การปลุกเสกนับเป็นอีกหนึ่งกลวิธีสร้างความแตกต่างให้แก่พระเครื่องแต่ละรุ่น โฆษณาพิธีพุทธาภิเษกหรือปลุกเสกความศักดิ์สิทธิ์แก่พระเครื่อง มีให้เห็นเป็นประจำ ซึ่งมักขับเน้นด้วยจำนวนพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง และมีชื่อเสียงด้านต่างๆ ความอลังการของตัวพิธี หรือการนิมนต์พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ณัฐพลกล่าวว่า
“ต้นทุนส่วนนี้ บางครั้งก็ขึ้นกับว่าเป็นการประกอบพิธีพุทธาภิเษกตามรูปแบบโบราณหรือเปล่า เพราะต้องนิมนต์พระค่อนข้างมาก เช่น ต้องสวดชัยมงคลคาถาต้องนิมนต์พระมาสวด 108 รูป ต้องมีพระอันดับทั้ง 32 รูป รวมถึงพระเกจิชื่อดังที่เป็นที่ยอมรับปรกอีก 4 ทิศ คือ ค่านิมนต์พระเกจิ ณ ตอนนี้ เท่าที่ผมได้ยินก็ประมาณ 30,000-50,000 บาท ต่อรูปต่อวัน ซึ่งโดยปกติจะเสร็จในวันเดียว นอกจากว่านิมนต์ปลุกเสกเดี่ยวในช่วงไตรมาส ช่วงเข้าพรรษา อันนั้นก็แยกออกไป ส่วนพระโดยทั่วไปจะได้ประมาณ 300-1,000 บาท แล้วแต่เจ้าภาพจะจัดได้ขนาดไหน นอกจากนี้ยังมีค่าบวงสรวงก่อนทำพิธี เช่น ค่าบวงสรวงเตาไฟ ค่าบวงสรวงปรัมพิธี โดยประมาณก็ 10,000-20,000 บาทต่อพิธี ส่วนนี้เป็นการเก็บข้อมูลมาเมื่อสักประมาณปี-2 ปีที่แล้ว”
อย่างไรก็ตาม อนุชากล่าวว่า ใช่ว่าพิธีปลุกเสกใหญ่โตและจำนวนพระเกจิจำนวนมาก จะช่วยให้พระเครื่องรุ่นนั้น ๆ เป็นที่นิยมในตลาดเสมอไป พระเครื่องบางรุ่นที่ผ่านพิธีการปลุกเสกเอิกเกริก ก็ไม่ช่วยให้เป็นที่นิยมหรือมีราคาสูงมากขึ้น ขณะที่พระเครื่องบางรุ่นได้รับการปลุกเสกจากพระเกจิชื่อดังเพียงรูปเดียวอาจเป็นที่ต้องการของตลาดมากกว่า กรณีที่ชัดเจนคือ พระเครื่องของพระเทพวิทยาคม หรือหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา
สายส่งพระเครื่องวัดแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้
ด้านการกระจายตัวสินค้า ปัจจุบันมีความแตกต่างจากเมื่อก่อนที่ศูนย์กลางจะอยู่ที่วัด แต่ยุคนี้ วัดต่างๆ เปิดศูนย์พระเครื่องและวัตถุมงคลเป็นของตัวเอง อนุชาขยายความว่า
“คนไปขอเปิดตามวัดต่าง ๆ แต่ละวัดก็จะมีศูนย์พระ จะไปเอาพระมาขายแล้วก็แบ่งเปอร์เซ็นต์ อย่างเช่นทุกวันนี้ ศูนย์พระต่างๆ ได้ประมาณสิบเปอร์เซ็นต์ คนวางได้สิบห้าหรือห้าเปอร์เซ็นต์ สมมติว่าผมเป็นคนเดินพระ ผมเหมือนสายส่งหนังสือพิมพ์ไปรับพระมาจากวัด แล้วก็เดินไปตามศูนย์พระต่าง ๆ แล้วผมก็มาเก็บเงินทีหลัง เอาไปให้วัดแล้วหักเปอร์เซ็นต์ ผมก็ได้เปอร์เซ็นต์ตรงนั้น นี่คือการกระจายพระเครื่อง ซึ่งเป็นพระใหม่ ดังนั้นถ้ามีศูนย์พระเป็นจำนวนมากการกระจายมันก็โอเค”
