Baan Jompra
ชื่อกระทู้:
ภูริทัตต์ พระโพธิสัตว์นาคราช
[สั่งพิมพ์]
โดย:
AUD
เวลา:
2013-7-2 19:27
ชื่อกระทู้:
ภูริทัตต์ พระโพธิสัตว์นาคราช
[attach]3770[/attach]
เรื่องราวของพญานาคชื่อว่า
“ภูริทัตต์”
นี้เป็นเรื่องที่ 6 ใน“ทศชาดก” พูดด้วยภาชาวบ้านก็คือ เป็น “10 เรื่อง 10 ชาติ”สุดท้ายก่อนที่พระโพธิสัตว์จะเกิดเป็นพระเวสสันดรในชาติที่ 10 และบังเกิดเป็น
เจ้าชายสิทธัตถะ
และได้เสด็จออกผนวชจนกระทั่งตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา ทศชาดกนั้นมีดังนี้
1.เตมีย์ชาดก
2.ชนกชาดก
3.สุวรรณสามชาดก
4.เนมิราชชาดก
5.มโหสถชาดก
6.ภูริทัตต์ชาดก
7.จันทชาดก
8.นารทชาดก
9.วิทูรชาดก
10.เวสสันดรชาดก
เรื่องของ
ภูริทัตต์นาคราช
นั้นกล่าวถึงการบำเพ็ญเพียรบารมีขั้นสูงสุดของพระโพธิสัตว์
เมื่อคราวที่บังเกิดเป็นพญานาค
แม้จะถูกเบียดเบียนได้รับทุกทรมารจนปางตายแต่พระองค์ก็ไม่ยอมเสียวาจาสัตย์ที่เคยตั้งสัจจอธิษฐานไว้ ความว่า
พระราชาพระองค์หนึ่งพระนามว่า
“พรหมทัตต์”
ครองราชสมบัติอยู่ที่เมืองพาราณสี ทรงแต่งตั้งให้พระโอรสดำรงตำแหน่ง
“อุปราช”
อยู่ต่อมาพระองค์ทรงระแวงว่าโอรสคิดแย่งราชสมบัติจึงมีพระบรมราชโองการให้ออกไปอยู่นอกเมืองจนกว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์จึงจะกลับมาได้ พระราชโอรสได้ปฏิบัติตามพระราชโองการโดยได้เสร็จไปบวชเป็น
“ฤๅษี”
อาศัยอยู่ที่ริมแม่น้ำชื่อว่า
“ยมุนา”
ครั้งนั้นมีนางนาคตนหนึ่งซึ่งนาคสามีได้ตายจากและนางต้องอยู่แต่เพียงลำพัง เมื่อเกิดความหว้าเหว่จนไม่อาจทนอยู่ในนาคพิภพได้จึงขึ้นมาท่องเที่ยวไปตามริมฝั่ง จนมาถึงศาลาที่พักของพระราชโอรสนางประสงค์ที่จะลองใจว่าฤๅษีผู้พำนักอยู่ในศาลานี้เป็นผู้ที่บวชด้วยจิตเลื่อมใสศรัทธาหรือไม่จึงได้ตกแต่งประดับประดาทีนอนในสาลานั้นด้วยดอกไม้หอม และของทิพย์จากเมืองนาคพิภพเมื่อฤๅษีกลับมาเห็นก็ยินดี ประทับนอนด้วยความสุขตลอดคืน รุ่งเช้าเมื่อฤๅษีออกไปจากศาลานางนาคก็เข้ามาดู เมื่อรู้ว่าที่นอนมีรอยคนนอนจึงรู้ว่าฤๅษีผู้นี้ไม่ได้บวชด้วยความศรัทธาแต่ยังคงยินดีในของสวยงามตามวิสัยคนมีกิเลสจากนั้นจึงจัดเตรียมที่นอนไว้ดังเดิมอีก ในวันที่ 3ฤๅษีเกิดความสงสัยว่าใครเป็นผู้จัดที่นอนออันสวยงามนี้ไว้ จึงทำทีว่าเข้าป่าและแอบดูอยู่บริเวณศาลาและเมื่อนางนาคเข้ามาตกแต่งที่นอน ฤาจึงถามนางว่า เป็นใคร มาจากไหนเมื่อได้รับคำตอบว่าเป็นนาค ชื่อ
มาณวิกา
เมื่อสามีตายจึงเกิดความหว้าเหว่จึงออกมาจากนาคพิภพ ฤามีความยินดีจึงบอกแก่นางว่า หากพึงพอใจก็จงอยู่ที่นี่จากนั้นทั้ง 2 จึงอยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยา เมื่อเวลาผ่านไปนานาคได้ให้กำเนิดโอรสองค์หนึ่งชื่อว่า
