ร่างกายสมดุลกับอากาศรอบๆตัวด้วย แต่ลำพังการนำเอาเหล็กไหลมาแช่น้ำไว้โดยให้เหล็กไหล คลายพลังตามธรรมชาติของตนเองออกมานั้น พลังงานที่ได้อาจน้อย เกินไปหรือไม่ก็ต้องใช้เวลานานดังนั้นในกรณีที่มีผู้เจ็บป่วยหนักหรือต้องการพลังงานที่มากกว่านั้นเพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงขึ้นในเวลา อันสั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาลัยอำนาจพลังงานทางจิตจากตัว มนุษย์ด้วยวิธีการเพ่งกสิณในขั้นตอนที่นำเอาเหล็กไหลลงไปแช่ในน้ำ เพื่อช่วยกระตุ้นให้ได้น้ำมนต์เหล็กไหลที่มีอานุภาพมากขึ้นซึ่งผู้ที่จะเพ่ง หรือทำวิธีการนี้ได้จะต้องเป็นผู้ที่เคยฝึกกสิณมาบ้างแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง "กสิณไฟ" เพราะกสิณไฟเป็นวิชาที่สามารถเพ่งเหล็กไหลให้ พลังงานภายในเหล็กไหลเกิดการแตกตัวได้

ก่อนที่จะเพ่งเหล็กไหลด้วยการใช้กสิณไฟจะต้องมีการ บอกกล่าวต่อครูบาอาจารย์ที่เป็นพระฤาษีด้วย เพราะการแตกตัวของพลังงานภายในเหล็กไหลที่เกิดจากการใช้กสิณไฟนั้นสามารถเทียบได้กับการแตกตัวของพลังงานนิวเคลียร์ซึ่งผู้ที่ทำพิธีอาจได้ รับอันตรายอันเกิดจากกระแสพลังงานของเหล็กไหลที่แผ่ออกมาอย่างมหาศาล ดังนั้นจึงจำเป็นต้องขอความคุ้มครองจากจิตวิญญาณที่มีอานุภาพสูงส่งกว่าและสามารถควบคุมเหล็กไหลได้

พลังงานภายในตัวเหล็กไหลจะแตกตัวแบบทวีคูณ โดยพลังงานเหล่านั้นจะเริ่มแตกตัวจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่และเพิ่มทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งในจุดนี้ผู้ที่ทำพิธีจะสามารถส่งโทรจิตและรับรู้ถึงการแตกตัวของอญูธาตุเหล็กไหลได้เฉพาะตัว แต่ผู้ทำพิธีก็สามารถ ทำให้ผู้อื่นรับรู้เป็นรูปธรรมได้ด้วยการที่ผู้ทำพิธีจะเริ่มหยดน้ำตาเทียนลงบนผิวน้ำ โดยสามารถสังเกตได้จากน้ำตาเทียนทุกหยดที่ตกลงไปบนแผ่นน้ำจะแตกตัวออกเป็นแฉกคล้ายรูปดอกพิกุลอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าจากเดิมภายในน้ำที่เรามองไม่เห็นว่าแตกต่าง อะไรจากน้ำเปล่าธรรมดาทั่วไปนั้นตอนนี้กลับเต็มไปด้วยพลังงานลี้ลับบางอย่างที่มีอานุภาพแห่งการบำบัดขั้นสูง ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถรักษา โรคได้หลายชนิด เช่นโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง เบาหวานไต แต่ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับศรัทธาของผู้ที่มาขอรับน้ำมนต์เหล็กไหลด้วย

น้ำมนต์เหล็กไหลเกิดขึ้นจากพลังอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังนั้นการดื่มน้ำมนต์เหล็กไหลจึงต้องใช้ความศรัทธาของผู้ดื่มมาประกอบ จึงจะบังเกิดผลได้อย่างเต็มที่นอกจากนี้การทำบุญแผ่เมตตา อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมจะยิ่งส่งผลให้ โรคกรรมต่างๆทุเลาลงและหายได้ในที่สุด


ที่มา [size=13.1999998092651px]http://thaimetalamulet.blogspot.com/2012/04/blog-post_2767.html

โดย: ธี    เวลา: 2015-8-13 14:11

โดย: Nujeab    เวลา: 2015-8-13 19:45
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆครับ
โดย: majoy    เวลา: 2015-8-14 06:50
ขอบคุณคร๊าบ
โดย: Marine    เวลา: 2015-8-14 20:11
เหล็กไหลนาคราช
[attach]11834[/attach]
เหล็กไหลนาคราช

เหล็กไหลนาคราชหรือเหล็กพญานาคราชนี้ถูกค้นพบที่บริเวณสระมรกต ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเขตป่าละอู อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เดิมที่ดินในบริเวณนี้เป็นที่รกร้างต่อมาได้ถูกปรับปรุงพื้นที่โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสถานที่ในการปฏิบติกรรมฐาน จนกระทั่งได้มีการขุดที่ดินเพื่อทำการพัฒนา แต่เมื่อเริ่มขุดไปได้สักหน่อยก็ปรากฏมีตาน้ำผุดขึ้นมาซึ่งนับว่าเป็นเริ่องที่แปลกมาก เพราะบริเวณดังกล่าวเป็นที่สูงอยู่บนยอดเขาอันยากที่จะมีตาน้ำผุดขึ้นมาได้ชาวบ้านบริเวณ ใกล้ไกลเมื่อทราบข่าวก็พากันขึ้นมาดูว่าจริงหรือไม่ที่มีตาน้ำอยู่บนยอดเขาซึ่งตามความเชื่อแต่โบราณนั้นตาน้ำในลักษณะนี้ถือว่าเป็นเส้นทางของพญานาคอันเป็นทางเชื่อมต่อไปสู่มิติของพญานาคได้

ต่อมาจึงได้มีการบวงสรวงองค์พญานาคราช และทราบจากผู้ที่มีญาณรู้ว่าพญานาคที่ดูแลสระแห่งนี้มีนามว่า "อรรคนาคินทร์" เป็น พญานาคราชที่บำเพ็ญตบะทางพระโพธิสัตวํซึ่งมีอิทธิฤทธิ์บารมีมาก และเป็นผู้ดูแลธาตุกายสิทธิ์หลายอย่างในบริเวณนั้น

สำหรับแร่เหล็กไหลนาคราชนี้ก็ถือว่าเป็นของสำคัญจากเมืองบาดาลสามารถพบได้เฉพาะบริเวณรอบๆ สระมรกตเท่านั้นโดย มีลักษณะเป็นเม็ดเหล็กมีความดำมัน บางก้อนเป็นสีน้ำตาลอมดำอมแดง หากดูเผินๆลักษณะของตัวแร่จะมีความคล้ายกับแร่ มันปูและแร่เม็ดมะขาม แต่จะแปลกไปกว่าตรงที่มีกระแสแม่เหล็กภายในตัวสูงอีกทั้งยังมีความแข็งและความเงามันมากกว่าแร่มะขามมาก

นอกจากนี้หากมีการอัญเชิญแร่เหล็กพญานาคราชลงประทับบนแผ่นน้ำ (คล้ายการอัญเชิญองค์พระธาตุเสด็จประทับบนแผ่นน้ำ) จะพบว่าแร่เหล็กพญานาคราชจะสามารถประทับลอยบนแผ่นน้ำได้เช่นเดียวกันทุกประการกับการประทับลอยบนแผ่นน้ำขององค์พระธาตุ โดยการประทับลงบนแผ่นน้ำของเหล็กพญานาคราชนี้จะมีลักษณะเป็นแอ่งบุ๋มลงไปปรากฏเป็นรัศมีโดยรอบองค์เหล็ก และเมื่อลอยอีกองค์หนึ่งลงไปก็ปรากฏว่าเหล็กพญานาคราชจะลอยเข้าหา กันคล้ายกับว่ามีแรงดึงดูดบางอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าย่อมเป็นกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีอยู่ภายในองค์เหล็ก ความน่าอัศจรรย์คือโดยคุณสมบัติขององค์เหล็กนั้นเป็นธาตุเหล็กซึ่งไม่น่าจะลอยบนแผ่นน้ำได้เลย หากเทียบกับก้อนกรวดแล้วย่อมมีน้ำหนักผิดกันมาก ซึ่งก้อนกรวดที่มีขนาดเท่าๆ กัน หรือเล็กกว่าก็ยังไม่อาจลอยบน แผ่นน้ำได้ แต่เหล็กพญานาคราชกลับสามารถลอยบนแผ่นน้ำได้อย่างน่าอัศจรรย์ และสามารถลอยข้ามคืนข้ามวันได้อีกด้วย

อีกทั้งยังสามารถลอยเกาะกันเป็นกลุ่มและจะไม่เข้าชิดติดขอบแก้วหรือภาชนะ ที่ใส่แต่อย่างใด หากแต่จะลอยอยู่กึ่งกลางภาชนะที่เราใส่ไว้นั้นจนกว่าจะจมลงไปถือว่าเป็นเหล็กมหัศจรรย์ในตระกูลเหล็กไหลอย่างหนึ่งที่หาได้ยาก

ครูบาอาจารย์จัดว่าเหล็กไหลพญานาคราชเป็นธาตุกายสิทธิ์ จากเมืองบาดาลที่มีอานุภาพครอบคลุมหลายด้านคือดีทั้งเป็นสื่อชักนำ แก้วแหวนเงินทองเข้ามาหา ป้องกันอันตรายทั้งจากอสรพิษและภูตผีปีศาจ สามารถกันเภทภัยทั้งปวงไม่ให้เข้ามากล้ำกรายได้ ดังนั้นหากวัตถุมงคลชนิดใดได้นำเอาเหล็กพญานาคราชนี้ฝังไว้ย่อมเป็นมหามงคล คงกระพัน และกันอันตรายได้เป็นอย่างดี หรือจะบูชาไว้ภายในผอบเหมือนการบูชาพระธาตุก็ได้ หากผู้ที่บูชามีจิตศรัทธาในองค์เหล็กไหลนาคราชแล้วองค์เหล็กก็อาจสำแดงปาฏิหาริย์แผ่รัศมีออกมาให้เห็น หรืออาจเสด็จมาเพิ่มเช่นเดียวกับการเสด็จมาขององค์พระธาตุซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่อัศจรรย่ยิ่ง


ที่มา [size=13.1999998092651px]http://thaimetalamulet.blogspot.com/2012/04/blog-post_6251.html

โดย: Marine    เวลา: 2015-8-14 20:38
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Marine เมื่อ 2015-8-14 20:40

[size=13.1999998092651px]เหล็กไหลสะเก็ดดาวหรืออุลกมณี
[attach]11835[/attach]
เหล็กไหลสะเก็ดดาว
สะเก็ดดาวเป็นเครื่องรางกายสิทธิ์ที่มนุษย์เรานับถือมานานนับหมื่นๆปี จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นเครื่องรางของขลังชนิดแรกของโลกที่คู่กับอารยธรรมของมนุษย์เรานอกจากสะเก็ดดาวจะเป็นเครื่องรางที่เก่าแก่แล้วสะเก็ดดาวยังเป็นเครื่องรางที่ถูกจัดอยู่ในจำพวกเหล็กไหลด้วย ดังนั้นจึงมีเหล็กไหลหลายชิ้นที่เมื่อตัดมาแล้วพบว่า เนื้อหินมีลักษณะคล้ายดั่งสะเก็ดดาวมาก ชนิดที่ว่าถ้าวางรวมกันแล้วไม่มีทางแยกออกว่าชิ้นไหนเป็นสะเก็ดดาวชิ้นไหนเป็นเหล็กไหลตัดอย่างแน่นอน

จากความเชื่อที่ว่า "แท้จริงแล้วเหล็กไหลน่าจะมาจากนอกโลก" ดังนั้นวัตถุธาตุที่มาจากนอกโลกอย่างสะเก็ดดาว ซึ่งมีเนื้อธาตุที่เห็นได้ว่า เป็นแก้วใสสิดำสนิทและมีผิวขรุขระก็น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับเหล็กไหลด้วยเช่นกัน อำนาจจากเหล็กไหลสะเก็ดดาวหรืออุลกมณีนี้เป็นที่เชื่อกันว่ามีฤทธิ์ไนทางป้องกันสายฟ้าฟาด กันไฟ กันเสนียดจัญไรทั้งหลาย รวมถึงภูตผีปีศาจและยังเป็นเมตตามหานิยมอย่างเอกอุ สามารถ คุ้มครองป้องกันเวลาเดินทางได้เป็นอย่างดี ชาวอีสาน ชาวส่วย และคนคล้องช้าง ต่างก็ให้ความนับถือในเครื่องรางชนิดนี้ว่ามีอิทธิฤทธิ์ในการป้องกันอาถรรพณ์จากพงไพรได้

เหล็กไหลสะเก็ดดาวเป็นเหล็กไหลที่มิธาตุน้ำอยู่ในตัวสูง และมีพลังงานเย็นในตัว เชื่อกันว่าหากผู้ใดได้สวมใส่หรือพกพาเหล็กไหลชนิดนี้ จะทำให้สามารถใช้โทรจิตได้ดี มีพลังจิตเข้มแข็งขึ้น และสามารถรับคลื่นทางจิตในอากาศได้ดีขึ้นกว่าเดิม



ที่มา [size=13.1999998092651px]http://thaimetalamulet.blogspot.com/2012/04/blog-post_8193.html



โดย: Marine    เวลา: 2015-8-14 20:41
เหล็กไหลในพระธาตุ

[attach]11836[/attach]
เหล็กไหลในพระธาตุถือกันว่าเป็นของแปลก หากผู้ใดได้ครอบครองเหล็กไหลในพระธาตุโดยเฉพาะอย่างยิ่งหินพระธาตุเขาสามร้อยยอด พระธาตุพระโมคคัลลา พระสารีบุตร และพระสิวลี จึงถือว่าเสมือนหนึ่งมีเหล็กไหลอยู่กับตัวเพราะภายในหินพระธาตุ ขององค์พระสาวกแต่ละองค์จะมี "หัวใจพระธาตุ" ซึ่งมีรูปพรรณสัณฐานเป็นสีดำบางองค์เป็นสีแดง บางองค์ก็เป็นแก้วผลึกหัวใจพระธาตุคือส่วนที่เชื่อถือกันว่าเป็นเหล็กไหล มีข้อสันนิษฐานว่าเหล็กไหลในพระธาตุเกิดขึ้นจากการที่เหล็กไหลถูกห้มตัว ด้วยหิน หรืออาจจะเป็นการสร้างรังของเหล็กไหล หรือจะเป็นไปด้วย

อำนาจของเทวดาททีปกปักรักษาองค์พระธาตุ หรือจากอำนาจ ธรรมชาติสร้างสรรค์ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ที่สำคัญคืออานุภาพ ของเหล็กไหลในพระธาตุนั้นเป็นคงกระพัน มหาอุดเป็นเยี่ยมและยังเป็นของทางร่มเย็นเป็นสุขอีกด้วย เหล็กไหลในพระธาตุแทบทุกชนิดจะมีพลังเย็นอยู่กับตัวเป็นหลักและโดยมากองค์พระธาตุเหล่านันมักพบอยู่ในแท่นพระธาตุ ที่มีลักษณะเป็นดอกบัวหรือพบอยู่ตามแท่งหินโดยฝังตัวอยู่เป็นเม็ดๆเต็มไปหมด และมักพบว่าแช่อยู่ในนาหรือมีทางนาไหลผ่าน ซึ่งแสดงให้เห็นได้ชัดว่ามีอาโปธาตุหรือธาตุน้ำอยู่ในตัวสูงจึงเหมาะกับผู้ที่ปฎิบัติกรรมฐาน หากผู้ใดพกไว้กับตัวจะเป็นทั้งเมตตา มหาอุด และแคล้วคลาด นอกจากนี้ยังสามารถบันดาลให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข และยังมีอำนาจในทางบำบัดรักษาโรคได้ดีด้วยเช่นกัน

โดย: Marine    เวลา: 2015-8-14 20:43
เหล็กไหลตาแรด
[attach]11837[/attach]
เหล็กไหลตาแรด
เหล็กไหลตาแรดพบในเทือกเขาตาแรด ที่จังหวัดกาญจนบุรี ผู้ที่พบในครั้งแรกคืออดีตเจ้าอาวาสของวัดถ้ำแฝดตั้งแต่องค์ก่อนๆ แต่เหล็กไหลตาแรดมาเป็นที่รู้จักกันดีในสมัยที่หลวงพ่อสัมฤทธิ์คัมภีโร ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส และสืบเนื่องมาจนถึงพระอาจารย์วัชระ เอกวัณโณเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน เหล็กไหลตาแรดมีคุณสมปัติเด่นทางด้านคงกระพันเป็นยอด โดยเฉพาะทำให้เนื้อหนังทนทานต่อของมีคมได้อย่างน่าอัศจรรย์ รวมทั้งกันภูตผีปีศาจและอสรพิษทั้งปวงได้ เหล็กไหลตาแรด จะมีลักษณะเป็นเม็ดกลมๆ หรือสัณฐานกลมเล็กๆ สีดำคล้ายนิล ถ้าเอาแม่เหล็กมาล่อจะดูดติด คนทั่วไปมองเผินๆ อาจจะคิดว่าเป็นนิล

แต่เมื่อนำมาเจียระไนจะดูคล้ายก้อนโลหะสีดำมันสวยแวววาว บางคนนิยมเอามาทำเป็นเครื่องประดับก็มี ในการนำเหล็กไหลตาแรดมาใช้ด้วยวิธีการหลอมแร่นั้นจะ สามารถทำได้ก็ต่อเมื่อผู้หลอมต้องมีวิชาบังคับธาตุสี่ เช่นเดียวกับการ หลอมเหล็กไหลชนิดอื่นๆ อย่างเหล็กไหลย้อย เหล็กไหลหยดหรือ โคตรเหล็กไหลทรหด ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องยากในการจะนำเอาเหล็กไหลตาแรดมาใช้ ดังนั้นจึงนิยมนำ เหล็กไหลตาแรดมาใช้ในสามรูปแบบด้วยกัน รูปแบบที่หนึ่งคือนำเอาก้อนดิบๆ ของเหล็กไหลตาแรดมาพกไว้กับตัวเหมือนการคล้องพระเครื่อง รูปแบบที่สองคือนำเอาเหล็กไหล ชนิดนี้มาฝังลงในองค์พระเครื่อง หรือนำมาบดรวมกับมวลสารที่ใช้ใน การสร้างองค์พระและรูปแบบสุดท้ายซึ่งเป็นที่นิยมมากที่สุดคือ การนำเอาเหล็กไหลชนิดนี้มาเจียระไนเป็นเม็ดเล็กๆ ขนาดเท่าหัวไม้ขีดแล้วนำมาฝังไว้ในร่างกายคนเรา

โดย: Marine    เวลา: 2015-8-14 20:44
แร่มะขาม

แร่มะขามเป็นเหล็กไหลกายสิทธิ์อีกชนิดหนึ่ง แต่เนื่องจากแร่มะขามมีลักษณะเหมือนเม็ดมะขามเป็นอย่างมาก ชาวบ้านที่ขุดพบจึงเรียกว่า "แร่เม็ดมะขาม" ตามลักษณะที่ค้นพบ บรรดาฤาษี หรือผู้ทรงวิทยาคุณในสมัยพันกว่าปีก่อนต่างนิยมแสวงหาแร่ชนิดนี้ เพื่อที่นำมาใช้สร้างเป็นพระ โดยค้นพบหลักฐานจากพระรอดลำพูนว่าภายในองค์พระบางองค์ได้มีการฝังเม็ดแร่ชนิดนี้เอาไว้รวมทั้งพระซุ้มกอและพระนางพญาก็ได้มีการนำเอาแร่ชนิดนี้มาบดเป็นมวลสารในการสร้างด้วยเช่นกัน