ส่วนจะได้กี่เปอร์เซ็นต์ก็ขึ้นกับทางวัดแต่ละแห่ง ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นสายส่งต้องบริหารจัดการเอง ว่าจะเหลือเข้ากระเป๋าเท่าใด เมื่อหักต้นทุนส่วนอื่น ๆ แล้ว
งบโฆษณาสูงสุด-ปั่นกระแส สร้างราคา
แต่ต้นทุนทั้งหมดข้างต้น-การออกแบบผลิตภัณฑ์ พิธีปลุกเสก หรือค่ากระจายสินค้า ยังไม่ใช่ต้นทุนส่วนที่สูงที่สุด เพราะต้นทุนหลักในการผลิตพระเครื่องให้ติดตลาดและราคาดีคือต้นทุนส่วนการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่างๆ ณัฐพล กล่าวว่า อาจสูงถึง 60-70 เปอร์เซ็นต์ของต้นทุนทั้งหมด
ทว่า ยังมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์อีกรูปแบบหนึ่งที่เรียกกันว่า ปั่นกระแส ซึ่งมักมาคู่กับการปั่นราคา ณัฐพลเปิดเผยว่า
“การสร้างพุทธคุณออกมาให้ปรากฎ เช่น การสร้างเรื่องอภินิหาริย์ว่า ถูกรถชนแล้วไม่เป็นอะไร ก็จะไปดูว่าแขวนพระอะไร แต่พวกนี้ก็จะมีนอกมีในกับพวกมูลนิธิหน่วยกู้ภัยเหมือนกัน ผมเคยได้ข้อมูลมา หรืออีกวิธีการหนึ่งคือการร่วมมือกับพวกเซียนพระ เมื่อไหร่ก็ตามที่คนกลุ่มนี้บอกว่า รับซื้อพระรุ่นนี้ ในราคาเท่านี้ ตลาดก็จะไปตีเอาว่ากระแสเริ่มหันมาทางนี้แล้ว ราคาพระก็จะขึ้น ซึ่งมีบ่อยครั้งที่ผู้ผลิตพระและเซียนจะจับมือกันเพื่อสร้างกระแส”
ณัฐพลอธิบายว่า การปั่นราคาพระเริ่มจากการแอบเก็บพระไว้ ขณะเดียวกันก็มีการเสนอราคาพระให้สูงขึ้น แล้วรับซื้อในช่วงแรก ตัวอย่างเช่น วัดแห่งหนึ่ง จำหน่ายพระใหม่ในราคา 100 บาท เมื่อจำหน่ายหมด วัดจะได้ส่วนแบ่งประมาณครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งเป็นของผู้ผลิต แต่ภายหลังผู้ผลิตจะกลับไปกว้านซื้ออย่างเงียบ ๆ ในราคา 110-120 บาท เมื่อเก็บไว้ได้ระดับหนึ่งจะประกาศออกว่า ต้องการพระองค์นี้ ให้ราคาที่ 150-200 บาท ผู้ที่มีพระดังกล่าวในครอบครองก็จะนำมาปล่อยให้ ระยะแรกที่ปล่อยขายได้ผู้คนจะเห็นว่าพระองค์นี้ราคาดี ขายได้ ก็จะเริ่มมีการปั่นราคาพระขึ้นไปอีก เริ่มมีการให้ 250-300 บาท พอถึงจุดอิ่มตัว พระที่ผู้ผลิตซื้อเก็บไว้ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ในราคา 120 บาทจะถูกปล่อยออกมาในราคา 250-280 บาท ให้ถูกกว่าเจ้าอื่น คนอื่น ๆ จะเริ่มซื้อกักตุนพระเครื่องของที่พึ่งปล่อยออกมา การปั่นราคาจะสิ้นสุด เมื่อผู้ผลิตปล่อยพระได้หมด ซึ่งวิธีการเช่นนี้คล้ายคลึงกับคำบอกเล่าของอนุชาที่ระบุว่า