“สาครพรหมทัตต์”
ต่อมาก์ประสูตรพระธิดาองค์หนึ่งชื่อว่า “
สมุททชา”
ครั้นเมื่อพระเจ้าพรหมทัตต์สวรรคตแล้วเสนาอำมาตยืทั้งหลายจึงได้จัดกระบวนไปเชิญเสด็จพระราชบุตรกลับมาครองเมืองพระราชบุตรทรงถามนางนาคมาณวิกาว่าจะไปอยู่ในเมืองพาราณสีด้วยกันหรือไม่นางนาคได้กล่าวปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่า ตนเองเป็นนาคที่อารมณ์ร้ายเกรงจะทำอันตรายผู้คน พระราชบุตรจึงนำพาโอรสธิดากลับไปนครพาราณสี
อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่โอรสธิดาเล่นน้ำอยู่ในสระก็เกิดตกใจกลัวเต่าตัวหนึ่งพระบิดาจึงให้คนจับเต่านั้นไปทิ้งไว้ที่วังน้ำวนแม่น้ำยมุนาเมื่อเต่าจมลงไปถึงเมืองนาค และเมื่อถูกพวกนาคจับไว้เต่าก็ออกอุบายบอกนาคทั้งหลายว่า เราเป็นทูตของพระราชาพาราณสีพระองค์ให้เรามาเฝ้าท้าวธตรฐโดยพระองค์จะพระราชทานพระธิดาให้เป็นพระชายาของท้าวธตรฐเมืองพาราณสีกับนาคพิภพจะได้เป็นดองกัน เมื่อท้าวธตรฐได้ฟังก็มรงยินดีจึงสั่งให้นาค 4 ตนเป็นฑูตนำบรรณาการไปถวายพระราชาพาราณสีและขอรับตัวพระธิดามาเมืองนาคพราะราชาเมื่อทรงทราบข่าวก็แปลกพระทัยจึงตรัสกับนาคทั้ง 4 ว่า“มนุษย์กับนาคนั้นต่างเผ่าพันธ์กัน จะแต่งงานกันได้อย่างไร” เหล่านาคทั้ง 4เมื่อได้ฟังดังนั้นจึงกลับไปกราบทูล้าวธตรฐว่าพระราชาพาราณสีทรงดูหมิ่นว่านาคเป็นเผ่าพันธ์งูไม่คู่ควรกับพระธิดา เมื่อท้าวธตรบได้ฟังก็ทรงพิโรธจึงตรัสสั่งให้นาคบริวารทั้งหลายขึ้นไปเมืองมนุษย์แผ่พังพานแสดงอิทธิฤทธิ์ตามสถานที่ต่างๆ เพื่อให้ชาวเมืองยำเกรงจนในที่สุดพระราชาทรงต้องจำยอม และได้ส่ง
พระนางสมุททชา
ให้ไปเป็นชายาของ
ท้าวธตรฐ
ฝ่ายพระนางสมุททชา เมื่อไปอยู่นาคพิภพก็ไม่ทรงรู้ว่าเป็นเมืองนาคเพราะท้าวธตรฐสั่งให้นาคบริวารจำแลงแปลงกายเป็นมนุษย์ทั้งหมดนางก็อยู่อย่างสุขสบายเรื่อยมา จนมีโอรส 4 องค์ ชื่อว่า
สุทัศนะ ทัตตะ สุโภคะและ อริฏฐะ
อยู่มาวันหนึ่ง “อริฏฐะ”ได้ฟังนาคกุมารทั้งหลายบอกว่ามารดาของตนไม่ใช่นาค จึงได้ทดลองดูโดยเนรมิตกายกลับเป็นนาค นางสมุททชาเห็นเช่นนั้นก็ตกพระทัย ได้ปัดอริฏฐะตกจากตักจังหวะนั้นเล็บของพระนางได้ข่วนเอานัยน์ตาของอริฏฐะบอดไปข้างหนึ่งนับตั้งแต่นั้นมานางจึงรู้ว่าสถานที่อยู่นี้เป็นนาคพิภพ และครั้นเมื่อพระโอรสทั้ง4 เจริญวัยขึ้นแล้ว ท้าวธตรฐจึงได้แบ่งสมบัติให้ครอบครองคนละเขต โดยเฉพาะ
“ทัตตะ”