แร่เม็ดมะขามเป็นของดีทางคงกระพันและแคล้วคลาดจากศาสตราวุธเป็นหลักแร่มะขามจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับพระธาตุเหล็กไหล ซึ่งพระธาตุเหล็กไหลก็คือเหล็กไหลที่หลุดออกมาจากรัง เป็นเม็ดๆ และมีลักษณะสัณฐานกลมคล้ายกับพระธาตุของพระสาวกอย่างพระธาตุของพระโมคคัลลาและพระธาตุของพระสารีบุตร จึงนิยมเรียกเหล็กไหลสัณฐานนี้ว่าพระธาตุเหล็กไหลตามลักษณะที่ใกล้เคียงกับพระสาวกธาตุนั่นเอง

โดย: Marine    เวลา: 2015-8-14 20:44
ข้าวตอกพระร่วงหรือเป๊ก

[attach]11838[/attach]
ข้าวตอกพระร่วง


ข้าวตอกพระร่วงเป็นเหล็กไหลที่พบในแถบภาคเหนือ พบมาก ที่จังหวัดลำพูน เป็นต้น คุณแม่ๆบุญเรือน โตงบุญเติม ซึ่งเป็นผู้ที่มี สมาธิแก่กล้าและเป็นที่นับถือศรัทธา มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ท่าน เป็นผู้ที่ค้นพบข้าวตอกพระร่วงที่จังหวัดสุโขทัย โดยท่านได้นิมิต เห็นแร่กายสิทธิ์ชนิดนี้ และได้ติดตามนิมิตนั้นจนค้นพบแร่กายสิทธิ์ ดังกล่าว จึงได้นำแร่กายสิทธิ์นั้นมาทำการอธิษฐานจิตทำให้มีฤทธิ์ ในทางป้องกันภยันตรายได้เป็นอย่างดี และยังสามารถนำมาแช่ในน้ำ เพื่อทำน้ำมนต์รักษาโรคได้อีกด้วย

ข้าวตอกพระร่วงหรือเป็กนี้เป็นแร่กายสิทธิ์ที่มีความแปลก คือมักมีรูปพรรณสัณฐานเป็นสีเหลี่ยมจัตุรัส เมื่อเอาแม่เหล็กมาล่อ จะดูดไม่ติด แต่ถ้าเจียระไนเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วอาจดูดติดได้ทาง ภาคเหนือถือกันว่าข้าวตอกพระร่วงเป็นเหล็กไหลกายสิทธิ์ที่ขึ้นชื่อ ทางด้านคงกระพัน กันอสรพิษ และกันเขี้ยวงาเป็นที่สุด คนสมัยก่อน จะโปรยข้าวตอกพระร่วงไว้รอบคูเมืองและกำแพงเมือง เพื่อป้องกัน อาถรรพณ์ของผีป่า เสนียดจัญไร และข้าศึกศัตรู

ตามตำนานเมืองสุโขทัยกล่าวว่า พระร่วงเจ้าวาจาสิทธิ์ได้ทำพิธีปลุกเสกข้าวตอกพระร่วง หลังจากนั้นได้นำไปโปรยรอบๆ กำแพงเมืองสุโขทัยเพื่อความเป็นสิริมงคล หรืออย่างในสมัยพระนางจามเทวีก็ได้นำเอาแร่ชนิดนี้มาสร้างเป็น พระรอด พระคง พระเลื่อง พระลือ อันเป็นพระที่ดีทางคงกระพันด้วยกันทั้งสิ้น ในสมัยต่อมามีครูบาร์อาจารย์และผู้ทรงวิชาอีกหลายท่านนำเอาแร่เหล็กกายสิทธิ์นี้ นักรบสมัยก่อนยังนิยมแสวงหาข้าวตอกพระร่วงเพื่อนำมาใช้เป็นเครื่องรางสำหรับพกติดตัวกันทั้งนั้น

โดย: Marine    เวลา: 2015-8-14 20:54
เหล็กไหลนาคา หรือศิลานาคา

[attach]11839[/attach]
แร่เหล็กไหลนาคา

เหล็กไหลนาคานับเป็นแร่กายสิทธิ์ในตระกูลเหล็กไหลอีกชนิดหนึ่งเหล็กไหลนาคามีรูปร่างไม่แน่นอนบ้างกลมมนบ้างเรียวยาว มีน้ำหนักเหมือนเหล็ก มีสีเทาอมดำหรือสีเขียวอมดำ ที่น่าแปลกคือ เหล็กไหลนาคาจะมีกระแสแม่เหล็กอ่อนๆ ในตัวเอง เมื่อนำเหล็กไหล นาคาเข้าใกล้เหล็กชิ้นเล็กๆ จะสามารถดูดเหล็กชิ้นเล็กๆติดขึ้นมา อย่างน่าอัศจรรย์


เหล็กไหลนาคาสามารถกักเก็บพลังงานความร้อนแล้วคาย พลังงานดังกล่าวออกมาได้ เมื่อตั้งเหล็กไหลนาคาทิ้งไว้กลางแสง แดดนาน ๆ เหล็กไหลนาคาจะส่งแสงสีเรืองๆ ออกมาและหากเราตั้ง เหล็กไหลนาคาไว้ในที่เย็น ๆ เพียงพักเดียวเท่านั้นตัวเหล็กก็จะเย็นจัด เมื่อสัมผัสจะหนาวเข้าไปจนถึงกระดูก แสดงให้เห็นว่าเหล็กไหลนาคา เป็นเหล็กที่มีความไวต่ออุณหภูมิเป็นอย่างมาก เพราะสามารถดูดซึม ความร้อนและความเย็นได้อย่างรวดเร็วและยังสามารถแผ่พลังงานที่ สะสมออกมาได้อย่างเหมาะสมอีกด้วย

เหล็กไหลนาคาไม่ใช่เหล็กไหลทรหดตามที่หลายคนเข้าใจกัน เหล็กไหลนาคามักพบในแถบภาคอีสานและภาคเหนือโดยมากพบตาม ริมแม่น้ำโขง จึงเรียกว่า "เหล็กไหลนาคา" หรือ "ศิลานาคา" เหล็กไหลนาคาเป็นของที่มีคุณหลายด้าน ทั้งเป็นคงกระพัน ป้องกันอันตรายใช้ปรับธาตุในตัวเพื่อรักษาโรค บำบัดความเจ็บป่วย และอาราธนาทำน้ำมนต์รักษาโรคได้ ทั้งยังสามารถกันเรื่องภูตผีปีศาจและอสรพิษ ทั้งปวงได้เป็นอย่างดี ผู้ที่กำองค์เหล็กชนิดนี้บ่อยๆ จะส่งผลให้มี สุขภาพดี สามารถทนร้อนและทนหนาวได้มากกว่าคนธรรมดาทั่วไป

โดย: Marine    เวลา: 2015-8-14 21:09
ไม้หินแก่นเหล็ก

ไม้หินแก่นเหล็กจัดอยู่ในจำพวกเหล็กกายสิทธิ์บางท่านนับถือ ว่าไม้หินแก่นเหล็กเป็น"เหล็กไหลทรงฤทธิ์" ตามตำรากล่าวว่าไม้หิน แก่นเหล็กคือไม้สักหรือไม้ตะเคียนหรือไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ซึ่งจมอยู่ ใต้ดินโดยไม่เน่าเปีอยจนกระทั้งเวลาผ่านไปยาวนานนับล้านปีจึงกลับกลายสภาพเป็นกึ่งหินกึ่งเหล็กอย่างเช่น คดไม้สัก ซึ่งมีหลาย ๆ ชิ้น ที่แม่เหล็กสามารถดูดติดได้และถือว่าเป็นแร่กายสิทธิ์ที่เข้าจำพวก เหล็กไหลเช่นกัน เนื่องจากภายในไม้หินแก่นเหล็กจะมีตบะบารมีของเทพอสูร ที่มีฤทธิ์อยู่ อำนาจจากไม้หินแก่นเหล็กจึงดีเด่นทางด้านคงกระพัน ด้านมหาอำนาจ และยังมีอำนาจทางสะกดสัตว์ป่าทุกชนิด

[attach]11840[/attach]
ไม้หินแก่นเหล็ก


ในสมัยก่อนพรานป่าที่รู้พระเวทย์จะแสวงหาไม้หินแก่นเหล็กมาทำตะขอ สับช้างหรือเป็นเครื่องรางคู่กาย เมื่อร่ายพระเวทย์หรือคาถาปลุก จะทำให้เกิดอำนาจในทางข่มอาถรรพณ์ของป่าและสามารถสะกด สัตว์ใหญ่ได้อย่างน่าอัศจรรย์ นอกจากนี้ไม้หินแก่นเหล็กยังเป็น ธาตุที่มีความเย็นในตัวเองสูงมาก และยังสามารถแผ่พลังทางด้าน รักษาบำบัดได้ดีเช่นกัน จึงเป็นธาตุอัศจรรย์อีกชนิดหนึ่งที่นิยมนำ มาอาราธนาแล้วแช่ในน้ำเพื่อทำน้ำมนต์รักษาโรค

โดย: Marine    เวลา: 2015-8-14 21:10
โคตรเหล็กไหลย้อย

[attach]11841[/attach]
โคตรเหล็กไหลย้อย

โคตรเหล็กไหลย้อยเป็นเหล็กไหลที่คล้ายคลึงกับเหล็กไหลหยด สามารถกล่าวได้ว่าโคตรเหล็กไหลย้อยนั้นเป็นต้นกำเนิดหรือเป็นโคตรเหล็กไหลของเหล็กไหลหยดก็ได้ โดยมากโคตรเหล็กไหลย้อยจะมีขนาดใหญ่ตั้งแต่กำปั้นขึ้นไปมีทั้งสีดำและสีออกน้ำตาลแดง บางชิ้น เมื่อนำมาขัดจะเงาออกสีเงินยวงอย่างน่าประหลาด ซึ่งถือว่าเป็นของขลังตามธรรมชาติที่อยู่ในประเภทเหล็กไหลเช่นกันโคตรเหล็กไหลย้อย และเหล็กไหลหยดมักพบตามพื้นใต้ดินหรือตามซอกผา และมีเจ้าที่เฝ้าหวงแหนอยู่ จึงต้องทำการพลีขอเสียก่อน

"โคตรเหล็กไหลย้อย" จะมีลักษณะแปลกตาพอๆ กับโคตร เหล็กไหลงอกและโคตรเหล็กไหลทรหด คือมีลักษณะเหมือนน้ำตา เทียนไหลทับถมกันบางชิ้นจะเรียบเป็นแผ่นใหญ่มีลักษณะคล้ายงูเลื้อยไปมา อาจารย์บางท่านจึงเรียกว่า "เหล็กไหลนาคา" หรือบางชิ้นก็เหมือนน้ำตาเทียนที่ละลายแล้วแข็งตัวเป็นเหล็ก จัดเป็นของมีอาถรรพณ์ที่พวกยักษ์ป่าและอสูรต่างนับถือกันว่าเป็นกายสิทธิ์จึงมักติดตามเฝ้าหวงแหน ดังนั้นผู้ที่จะเอาโคตรเหล็กไหลชนิดนี้ได้จึงต้องเป็นผู้ที่มีบุญบารมี นอกจากนยังต้องบวงสรวงทำความพอใจให้แก่ดวงจิตวิญญาณที่เฝ้าดูแลอยู่ด้วย โคตรเหล็กไหลย้อยบางชิ้นมีความน่าอัศจรรย์มาก

เพราะสามารถทอสีเป็นสีรุ้งหรือทอแสงออกเป็นสีทองก็มี ชาวบ้านจึงมักเรียกว่า"ทองคำดำ" ครูบาอาจารย์ที่มีฌานมีญาณได้ตรวจดูโคตรเหล็กไหลย้อยแล้วพบว่าเป็นสิ่งที่มีอำนาจฌานของฤๅษีประจุอยู่ด้วยจึงมักพลีขอต่อเจ้าที่นำมาใช้เป็นมวลสารในการสร้างพระเครื่อง ส่วนผู้ที่มีวิชามักหาโคตรเหล็กไหลย้อยมาทำเป็นส่วนผสมในการหลอมทำธาตุกายลิทธิ์แต่ทั้งนี้ต้องเป็นผู้ที่มีอาคมบังคับธาตุได้ เพราะหากไม่มีวิชาเล่นแร่แปรธาตุแล้วตัวแร่จะหนีหายสลายเป็นเถ้าธุลีหมด ปัจจุบันมีการนำเอาแร่ชนิดนี้

มาสร้างเป็นเครื่องรางก็มี เช่นนำเอาแร่ชนิดนี้มาแกะเป็นฤาษีและมา สร้างเป็นพระเนื้อผง ทั้งทำการปลอมแร่ให้เป็นกายสิทธิ์เหล็กไหลเทียบ ที่มีฤทธิ์อำนาจคล้ายคลึงกับเหล็กไหลน้ำหนึ่ง คือดีทั้งทางโชคลาภ ทำมา ค้าขาย และป้องกันอุบัติภัยได้ด้วย อีกทั้งยังสามารถเปลี่ยนสี ในตัวเองให้เป็นสีเขียวปีก แมลงทับหรือ เป็นสีทอง เหลือบ เขียวอม เหลือง ได้อย่างน่าอัศจรรย์






การพิจารณาโคตรเหล็กไหลย้อยว่าเป็นเนื้อชั้นดีหรือไม่นั้น ให้ดูที่น้ำหนักและผิวพรรณ เพราะหากมีน้ำหนักเบาและพบว่ามีรูพรุนมากอีกทั้งสีผิวไม่เป็นมัน กระด้าง และดูซีดแสดงว่าเป็นเหล็กไหลย้อย ประเภท เหล็กไหลตายซาก ซึ่งจัดอยู่ในประเภทเดียวกันกับขี้เหล็กไหล แต่หากสียง ดำ เงา เป็นมันวาว และเนื้อตันก็ยังจัดว่า เป็นโคตรเหล็กไหล ชั้นดีทีฤทธิ์ในตัวมาก เรียกอีกอย่างว่า "พญาเหล็ก" ซึ่งมีอำนาจทาง มายาล่องหนหายตัวหรือทำให้ศัตรูเห็นเป็นหลายคน ดีทั้งทางแคล้ว คลาดและคงกระพัน แต่ถ้าเป็นพวกเหล็กตายซากจะมีพลังงานในตัวที่อ่อน เพราะเชื้อเหล็กตายเกือบจะหมดอยู่แล้ว ต้องเอาไปปนผสม ทำเป็นพระเครื่องแล้วปลุก เสกให้ดีจึงจะสามารถมีอิทธิฤทธิ์ขึ้นมา

โดย: Marine    เวลา: 2015-8-14 21:22
เหล็กไหลหยด

[attach]11844[/attach]
เหล็กไหลหยด


เหล็กไหลหยดหรือที่บางครั้งก็เรียกว่า "เหล็กหยด" ไม่ถือเป็น โคตรเหล็กไหล และไม่ใช่เหล็กไหลน้ำหนึ่งชั้นยอดเหมือนกลุ่มแรก อย่างเหล็กไหลโกฏิปีหรือเหล็กไหลเจ้าป่าเพราะมีคุณภาพต่ำลงมา จึงไม่สามารถดับพิษไฟได้ แต่จะมีอานุภาพเป็นยอดในทางป้องกันงู เงี้ยวเขี้ยวขอและของมีคม เหล็กไหลหยดจะเสพน้ำผึ้งทำให้กลิ่นและรสหวานของน้ำผึ้งหมดไปบางครั้งอาจทำให้น้ำผึ้งพร่องไปบ้าง





เหล็กไหลหยดมีทั้งที่เกิดจากการแตกตัวของรังเหล็กไหล ที่อาจถูกความร้อนตามธรรมชาติและที่ได้มาจากการตัดของผู้ที่มีอาคม ซึ่งหลังจากที่ใช้เทียนอาคมลนก็จะได้เหล็กไหลหยดตัวตามธรรมชาติลง มาในบาตรน้ำผึ้งคล้ายกับการตัดเหล็กไหลเจ้าป่า แต่เหล็กไหลหยดที่ เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแต่ละชิ้นจะมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก

โดยมากจะ มีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว ยาวอย่างมากไม่เกินหนึ่งนิ้วชี้ลักษณะโดยทั่วไปมีรูปร่างแปลก ๆ หลายแบบ เช่น มีสัณฐานกลมโดยธรรมชาติก็มี ที่มี ลักษณะคล้ายพวงองุ่นก็มี หรือบางทีก็หยดตัวคล้ายลักษณะของน้ำตาเทียนและหยดเทียน สีสันของเหล็กไหลหยดมักออกดำด้าน ๆ มีรูพรุน โดยรอบ บางชิ้นออกสีน้ำตาลแดง เหล็กหยดที่มีคุณภาพดีจะมีสีออกดำ เหมือนตังเมข้นๆ บางชิ้นผิวออกสีเงินยวงก็มี ซึ่งนับว่าเป็นเหล็กไหล ที่มีความใกล้เคียงกับเหล็กไหลเจ้าป่ามากที่สุด เหล็กหยดบางท่านอาจ เรียกว่า "เหล็กหลบ" เนื่องจากว่าเหล็กไหลมีอยู่ด้วยกัแหลายชนิด บาง ชนิดอาจมีลักษณะใกล้เคียงกัน ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดความหลากหลาย และสับสนจนเกินไปนักจึงอนุโลมให้จัดรวมอยู่ในประเภทเดียวกันได้

"เหล็กไหลหยด" หรือ เหล็กหยดนี้ดีทาง คงกระพันหนังเหนียว และกันงูเงี้ยวเขี้ยวขอได้ดี เมื่อนำมาปลุกเสกจะมีอิทธิฤทธิ์ในตัวมาก เป็นพิเศษ นิยมพกทั้งที่เป็นเม็ด ๆ หรือเป็นชิ้นติดตัวเอาไว้เลย พวกภูตผีปีศาจต่างก็เกรงกลัวรัศมีของเหล็กหยดนี้ และยังดีทางแคล้วคลาด ล่องหนอีกด้วย

โดย: Marine    เวลา: 2015-8-14 21:23
โคตรเหล็กไหลทรหด

โคตรเหล็กไหลทรหดเป็นโคตรเหล็กไหลชั้นเลิศอีกชนิดหนึ่ง ที่มีความใกล้เคียงกับโคตรเหล็กไหลงอกมาก แต่ต่างกันตรงที่โคตร เหล็กไหลทรหดนั้นจะงอกขึ้นมาเป็นมัดๆ คล้ายกล้ามเนื้อ ส่วนโคตรเหล็กไหลงอกนั้นจะงอกเป็นเม็ดเล็ก ๆ คล้ายไข่ปลาเกาะติดกันเป็นกลุ่มก้อนบางครั้งจะพบว่ามีทั้งโคตรเหล็กไหลงอกและโคตรเหล็กไหลทรหดขึ้นรวมอยู่ด้วยกัน แต่โดยรวมแล้วโคตรเหล็กไหลทรหดมักขึ้นเป็นมัดๆ และมีมวลแน่นหนากว่าโคตรเหล็กไหลงอก