“ที่เขาทำกันสมัยก่อนคือไปเดินซื้อ จนเกิดการบอกต่อว่าพระเครื่องรุ่นนี้ขายได้ แบบนี้เรียกปั่น คือตามเก็บเลย พระรุ่นนี้ข้ามีอยู่แล้ว ข้าทำเยอะหรือเช่าไว้เยอะ ก็ใช้วิธีกว้านซื้อให้รู้ว่ามีคนต้องการ ปล่อยออกไป แล้วก็กว้านซื้อกลับมา ปัจจุบันก็ยังมี ปั่นง่าย เพราะการซื้อขายเดี๋ยวนี้ง่ายที่สุดคือการซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ต เขาปั่นกันทางเน็ต สร้างกระแสให้พระรุ่นนี้ ดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ ก็เข้าไปซื้อกัน ให้ราคาสูง ๆ ปั่นจนพระเริ่มไม่มีหรือมีน้อย ราคาก็จะเพิ่มขึ้นไปเลย คือถ้าคนมีเงินทำได้ ถ้าคุณอยากจะปั่น เพียงแต่ว่าคุณจะกล้าปั่นหรือไม่เท่านั้นเอง”
แล้วใครคือคนที่กล้าปั่น? อนุชาตอบว่า คนที่กล้าปั่นคือ คนที่รู้จำนวนพระที่แท้จริง นั่นย่อมหมายถึงคนสร้างหรือคนในแวดวงผู้สร้างพระเครื่องว่า พระเครื่องรุ่นไหนสามารถปั่นราคาได้ รู้ว่าพระรุ่นนี้อยู่ที่ใคร แล้วพยายามกว้านซื้อกลับมา
“พอลงในอินเตอร์เน็ตก็ประมูลราคาสูงทันที ให้ราคาสูงเป็นแสน เป็นล้านบาท สู้กัน ปั่นกันไป คือถ้าปั่นของมันต้องน้อย ถ้ากระจายอยู่ในท้องตลาดมากคุณปั่นไม่ขึ้น ไม่มีโอกาสไปปั่น เพราะการปั่นรารานั่นคือของไม่มีถึงจะปั่นได้ คนต้องการมากแล้วของไม่มี แต่การปั่นกระแส บางทีกระแสก็ช่วยปั่นอะไรไม่ได้ คุณไปรถคว่ำไม่ตาย คุณบอกห้อยองค์นี้ แต่ว่าถ้าของยังมีจำนวนมากอยู่คุณจะปั่นยังไง”
เมื่อพระเครื่องกลายเป็นธุรกิจ เป็นการออม และมีการเก็งราคาไม่ต่างจากการซื้อ-ขายหุ้น จึงไม่แปลกที่ปัจจุบันจะมีหนังสือเกี่ยวกับการเล่นพระให้รวย อนุชากล่าวว่า สำหรับพระเครื่องรุ่นใหม่ ๆ ที่มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ดี ๆ สามารถอยู่ในกระแสได้นานประมาณ 6 เดือน แต่ก็ยังเป็นภาระของผู้เล่นที่จะต้องมองตลาดเป็น หรืออ่านให้ขาดว่า พระเครื่องรุ่นไหนจะเป็นที่ต้องการของตลาดในช่วง 6 เดือนจากนี้ และต้องแบกรับความเสี่ยงจากการลงทุนเอง
นี่น่าจะเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของการสร้างมูลค่าพระเครื่อง ขณะที่เทคโนโลยีรุดหน้า ช่องทางการสื่อสารผุดขึ้นมากมาย ทั้งอินเตอร์เน็ต ทีวีดาวเทียม เคเบิ้ลทีวี กลวิธีการทำการตลาดและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์แห่งศรัทธาคงจะมีการพัฒนารูปแบบใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นตามมาอีกมาก ตราบเท่าที่ผู้คนยังต้องการสิ่งยึดเกาะทางจิตใจ
...............................................
(หมายเหตุ : ปลุกกระแส-สร้างราคา'พระเครื่องใหม่' บนเส้นทางธุรกิจศรัทธามูลค่า4หมื่นล้าน : กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล ศูนย์ข่าว TCIJ รายงาน http://tcijthai.com/tcijthainews/view.php?ids=4016)
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) | Powered by Discuz! X3.2 |