ผู้เป็นโอรสที่ 2 นั้น เป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาดมาก ได้มาเฝ้าพระบิดามารดาอยู่เป็นประจำอีกทั้งช่วยพระบิดาแก้ไขปัญหาต่างๆ อยู่เสมอแม้ปัฐหาของเทวดาทัตตะก็สามารถแก้ไขได้ จึงได้รับการยกย่องและสัญเสริญว่า
“ภูริทัตต์”
คือ
ผู้มีปัญญาดุจแผ่นดิน
อนึ่งภูริทัตต์นั้นได้เคยไปเทวโลกกับพระราชบิดาอยู่เสมอ และเห็นว่าเป็นที่น่ารื่นรมย์จึงตั้งใจว่าจะรักษาอุโบสถศีลเพื่อจะได้ไปเกิดในเทวโลกจากนั้นภูริทัตต์จึงเริ่มรักษาอุโบสถศีล แต่ด้วยนาคบริวารทั้งหลายสร้างความรำคาญจึงขึ้นไปรักษาอุโบสถศีลอยู่ที่เมืองมนุษย์โดยขนดรอบจอมปลวกอยู่ใกล้ต้นไทรริมแม่น้ำยมุนา และได้ตั้งสัจจอธิษฐานว่า
แม้ผู้ใดต้องการหนังเอ็น กระดูก เลือดเนื้อของตน ก็จะยอมบริจาคให้ ขอเพียงให้รักษาศีลให้บริสุทธิ์ก็พอ
ครั้งนั้น มีนายพรานคนหนึ่งชื่อ
“เนสารท”
ออกเที่ยวล่าสัตว์ในแถวแม่น้ำยมุนาและได้มาพบภูริทัตต์นาคราชเข้าเมื่อสอบดูจึงรู้ว่าเป็นโอรสของราชาแห่งนาค ภูริทัตต์ เห็นว่าเนสารทเป็นพรานใจบาปหยาบช้าและอาจเป็นอันตรายแก่ตนได้จึงบอกกับพรานนั้นว่า เราจะพาท่านกับลูกชาย (โสมทัต) ลงไปเสวยสุขอยู่นาคพิภพและเมื่อพรานกับลูกชายลงไปอยู่เมืองนาคได้ไม่นาน ก็เกิดคิดถึงเมืองมนุษย์จึงปรารถกับภูริทัตต์ว่าอยากจะกลับไปเยี่ยมญาติพี่น้องและอยากจะออกบวชรักษาศีลบ้างภูริทัตต์จึงต้องจำยอมพาพรานนั้นกลับไปเมืองมนุษย์ตามเดิม
ครั้งนั้น มีพญาครุฑ ตัวหนึ่งอาศัยอยู่บนต้นงิ้วฝั่งมหาสมุทรด้านใต้วันหนึ่ง ในขณะออกไปจับพญานาคมากินเป็นอาหารพญานาคตัวหนึ่งเมื่อถูกครุฑจับได้เอาหางพันกิ่งไทรที่อยู่ท้ายศาลาพระฤๅษีแห่งหนึ่งไว้จนต้นไทรถอนรากติดมาด้วย ครั้นเมื่อครุฑนั้นฉีกท้องของพญานาคกิน (ไขมัน) แล้วเมื่อทิ้งร่างของพญานาคไปจึงได้เห็นต้นไทร จึงรู้ว่าได้ทำความผิด คือถอนเอาต้นไทรที่เป็นที่อยู่ของพระฤๅษีมาด้วย ทีนั้นพญาครุฑจึงแปลงกายเป็นชายหนุ่มเข้าไปถามพระฤๅษี และเมื่อได้คำตอบจนสบายใจแล้วว่าทั้งตนและพญานาคไม่มีใครผิด และเพื่อเป็นการตอบแทนพญาครุฑในคราบจำแลงจึงได้สอนมนตืชื่อ
“อาลัมพายน์”
อันเป็น
มนต์สำหรับครุฑใช้จับนาค
แก่พระฤๅษี
โดย:
AUD
เวลา:
2013-7-2 19:28
อยู่มาวันหนึ่ง มีพราหมณ์คนหนึ่งเข้าไปในป่า และเผอิญได้พบกับพระฤๅษีจึงได้บวชอยู่ปรนนิบัติ จนพระฤาษีพอใจ ฤๅษีจึงสอนมนต์อาลัมพายน์ให้ ฝ่ายพราหมณ์เห็นว่าตนมีมนต์นี้แล้วอาจจะเลี้ยงตัวได้จึงลาพระฤๅษีกลับไปในระหว่างทาง พราหมณ์นั้นก็เดินสาธยายมนต์ไปด้วย พญานาคทั้งหลายทีขึ้นมาเล่นน้ำเมื่อได้ยินมนต์นั้นก็ตกใจกลัวนึกว่าพญาครุฑมาต่างรีบงสู่นาคพิภพจนลืม
“ดวงแก้วสารพัดนึก”