[attach]11845[/attach]
โคตรเหล็กไหลทรหด

โคตรเหล็กไหลทรหดจัดเป็นโคตรเหล็กไหลที่มีอานุภาพ ไม่ด้อยไปกว่าโคตรเหล็กไหลงอก โดยโคตรเหล็กไหลทรหดจะเด่นใน เรื่องคงกระพันอีกทั้งยังสามารถเจริญเติบโตได้โดยมากจะไม่งอก เพิ่ม อย่างโคตรเหล็กไหลงอกแต่จะขยายขนาดทำให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมา และ หากได้รับการประจุพลังจิตก็จะสามารถเปลี่ยนสีสันของตัวเองได้เช่นกัน การจะนำโคตรเหล็กไหลทรหดมาได้นั้นสามารถทำได้โดย การสกัดจากหินที่โคตรเหล็กไหลทรหดงอกขึ้นมาได้เลยเช่นเดียวกับ โคตรเหล็กไหลงอก แต่ต้องอธิษฐานจิตขอต่อเจ้าป่าเจ้าเขาเสียก่อน ไม่อย่างนั้นจะเกิดอาเพศต่อตัวผู้นั้นรวมไปถึงหมู่คณะที่เข้าไปด้วย ครูบาอาจารย์ที่ได้โคตรเหล็กไหลทรหดมามักจะตัดเป็นชิ้น ๆ สามารถใช้พกพาได้เลยเพราะเป็นของดีอยู่ในตัวอยู่แล้ว หรืออาจนำมาแกะ เป็นองค์พระหรือทำเป็นจี้ห้อยคอก็ได้ เพราะเนื้อของโคตรเหล็กไหล ทรหดนั้นมักเป็นเนื้อตัน เมื่อนำมาเจียระไนแล้วจึงดูสวยงาม และไม่ขึ้นสนิม พวกพรานป่ามักนิยมเจียเป็นรูปเบี้ยหลังเต่าแล้วฝังไว้ที่ หัวไหล่หรือ เจีย เป็นทรงหนำเลี้ยบเรียวแหลมแล้ว ฝังไว้ที่ใต้ท้อง แขน เพราะเชื่อว่าทำให้คงกระพันหนังเหนียวหรือแม้จะต้องทำงานหนักก็ ไม่รู้สึกว่าเหนื่อย และยังทรหดอดทนต่อการเดินทางไกลได้อย่างน่า อัศจรรย์ หากอมไว้ในปากก็เชื่อว่าทำให้ไม่กระหายน้ำและสามารถ ป้องกันไข้ป่าได้ นอกจากนี้ฤทธิ์ขององค์เหล็กยังทำให้เป็นที่ครั่นคร้าม ต่อสัตว์ใหญ่อย่างงู เสือ และช้างอีกด้วย




ทั้งโคตรเหล็กไหลงอกและโคตรเหล็กไหลทรหดถือว่าเป็น ของเย็น ดังนั้นหากผู้ใดที่มีไว้บูชาประจำบ้านหรือพกติดตัวจะทำให้ เกิดความร่มเย็นในชีวิต มีความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม เดินทางไปไหนก็ปลอดภัยทำสิ่งใดก็สำเร็จทุกประการ

โดย: Marine    เวลา: 2015-8-14 21:24
โคตรเหล็กไหลงอก
[attach]11846[/attach]
โคตรเหล็กไหลงอก

โคตรเหล็กไหลงอกเป็นเหล็กไหลชั้นรองลงมา หรือที่เรียก กันว่าเหล็กไหลน้ำรอง ซึ่งต่างกับเหล็กไหลโกฏิปี เหล็กไหลเจ้าป่า และ เหล็กไหลเพลิง อันเป็นเหล็กไหลชั้นหนึ่งหรือเหล็กไหลน้ำหนึ่งที่ มีอิทธิฤทธิ์มากและเป็นกายสิทธิ์ที่ต้องใช้วิชาอาคมในการเชิญหรือในการตัด และผู้ที่จะตัดได้ก็ต้องเป็นผู้ที่มีวิชาเท่านั้น ส่วนเหล็กไหลงอก จัดเป็นพวกโคตรเหล็กไหลที่ไม่ต้องใช้วิชาในการตัด แต่ต้องทำการขอจากเจ้าป่าเจ้าเขา ไม่เช่นนั้นจะโดนอาถรรพณ์ทำร้ายจนทำ ให้ชีวิตวิบัติในทุกๆ ด้าน

เหล็กไหลงอกหรือโคตรเหล็กไหลงอกถือว่าเป็นโคตรเหล็กไหลชั้นเยี่ยม หรือเป็นโคตรเหล็กไหลชั้นหนึ่งในบรรดาโคตรเหล็กไหล หลายๆ ชนิด แต่ที่ขึ้นชื่อที่สุดคือโคตรเหล็กไหลงอกที่เขาอึมครึมและ เขากะอางค์ รวมทั้งตามถ้ำในเขตชายแดนไทยพม่าและในป่าลึกของพม่าอีกทั้งเหล็กไหลงอกที่เกาะล้านพัทยาและเหล็กไหลงอกที่เมืองลอง จังหวัดแพร่ที่เรียกตามภาษาชาวบ้านว่า"ตับเหล็กเมืองลอง"

เหล็กไหลงอกนั้นเป็นโคตรเหล็กไหลที่มีลักษณะการงอก ไปมาเหมือนเม็ดไข่ปลาสีดำมนปนเขียว รูปร่างแปลกตา ดูสวยงาม บางชิ้นทอสีเป็นสีรุ้งอย่างน่าอัศจรรย์เหล็กไหลงอกมักพบตามเพดานถ้ำ บางครั้งฝังอยู่ในดินก็มี แม้ว่าเหล็กไหลงอกจะเป็นเหล็กไหลน้ำรอง แต่ก็มีอิทธิอานุภาพที่สูงส่งเช่นกัน เพราะเป็นของที่มีเทพยดารักษา โดยมากมักเป็นญาณของพระฤาษีที่ทรงตบะแก่กล้าและมีดวง วิญญาณเจ้าป่าเจ้าเขามากมายรักษาอยู่ ทั้งเทพ คนธรรพ์และพญานาคก็มี เพราะเหล็กไหลชนิดนี้ถือเป็นกายสิทธิ์สำคัญอย่างหนึ่งที่จะสามารถ ช่วยบรรเทาภัยพิบัติจากแม่ธาตุที่จะเกิดขึ้นบนโลกนี้ได้

ความน่าอัศจรรย์ของเหล็กไหลงอกคือสามารถงอกหรือขยาย ขนาดตัวเองให้โตขึ้นได้ หาก เป็นองค์เหล็กที่อยู่ตามธรรมชาติแล้วมี การงอกที่เหมือนกับหินงอกหินย้อยทั่วไปก็ดูไม่น่าอัศจรรย์แต่อย่างใด แต่ถ้านำเหล็กไหลงอกหรือโคตรเหล็กไหลงอกนี้มาเลี่ยมใส่ไว้ใน กรอบพลาสติกอย่างมิดชิดแล้วปรากฏว่ายังสามารถขยายขนาด หรืองอกเพิ่มจนดันกรอบให้แตกออกมาได้ย่อมนับเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ อย่างเหลือเชื่อ แต่ก็เป็นเรื่อง1จริง เพราะมีหลายท่านที่เลี่ยมองค์ เหล็กไหลงอก คล้องคอไว้ แล้วต้อง เอาไปเลี่ยมกรอบใหม่ เนื่องจาก องค์เหล็กขยายขนาดและงอกเพิ่มขึ้นจนดันกรอบเก่าแตก แต่ทั้งนี้ การที่องค์เหล็กไหลงอกจะงอกขยายขนาดได้มากเท่าไรนั้นก็ต้อง ขึ้นอยู่กับการปฏิบ้ติตัวของคนผู้นั้นด้วย หากผู้ที่รับเอาองค์เหล็กไป แล้วหมั่นบูชาสวดมนต์ปฏิบัติกรรมฐาน แผ่เมตตาจิตอุทิศส่วนกุศล ให้แก่โคตรเหล็กไหลงอก องค์เหล็กไหลงอกก็จะงอกขยายขนาด จนเห็นได้ชัด นานวันเข้าก็จะดันจนกรอบแตกเป็นที่น่าอัศจรรย์





การงอกของโคตรเหล็กไหลนั้นจะงอกเพิ่มในจุดต่างๆที่ ไม่ซ้ำกัน โดยจุดที่งอกขึ้นมาใหม่จะมีสีสันที่ดูสดใสและสามารถขยาย ขนาดขึ้นไปเรื่อยๆ ส่วนจุดที่งอกนานแล้วจะมีสีเข้ม ยิ่งถ้านานวันไป ความเงามันอาจลดลงได้ และถ้าหากละเลยการสวดมนต์ทำสมาธิแล้ว การงอกอาจใช้เวลานานมาก ตรงกันข้ามกับการได้ปฏิบัติทำสมาธิแผ่เมตตาจิตซึ่งจะมีผลทำให้องค์เหล็กงอกและขยายตัวเร็วขึ้นกว่าหลายเท่าตัว การงอกของโคตรเหล็กไหลงอกนั้นถือว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง เพราะถือว่าหากผู้ใดมีเหล็กไหลงอกซึ่งงอกไปมาสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ แสดงว่าบุคคลผู้นั้นต้องโฉลกหรือกำลังจะมีโชคชีวิตย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นนิจศีล ทำการค้าขายย่อมมีความเจริญรุ่งเรือง นอกจากองค์เหล็กไหลงอกจะสามารถงอกเพิ่มขึ้นได้แล้วยังสามารถเปลี่ยนสี ได้อีกด้วย

เมื่อเอาไปให้ครูบาอาจารย์ที่มีสมาธิจิตส่งพลังจิตประจุลงไป ในองค์เหล็กไหลจะสังเกตได้ว่าองค์เหล็กจะมีการเปลี่ยนสีทันทีจากสีดำ กลายเป็นสีเขียวเข้ม หรือบาง ครั้งอาจทอสี เป็นสีเหลือบรุ้งขึ้นมา การเปลี่ยนสีนี้พบว่ามีขึ้นในเหล็กไหลเกือบทุกชนิดทั้งในเหล็กไหลน้ำหนึ่งและเหล็กไหลน้ำรอง อันแสดงให้เห็นถึงปฏิกิริยาตอบรับ ระหว่างพลังจิตกับองค์เหล็กไหล

โคตรเหล็กไหลงอกมีพุทธคุณหลายอย่าง แต่ที่เด่นชัดคือ ในด้านป้องกันชีวิต ป้องกันภัยจากศาสตราวุธและอุบัติภัยได้ ดัง กรณีตัวอย่างของพรานป่าที่คล้ององค์เหล็กไหลงอกติดตัวไว้ขณะ ออกไปล่าสัตว์ ยังส่งผลให้ยิงปืนไม่ออกทำให้ไม่สามารถล่าลัตว์ได้ ต้องอาราธนาเอาองค์เหล็กออกจากตัวเสียก่อนจึงออกป่าล่าสัตว์ ยิงปืนโดยไม่ด้านไม่ขัด สามารถใข้ปืนยิงได้ตามปกติทุกประการ แสดงให้เห็นว่าเทพที่สถิตย์อยู่กับองค์เหล็กนั้นไม่ต้องการให้ผู้ใดทำ

บาปและผิดศีลข้อปาณาติบาต เพราะองค์เหล็กย่อมคุ้มครองชีวิต ทุกชีวิตเสมือนกันหมดนอกจากท่านจะคุ้มครองเราแล้วท่านยังมีเมตตา จิตสั่งสอนเราไม่ให้ไปเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น นอกจากนี้โคตรเหล็กไหล งอกยังดีทั้งด้านเมตตา มหานิยม โชคลาภ สามารถป้องกันภูตผีปีศาจ และคุณไสยได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังกันงูเงี้ยวเขี้ยวขอและสัตว์มีพิษ ต่าง ๆ และหากใครถูกแมงปอง ตะขาบ หรือแมลงสัตว์กัดต่อยก็ สามารถฝนด้านหลังของเหล็กไหลงอกแล้วนำผงที,ได้มาทาแผล เพราะ นอกจากจะช่วยดูดพิษจากบาดแผลแล้วยังทำให้หายปวดได้อีกด้วย

โคตรเหล็กไหลงอกจะเสพน้ำผึ้งเป็นอาหาร เมื่อหยดน้ำผึ้ง ลงไปบนโคตรเหล็กไหลที่ยังคงมีพลังชีวิตอยู่ ไม่นานนักนํ้าผึ้งที่ หยดลงไปจะเปลี่ยนเป็นสีขาวดุจน้ำนมและแห้งไปในที่สุดอย่าง น่าอัศจรรย์มาก องค์โคตรเหล็กอื่นๆ ก็เสพน้ำผึ้งเช่นกัน แม้จะไม่ได้ แสดงปาฏิหารย์ให้เห็น แต่น้ำผึ้งก็จะหมดรสหวานไป โคตรเหล็กไหล เป็นเหล็กไหลชั้นรอง ไม่กินฟอสฟอรัสและดินปืน แต่ก็สามารถกิน พลังงานไฟฟ้าได้เหมือนกัน ซึ่งหากว่า เป็นโคตรเหล็กไหลงอกก้อนใหญ่ หรือมีโคตรเหล็กรวมอยู่ที่เดียวกันมาก ๆ ก็จะเกิดปฏิกิริยากับไฟฟ้า ภายในบ้านได้

โคตรเหล็กไหลงอกจึงเป็นกายสิทธิ์สำคัญอีกอย่างหนึ่งทื่พอ พบได้ในปัจจุบัน และมีครูบาอาจารย์หลายท่านนิยมเอามวลสารของ โคตรเหล็กไหลงอกมาผสมทำเป็นพระเครื่องทรงอิทธิฤทธิ์

โดย: Marine    เวลา: 2015-8-14 21:24
แร่เหล็กไหลเปียก[size=10.8000001907349px]

[size=13.1999998092651px]เหล็กไหลเปียกเป็นเหล็กไหลอีกชนิดหนึ่งที่หายากและไม่ค่อยพบเห็น เหล็กไหลเปียกจะมีความใกล้เคียงกับเหล็กไหลเงินยวงหรือเหล็กไหลชีปะขาว คือมีผิวพรรณวรรณะเป็นสีเงินยวง แต่สามารถกลับกลอกสีผิวตัวเองได้จากขาวเป็นดำและจากดำเป็นขาว คล้ายโลหะจำพวกเงินที่เมื่อโดนอากาศแล้วจะทำให้สีผิวเปลี่ยน แต่เหล็กไหล เปียกยิ่งอัศจรรย์กว่านั้นเพราะโลหะจำพวกเงินเมื่อเปลี่ยนสีผิวจาก ขาวเงินยวงเป็นสีออกดำแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นสีเดิม ได้เอง ต่างกับเหล็กไหลเปียกที่สามารถเปลี่ยนสีผิวตนเองให้กลับไป กลับมาได้ เหล็กไหลเปียกหรือที่นิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า เหล็กเปียก นี้มีอิทธิฤทธิ์เป็นที่น่าอัศจรรย์คือสามารถเรียกหยดน้ำในอากาศมารวมตัวกันได้ ไม่ว่าเหล็กเปียกจะอยู่ที่ไหนก็จะมีความชุ่มชื้นที่นั่นดุจเดียว กับเหล็กไหลน้ำ เหล็กเปียกมักพบเป็นก้อน มีสัณฐานดั่งก้อนแร่ใต้ดิน

เท่าที่บันทึกไว้ ครูบาโพนสะเม็กซึ่งเป็นพระอริยเจ้าทางฝังลาวเป็น ผู้ที่ค้นพบเหล็กไหลเปียกจากการนั่งทางในแล้วนิมิตเห็นแร่กายสิทธิ์ ระเภทนี้ ท่านจึงได้นำเอาแร่ชนิดนี้มาหลอมแล้วนำมาเคี่ยวด้วยวิชา อาคมและได้นำเหล็กเปียกมารีดเป็นแผ่น หลังจากนั้นนำไปบรรจุไว้ ที่ยอดฉัตรของพระธาตุพนม ด้วยเชื่อว่ามีอานุภาพทางป้องกันฟ้าผ่า อัคคีภัยและบันดาลความร่มเย็นเป็นสุขได้ฤทธิ์อำนาจจากเหล็กไหลเปียกทำให้หัวไม้ขีดยุ่ย ดินปืนเปียก ไม่อาจจุดระเบิดหรือติดไฟขึ้นมาได้ ซึ่งคล้ายคลึงกับฤทธิ์อำนาจของ เหล็กไหลน้ำ และเหล็กไหลชีปะขาว เพียง แต่มีลักษณะรูปพรรณสัณฐาน ที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ฤทธิ์ของเหล็กเปียกจะก่อให้เกิดความชื้น ขึ้นทุกครั้ง จะเห็นได้จากการที่พระพุทธรูปบางองค์มีนาออกจาก พระเคืยรซึ่งสันนิษฐานได้ว่าเกิดขึ้นจากการนำเอาแร่เหล็กเปียกชนิด นี้หล่อหลอมลงไปในเนื้อธาตุที่ใช้ในการสร้าง ทำให้สามารถเรียก ละอองนั้าในอากาศมารวมตัวกันจนกลายเป็นนาอยู่ภายในเคืยรของ พระพุทธรูป เช่น พระพุทธรูปที่วัดนาอู จังหวัดแม่ฮ่องสอน หรือ พระพุทธรูปที่วัดตูม จังหวัดอยุธยา เป็นต้น



โดย: Marine    เวลา: 2015-8-14 21:25
แร่เหล็กไหลน้ำ[size=10.8000001907349px]

[size=13.1999998092651px]เหล็กไหลน้ำ

[attach]11847[/attach]
เหล็กไหลน้ำ


เหล็กไหลน้ำเป็นเหล็กไหลที่มีลักษณะเป็นก้อนสีดำนิลอม เขียว บางก้อนอาจเป็นสีน้ำตาลแดง บางท่านเรียกว่า "เหล็กไหลตาน้ำ" เหล็กไหลชนิดนี้มักพบตามพื้นดินบริเวณลำธารที่มีหมอกปกคลุม มีตะไคร่น้ำขึ้นอยู่ทั้งปี ซึ่งมีความชุ่มชื้นเสมอๆ เหล็กไหลน้ำเป็น เหล็กไหลที่พบได้ยากอีกชนิดหนึ่ง โดยมากไม่ค่อยมีใครรู้จักนัก ในสมัยก่อนชาวขอมมักแสวงหาเหล็กไหลน้ำและนำมาเคี่ยวด้วยอาคม เพื่อหล่อหลอมเป็นเทวรูปที่มีความศักดิ์สิทธิ์น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง

เหล็กไหลน้ำจะมีอำนาจในการดับพิษไฟทุกชนิด นำพาความ ร่มเย็นอุดมสมบูรณ์มาสู่ผู้บูชา สามารถบันดาลให้ละอองน้ำปกคลุม ทั่วบริเวณนั้นได้ อีกทั้งยังมีฤทธิ์ในการล่องหนหายตัว เมื่อผู้ใดพบ แล้วก็ให้รีบเก็บไว้ แต่หากเป็นผู้ที่มีอาคมในการล้อมแร่ก็ให้บอกกล่าว แก่เจ้าป่าเจ้าเขาก่อน ต่อจากนั้นให้ผูกล้อมแร่เอาไว้ แล้วอธิษฐานให้ ตัวแร่ขยายขนาดโตขึ้นและงอกขึ้นให้ใหญ่กว่าเดิม เมื่อเวลาผ่านไป จะพบว่าแร่เหล็กไหลน้ำดังกล่าวจะขยายขนาดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์

แร่เหล็กไหลน้ำสามารถพบได้ในหลายแห่ง แต่เหล็กไหลน้ำ ที่เคยพบบริเวณลำธารในแถบภูเขาควายนั้นเป็นเหล็กไหลนาที่มีวรรณะ เป็นสีดำ สัณฐานกลม ล่อแม่เหล็กติดเหล็กไหลน้ำที่ภูเขาควายนี้ มีอานุภาพในทางดับพิษไฟได้เป็นอย่างดี สามารถดับได้แม้กระทั่งพิษ จากน้ำกรดที่มีความเข้มข้นสูงถึง 98% ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรม หากกำ เหล็กไหลนั้นไว้ในมือแล้วจุ่มมือลงไปในน้ำกรดดังกล่าวจะมีความรู้สึก แต่เพียงอุ่นๆ ที่มือเท่านั้นหรือแม้กระทั่งจุ่มมือลงไปในน้ำเดือดๆ ก็ตาม ก็จะรู้สึกเพียงแค่อุ่น ๆ ที่มือ จะไม่รู้สึกร้อนหรือแสบพองแต่ประการใด และไม่ถูกกรดกัดมือหรือถูกน้ำร้อนลวกแต่อย่างใด เพราะรัศมีจากเหล็กไหลน้ำจะแผ่คุ้มครองเราเอาไว้เหล็กไหลน้ำจึงนับเป็นหนึ่งในเหล็กไหล ที่มีฤทธิ์อำนาจอันน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังเคย





พบแร่เหล็กไหลน้ำที่ถ้ำเพียงดินจังหวัดหนองคายซึ่งเป็นชนิดที่ล่อแม่เหล็กติด เช่นกันมีลักษณะสีดำปูดโปนไปมา และมีอานุภาพเช่นเดียวกันกับเหล็กไหลน้ำที่พบในลำธารบนภูเขาควายทุกอย่าง บางท่านจัดลำดับเหล็กไหลน้ำไว้ว่าเป็นเหล็กไหลชั้นยอดในอันดับต้นๆ โดยอยู่ในอันดับที่ 4 เหล็กไหลน้ำไม่นิยมเสพน้ำผึ้ง แต่จะชอบเสพน้ำมะพร้าว แต่หากไม่สะดวกจะใช้น้ำผึ้งแทนน้ำมะพร้าวก็ไม่เป็นไร ญาณที่พบใน เหล็กไหลน้ำโดยมากมักเป็นจำพวกพญานาค และคนธรรพเป็นหลัก



โดย: Marine    เวลา: 2015-8-14 21:26
เหล็กไหลชีปะขาวหรือเหล็กไหลเงินยวง  


[attach]11848[/attach]
เหล็กไหลชีปะขาวหรือเหล็กไหลเงินยวง



เหล็กไหลชนิดนี้มักพบในที่เย็นจัด เช่นในแถบประเทศเนปาล ธิเบต และในแถบที่มีหิมะปกคลุม จึงไม่ค่อยพบในประเทศไทย เหล็กไหลชนิดนี้มีสีสันที่แปลกไปกว่าเหล็กไหลโดยทั่วไปเพราะมีสีขาวเงินยวงเหมือนปรอท เหมือนโลหะแวววาว บางชิ้นผิวพรรณดูคล้าย เกล็ดงูจึงเรียกว่า "นางพญางูขาวหรือพญางูเผีอก" จะมีอิทธิฤทธิ์ ทางด้านมายาภาพเช่นกัน และสามารถปรับอุณหภูมิรอบตัวให้ เหมาะสมแก่ผู้พกพาได้ เด่นในทางล่องหนหายตัว เป็นแคล้วคลาด จากภยันตรายทั้งปวง เหล็กไหลประเภทนี้ไม่ค่อยชอบเสพน้ำผึ้ง แต่ชอบอาบแสงจันทร์

เหล็กไหลชีปะขาวหรือเหล็กไหลเงินยวงเป็นเหล็กไหลที่ นักบวชทางเหนือของประเทศไทยและพวกลามะธิเบตนิยมหามาพกติดตัวไว้เป็นธาตุกายสิทธิ์ที่ใช้ในการปกป้องคุ้มครองและใช้ในการแสดง ฤทธิ์ เช่น ใช้ทำน้ำมนต์ หรือเป็นเครื่องเพิ่มกระแสจิตให้กับตัวเอง เหล็กไหลชีปะขาวนี้จะล่องหนหายตัวไปต่อเมื่อผู้ที่เป็นเจ้าของ ประพฤติตัวไม่เหมาะสม หรือผู้นั้นถึงคราวหมดอายุขัย




เนื่องจากเหล็กไหลชีปะขาวเป็นเหล็กไหลอีกชนิดหนึ่งที่หาดู ได้ยาก จึงมีน้อยคนที่จะรู้จักหรือได้เห็น อีกทั้งไม่ค่อยมีผู้ใดมีไว้ใน ครอบครอง คนทั่วไปจึงมักเข้าใจว่าเหล็กไหลต้องมีสีดำเท่านั้น รูปพรรณสัณฐานทั่วไปของเหล็กไหลชีปะขาวจะมีลักษณะยาวมนรื ทรงหนำเลี้ยบคล้ายเหล็กไหลที่ได้จากการตัด แต่เหล็กไหลชนิดนี้ สามารถเก็บมาเฉย ๆ ได้เลยโดยที่ไม่ต้องใช้วิธีการตัดเช่นเหล็กไหล ทั่วๆ ไป และบางครั้งยังพบที่มีลักษณะเป็นก้อนฝังอยู่ในใต้ดินด้วยเช่นกัน ซึ่งต้องอาศัยการตรวจดูโดยทางในจึงจะสามารถรู้ได้ โดยมากเหล็กไหลชนิดนี้มักมีญาณของชีปะขาวหรือคนธรรพ์ดูแลรักษาอยู่

โดย: Marine    เวลา: 2015-8-14 21:37
เหล็กไหลเพลิง  

[attach]11849[/attach]
เหล็กไหลเพลิง


เหล็กไหลเพลิงเป็นเหล็กไหลที่มีอานุภาพใกล้เคียงกับ เหล็กไหลโกฏิปีเช่นกัน แต่มีรูปพรรณสัณฐานเป็นสีแดงเพลิง เนื่องจาก เหล็กไหลเพลิงถือว่าเป็นเหล็กไหลที่มีเตโชธาตุในตัวมากที่สุด ในบรรดาเหล็กไหลชนิดอื่น ๆ โดยทั่วไป และหาก เป็นเหล็กไหลเพลิง ชั้นสุดยอดจะมีสีแดงคล้ายสีเลือด เนื้อใสคล้ายเนื้อแก้ว ส่วนเหล็กไหล เพลิงชั้นรองๆ ลงไปเนื้อจะมีสีแดงแบบอิฐมอญ ส่วนผิวจะคล้ายโลหะ

เหล็กไหลเพลิงมีอิทธิพลานุภาพแปลกไปกว่าเหล็กไหลเจ้าป่า คือเหล็กไหลเพลิงมีความสามารถในการสร้างมายาภาพเพื่อป้องกัน ตัวเอง ตามตำราได้กล่าวไว้ว่าเหล็กไหลเพลิงจะแสดงมายาให้แก่ผู้ ที่พกพาในยามเมื่อถูกศัตรูทำร้าย เช่นว่าทำให้ศัตรูเห็นว่ามีเลือดออก หรือมีเลือดสาดตามร่างกายอย่างน่ากลัว จนศัตรูเข้าใจว่าตายไปแล้ว เพื่อที่ศัตรูจะได้ไม่หวนกลับมาทำร้ายอีก แต่เหล็กไหลเพลิงเป็นเหล็ก ไหลที่ไม่ได้รับความนิยมในการนำมาฝังลงในร่างกาย เนื่องจากว่ามายา ของเหล็กไหลเพลิงยังทำให้มองเห็นว่าผู้ที่พกพาดูไม่มีเงาหัวบ้าง








ดูเหมือนเดินไม่ติดดินบ้าง หรือบางครั้งดูเหมือนล่องหนหายตัวได้ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ผู้อื่นเข้าใจว่าผู้นั้นเป็นภูตผีปีศาจ ผู้ที่จะฝังเหล็กไหลเพลิงลงในร่างกายจึงมักเป็นฤาษีชีไพรที่ไม่คิดยุ่งเรื่องทางโลกแล้วเท่านัน

อำนาจของเหล็กไหลเพลิงที่โดดเด่นอีกประการหนึ่งคือ สามารถปรับอุณหภูมิของอากาศรอบตัวให้พอเหมาะพอดีกับผู้ที่พกพา ป้องกันไข้ป่า กันการกระทำยํ่ายีด้วยคุณไสยมนต์ดำได้ และดูเป็นสง่า ราศีแก่ผู้พบเห็น เหล็กไหลเพลิงชอบเสพน้ำผึ้ง และมีอิทธิฤทธิ์มายา หลายหลาก ถึงขั้นที่มีคำกล่าวว่าหากเอาค้อนทุบเหล็กไหลเพลิง จนละเอียดแล้วเอาผ้าห่อไว้ รุ่งเช้าเหล็กไหลเพลิงจะสามารถรวม ตัวกันเป็นก้อนขึ้นมาใหม่ตามเดิมได้ จึงเรียกเหล็กไหลเพลิงอีก อย่างหนึ่งว่า "เหล็กประสานกาย"

โดย: Marine    เวลา: 2015-8-14 21:38
แร่เหล็กไหลเจ้าป่า[size=10.8000001907349px]

[size=13.1999998092651px]
[attach]11850[/attach]
เหล็กไหลเจ้าป่า


เหล็กไหลเจ้าป่า เหล็กไหลเจ้าป่าเป็นเหล็กไหลที่มีอิทธิฤทธิ์ใกล้เคียงกับ เหล็กไหลโกฏิปี โดยทั่วไปจะพบเหล็กไหลเจ้าป่าในป่าลึกตามถ้ำที่มี ธารน้ำลอดตลอดสาย และเป็นถ้ำที่มีความเย็นมาก ๆ เหล็กไหล เจ้าป่าจะฝังตัวอยู่ในหินตามถ้ำ มีลักษณะเป็นดอกบัวตูมที่มีรูปพรรณ สัณฐาน'ทั่ว1ไปเป็นสีดำสนิทเหมือนกับนิลหรือยางตังเมที่ข้นจัด

ในการตัดเหล็กไหลเจ้าป่าหากเป็นเหล็กไหลเจ้าป่าชั้นยอดจะมี ลักษณะเฉพาะของการไหลตัวที่คล้ายกับเหล็กไหลโกฏิปี คือมีการยืดตัว คล้ายใยบัวเช่นกัน แต่หากเป็นเหล็กไหลเจ้าป่าชั้นรองลงมา เมื่อ เหล็กไหลเจ้าป่ายืดตัวการยืดตัวของเหล็กไหลเจ้าป่าจะมีลักษณะคล้าย ตังเมข้นๆไหลตัวออกมาจากซอกหิน

หลังจากที่ใช้เทียนอาคมลนแล้วปล่อยให้เหล็กไหลเจ้าป่า หยดตัวลงมาในบาตรบรรจุนํ้าผึ้งที่เตรียมไว้สำหรับรองรับก็จะได้ เหล็กไหลที่มีลักษณะเป็นเม็ดกลม ๆ สีดำสนิท ซึ่งนิยมเรียกเหล็กไหล ชนิดนี้ว่า "พญาสมิงเหล็ก" และเหล็กไหลชนิดนี้มักมีญาณของเจ้าปา เจ้าเขาดูแลรักษาอยู่จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า"เหล็กไหลเจ้าป่า"





ในการตัดเหล็กไหลเจ้าป่าต้องระวังอย่าให้องค์เหล็กไหลตกลงบนพื้นดินอย่างเด็ดขาด เพราะเหล็กไหลจะหายไปทันทีเนื่องจากถูกพวกกายทิพย์นิกายต่างๆ เช่น คนธรรพ์ ยักษ์พญานาคแย่งชิงเอา เหล็กไหลไปเหล็กไหลเจ้าป่ามีอิทธิฤทธิ์เทียบเท่าผู้ที่มีอภิญญา 5 เช่นกัน เข้าข่ายของกายสิทธิ์เเต่พลังอำนาจจะไม่สูงส่งเท่าเหล็กไหลโกฏิปีกล่าวคือ เหล็กไหลโกฏิปีจะมีความเข้มข้นสูงกว่า แต่ก็สามารถเทียบเคียงกันได้ เพราะในบรรดาสายพันธุ์เหล็กไหลนั้น เหล็กไหลเจ้าป่านับว่าเป็น สายพันธุ์ที่ใกล้เคียงกับเหล็กไหลโกฏิปีมากที่สุด ในบรรดาสายพันธุ์ เหล็กไหลจึงจัดเหล็กไหลโกฏิปีเป็นอันดับหนึ่ง และรองลงมาก็คือ เหล็กไหลเจ้าป่านั่นเอง

อิทธิฤทธิ์ของเหล็กไหลเจ้าป่าจึงคล้ายคลึงกับเหล็กไหลโกฏิปี คือ สามารถกินดินปืน กินฟอสฟอรัส ระงับพิษร้อนจากไฟและน้ำกรด ทั้งปวงได้ ทำให้ใม้ขีดจุดไฟไม่ติดทั้ง ๆ ที่หัวไม้ขีดยังแห้ง ๆ ไม่ได้ชื้นแต่อย่างใด อีกทั้งตัวของเหล็กไหลเจ้าป่าเองยังสามารถล่องหนหายตัว จากไปได้ จึงนับได้ว่าเหล็กไหลเจ้าป่าเป็นอีกหนึ่งของศักดื้สิทธิ์ตาม ธรรมชาติที่เป็นรองแค่เหล็กไหลโกฏิปีเท่านั้น



โดย: Marine    เวลา: 2015-8-14 21:39
แร่เหล็กไหลโกฏิปี


เหล็กไหลโกฏิปีถือว่าเป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากที่สุดและทรงอิทธิฤทธิ์มากที่สุด ซึ่งนอกจากจะเป็นเหล็กไหลที่ตัดเอามาได้ยากแล้ว ยังเก็บรักษาได้ยากที่สุดในบรรดาเหล็กไหลทั้งปวง เหล็กไหลโกฏิปีจะฝังตัวอยู่ในฝักหินตามหน้าเพดานถ้ำ มีลักษณะเป็นดอกบัวตูมมีผิวพรรณวรรณะสีเขียวเข้มอมดำ เมื่อต้องแสงไฟจะเลื่อมพรายประกายรุ้งดูคล้ายว่าสามารถเปลี่ยนสีในตัวเองไปได้เรื่อยๆ อย่างน่า อัศจรรย์ จากสีเขียวเข้มสามารถกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มหรือทอสีออกเป็นเขียวอมเหลืองทอง หรือสีแสดแดงอม เหลือง เหลือบ เขียว เช่นเดียว กับสีของปีกแมลงทับ ครูบาอาจารย์ท่านจึงเรืยกเหล็กไหลชนิดนี้ว่าเหล็กไหลปีกแมลงทับตามลักษณะสีของเหล็กไหลที่เหมือนกันกับสีของปีกแมลงทับนั่นเอง

[attach]11851[/attach]
เหล็กไหลปีกแมลงทับ

เหล็กไหลปีกแมลงทับเป็นเหล็กไหลที่มีอิทธิฤทธิ์สมบูรณ์พร้อม ถือเป็นสุดยอดของตำนานเหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์อันทรงฤทธิ์ สามารถล่องหนหายตัวจากไปได้สามารถทะลุทะลวงวัตถุธาตุทุกชนิด สามารถเสด็จขึ้นไปบนนภากาศได้ สามารถดับพิษไฟ กินฟอสฟอรัส และดินปีนให้เสื่อมอานุภาพโดยไม่ทำให้เกิดความชื้นแต่อย่างใด เป็นมหาอุดคงกระพัน กันเขี้ยวงา ภูตผีปีศาจทุกชนิด กินพลังงานไฟฟ้าได้ ผู้ที่พกเหล็กไหลโกฏิปีหรือมีเหล็กไหลชนิดนี้เท่ากับว่ามีมหาโยคี รักษาอยู่กับตัว เพราะเหล็กไหลชนิดนี้เทียบได้กับผู้ที่มีอิทธิวิธีอภิญญา 5 นั่นเอง การตัดเหล็กไหลโกฏิปีนั้นทำได้ยากมาก ยามที่เหล็กไหลโกฏิปี ไหลออกมานั้นจะมีลักษณะเฉพาะคือตัวเหล็กไหลที่ยืดออกมานั้นจะมี ลักษณะบางเรียวเล็กคล้ายใยบัวมีความแววเป็นประกาย แต่กลับไม่ สามารถตัดให้ขาดได้ด้วยของมีคมตามธรรมดาทั่วไป ต้องใช้ของ อาถรรพณ์เท่านั้นและหากไม่สามารถตัดได้สำเร็จแล้วผู้ตัดก็อาจจะถูก เส้นใยของเหล็กไหลโกฏิปีตัดร่างกายให้ขาดออก การตัดเหล็กไหล ชนิดนี้จึงนับว่าเป็นการเสี่ยงอันตรายมากที่สุด



ที่มา [size=13.1999998092651px]http://thaimetalamulet.blogspot.com/search/label/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A0%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A5

โดย: Marine    เวลา: 2015-8-15 21:06
เหล็กไหล.. อัศจรรย์หินมีจิตวิญญาณครอง[size=10.8000001907349px]

[size=13.1999998092651px][attach]11852[/attach]
เหล็กไหลคืออะไร ในความเป็นจริงแล้วเหล็กไหลก็คือธาตุชนิดหนึ่งในโลก ตัวของเหล็กไหลจริงๆนั้นไม่อาจสามารถระบุได้ว่ามันเป็นธาตุอะไรกันแน่ ทั้งนี้เพราะเหล็กไหลนั้นมีหลายเผ่าพันธุ์ บางชนิดนั้นมีลักษณะเป็นโลหะธาตุแต่ก็ไม่ใช่เหล็ก บางชนิดนั้นมีลักษณะเป็นเนื้อหินไม่ใช่โลหะ ชาวบ้านจะเรียกกันว่า หินไหน บางชนิดนั้นมีลักษณะเป็นเนื้อแก้ว มีทั้งสีเขียว สีดำ บางชิ้นสีออกเหลือง ผู้รู้จะเรียกกันว่า มณีนพรัตน์ แต่เป็นความหมายของเหล็กไหล ไม่ใช่เพชรพลอยอย่างที่เข้าใจกัน
เราสามารถสรุปเหล็กไหลว่าคืออะไรได้ดังนี้ เหล็กไหลคือสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งที่มีจิตวิญญาณ มีชีวิตขั้นพื้นฐานของตนเอง และเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสังขารร่างกายอยู่ในรูปร่างของ วัตถุธาตุบางอย่าง มีอยู่หลายชนิดหลายเผ่าพันธุ์ในธรรมชาติ



โดย: Marine    เวลา: 2015-8-15 21:19
ที่อยู่ของเหล็กไหล 
[attach]11854[/attach]
ที่อยู่เหล็กไหล
เหล็กไหลแท้ๆจะมีเนื้อธาตุที่มีลักษณะคล้ายกับเนื้อหินอุลกมณีหรือสะเก็ดดาวถ้าเป็นเหล็กไหลชั้นยอดเนื้อจะมีความใส คล้ายแก้ว แต่มีความเข้มข้นสูงมากจนแสงไม่อาจส่องผ่านทะลุได้ บางท่านจึงมักเรียกเหล็กไหลว่า "หินไหล" แต่กระนั้นเหล็กไหล ก็มีหลายชนิดหลายระดับ บ้างก็มีเนื้อคล้ายโลหะธาตุ บ้างก็มีลักษณะ เป็นแร่เหล็กอย่างหนึ่ง บางชนิดก็มีกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าอยู่ภายในตัว ซึ่งคุณสมบัติต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นที่มาของคำว่า "เหล็กไหล" ทั้งสิ้น และนอกจากนี้ด้วยความแข็งของเนื้อธาตุที่แข็งเปรียบได้กับเหล็ก แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถกลับเนื้อตัวให้อ่อนนุ่มลื่นไหลได้ ราวกับของเหลวจึงเรียกธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ว่า "เหล็กไหล"

แร่เหล็กไหลนั้นเป็นแร่ชนิดพิเศษที่ไม่ปรากฏพบธาตุนี้อยู่ บนโลกของเรา จากผลการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์พบว่าแร่ เหล็กไหลมีลักษณะทางกายภาพคล้ายกับสะเก็ดดาวตก ซึ่งเป็นวัตถุธาตุที่เดินทางมาจากนอกโลกอีกทั้งแร่เหล็กไหลก็ไม่สามารถจัดอยู่ในกลุ่มของโลหะและอโลหะได้ และนอกจากนี้ยังพบว่าแร่เหล็กไหลนั้นมีคุณสมบัติที่เหนือกว่าธาตุใดๆในโลก โดยที่ไม่มีธาตุชนิดใดสามารถมาเปรียบเทียบได้ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า "เหล็กไหล" คือธาตุกายสิทธิ์ที่มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนธาตุใดๆในโลก เหล็กไหลมีหลายชนิดและหลายรูปพรรณสัณฐานแต่เหล็กไหล ชนิดที่ดีที่สุดนั้นจะมีรูปร่างคล้ายแท่งแก้วแต่มีลักษณะเรียวมนมีสีดำอมเขียวปีกแมลงทับ และมีคุณสมบัติคือสามารถทำตัวเอง ให้แข็งและสามารถกลับตัวเองให้อ่อนนุ่มได้ สามารถเสพพลังจากน้ำผึ้งด้วยการดึงส่วนที่เป็นพลังของกลิ่น สี และรสของน้ำผึ้งจนทำให้น้ำผึ้งที่ผ่านการเสพของเหล็กไหลมีคุณสมบัติที่เปลี่ยนไปทั้งสี กลิ่นและรส นอกจากนั้นแร่เหล็กไหลยังมีกระแสไฟฟ้าชนิดเดียวกันกับกระแสไฟฟ้าที่เกิดจากคลื่นสมองของมนุษย์ขณะที่กำลังอยู่ในสมาธิจิตอันเป็นกระแสไฟฟ้าอย่างละเอียดวังวนไปมาอยู่โดยรอบเหล็กไหล

ราวกับว่าเหล็กไหลมีพลังอำนาจจิตที่สามารถสื่อสารติด ต่อทางจิตกับมนุษย์ได้ธรรมชาติของเหล็กไหลโดยทั่วไปมักชอบอยู่ตามถ้ำที่มี ความเย็นและมีความชื้นสูง บางครั้งเป็นถ้ำที่ไม่มีทางเข้าออกหรือที่เรียกถ้ำในลักษณะนี้ว่า "ถํ้าไข่ในหิน" คือเป็นถ้ำที่อาจจะเกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลก ทำให้กลายเป็นโพรงขนาดใหญ่อยู่ใจ กลางภูเขา โดยทั่วไปถ้ำในลักษณะนี้จะถูกค้นพบได้ด้วยความบังเอิญเท่านั้น เช่น เกิดเหตุแผ่นดินไหวหรือจากการระเบิดภูเขาแล้วไปพบช่องทางเข้าถ้ำโดยบังเอิญ หรือบางครั้งก็เป็นถ้ำใต้ดินที่มีโพรงลึกลงไปเป็นกิโล ถ้ำอันเป็นที่อาศัยของเหล็กไหลจะมีลักษณะพิเศษ คือมักจะมีหมอกลงปกคลุมตลอดเวลาลักษณะของหมอกทีลงปกคลุมถ้ำนั้นจะเป็นหมอกที่หนาทึบและอยูเรี่ยพื้นดินหรือที่ เรียกกันว่า "หมอกหนัก"บางสถานที่จะได้ยินเสียงครางเหมือนฟ้าร้อง เป็นระยะๆ หรือเมื่อเข้าไปในถ้ำจะได้ยินเสียงคราง"ฮึ่มๆ"อย่าง เช่น ถ้ำเหล็กไหลที่เขาอึมครึมอันเป็นถ้ำเหล็กไหลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่ปรากฏว่ามีเสียงฟ้าคำรามรอบ ๆ เขาอยู่ตลอดเวลา ความแปลกอีกอย่างคือเหล็กไหลจะดูดพลังงานไฟฟ้าทุกชนิดไม่ว่า จะเป็นไฟฉาย โทรศัพท์มือถือ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ก็ตาม ดังนั้น การจะเข้าไปในถาที่มีเหล็กไหลจึงใช้ได้เฉพาะแสงไฟจากเปลวเทียน หรือคบเพลิงเท่านั้น


[attach]11853[/attach]สิ่งที่น่าสังเกตเกี่ยวกับธรรมชาติของเหล็กไหลคือบริเวณ ก้อนหินที่เหล็กไหลอาศัยอยู่นั้นมักมีลักษณะที่แตกต่างไปจากหิน ทั่วไป ซึ่งเชื่อกันว่าเกิดจากรังสีของเหล็กไหลที่ทำปฏิกิริยากับหิน ก้อนดังกล่าว เป็นผลให้โขดหินหรือก้อนหินที่เหล็กไหลเกาะอยู่เป็น เวลานานนั้นมีลักษณะบูดเบี้ยวคล้ายดั่งกล้ามเนื้อหรือแปรสภาพ ไปเป็นรังเหล็กไหลในที่สุดธรรมชาติของเหล็กไหลอีกประการหนึ่งทีน่าสนใจคือ บริเวณใดก็ตามที่มีเหล็กไหลช่อนตัวอยู่จะไม่มีผู้ใดสามารถฆ่าลัตว์ ตัดชีวิตในบริเวณนั้นได้เลย เช่น ถ้าพรานป่าเอาปืนไปยิงเก้ง กวาง ในระยะรัศมีทีมีเหล็กไหลอาศัยอยู่ จะปรากฏว่าปืนจะยิงไม่ออก เป็นมหาอุดหยุดกระสุนอย่างเหลือเชื่อ หรือแม้ว่าพรานป่าจะใช้ธนู ลูกธนูก็จะหักหรือสายธนูขาดจนเป็นที่น่าอัศจรรย์ ดังนั้นจึงเห็นได้ ว่าธรรมชาติของเหล็กไหลนั้นเป็นสิ่งที่รักสงบและไม่ชอบการฆ่าฟัน


ผู้ที่พบเห็นเหล็กไหลหรือรู้จักธรรมชาติที่แท้จริงของเหล็กไหลได้จึงมักเป็นผู้ที่ได้เข้าไปปฎิบัติสมาธิภาวนาอยู่ในป่าลึกหรือตามถ้ำที่อยู่ห่างไกลผู้คนเหล็กไหลเป็นธาตุที่มีพลังอันเร้นลับอยู่ภายใน โดยเฉพาะ อย่างยิ่งพลังอำนาจแห่งจิตที่สามารถหยั่งรู้ความคิดของมนุษย์เราได้ ดังนั้นผู้ที่สามารถครอบครองธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลได้จึงต้องเป็น ผู้ที่มีความสามารถในการติดต่อสื่อสารทางจิต หรือเป็นผู้ที่มีพลังจิต พลังสมาธิที่แก่กล้า นอกจากเหล็กไหลจะสามารถรับความคิดของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นคนหรือเป็นสัตว์ว่ามีความคิดอย่างไรกับตนแล้ว เหล็กไหลยังสามารถแสดงพลังตอบโต้ความคิดเหล่านั้นได้ด้วยการสร้างภาพนิมิตหรือสร้างภาพลวงตาให้เห็นเป็นสิ่งต่างๆ ได้ตามที่ตนต้องการอีกด้วย

นอกจากนี้เหล็กไหลยังมีพลังงานที่มีรังสีอันมีคุณสมบัติ ที่แปลกออกไปจากคลื่นพลังงานทั่วไปคือสามารถเป็นได้ทั้งคลื่น พลังงานในด้านทำลายล้างและยังสามารถเป็นคลื่นพลังงานที่ช่วย ในการรักษาเยียวยาได้อีกด้วย ความน่าอัศจรรย์ของเหล็กไหล ยังมีอีกมากมาย แต่จากที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี้ก็คงพอทำ ให้มองเห็นภาพของธรรมชาติความเป็นเหล็กไหลแร่กายสิทธิ์ ได้พอสมควร

โดย: Marine    เวลา: 2015-8-17 22:26
[attach]11867[/attach]

เหล็กไหลวัชรธาตุ หรือ เหล็กนิพพาน

---วัชรธาตุ หรือเหล็กนิพพาน หยดน้ำฟ้าชนิดแข็ง เป็นธาตุที่ชักชวนผู้ที่เป็นเจ้าของให้ฝักใฝ่ในธรรมะ ชอบที่จะสร้างบุญกุศล สวดมนต์ ไหว้พระและฝึกฝนปฏิบัติทางจิต เช่น น้อมจิตให้ชอบสวดมนต์  นั่งสมาธิ ประพฤติปฏิบัติธรรม จนเข้าสู่กระแสธรรมแห่งวิปัสสนาญาณไปในที่สุด จนทำให้ผู้ที่ครอบครอง รู้แจ้งเห็นจริงต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ตามบุญบารมีของผู้ที่เป็นเจ้าของไปโดยปริยาย

---วัชรธาตุ-หยดน้ำฟ้า หรือ เหล็กนิพพานนั้น ชอบที่จะเข้าไปบั่นทอนอาสวะกิเลสที่กำลังเกิดขึ้นของผู้คนที่อยู่รอบข้าง  ผู้ที่อยู่ใกล้ตัวให้สภาวะแห่งกิเลสนั้น ค่อย ๆ ดับลงไป ทำให้ปัญญาต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นทั้งในหน้าที่การงานและครอบครัว หรือผู้ที่อยู่ใกล้ชิดหมดปัญหาลงไป พูดจากันเข้าใจ และทำให้จิตไม่คิดเกินใจ ไร้อารมณ์แห่งการย้ำคิดย้ำทำ เพราะธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ มีเมตตา คุ้มครอง แคล้วคลาด คงกระพัน โชคลาภ มีบารมีในทุก ๆ ด้าน 1000% สุดแล้วแต่ผู้ที่ครอบครองจะอธิษฐาน


----เพราะธาตุชนิดนี้เป็นเพียงธาตุชนิดเดียว ที่เป็นยอดแห่งพุทธคุณ  ธรรมคุณ สังฆคุณ เทวคุณ พรหมคุณ และอริยคุณ แห่งสัมมาทิฐิบารมีดูแลรักษา อริยธาตุอยู่ตลอดเวลา เป็นสุดยอดแห่งธาตุที่มีอยู่ในจักรวาล  ที่สามารถหลอมละลายธาตุได้ ถ้าอยู่ในเมืองมนุษย์ เรียกว่า เหล็กไหลขาว เหล็กเปียก เหล็กน้ำนมแห่งพระแม่ธรณีเป็นองค์บารมีขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ฝากพระแม่ธรณีเอาไว้ ผู้รู้มักจักนำธาตุชนิดนี้สร้างเป็นยอดปลีของพระธาตุหรือเป็นวัตถุมงคล มีทั้งสำเร็จรูปเป็นธาตุที่มีปลายแหลมทั้งสองด้าน


---ถ้าล่องลอยอยู่ในจักรวาล เรียกว่า  จันทราธาตุ ซึ่งหมายถึง แสงแห่งความร่มเย็น ที่จะนำเข้าสู่ อริยธรรม ส่วนใหญ่จะถูกเทพเทวาอัญเชิญไปรวมไว้ ณ จุดเดียวกัน เพื่อรักษาคุ้มครอง ป้องกันพระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตธาตุ เพื่อเป็นฐานรองรับพระธาตุเกตุแก้วจุฬามณี ณ ห้องพระนิพพาน แห่งแดนสุขาวดี จึงกลายเป็นธาตุที่ซึมซับเอาอริยบารมีแห่งการปฏิบัติทั้งมวลแห่งเจตสิกที่มีความบริสุทธิคุณเอาไว้ในธาตุชนิดนี้  เราเรียกธาตุชนิดนี้ว่าเป็น วัชรธาตุ


---เมื่อโลกมนุษย์เกิดวิกฤตแห่งไฟกิเลส วัชรธาตุก็เกิดความเร่าร้อนตามไปด้วย จึงเกิดการละลายตัวหยดลง ณ โลกมนุษย์ เราจึงเรียกว่า วัชรหยดน้ำฟ้า หรือเหล็กไหลพระนิพพาน เพื่อลงมาช่วยเหลือผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพื่อที่จะเป็นกำลังใจที่จะต่อสู้กับกิเลสตัณหาและความทะยานอยากทั้งหลาย จนสามารถฝ่าฟันเอาชนะกิเลสแห่งตนให้หมดไป  และตั้งมั่นแห่งการสะสมบุญบารมีกันต่อไปจนกว่าจะเห็นทางแห่งการพ้นทุกข์ ดีนักแล


ที่มา http://www.watkaokrailas.com/product/1399925/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%8A%E0%B8%A3%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B8.html



โดย: Marine    เวลา: 2015-8-18 18:29
พิธีกรรมอัญเชิญพญาเหล็ก
ของ หลวงพ่อหวล ภูริภทฺโท
วัดพุทไธศวรรย์ จ.พระนครศรีอยุธยา

[attach]11874[/attach][attach]11875[/attach]

ก่อนอื่นหลวงพ่อหวลจะเพ่งกระเเสจิตของท่าน สำรวจดูว่าในถ้ำเเห่งใดมีพญาเหล็กสถิตย์อยู่
เมื่อรู้เห็นในญาณทัศนะชัดเจนเเล้ว ท่านก็จะพาลูกศิษย์ของท่านเดินทางไปสำรวจให้เห็นกับตาอีกครั้ง
จากนั้นก็กำหนดฤกษ์ยาม วันเวลาที่จะทำพิธี

ท่านว่า ถ้ำที่จะมีพญาเหล็กสถิตย์อยู่นั้น ต้องเป็นถ้ำที่สะอาด ไม่มีค้างคาวมาอาศัย
โดยมากจะเป็นถ้ำหินอ่อนที่มีความเย็นสูง หรือ ถึงกับเย็นยะเยือกเมื่อเดินเข้าไปสู่ภายใน เเละเป็นถ้ำที่เเห้งสะอาด

นอกจากเครื่องบวงสรวงในการทำพิธีเเล้ว สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับพิธีนี้คือ น้ำผึ้งเเท้บริสุทธิ์ ซึ่งจะต้องจัดเตรียมไปจำนวนมาก
อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดเสียไม่ได้เช่นกันคือ ขี้ผึ้งบริสุทธิ์ ซึ่งจะต้องจัดเตรียมไปจำนวนมากเช่นกัน

การทำพิธีบวงสรวง ก็เพื่อบอกกล่าวต่อเจ้าถ้ำ เจ้าที่เจ้าทาง เทพเทวาอารักษ์ทั้งหลาย
ถึงจุดประสงค์ของการมาทำพิธีว่า จะอัญเชิญพญาเหล็กไปเพื่อประโยชน์เเก่พระพุทธศาสนาประการใดบ้าง

เมื่อทำพิธีบวงสรวงเสร็จเเล้ว หลวงพ่อหวลท่านจะกำหนดจิตอธิษฐานตามวิชาที่ท่านได้ร่ำเรียนมา
จากนั้นก็เอาขี้ผึ้งบริสุทธิ์ที่เตรียมมา ป้ายชโลมไปตรงรอยเเตกของผนังถ้ำ
พร้อมกับบริกรรมคาถากำกับไว้ตลอดเวลาจนเสร็จพิธี

หลังจากนั้นหลวงพ่อท่านได้ยืนกำหนดจิตด้วยอาการสงบ
สักพักหนึ่งบรรดาศิษย์ที่มาร่วมพิธีต่างได้พบกับเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ยิ่ง กล่าวคือ
ตรงรอยเเตกของผนังถ้ำนั้นปรากฎมีวัตถุอย่างหนึ่ง ไหลออกมากินน้ำผึ้งที่หลวงพ่อท่านได้ป้ายไว้

หลวงพ่อหวลจึงนำด้ายสายสิญจน์ ที่ชโลมไว้ด้วยน้ำผึ้งจนเปียกชุ่ม กดปลายด้านหนึ่งลงไปในช่องรอยเเตกนั้น
เเล้วโยงสายสิญจน์ที่เหลืออีกด้านหนึ่งลงไปยังบาตรน้ำมนต์ขนาดใหญ่ ที่บรรจุน้ำผึ้งเเท้บริสุทธิ์จำนวนมาก
โดยภายนอกบาตรจะถูกหุ้มไว้ด้วยขี้ผึ้ง เเละมีผ้าขาวลงอักขระยันต์ปิดปากบาตรไว้
มีเพียงรูเล็กๆที่จะเอาด้ายสายสิญจน์แหย่ลงไปได้เท่านั้น

ท่านบอกว่า บาตรน้ำมนต์ที่ต้องหุ้มไว้ด้วยขี้ผึ้งเเละบรรจุน้ำผึ้งไว้ในบาตร ก็เพื่อล่อให้พญาเหล็ก (เหล็กไหล) ลงมากิน
ส่วนผ้ายันต์สีขาวนั้น ก็เป็นยันต์กำกับป้องกันไม่ให้พญาเหล็กที่ลงมากินน้ำผึ้งในบาตร หนีกลับเข้าไปในผนังถ้ำได้อีก



พอโยงสายสิญจน์ลงสู่บาตรที่มียันต์กำกับไว้เรียบร้อยเเล้ว
ท่านก็จุดเทียนซึ่งทำเป็นพิเศษจากขี้ผึ้งเเท้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ ลนเปลวเทียนไปที่ผนังถ้ำซึ่งเหล็กไหลโผล่ออกมาให้เห็น
พร้อมบริกรรมคาถากำกับไว้ตลอดเวลา ทำให้เหล็กไหลได้ไหลย้อยลงมาตามสายสิญจน์เพื่อกินน้ำผึ้งในบาตร
โดยเหล็กไหลที่ไหลลงมานั้นจะมีอยู่ ๓ สี คือ สีเมฆพัด(สีน้ำเงินอมเขียว) สีเงินยวง สีท้องปลาไหล
เเต่จะเป็นสีใดนั้น ขึ้นอยู่กับประเภทของเหล็กไหลที่มีอยู่ในถ้ำเเห่งนั้น

การทำพิธีอัญเชิญพญาเหล็ก (เหล็กไหล) ของหลวงพ่อหวล ท่านจะมุ่งเน้นที่เหล็กไหลสีเมฆพัด (สีน้ำเงินอมเขียว) เเละสีเงินยวง
เพราะสองลักษณะนี้ สามารถที่จะนำมามอบให้กับผู้มาร่วมทำบุญกับท่านได้
ส่วนสีท้องปลาไหล ท่านไม่นิยมมอบให้ลูกศิษย์
ท่านว่า เหล็กไหลลักษณะนี้มีอาถรรพณ์ร้อนเเรง ผู้ที่ครอบครองจะมีความฮึกเหิม
ซึ่งอาจเป็นเหตุให้สร้างความเดือดร้อนเเก่ตนเองเเละผู้อื่นได้

หลังจากที่เหล็กไหลได้ไหลลงในบาตรจนหมดเเล้ว (ในสภาพที่เป็นของเหลว)
หลวงพ่อก็นำไปประกอบพิธีต่อไป คือ การทำให้เหล็กไหลที่เหลวนั้นเเข็งตัว
โดยการนำบาตรไปตั้งบนเตาไฟ เเล้วเอาหุ่นขี้ผึ้งเเท้บริสุทธิ์รูปทรงต่างๆ ที่ต้องการให้เหล็กไหลก่อตัวเป็นรูปทรงนั้นๆ เช่น
รูปทรงพระกริ่ง รูปทรงพระสมเด็จ ฯลฯ โดยหุ่นขี้ผึ้งนี้จะมีจะมีสายชนวนอยู่ด้านบนเเบบเดียวกับเทียนไข
สำหรับไว้จุดไฟในขณะทำพิธีหล่อหลอมเหล็กไหลให้เป็นรูปทรงตามต้องการ