ไว้บนฝั่งเมื่อพราหมณ์ได้เห็นดวงแก้วก็หยิบไปด้วยและในระหว่างทางก็บังเอิญไปเจอกับพราณเนสราทพร้อมกับลูกชายที่เที่ยวล่าสัตว์อยู่เมื่อพราณเนสราทเห็นดวงแก้วนั้นก็จำได้ว่าเหมือนกับดวงแก้วที่ภูริทัตต์เคยให้ดูเมื่อตอนที่ตนและลูกชายลงไปนาคพิภพจึงออกปากขอดวงแก้วกับพราหมณ์นั้น โดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่า ถ้าอยากจะรู้เรื่องอะไรจะบอกเรื่องนั้นๆ ให้ทราบ พราหมณ์จึงบอกว่าอยากรู้ที่อยู่ของนาคเพราะตนมีมนต์จับนาค พรานเนสราทจึงพาไปดูที่ที่
ภูริทัตต์
รักษาศีลอยู่ฝ่ายโสมทัตต์ผู้เป็นลูกชายเกิดความละอายใจที่บิดาคิดไม่ซื่อสัตย์จะทำร้ายมิตรจึงหลบหนีไป
กล่าวถึงภูริทัตต์นาคราช ในขณะที่จำศีลอยู่เมื่อลืมตาขึ้นดูก็รู้ว่าพราหมณ์คิดจะทำร้ายตน แต่หากจะตอบโต้ศีลก็จะขาดเมื่อปรารถนาจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์จึงหลับตานิ่งเสียขดกายแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด ทันใดนั้นพราหมณ์จึงร่ายมนต์อาลัมพายน์และเข้าไปจับภูริทัตต์นาคราช ได้กดศีรษะ จับปากให้อ้าออก เขย่าให้สำรอกอาหารแต่ภูริทัตต์ก็มิได้ตอบโต้
เมื่อพราหมณ์จับภูริทัตต์ได้แล้ว ได้นำไปออกแสดงให้ประชาชนดูโดยบังคับให้แสดงฤทธิ์ต่างๆ จนเป็นที่พอใจของคนและได้เปิดทำการแสดงจนมาถึงเมืองพาราณสี โดยได้กราบทูลแด่พระราชาว่าจะให้นาคแสดงฤทธิ์เพื่อให้ทอดพระเนตร
ครั้งนั้น
พระนางสมุททชา
เมื่อรู้ว่าภูริทัตต์หายไปจึงให้พี่น้องออกตามหา โดย
สุทัศนะ
ไปโลกมนุษย์โดยมีนาง
อัจจิมุข
ผู้เป็นนน้องสาวต่างมารดาของภูริทัตต์ตามไปด้วย
สุโภค
ะไปป่าหิมพานต์และ
อริฏฐะ
ไปเทวโลก
เมื่อสุทัศนะมาถึงเมืองพาราณสี ก็ได้ข่าวว่ามีพญานาคถูกจับมาแสดงจึงตามไปดู ทีนั้นภูริทัตต์เห็นพี่ชายจึงเลื่อนเข้าไปหาและได้ซบหัวร้องไห้อยู่ที่เท้า จากนั้นจึงเลื่อยกลับไปหาพราหมณ์ พราหมณ์กล่าวกับสุทัศนะไม่ให้กล้ว โดยกล่าวว่า“หากท่านถูกนาคกัด ไม่ช้าก็จะหาย” สุทัศนะตอบว่า “เราไม่กลัวหรอก นาคนี้ไม่มีพิษ”พราหมณ์หาว่าสุทัศนะดูถูกตนหาว่าเอานาคไม่มีพิษมาแสดง จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้นสุทัศนะจึงท้าว่า “เขียดตัวน้อยของเรายังมีพิษมากกว่านาคของท่านเสียอีกจะลองเอามาประชันฤทธิ์กันก็ได้” เมื่อถูกท้าทาย พราหมณ์จึงกล่าวว่า“หากจะให้สู้กันก้จะต้องมีเดิมพันติดปลายนวมเสียหน่อยจึงจะดูสนุก” สุทัศนะจึงขอให้พระราชาพาราณสีเป็นผู้ประกันให้ตนโดยให้เหตุผลว่าพระราชาจะได้ทอดพระเนตรการต่อสู้ระหว่าง
“นาค”
กับ
“เขียด”
เป็นการตอบแทน ซึ่งพระเจ้ากรุงพาราณสีก็ตกลงตามนั้น
โดย:
AUD
เวลา:
2013-7-2 19:29