เมื่อหลวงพ่อจุดไฟตรงด้ายชนวนเเล้ว ท่านก็บริกรรมคาถากำกับไปเรื่อยๆในขณะที่หุ่นขี้ผึ้งเริ่มละลายไปทีละเล็กละน้อย
เมื่อหุ่นขี้ผึ้งละลายไปจนใกล้จะหมด เหล็กไหลที่มีสภาพเหลวที่อยู่ในบาตร ก็เริ่มก่อตัวเป็นรูปทรงเหมือนหุ่นขี้ผึ้งต้นเเบบอย่างน่าอัศจรรย์
โดยเหล็กไหลที่เเข็งตัวเป็นรูปทรงตามหุ่นขี้ผึ้งต้นเเบบนั้น (รูปทรงพระกริ่ง รูปทรงพระสมเด็จ ฯลฯ) จะมีขนาดเล็กกว่าหุ่นต้นเเบบ
มีลักษณะสีสันวรรณะเเปลกประหลาด สีเเวววาวเหลือบมัน

เมื่อเหล็กไหลก่อตัวเสร็จสมบูรณ์เเล้ว หลวงพ่อก็จะนำมาทำพิธีสวดญัตติ
ซึ่งเป็นพิธีกรรมในการป้องกันไม่ให้เหล็กไหลเเปรเปลี่ยนสภาพไปอยู่ในสภาพเดิม หรือ หนีกลับคืนไปยังถ้ำที่นำมาเเต่เดิม
หลังจากนั้นท่านจะทำพิธีปลุกเสกอธิษฐานจิตอีกชั้นหนึ่ง
จากนั้นจึงนำมามอบให้กับลูกศิษย์ผู้มาร่วมทำบุญอุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธศาสนาต่อไป


[size=14.3999996185303px]*** ข้อมูลจาก นิตสารโลกลี้ลับ ฉบับที่ ๑๕๐
[size=14.3999996185303px]เดือนมิถุนายน ๒๕๔๐



โดย: Marine    เวลา: 2015-8-18 22:19
[attach]11879[/attach]

เหล็กไหลช่อทิพย์เงินยวง

---เหล็กไหลชนิดนี้มีญาณของ อริยเทพ อริยพรหม ระดับอรูปญาณรักษาอยู่ เป็นเหล็กไหลที่มีบารมีธรรมในชั้นสูง ชอบช่วยเหลือผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม หรือดลใจให้ผู้ครอบครองมีจิตฝักใฝ่อยู่ในการสร้างบุญกุศล  เหล็กไหลชนิดนี้จัดว่า เป็นเหล็กไหลที่มีบารมีธรรมสูง เป็นธาตุกายสิทธิ์ที่ป้องกันได้ครอบจักรวาล เหล็กไหลชนิดนี้มีสีขาวเป็นยวงคล้ายกับปรอท มีความแวววาว เหมือนโลหะ ลักษณะเป็นช่อ ซึ่งอัญเชิญตกลงมากลางผ้าขาวในถ้ำ จ.สุราษฎร์ธานี


---เกจิอาจารย์ในยุคก่อน นิยมหล่อเป็นพระพุทธรูปและเครื่องรางของขลัง และเชื่อว่าเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่ป้องกันได้ครอบจักรวาล อานุภาพทางแคล้วคลาด ล่องหน หายตัว มีมายาในตัวงอกขึ้นได้ เล็กลงได้สามารถรู้อนาคตกาลล่วงหน้าได้มีพลังทางร่มเย็น ทำลายอวิชชาต่างๆได้ดี และปรับธาตุ 4 ขันธ์ 5 ปรับอุณหภูมิภายในร่างกายให้กับผู้ครอบครองใช้ทำน้ำมนต์รักษาโรคป้องกันคุณผีคุณคนเป็นมหาอุดและเสริมดวงชะตาโชคลาภ เป็นเหล็กไหลที่ส่งเสริมคุณธรรมทำให้จิตใจสงบสู่สภาวธรรมชั้นสูงได้ง่ายผู้มีไว้ครอบครองชีวิตวาสนาจะรุ่งเรืองมั่นคง.

............................................................



ที่มา http://www.watkaokrailas.com/pro ... B8%AB%E0%B8%A5.html

โดย: Sornpraram    เวลา: 2015-8-19 06:33

โดย: Nujeab    เวลา: 2015-8-19 14:04
ขอบคุณครับ
โดย: Marine    เวลา: 2015-8-21 19:46
วิธีรักษาธาตุกายสิทธิ์ให้ดีตลอด[size=10.8000001907349px]

[size=13.1999998092651px][attach]11894[/attach]


[size=13.1999998092651px]
วิธีรักษาธาตุกายสิทธิ์ให้ดีตลอดเเละ วิธีพัฒนาธาตุกายสิทธิ์ที่ร้าย...ให้กลายเป็นดี

๑. ธาตุกายสิทธิ์ (เหล็กไหล) เหล่านี้ ปรารถนาที่จะเข้าสู่กระเเสธรรม มุ่งอยู่ที่การบำเพ็ญบารมีธรรม
เพื่อเลื่อนภูมิจิตของตนเองเข้าสู่ความเป็น "พระอริยเจ้า" ถึงพระนิพพานอันเป็นอมตธรรมเป็นสำคัญ
จึงต้องอยู่กับคนดีมีศีลธรรมเท่านั้นจึงดี เเละจะให้คุณเป็นความเจริญด้วย มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ
เเละเป็นอุปการะเเก่ผู้มีไว้ในครอบครองผู้บำเพ็ญบารมีธรรม ให้ถึงความบรรลุ มรรค ผล นิพพาน...ได้สะดวก

เพราะฉะนั้น ผู้มีโอกาสได้เป็นเจ้าของผู้ครอบครองธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้
จักต้องดำรงตนอยู่เเต่ในคุณความดี เพิ่มพูนบารมีธรรม
โดยปฏิบัติ "ทานกุศล" "ศีลกุศล" "ภาวนากุศล" ให้ยิ่งๆขึ้นไป
เเละให้เขาได้มีโอกาส "อนุโมทนาบุญ" เเละ "ร่วมบำเพ็ญบารมีธรรม" ...ไปกับเราด้วย

โดยประการนั้นเเหละถูกต้องความประสงค์ของเขานัก
เเละ "กายสิทธิ์" ที่สถิตอยู่ก็จะได้ทำหน้าที่เป็น "ภาคผู้เลี้ยงพระ" ได้อย่างสมบูรณ์

๒. ถ้าเป็นคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน หรือ เเม้ผู้เป็นนักบวช ผู้ยังไม่ชำนาญในการเจริญภาวนาชำระธาตุธรรมได้เอง
ควรมีธาตุกายสิทธิ์ประเภทที่ "ผู้รู้" หรือ "ผู้ทรงคุณวุฒิ" ท่านได้นำมาสร้างเป็นพระ หรือได้ฝังอยู่ในองค์พระ
เเละที่ผ่านการเจริญภาวนาชำระสะสางธาตุธรรม นำเข้าสู่กระเเสธรรมเเห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดีเเล้ว จึงจะดี เเละ ปลอดภัยที่สุด







โดย: Marine    เวลา: 2015-8-21 19:55

การเรียกเหล็กไหล

หลังจากที่เราได้ทราบถึงวิธีในการหาเหล็กไหลแล้วก็มา ถึงขั้นตอนที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการเรียกเหล็กไหลให้ออกมาจากรังเหล็กไหล ซึ่งวิธีการเรียกเหล็กไหลโดยทั่วไปแล้วจะเริ่มต้น ด้วยการทำพิธีบวงสรวงเจ้าป่าเจ้าเขารวมถึงเจ้าที่ผู้ดูแลเหล็กไหล โดยครูบาอาจารย์ผู้ประกอบพิธีเรียกเหล็กไหลจะทำการบวงสรวง ถวายต่อเจ้าป่าเจ้าเขาผู้ดูแลเหล็กไหลที่บริเวณหน้าปากถ้ำ เพื่อเป็นการเสี่ยงทายว่าเจ้าป่าเจ้าเขาที่ดูแลเหล็กไหลชิ้นนั้นอยู่จะยอมอนุญาตให้นำเหล็กไหลออกไปได้หรือไม่ ซึ่งจะสังเกตได้จาก ธูปเทียนที่จุดบูชาว่าจะติดไฟจนหมดหรือว่าดับกลางคัน หากว่าธูปเทียนเกิดดับกลางคันแสดงว่าเจ้าป่าเจ้าเขาไม่ยินยอมให้เหล็กไหลชิ้นนั้น จำต้องยุติพิธีกรรมการตัดเหล็กไหลในครั้งนั้นทันทีเพราะถ้ายังคงดื้อดึงที่จะกระทำพิธีต่อไปก็อาจจะเกิดอันตรายถึงชีวิตได้

[attach]11895[/attach]

รังเหล็กไหล


แต่หากว่าธูปเทียนติดไฟจนหมดก็แสดงถึงว่าเจ้าป่าเจ้าเขาอนุญาตให้นำเหล็กไหลชิ้นนั้นออกไปได้ ครูบาอาจารย์ผู้ที่จะทำพิธีเรียกเหล็กไหลก็จะเริ่มพิธีการเรียกเหล็กไหลโดยจะเทน้ำผึ้งชนิดพิเศษที่ เรียกว่า "น้ำผึ้งพระจันทร์" (นํ้าผึ้งป่าที่ถูกปาดจากรังผึ้งในคืนวันเพ็ญ) ลงบนฝ่ามือจากนั้นจะยื่นฝ่ามือเข้าไปใกล้ๆรังเหล็กไหล แล้วกำหนดจิตถึงเหล็กไหลที่อยู่ภายในรัง หลังจากนั้นเพียงไม่นานเหล็กไหลก็จะยืด ตัวลงมาเสพน้ำผึ้งในฝ่ามือจนหมด ซึ่งหากต้องการที่จะตัดเหล็กไหล จะต้องกระทำในช่วงที่องค์เหล็กไหลกำลังยืดตัวอยู่นั้นเอง โดยต้อง ตัดใยเหล็กไหลให้ขาด เหล็กไหลที่ตัดได้จะนิ่มตัวอยู่บนฝ่ามือสักครู่ จากนั้นจึงแข็งตัวเอง
แต่โดยมากแล้วการเรียกเหล็กไหลนั้นเป็นเพียง การขอชมบารมีจากองค์เหล็กไหล ดังนั้นผู้ที่ทำการเรียกเหล็กไหล จึงไม่นิยมตัดเหล็กไหล แต่หากต้องการครอบครองเหล็กไหลที่จะทำการเรียกจะต้องมีการกำหนดจิตบอกต่อเจ้าป่าเจ้าเขาว่าต้องการ เหล็กไหลชนิดไหนสีสันวรรณะใด ต้องแจ้งให้ชัดเจน เพราะเมื่อเรียกเหล็กไหลออกมาแล้วเหล็กไหลที่ได้มาผิดไปจากชนิดที่ได้ขอไว้ก็ไม่สามารถนำเหล็กไหลชิ้นนั้นออกมานอกถาได้ จะต้องคืนให้แก่เจ้าป่าเจ้าเขาไป เพราะถือว่าผิดสัจจะที่ให้ไว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากฝืนเอาออกมาด้วยความโลภแล้วย่อมจะเกิดภัยพิบัติกับตัวเองได้

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า การเรียกเหล็กไหลนั้นแท้ที่จริงคือ การขอชมบารมีของเหล็กไหลเท่านั้น ต่างจากการตัดเหล็กไหลซึ่ง เป็นการบังคับเอาเหล็กไหลด้วยการใช้วิชาอาคมและพลังจิตที่ เหนือกว่าเจ้าป่าเจ้าเขาที่รักษาเหล็กไหล การเรียกเหล็กไหลนั้นเป็น การอัญเชิญเหล็กไหลด้วยความอ่อนน้อมโดยอาศัยการกำหนดจิตเป็นสำคัญเพื่อขอชมบารมีของเหล็กไหลที่อยู่ภายในถ้ำจากเจ้าป่าเจ้าเขา ส่วนการเชิญเหล็กไหลให้เสด็จมาหาตนนั้น ท่านให้หาฝักขี้ผึ้งอย่างดีทีทำด้วยรังผึ้งขวางตะวันที่ร้างโดยธรรมชาติ และวางฝักขี้ผึ้งนั้นไว้บนพานครูที่ประกอบไปด้วยเทียนขาว 9 เล่ม ธูป 9 ดอก น้ำผึ้ง 1 ถ้วย ข้าวตอกดอกไม้ จากนั้นให้นำพานดังกล่าว ไปบูชาไว้บนหิ้งพระแล้วสวดพระคาถาอัญเชิญเหล็กไหลเป็นประจำ ประกอบกับการกำหนดจิตให้เป็นสมาธิแล้วแผ่เมตตาพร้อมทั้ง อุทิศล่วนกุศลให้กับเทพยดาที่รักษาเหล็กไหล หากจิตเราไปตรงกับ เทพยดาองค์ใดพร้อมด้วยกุศลอันเพาะบ่มดีแล้วก็จะทำให้เหล็กไหล เสด็จมาหาเราได้จริง ๆ ซึ่งก็เป็นการเรียกหรือการอัญเชิญเหล็กไหลอีกวิธีหนึ่ง

ในสมัยที่หลวงพ่อสดวัดปากน้ำท่านยังอยู่นั้นนับว่าท่านเป็น ผู้ที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องธาตุกายสิทธิ์มากที่สุดในยุคนั้น ท่านมัก เจริญฌานเต็มกำลังแล้วอธิษฐานเรียกธาตุกายสิทธิ์ชนิดต่างๆ มารวมกัน กล่าวกันว่าในสมัยนั้นมีธาตุกายสิทธิ์หลายชนิดมาหา ท่านในลักษณะที่เป็นดวงไฟลอยลงมาขณะที่ท่านกำลังบำเพ็ญภาวนา มีทั้งพระธาตุ มีทั้งดวงแก้ว มีทั้งคด แต่จะมีเหล็กไหลด้วยหรือไม่นั้น มิอาจทราบได้ แต่ก็เป็นเรื่องที่สามารถยืนยันได้ว่าการบำเพ็ญภาวนา นั้นสามารถทำให้ธาตุกายสิทธิเสด็จมาหาเราได้จริง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับ ความศรัทธาและความเชื่อมั่นของผู้ที่ภาวนาด้วย


โดย: Marine    เวลา: 2015-8-21 19:57
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Marine เมื่อ 2015-8-21 20:12

การตัดเหล็กไหล

การตัดเหล็กไหลการจะตัดเหล็กไหลอันเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ได้นั้นไม่ใช่ของง่ายที่ใครๆ จะสามารถทำได้ทุกคน เนื่อจากเหล็กไหล เป็นวัตถุธาตุที่มีลักษณะพิเศษ คือหากเป็นเหล็กไหลชั้นดีหรือที่เรียกว่าเหล็กไหลน้ำหนึ่งนั้น เหล็กไหลประเภทนี้สามารถที่จะยืด ตัวเองหรือย้อยตัวเองลงมาจากรังที่มันอาศัยอยู่ได้ อีกทั้งยังสามารถ หดตัวเองกลับได้และสามารถเคลื่อนตัวไปไหนมาไหนได้ราวกับ เป็นสิงทีมีชีวิตและมีจิตวิญญาณ

การตัดเหล็กไหลในธรรมชาติจึงแบ่งออกได้เป็นสองประเภท คือการตัดเหล็กไหลชั้นดีหรือเหล็กไหลน้ำหนึ่งที่ไม่ยอมแข็งตัวเอง ตามธรรมชาติซึ่งต้องใช้วิชาการตัดเหล็กไหลเพื่อตัดเหล็กไหล ประเภทนี้ออกจากรังของมัน กับอีกประเภทหนึ่งคือการตัดเหล็กไหล ชั้นรองที่แข็งตัวเองอยู่ตามผนังภายในถ้ำซึ่งสามารถตัดเหล็กไหลประเภทนี้ออกมาจากรังได้ง่ายกว่าการตัดเหล็กไหลน้ำหนึ่งมาก

ดังนั้นผู้ที่จะทำการตัดเหล็กไหลได้จะต้องเป็นผู้ที่รู้ในศาสตร์วิชานี้อย่างแท้จริงและจะต้องมีประสบการณ์จริงในการ ตัดเหล็กไหล เพราะหากจะอาศัยเพียงแค่คำบอกเล่าย่อมไม่อาจทำการตัดเหล็กไหลได้ อีกทั้งต้องเคยเป็นลูกมือที่คอยช่วย ครูบาอาจารย์ไนการประกอบพิธีตัดเหล็กไหลมาแล้วไม่ต่ำกว่าห้าถึงหกครั้งจึงพอจะสามารถกระทำพิธีตัดเหล็กไหลด้วยตัวเองได้ นอกจากนี้ยังต้องเรียนรู้ถึงวิธีป้องกันอันตรายอันอาจเกิดจาก ฤทธิ์อำนาจของเหล็กไหลในขณะที่ตัดเหล็กไหลแต่ละชนิดอีกด้วย

เหล็กไหลแต่ละชิ้นจะมีจิตวิญญาณที่แตกต่างกันออกไป บางชิ้นเป็นสัมมาทิฐิซึ่งผู้ที่ครอบครองเหล็กไหลจะต้องปฏิบัติตน อย่างเคร่งครัดในเรื่องการบูชาและการดูแล มิฉะนั้นพลังงานภาย ในเหล็กไหลอาจให้ผลร้ายแก่ผู้ที่ครอบครองได้ ในการตัดเหล็กไหล จึงมีผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ต้องจบชีวิตลงไปมากมายหลายรายแล้ว การตัดเหล็กไหลจึงต้องกระทำโดยผู้ที่มีประสบการณ์ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากครูบาอาจารย์ในสายนี้โดยตรงเท่านั้น

จึงจะสามารถรู้เคล็ดลับวิธีการตัดเหล็กไหลแต่ละชนิดและรู้ถึงลักษณะของเหล็กไหลแต่ละชนิดว่ามีคุณสมบัติอย่างไร มีฤทธิ์อำนาจดีทางไหนประเภทไหนใช้พกติดตัวได้ประเภทไหนใช้ทำน้ำมนต์หรือประเภทไหนเป็นอันตรายห้ามนำมาไว้ในครอบครอง ซึ่งหากไม่รู้จริงในเรื่องเหล่านี้ก็อาจนำพาอันตรายมาถึงตัวโดยที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์

วิธีการตัดเหล็กไหลนั้นจะต้องเริ่มต้นจากการเรียนรู้ถึงลักษณะและคุณสมบัติของเหล็กไหลแต่ละซนิดเสียก่อน จากนั้นจึงศึกษาถึงธรรมชาติของเหล็กไหลแต่ละชนิดว่าเหล็กไหลแต่ละชนิดนั้นชอบอาศัยอยู่ในสถานที่แบบใดเราจะต้องทราบเกี่ยวกับ ลักษณะของสถานที่ว่าถ้ำในลักษณะไหนมีเหล็กไหลอาศัยอยู่ โดยถ้ำที่เหล็กไหลชอบอาศัยอยู่นั้นทั่วไปแล้วจะต้องเป็นถ้ำที่อยู่ในป่าลึกลี้ลับอยู่ห่างไกลจากผู้คน และเป็นถ้ำที่เข้าถึงได้ยากอีกทั้งมักจะได้ยิน เสียงฟ้าคำรามในแถบบริเวณถ้ำนั้นอยู่บ่อย ๆ ไมว่าจะมีพายุฟ้าฝนหรือไม่ก็ตาม ส่วนบรรยากาศบริเวณถ้ำจะอึมครึม แสงแดดจะไม่ร้อน จัดแต่จะออกนวลๆและเมื่อเข้าไปภายในถ้ำจะมีความชื้นสูง อากาศจะเยือกเย็นผิดปรกติ บางครั้งถึงกับหนาวและมักพบธารน้ำ อยู่ภายในถ้ำด้วย