สุทัศนะจึงเรียกนางอัจจิมุขออกมาจากมวยผม และให้คายพิษลงบนฝ่ามือ 3หยด แล้วทูลว่า “พิษของเขียดน้อยนี้ร้ายแรงนักเพราะนางเป็นธิดาท้าวธตรฐราชาแห่งนาคพิภพและหากพิษนี้หยดลงบนพื้นดินพืชพันธ์ไม้ก็จะตายหมดหรือหากโยนขึ้นไปในอากาศจะเกิดความแห้งแล้ง เพราะฝนจะไม่ตกไป 7 ปี และถ้าหยดลงในน้ำสัตว์น้ำจะตายหมด” ทันใดนั้นสุทัศนะจึงให้ขุดบ่อ 3 บ่อ กล่าวคือ บ่อแรกใส่
ยาพิษ
บ่อที่สองใส่
โคมัย
บ่อที่สามใส่
ยาทิพย์
เมื่อหยดพิษลงในบ่อแรกทันใดนั้นของเกิดควันลุกจนเป็นเปลวไฟ และได้ลามไปติดบ่อที่สองและสามตามลำดับจนกระทั่งยาทิพญ์ไฟม้ฟมดไฟจึงดับ ฝ่ายพราหมณ์ซึ่งยืนอยู่ข้างบ่อไม่ทันระวังตัวได้ถูกไอพิษลวกจนผิวหนังด่างไปทั้งตัว จึงร้องขึ้นด้วยกลัวตายว่า“ข้าพเจ้ากลัวแล้ว ข้าพเจ้าจะปล่อยนาคนั่นให้เป็นอิสระ”ภูริทัตต์ได้ยินดังนั้นจึงเลื่อยออกมาจากที่ขังและเนรมิตกายเป็นมนุษย์ทูลเรื่องทั้งหมดให้พระราชาทรงทราบเมื่อทราบว่าภูริทัตต์เป็นโอรสของพระนางสมุททชาก็เท่ากับเป็นหลานของตัวเองพระราชาจึงทรงเข้าไปโอบกอดพระหลานรักทั้ง 3 พระองค์พร้อมกับตรัสถามข่าวคราวของพระนางสมุททชาผู้เป็นน้องสาวจากนั้นสุทัศนะและนางอัจจิมุขจึงพาภูริทัตต์กลับนาคพิภพ
ฝ่ายสุโภคะที่ออกค้นหาภูริทัตต์ที่ป่าหิมพานต์เมื่อไม่พบจึงกลับมาทางแม่น้ำยมุนาและบังเอิญได้มาเจอกับพรานเนสารทซึ่งกำลังสำนึกผิดในบาปทำตนทำลงไป และต้องถูกลูกชายทอดทิ้งสุโภคะเมื่อทราบดังนั้น จึงเอาหางรัดพันพรานเนสารทลากดึงให้จมน้ำแต่ไม่ให้ตาย(แก้วสารพัดนึกได้หลุดมือจมน้ำไป) แล้วจึงนำไปสู่นาคพิภพเพื่อทำการสืบสวนต่อไป
เมื่อมาถึงนาคพิภพ และทันทีที่พรานเนสารทได้แลเห็นภูริทัตต์ที่บอบช้ำก็ยิ่งรู้สึกเสียใจในบาปมากยิ่งขึ้น แต่ภูริทัตต์ก็ไม่ได้เอาความแต่อย่างใดเพียงให้นำพรานนั้นออกไปจากนาคพิภพก็เท่านั้น
อยู่ต่อมาครั้นถึงวันที่ต้องไปเข้าเฝ้าพระอัยยิกาวึ่งออกบวชอยู่ในป่า(พระเจ้าพาราณสีซึ่งเป็นพระสวามีของนางนาคมาณวิกา)ทั้งฝ่ายของพระราชาพาราณสีและฝ่ายของนาคพิภพได้ยกขบวนมาอย่างยิ่งใหญ่เมื่อพระราชวงศ์ทั้งหมดมาเจอกัน ก็สวมกอดและกรรแสงด้วยดีพระทัยและเมื่อประทับอยู่ด้วยกันระยะหนึ่ง ทั้งหมดจึงแยกย้ายจากกัน
ที่มา -
http://payanakara.blogspot.com/2012/06/blog-post_3868.html
โดย:
Nujeab
เวลา:
2013-7-4 14:25
ขอบคุณครับ
โดย:
Metha
เวลา:
2013-12-14 22:47
ขอบคุณครับ
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2019-4-3 08:28
โดย:
Metha
เวลา:
2019-4-11 10:21
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/)
Powered by Discuz! X3.2