หากนำเครื่องใช้ใฟฟ้าติดตัวไป เครื่องใช้ไฟฟ้าจะถูกรบกวนและดึงพลังงานไฟฟ้าออกไปจนสังเกตเห็นได้ชัดเช่นเมื่อเปิดถ่านไฟฉายในถ้ำที่มีลักษณะดังกล่าวจะพบว่าพลังไฟจากถ่านจะหมดลงอย่างรวดเร็วเป็นต้น หากได้พบสถานที่ที่มีลักษณะตามที่กล่าวมานี้แสดงว่าได้พบสถานที่ที่มีเหล็กไหลชั้นยอดประเภทเหล็กไหลนั้าหนึ่งอันเป็นสุดยอดในบรรดาเหล็กไหลที่ไม่ยอมแข็งตัวเองตามธรรมชาติซึ่งต้องรอผู้มีบุญบารมีมาเรียกหรือตัดเอาไปอย่างเช่น เหล็กไหลปีกแมลงทับ เหล็กไหลโกฏิปี เหล็กไหลเพลิง เหล็กไหลเจ้าป่า อย่างใดอย่างหนึ่งอย่างแน่นอน ในการตัดเหล็กไหลจะต้องรู้ถึงวิธีการที่จะทำให้เหล็กไหลยืดตัวออกมาจากรังเหล็กไหลเสียก่อนซึ่งวิธีการหนึ่งที่ใช้ได้ผลก็คือ "การนำน้ำผึ้งมาล่อ" แต่ขั้นตอนที่ยากกว่านั้นอยู่ที่ว่าเมื่อเหล็กไหลยืดตัวออกมาเสพน้ำผึ้งแล้วจะทำอย่างไรจึงจะสามารถตัดเหล็กไหลนั้นได้ ซึ่งตามตำนานก็ได้กล่าวถึงวิธีการตัดเหล็กไหลไว้หลากหลายวิธีด้วยกัน เช่น การตัดโดยใช้เส้นผมของผู้หญิงพรหมจรรย์ที่ชุบด้วยเลือดของสาวพรหมจรรย์นั้นอีกทีหรือการตัดโดยใช้กริชเงิน 9 ขดที่ลงอาคมสำหรับการตัดเหล็กไหลไว้โดยเฉพาะนอกจากนี้ก็ยังมีวิธีอื่นๆ
พิธีกรรมตัดเหล็กไหล
การตัดเหล็กไหลเป็นพิธีกรรมที่สืบทอดกันมาแต่โบราณกาลอุปกรณ์ที่จะใช้ ประกอบพิธีกรรมจึงอาจจะมีสิ่งแตกต่างกันไปตามบุรพาจารย์ผู้กำหนดเพราะส่วน สำคัญในการตัดเหล็กไหลบางอาจารย์ก็ใช้หวายผูกลูกนิมิตใบตาลเส้นผมสาวพรหมจา รีย์ขวานเทียนเข้าพรรษาประจำเดือนของทารกแรกเกิดเป็นต้น
ผู้จะทำพิธีตัดเหล็กไหลต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมประพฤติปฏิบัติรักษาศีล ได้มั่นคงไม่มี่จิตละโมบคือต้องขออนุญาตจากเทพผู้ดูแลรักษาเสียก่อนเมื่อได้ รับอนุญาตจึงค่อยทำพิธีตัดเอามิฉะนั้นหากเราขืนด้วยกำลังหมายแย่งชิงเอาโดย พละการถือดีในพระเวทย์ก็อาจมีเพทภัยถึงแก่ชีวิตหรือเกิดความขัดแย้งในหมู่ คณะจนถึงขั้นวิบัติเอาได้ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเทพผู้รักษาเหล็กไหลนั้นเอง
พิธีกรรมในที่นี้จึงเป็นเพียงแนวทางสำหรับผู้สนใจในพระเวทย์เพื่อใช้ใน การนี้โดยเฉพาะขอให้ท่านได้ลองพิจารณาศึกษาดูเพราะโอกาสจะเรียนรู้ในเรื่อง ราวเหล่านี้จากครูบุรพาจารย์ผู้รู้นั้นหายาก

อุปกรณ์ในการตัดเหล็กไหล
1.สายสิญจ์จากปากหลุมลูกนิมิตร
2.ไม้ตาขอ9อันใหญ่พิเศษ1อัน
3.มีดหมอลงอาคมเพื่อใช้ตัดเหล็กไหล
4.นํ้าผึ้งป่า
5.คาถาเรียกเหล็กไหล
6.คาถาผูกเหล็กไหล
7.คาถาตัดเหล็กไหล
8.คาถาอัญเชิญเหล็กไหล

เครื่องบวงสรวง
1.บายศรีเทพบายศรีพรหมอย่างละ1คู่สำหรับตั้งศาลเอก
2.ฉัตรเงินฉัตรทอง9ชั้น4ทิศ
3.ตั้งศาลเอก1ศาลศาลเพียงตา4ทิศ
4.ผลไม้7อย่างทั้ง4ศาล
5.อาหารเจพร้อมผลไม้ชุดใหญ่หน้าศาลเอกพร้อมบายศรี
6.บายศรีตองตั้งที่ศาลเพียงตาแห่งละ1คู่
7.เครื่องกระยาบวชข้าวตอกดอกไม้
8.อาหาร คาวหวานเช่นหัวหมูเป็ดไก่ปลาเนื้อมะพร้าวอ่อน1คู่กล้วยํ้าว้า1คู่ขนมต้มแดง- ตัมขาวถั่วชนิดต่างๆงาดำงาขาวขนมผลไม้เหล้าขาวเหล้าแดงหมากพลูบุหรี่สำหรับ เทวดาที่ถือศีล5ที่ยังชอบเหล้ายาปลาปิ้งของสดของคาวจัดแยกไว้ที่หน้าศาลเอก อีกโต๊ะต่างหาก
เมื่อถึงเวลาก็จุดธูป๙ดอกเทียนขี้ผึ้งแท้สีขาว๙เล่ม
ตั้งนะโม๓จบ
กล่าวสัคเคฯชุมนุมเทวดา
จบแล้วต่อด้วยบทสวดดังนี้
สัพเพธัมมานาลังอภินิเวสายะ๓จบ
เอกายะโนอะยังภิกขเวมัคโคสัตตานังวิสุทธิยา





โดย: Marine    เวลา: 2015-8-21 19:58
การตัดเหล็กไหลโดยใช้พลังจิต

การตัดเหล็กไหลโดยใช้พลังจิตในการตัดจะเริ่มต้นจากการเทน้ำผึ้งพระจันทร์ (น้ำผึ้งป่าที่ผ่านการทำพิธีอาบแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญมาแล้วอย่างน้อยสามครั้ง) ลงบนฝ่ามือแล้วกำหนดจิตเรียก เหล็กไหลให้ไหลเยิ้มตัวลงมาเสพนั้าผึ้งพระจันทร์นั้น เมื่อเหล็กไหลประเภทนั้าหนึ่งไม่อาจทนความหอมหวานจากนั้าผึ้งพระจันทร์ได้ก็จะทำตัวไหลย้อยออกมาคล้ายตัวปลิงหรือไม่ก็ย้อยตัวลงมาเป็นเส้นบางๆคล้ายใยบัวหรือเส้นผมผู้หญิงลงมาบนฝ่ามือจากนั้นผู้ตัดจะคลึงเหล็กไหลที่ลงมาเสพน้ำผึ้งไปมาบนฝ่ามือ เมื่อน้ำผึ้งกับเหล็กไหลกลิ้งรวมเข้าด้วยกันแล้วเหล็กไหลก็จะออกมาจากรังเหล็กไหล โดยจะมืสัณฐานเป็นแท่งยาวคล้ายแคปซูลผิวเนื้อเหล็กไหลจะเรียบเป็นมันแวววาวไม่มีรอยขีดข่วนดูคล้ายกับเนื้อของธาตุปรอทกลิ้งอยู่ในฝ่ามือไปเรื่อยๆ รอจนกว่าเหล็กไหลจะเสพกลิ่นและเสพรสจากน้ำผึ้งพระจันทร์จนเป็นที่พอใจแล้วเส้นใย ของเหล็กไหลจึงจะเริ่มชักตัวเองกลับเข้ารังในช่วงเวลานี้เองที่อาจารย์ผู้กระทำพิธีจะกล่าวคาถาพร้อมกับกำหนดจิตเพื่อตัดเหล็กไหลออก จากรังด้วยการกระชากมือเบา ๆ ให้เล้นใยเหล็กขาดออกจากกัน เมื่อเหล็กไหลถูกตัดใหม่ๆ จะยังคงมีลักษณะเป็นของเหลวข้นคล้ายกับ ปรอทและมีน้ำหนักดุจดั่งโลหะประเภทเหล็ก สามารถกลิ้งไปมาบน ฝ่ามือได้เหมือนกับธาตุปรอทและจะเริ่มแข็งตัวในเวลาต่อมา

เหล็กไหลที่ได้จากการตัดโดยวิธีนี้จะมีสัณฐานเป็นแท่งคล้ายแคปซูล ซึ่งเป็นรูปทรงที่เกิดจากการกลิ้งมวลเหล็กไหลบนฝ่ามือ แร่เหล็กไหลที่ได้ จากการตัดในลักษณะนี้มักเป็นเหล็กไหลน้ำหนึ่งซึ่งหาได้ยากมากที่สุด ในขณะที่เหล็กไหลยืดตัวออกมาเสพน้ำผึ้งในลักษณะคล้ายกับใยบัวหรือเส้นผมนั้นนับว่าเป็นช่วงที่อันตรายและน่าสะพรึงกลัวมากที่สุด เพราะหากตัดเหล็กไหลผิดจังหวะแล้วเส้นใยของเหล็กไหล ที่ยืดตัวออกมาจะตวัดพันร่างกายของผู้ที่ตัดเหล็กไหลให้ขาดออก เป็นชิ้นๆ ได้ ถ้าเหล็กไหลตวัดพันถูกส่วนไหนชองร่างกายแล้ว ร่างกายส่วนนันก็จะถูกตัดขาดออกจากกันทันที

ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการตัดเหล็กไหลจึงควรเป็นช่วง เวลาที่เหล็กไหลเสพน้ำผึ้งจนอิ่มแล้ว และจะต้องเป็นจังหวะเดียวกัน กับที่เส้นใยของเหล็กไหลกำลังจะชักตัวกลับรัง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการตัดเหล็กไหลโดยวิธีนี้ ผู้ที่ทำการตัดเหล็กไหลจะต้องมีความชำนาญเป็นอย่างมากจึงจะสามารถรู้ว่าช่วงเวลาไหนที่เหล็กไหลเสพน้ำผึ้งเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังจะชักตัวกลับรังเมื่ออาจารย์ผู้ประกอบพิธีตัดเหล็กไหลได้สื่อสารด้วยกำลังฌานจนแน่ใจว่า เจ้าป่าเจ้าเขา เจ้าที่เจ้าทาง หรือเจ้าของถ้ำซึ่งเป็นพลังงานที่ดูแลคุ้มครองเหล็กไหลชิ้นดังกล่าวได้อนุญาตและมอบเหล็กไหลชิ้นนี้ให้ในขณะที่เหล็กไหลกำลังจะหดตัวกลับรังนั้นเอง ท่านก็จะกล่าวคาถาตัดเหล็กไหล กล่าวคำขอขมาและกล่าววาจาสัตย์อธิษฐานจิต ให้แน่วแน่ถึงจุดประสงคํที่มาขอเหล็กไหลว่าจะนำไปเพื่อใช้ทำอะไร ซึ่งคำสัตย์เหล่านี้จะคอยควบคุมเหล็กไหลชิ้นนั้นตลอดเวลา

และหากเริ่มผิดคำสัตย์ตามทีได้กล่าวไว้เมื่อใด เหล็กไหลก็จะเริ่มให้โทษแก่ผู้ครอบครองและจะหาหนทางกลับมายังรังที่อยู่เดิมอีกครั้ง หลังจากที่ตัดเหล็กไหลมาได้แล้วจะต้องนำเหล็กไหลมาอธิษฐาน ที่หน้าปากถ้ำอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเปีนการตรวจดูให้แน่ซัดว่าเป็นเหล็กไหล ประเภทที่ต้องการหรือไม่และหากไม่ใช่เหล็กไหลชนิดหรือประเภทที่ได้กล่าวสัจจะวาจาขอเอาไว้ก็ต้องนำเหล็กไหลชิ้นนั้นไปวางคืนไว้ที่ภายในถ้ำ เพราะหากนำเหล็กไหลผิดชนิดหรือผิดประเภทซึ่งไม่ตรงตามที่ได้กล่าวสัจจะขอไว้กลับไปก็จะเป็นอันตรายกับตนเองอย่างใหญ่หลวง

โดย: Marine    เวลา: 2015-8-21 19:59
การตัดเหล็กไหลด้วยการเพ่งเทียนกสิณ

ผู้ที่จะทำการตัดเหล็กไหลด้วยวิธีการเพ่งกสิณได้จะต้องเป็นผู้ ที่มีความเข้าใจในเรื่องธาตุอย่างถ่องแท้โดยเฉพาะธาตุไฟ เพราะจะต้องสามารถควบคุมธาตุไฟให้เป็นไปตามความต้องการของตนได้รวมถึงจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและเข้าใจในธรรมชาติ ของเหล็กไหลได้เป็นอย่างดี เนื่องจากการตัดเหล็กไหลด้วยวิธีนี้ จะใช้แค่เทียนอาคมที่เป็นเทียนขี้ผึ้งแท้เพียงเล่มเดียวเท่านั้น

เทียนขี้ผึ้งที่ใช้อาจจะชโลมไว้ด้วยน้ำผึ้งหรือไม่ก็ได้ เมื่อเตรียมเทียนอาคมเป็นที่เรืยบร้อยแล้วก็จุดเทียนเล่มดังกล่าว แล้วนำไปลนยังบริเวณรอบๆ รังเหล็กไหล ผู้ที่ทำการตัดเหล็กไหลจะต้องกำหนดจิตใช้อำนาจกสิณไฟเพื่อเร่งธาตุความร้อนของเปลวไฟจากเทียนเพียงเล่มเดียวให้เกิดอานุภาพความร้อนเท่ากับความร้อน ของเปลวไฟจากเทียนนับล้านๆเล่มให้ได้

รังเหล็กไหลที่ถูกลนด้วยเปลวไฟกสิณจะมีลักษณะสีแดง ฉานเหมือนเหล็กที่ถูกหลอมในเตาไฟ จากนั้นเหล็กไหลที่ยึดตัวอาศัยอยู่ในรังเหล็กไหลดังกล่าวก็จะยืดตัวออกมาจากรัง ในขั้นตอนนี้จะ ต้องมีการเตรียมของอันเป็นมงคล เช่น ผ้าขาวลงอาคมอักขระ อ่างน้ำผึ้ง อ่างน้ำมนต์ไว้สำหรับรองรับเหล็กไหลที่ยืดตัวออกมาจากรัง ซึ่ง เหล็กไหลที่ได้จากการตัดด้วยวิธีนี้จะมีสัณฐานคล้ายกับหยดนั้าอันเกิดจากการที่เหล็กไหลยืดตัวเองและเยิ้มหยดตัวลงมาก่อนที่ เหล็กไหลจะแยกตัวหลุดมาจากรังด้วยไฟกสิณนั่นเอง

เหล็กไหลที่ได้จากการตัดด้วยไฟกสิณส่วนมากมักเป็นเหล็กไหลเจ้าป่า(พญาเพชรดำ) หรือเหล็กไหลประเภทอุลกมณีและเมื่อนำเหล็กไหลที่ได้จากการตัดด้วยการใช้กสิณไฟจาก เปลวเทียนไปตรวจสอบก็จะพบว่าส่วนใหญ่เป็นหินที่มาจากนอกโลก โดยจะเป็นหินจำพวกสะเก็ดดาวและเนื่องจากเหล็กไหลดังกล่าวมีลักษณะที่เหมือนกับอุกกาบาตที่ตกลงมายังโลก ในบางครั้งจึงเรียกเหล็กไหลประเภทนี้ว่า "เหล็กไหลจากต่างดาว"

โดย: Marine    เวลา: 2015-8-21 20:01
การตัดเหล็กไหลเผยแพร่สู่สาธารณชน

เรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหล็กไหลนั้นล้วนเป็นเรื่องราว ที่เร้นลับซับซ้อน เป็นที่น่าสนใจและน่าติดตามในมุมมองของคน โดยทั่วไป จนอาจกล่าวได้ว่าคนไทยมีความผูกพันใกล้ชิดกับธาตุ กายสิทธิ์ชนิดนี้มาก โดยจะเห็นได้จากพระเครื่องหรือวัตถุมงคล ในสมัยก่อนที่ต้องมีธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลปะปนเป็นมวลสารอยู่ บ้างไม่มากก็น้อย

ในราวปีพ.ศ.2537ได้มีรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งนำเสนอ เรื่องราวเกี่ยวกับการติดตามพิสูจน์เหล็กไหลว่ามีจริงหรือไม่แพร่ ภาพออกสู่สาธารณชนจนกลายเป็นประเด็นที่ประชาซนทั่วไปให้ ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยรายการดังกล่าวได้ไปถ่ายทำพิธีการ ตัดเหล็กไหลตามถ้ำต่างๆในประเทศไทย และนับเป็นครั้งแรกที่พิธีกรรมทางไสยศาสตร์อันเร้นลับได้ถูกเปิดเผยสายตาของประชาชน

พิธีกรรมการตัดเหล็กไหลที่ได้ไปบันทึกภาพในครั้งนั้นได้ กระทำขึ้นที่ถํ้าแห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรี โดยมีบุคคลจากหลากหลาย สาขาอาชีพเข้าร่วมในการพิสูจน์และเป็นสักขีพยานด้วย อาจารย์ผู้ประกอบพิธีกรรมในการตัดเหล็กไหลครั้งนั้นก็เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ ในการตัดเหล็กไหลเป็นอย่างมาก ซึ่งในครั้งนั้นท่านก็พร้อมที่จะร่วมพิสูจน์และให้ความร่วมมือในการถ่ายทำเป็นอย่างดี

การตัดเหล็กไหลในครั้งนั้นเป็นการตัดเหล็กไหลน้ำหนึ่ง ที่ไม่แข็งตัวเองตามธรรมชาติโดยการใช้กสิณไฟตัดด้วยเทียน เพียงเล่มเดียว ผู้ทำพิธีได้ไต่ปันไดไม้ไผ่ขึ้นไปจนถึงบริเวณก้อนหิน ที่เหล็ก1ไหลซ่อนตัวอยู่แล้วใช้เทียนลนไปยังบริเวณรังเหล็กไหล

ในเวลาไม่นานก็ปรากฏวัตถุอย่างหนึ่งที่มีสีดำเป็นมันเงาเคลื่อนที่ไปมา คล้ายของเหลวได้ยืดตัวออกมาจากซอกหินบริเวณที่ถูกเทียนลน ต่อหน้าสักขีพยานเป็นจำนวนมาก ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเห็น เหมือนกันหมดว่าของเหลวสีดำนั้นเริ่มยืดตัวออกมาจากรังที่มีสีแดง ราวกับโดนไฟที่มีความร้อนจัดแผดเผา จากนั้นของเหลวสีดำดังกล่าว ก็หลุดตัวออกมาจากซอกหินตกลงมายังผ้าขาวที่ได้เตรียมรับเอาไว้ด้านล่าง


ในกลุ่มของสักขีพยานเหล่านั้นล้วนประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักธรณีวิทยา ตลอดจนเจ้าหน้าที่จากกรมทรัพยากรธรณี ทุกคนในที่ นั้นต่างก็ช่วยกันพิจารณาเหล็กไหลชิ้นที่ตัดมาได้ และทุกคนต่างก็ ยอมรับถึงสิงที่ได้ปรากฏแก่สายตาตัวเองว่าเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ และไม่สามารถหาคำตอบในทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เลยคณะพิสูจน์เหล็กไหลจึงได้นำเหล็กไหลชิ้นที่ตัดมาได้ไปตรวจพิสูจน์ ที่กรมทรัพยากรธรณีเพื่อที่จะได้ทราบว่าวัตถุชิ้นนี้คืออะไรกันแน่

ผลการตรวจสอบเหล็กไหลที่ได้จากการทำพิธีตัดในครั้งนั้น ปรากฏว่าวัตถุที่ได้นั้นไม่ใช่วัตถุธาตุบนโลก แต่มีลักษณะเหมือนกับ สะเก็ดดาวหรืออุกกาบาตที่ตกลงมายังโลกอันเป็นวัตถุธาตุที่อยู่ ในห้วงจักรวาลที่เดินทางผ่านกาลเวลาและระยะทางอันแสนยาวนาน มาจากนอกโลกกว่าจะเดินทางมาถึงยังโลกของเรา

อันที่จริงก็ยังมืวัตถุธาตุจากห้วงอวกาศที่เดินทางเข้ามายัง โลกอีกหลายชนิด บางชนิดเดินทางลงมาเป็นลำแสงแต่ไม่สามารถ หาตัววัตถุเหล่านั้นได้พบ บางชนิดที่มีขนาดใหญ่มากจึงไม่สามารถ เดินทางเข้ามายังชั้นบรรยากาศของโลกได้ด้วยวิธีการธรรมดา ดังนั้นการที่จะสามารถเดินทางมายังโลกได้ต้องอาตัยการเดินทางผ่านประตูมิติเวลา เนื่องจากการเดินทางผ่านประตูแห่งกาลเวลา จะทำให้เงื่อนไขของเวลาและระยะทางหมดไป

จากผลการพิสูจน์ที่ออกมายิ่งทำให้คณะพิสูจน์เหล็กไหลและ กลุ่มสักขีพยานไม่สามารถหาคำตอบได้ว่าแท้ที่จริงแล้วเหล็กไหล คืออะไรกันแน่ เพราะหากธาตุชนิดนี้ไม่ใช่วัตถุธาตุบนโลกแล้วเหล็กไหล เดินทางมาจากที่ไหนและมาบนโลกเพื่อวัตถุประสงค์อะไร? นอกจากนี้ทางรายการยังได้แพร่ภาพพิธีกรรมการตัดเหล็กไหล ณ สถานที่อื่นๆอีกหลายครั้ง ซึ่งผลปรากฏว่าเหล็กไหลที่ได้ก็มีลักษณะที่ใกล้เคียงกันคือเป็นของเหลวสีดำเป็นมันเงาสามารถเคลื่อนที่ไปมาได้ราวกับเป็นสิงที่มีชีวิตเมื่อโดนไฟลนก็จะสามารถยืดตัวและหดตัวได้ เหล็กไหลน้ำหนึ่งนั้นจะมีลักษณะรูปพรรณสัณฐานเป็นของเหลวคล้ายปรอทและไม่ยอมแข็งตัวเองตามธรรมชาติ จนกระทั่งถูกตัดออกมาจากรังแล้วจึงจะแข็งตัว เหล็กไหลน้ำหนึ่งมีหลากหลายสีด้วยกัน แต่เท่าที่เคยพบก็มีสีดำ สีท้องปลาไหล สีเขียวอมดำ เขียวหัวเป็ด เขียวอมทอง เขียวปีกแมลงทับ สีน้าเงินอมดำ และไม่มีสี (เป็นแก้วใส)

แม้ว่าจะเคยมีรายการทางโทรทัศน์ได้เผยแพร่เรื่องราว เกี่ยวกับเหล็กไหลไปแล้วก็ตาม หากแต่เรื่องราวของเหล็กไหลนั้น ก็ยังคงเป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจหาคำตอบให้ได้และยังคง เป็นสิ่งที่เหนือความรู้และความคิดของคนโดยทั่วไปอีกมาก แต่ทั้งนี้ มิได้หมายความว่าเหล็กไหลจะเป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติ หรือขัดต่อหลักของธรรมชาติแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าวิทยาการความเบนโลกเรา ยังไม่อาจเข้าใจธาตุกายสิทธื้ที่มาจากนอกโลกชนิดนี้ได้ จึงมีเรื่องราว อันเร้นลับอีกมากมายของเหล็กไหลที่มนุษย์ยังคงไม่รู้

โดย: Marine    เวลา: 2015-8-21 20:08
การสร้างเหล็กไหล (การหุงเหล็กไหล)

นอกจากเหล็กไหลที่มีอยู่ตามธรรมชาติแล้วครูบาอาจารย์ผู้มีภูมิความรู้ท่านยังสามารถสร้างเหล็กไหลจำลองขึ้นมาโดยเลียนแบบมาจากธาตุตามธรรมชาติบนโลก ซึ่งเราเรียกการสร้างเหล็กไหลจำลองนี้ว่า "การหุงเหล็กไหลหรีอการเล่นแร่แปรธาตุ"(การที่ทำให้ธาตุอย่างหนึ่งแปรสภาพกลายเป็นธาตุชนิดใหม่ขึ้นมา)

ตามตำรากล่าวว่าหากการหุงเหล็กไหลทำสำเร็จในช่วงฟ้าสางจะได้เหล็กไหลที่มีสีเขียวปีกแมลงทับ แต่หากหุงสำเร็จในช่วงเช้าตรู่ ขณะพระอาทิตย์กำลังขึ้นเป็นดวงสืแดงก็จะได้เหล็กไหลที่มีสีแดงเพลิง หรือหากหุงสำเร็จในช่วงสายที่พระอาทิตย์ส่องแสงกล้าแล้วเหล็กไหล ที่ได้ก็จะมีสีขาวเงินยวง เป็นต้น เรื่องอิทธิพลจากแสงอาทิตย์ที่มี ต่อการหุงเหล็กไหลจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อยเช่นกันความลึกลับตาม ธรรมชาติของเหล็กไหลและความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับพระอาทิตย์ และพระจันทรนั้นยังคงเป็นสิงที่น่าค้นคว้าต่อไปแต่เรื่องการหุงเหล็กไหลนี้เข้าใจว่าน่าจะมาจากการที่ครูบาอาจารย์ในสมัยก่อนได้เคยเห็น เหล็กไหลตามธรรมชาติมาแล้ว จากนั้นจึงทำการหุงผสมธาตุต่างๆ

ขึ้นมาเพื่อเลียนแบบเหล็กไหลในธรรมชาติ เท่ากับว่าเหล็กไหลที่ ปรากฏในโลกเรานี้ย่อมมีทั้งที่เกิดเองตามธรรมชาติและที่เกิดขึ้น จากการเล่นแร่แปรธาตุของมหาโยคีในยุคก่อนๆนั่นเอง

หลากหลายตำนานเกี่ยวกับธาตุกายสิทธิ์ในโลกได้กล่าวไว้ว่า ผู้ใดก็ตามที่ได้ครอบครองวัตถุธาตุกายสิทธิ์ ผู้นั้นย่อมสามารถบรรลุ ความปรารถนาทั้งปวงบนโลกธาตุนี้ได้ วัตถุธาตุบางอย่างที่มีพลัง อำนาจในตัวเองนั้นจะสามารถปกป้องคุ้มครองและเป็นเสน่ห์เมตตา แก่ผู้ครอบครองได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่ง,ในธรรมชาติก็มีวัตถุธาตุที่มี พลังอำนาจในตัวเองอยู่หลายชนิดด้วยกัน เช่นพวกคดจากพืชและลัตว์ เพชรหน้าทั่ง อัญมณีนพเก้า แก้วโป่งข่าม แต่ในบรรดาธาตุกายสิทธิ์ เหล่านั้นไม่มีสิงใดที่จะยิ่งใหญ่ทรงอานุภาพและเป็นตำนานที,เล่าขาน ไม่รู้จบเทียบได้กับธาตุกายสิทธิ์ที่มีชื่อว่า"เหล็กไหล"

บางตำนานกล่าวถึงการกำเนิดของเหล็กไหลว่าเกิดจาก อำนาจและวิชาของพระฤาษีที่ทรงฌานสูงสุดและเป็นผู้มีญาณหยั่งรู้ว่า ใต้พิภพนั้นมีแร่เหล็กที่ทรงอานุภาพมหัศจรรย์อยู่ และท่านฤาษีได้ใช้ กำลังฌานเรียกแร่เหล็กที่อยู่ใต้โลกเหล่านั้นมารวมตัวกันอยู่ตามถ้ำต่างๆ จนเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปคนในยุคต่อๆมาจึงได้ค้นพบแร่ มหัศจรรย์นี้ ซึ่งแร่ชนิดนี้สามารถทำตัวเองให้อ่อนนิ่มและยืดตัวเอง ไหลไปตามที่ต่างๆได้ และยังสามารถเคลื่อนทีผ่านทะลุแท่งหินตัน ๆ ได้คนโบราณจึงได้ขนานนามแร่พิเศษชนิดนี้ว่า"เหล็กไหล"อันหมายถึงธาตุเหล็กที่มีความมหัศจรรย์ในตัว สามารถทำตัวเอง ให้อ่อนนุ่ม และลื่นไหลไปมาได้

แต่นอกจากความเชื่อที่ว่าแร่เหล็กไหลนี้มาจากธาตุลี้ลับที่อยู่ ใต้พื้นพิภพแล้ว ยังมีอีกหนึ่งความเชื่อที่เกี่ยวกับกำเนิดเหล็กไหล บนโลกนั้นคือความเชื่อที่ว่าเหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์เป็นธาตุชนิดพิเศษที่มาจากมิติอื่นเชื่อกันว่ามหาฤาษีในยุคก่อนๆ ได้เข้าฌานเพื่อทำการ ขอธาตุกายสิทธิ์โว้สำหรับปกป้องโลกให้พ้นจากภัยพิบัติ เมื่อพระเจ้าผู้สร้างโลก คือ พระศิวะ พระพรหมธาดา และพระนารายณ์ได้รับรู้ถึง แรงอธิษฐานจากกำลังฌานของพระฤาษี พระองค์จึงทรงประทานธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งมาให้ในลักษณะของก้อนอุกกาบาต แต่การมาของก้อนอุกกาบาตในครั้งนี้มิได้พุ่งเข้าชนโลกเหมือนอุกกาบาตโดยทั่วไป หากแต่เป็นการเดินทางโดยผ่านประตูแห่งมิติเวลาเข้ามายังโลก

[attach]11896[/attach]
การสร้างเหล็กไหล
เมื่อครั้งแรกที่ธาตุนี้มาถึงโลกมันยังคงเป็นของเหลวที่มี ลักษณะสีดำข้นสามารถลื่นไหลไปตามที่ต่างๆได้ ต่อมาธาตุเหล่านี้ ได้แยกย้ายตัวเองไปตามล่วนต่างๆของโลก ทั้งใต้ดิน ในถ้ำ และ ในน้ำที่ห่างไกลจากผู้คน เพื่อรอคอยเวลาจนกว่าจะมีผู้ที่มีพลังจิต มาค้นพบและนำเอาไปใช้ประโยชน์ในการช่วยโลกให้พ้นจากภัยพิบัติ ต่างๆเหล็กไหลในยุคแรกนั้นได้เคลื่อนตัวไปตามสถานที่ต่างๆ และ ได้สร้างรังสร้างอาณาจักรของตนเองจนเกิดเป็นสายแร่และเป็นแร่ เหล็กไหลตระกูลต่างๆ ขึ้นบนโลก ในที่สุดก็ได้กลายเป็นตำนานของ ธาตุกายสิทธิชนิดต่างๆ

นอกจากนี้ยังมีบางตำราได้กล่าวถึงต้นกำเนิดของเหล็กไหล ไว้ว่าเกิดขึ้นจากการเล่นแร่แปรธาตุของมหาฤาษีในยุคก่อนๆ ซึ่งพอ จะสรุปได้ว่าเหล็กไหลนั้นน่าจะมีในธรรมชาติมาแต่เดิม โดยเหล็กไหลอาจเป็นวัตถุธาตุชนิดพิเศษที่เดินทางมาจากนอกโลก หรือเดินทาง มาจากต่างมิติภพภูมิแล้วได้หลบซ่อนตัวอยู่ตามธรรมชาติ จวบจน เมื่อธาตุชนิดนี้ได้ถูกค้นพบและศึกษาค้นคว้าโดยมนุษย์ผู้มีภูมิปัญญา ต่อมาเหล่าพระมหาฤาษีที่ทรงฌานอันแก่กล้าจึงได้คิดสูตรรวมธาตุ เพื่อสร้างธาตุใหม่ที่มีความใกล้เคียงกับเหล็กไหลตามธรรมชาติขึ้น

เซึ่อได้ว่าพระฤาษีในยุคโบราณท่านคงสำเร็จวิชาการรวมธาตุและ การเล่นแร่แปรธาตุขั้นสูงสุดจนสามารถรวมธาตุที่ทรงฤทธิ์เหมือน เหล็กไหลชั้นยอด รวมถึงวิชาขั้นรองๆลงมาในการรวมธาตุ จึงเกิดเป็น เนื้อเมฆสิทธิ์และเมฆพัตร ซึ่งเนื้อธาตุเหล่านี้ก็มาจากตำนานของการ เล่นแร่แปรธาตุเหล็กไหลนี่เอง การที่โบราณจารย์ท่านพยายามผสม ธาตุเพื่อให้เกิดฤทธิ์อำนาจในตัวเองดุจเดียวกับเหล็กไหลที่มีอยู่ตามธรรมชาติ จึงทำให้บังเกิดเนื้อธาตุเหล่านื้ขึ้นมาและเป็นที่รู้จักกันดี ในวงการพระเครื่องปัจจุปัน

ตำนานเรื่องราวของเหล็กไหลนั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจหาข้อสรุป ที่มีความแน่ชัดตายตัวลงได้เพราะในช่วงเวลาที่ล่วงเลยมานานกว่า แสนปีนั้น เหล็กไหลได้มีการพัฒนาตัวเองและปรับตัวเองไปตาม ธรรมชาติในแต่ละยุคที่เปลี่ยนไป อีกทั้งครูบาอาจารย์ผู้มีภูมิความรู้ เกี่ยว เนื่องกับ เหล็กไหลก็มีการพัฒนาวิชาการเล่นแร่แปรธาตุรวมทั้งสูตรวิชาบางอย่างที่เคยหายสาบสูญไป สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตัวแปรและเป็น ปัจจัยให้เรื่องราวของเหล็กไหลซับซ้อนยิ่งขึ้นจนยากที่จะหาข้อสรุปลงได้ ในแต่ละตำนานต่างก็มีจุดยืนและเอกลักษณ์ของตนมีทั้งข้อดี และข้อเสียซึ่งอาจกล่าวได้ว่าไม่มีตำนานใดที่กล่าวถึงเรื่องราวเกี่ยวกับ ธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ผิดหรือถูกต้องทั้งหมด

โดย: Marine    เวลา: 2015-8-21 20:34
[youtube]hoa9MYnRzWw[/youtube]

โดย: Marine    เวลา: 2015-8-21 20:37
[youtube]FalLzDxDb9Q[/youtube]

โดย: Marine    เวลา: 2015-8-21 21:58
[youtube]pkLGEgJRlZ4[/youtube]

โดย: kruangbin    เวลา: 2015-8-22 08:05
น้อยคนที่จะได้ครอบครองครับ
โดย: Marine    เวลา: 2015-8-22 23:23
เกร็ดความรู้เรื่องเหล็กไหลสุวรรณราชา(ทองปลาไหล) ที่ท่านอาจมองข้ามไป

เหล็กไหลทองสุวรรณราชา หรือ ทองปลาไหล ที่เรียกกันติดปาก บางส่วนที่ท่านไม่เคยรู้ว่าจริงๆๆแล้วได้แยกกรณีออกเป็น 2 ประเภทเท่าที่ ข้าพเจ้าได้พิสูทธิ์จากข้อเท็จจริงมา ตามหลักวิทยาศาสตร์ได้มีหลายท่านนำเอา เหล็กไหลทองปลาไหลไปเข้าห้องพิสูจน์ตามวิทยาศาสตร์ปรากฎว่า มีธาตุที่เป็นทองแดง เสียส่วนใหญ่และธาตุอื่นประกอบซึ่งไม่มีส่วนประกอบของทองคำเลย แต่ทำไมกลับสีทองคำได้อย่างอัศจรรย์ นั้นคงอนุมานได้ว่าเป็นเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ของแต่ละถ้ำประกอบด้วยทั้งอาจารย์ผู้อัญเชิญเหล็กไหลประกอบกัน ข้าพเจ้าแบ่งออกให้พอศึกษาได้ 2 ประเภทคือ
1. เหล็กไหลทองปลาไหล ชนิด แม่เหล็กดูดติด ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการอนุมานจิตของอาจารย์ผู้เชิญผนวกกับเจ้าถ้ำพร้อมด้วยเทพเทวดาที่รักษา จึงทำให้เหล็กไหลทองปลาไหลมีธาตุกายสิทธิ์อันสามารถที่แม่เหล็กดูดติดได้จึงเรียกได้ว่า หายากกว่า ชนิดที่ดูดไม่ติดเป็นแน่ๆๆ แต่ต้องมาจากการอัญเชิญเท่านั้นนะทุกท่าน มีความพิเศษเฉพาะตัวของธาตุ เป็นข้อบงชี้ด้วยทางกายภาพ
2. เหล็กไหลทองปลาไหล ชนิด แม่เหล็กดูดไม่ติด ซึ่งได้มีอาจารย์หลายๆๆท่านอัญเชิญออกมาจากถ้ำได้มามากเช่นเดียวกัน ก็เป็นธาตุกายสิทธิ์ตามตารางธาตุที่ เนื้อทองและเนื้อทองแดง แม่เหล็กไม่สามารถดูดติด เป็นหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่มีธาตุไม่ติดแม่เหล็ก เป็นปกติทั่วไป
ข้าพเจ้าเขียนบทความนี้มิได้บัญญัติอาไรชนิดใดๆๆขึ้นมาใหม่ เพียงแต่แนะนำท่านผู้ชอบเล่นหาเช่าบูชาเหล็กไหลแต่ละชนิดได้ถูกทางเผื่อได้มีทางเลือกในการเช่าบูชาเสาะหา เพราะได้มีการเกิดขึ้นจริง มีองค์เหล็กไหลทองปลาไหลที่แม่เหล็กดูดติดจริง. ตามภาพที่ได้นำมาประกอบบทความนี้
(บทความนี้ เขียนขึ้นตามความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านให้เป็นแนวคิด บทความนี้ ข้าพเจ้าเกริกพล ฝอยทอง ได้เขียนขึ้นเพื่อให้ความรู้และอนุญาติสามารถเผยแพร่ความรู้ได้ ไม่ผิดกฏหมายครับท่าน)


[attach]11905[/attach][attach]11906[/attach]  ที่มา Facebook : เกริกพล ฝอยทอง





โดย: Marine    เวลา: 2015-8-24 19:50
[youtube]fghfK2kBknw[/youtube]

เหล็กไหล (1) ตำนานธาตุกายสิทธิ์ | 23-08-58 | ไทยรัฐนิวส์โชว์ | ThairathTV


วันแรกครับ มีทั้งหมด 5 ตอน จะทะยอยนำมาลงครับ


โดย: Marine    เวลา: 2015-8-25 20:52
[youtube]cWmaoq7RP44[/youtube]

เหล็กไหล (2) ตำนานธาตุกายสิทธิ์ | 24-08-58 | ไทยรัฐนิวส์โชว์ | ThairathTV

โดย: Marine    เวลา: 2015-8-27 00:11
[youtube]QkzjL-XwIQE[/youtube]

โดย: Sornpraram    เวลา: 2016-5-17 06:23
   




ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2