Baan Jompra
ชื่อกระทู้:
ตำนานช้างในพระพุทธศาสนา
[สั่งพิมพ์]
โดย:
oustayutt
เวลา:
2015-5-5 12:27
ชื่อกระทู้:
ตำนานช้างในพระพุทธศาสนา
ตำนานช้างใน
พระพุทธศาสนา
[attach]10743[/attach]
พญาช้างฉัททันต์
ในสมัยดึกดำบรรพ์นานมาแล้ว มีสระใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง กว้างยาว 52 โยชน์ ลึกราว 12 โยชน์ สระแห่งนี้มีชื่อว่าฉัททันต์ ทางด้าน
ตะวัน
ออกเฉียงเหนือของสระนี้มีต้นไทรใหญ่อยู่ด้านหนึ่ง และทางด้านตะวันตกมีถ้ำทองที่มีชื่อว่า กาญจนคูหา ในครั้งนั้น มีช้างเผือกเชือกหนึ่ง ชื่อว่า พญาฉัททันต์ ได้อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้ๆ สระแห่งนี้ เว้นแต่ในฤดูฝนอันเป็นเวลาที่พญาฉัททันต์ หลบฝนเข้าไปอยู่ในกาญจนคูหา
ลักษณะของพญาฉัททันต์กล่าวว่า สูงถึง 88 ศอก ยาว 120 ศอก งวงยาว 58 ศอก งาวัดโดยรอบโต50 กำ และมีรัศมี 6 อย่าง จึงได้นามว่า ฉัททันต์ ผิวกายมีสีขาวดั่งสีเงิน งาขาวดั่งเงินยวง งวง หาง และ เล็บแดง สันหลังแดง มีพละกำลัง เดินตั้งแต่เช้าไปไม่ทันสายได้ระยะทางถึง 3,610,350 โยชน์ นับว่าเดินเร็วมากทีเดียว พญาช้างฉัททันต์มี
บริวาร
ถึง 8,000 เชือก มีมเหสีชื่อ จุลสุภัททาและมหาสุภัททา เป็นช้างเผือกเหมือนกัน
เรื่องราวของพญาช้างฉัททันต์นี้
พระพุทธเจ้า
ทรงยกขึ้นมาเล่าให้ภิกษุทั้งหลายฟัง ในขณะที่เสด็จประทับอยู่ที่เชตุวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี พระองค์ได้ทรงปรารภถึงภิกษุณีสาวรูปหนึ่งซึ่งมาฟังพระธรรม
เทศนา
ที่พระองค์ทรงแสดง แล้วมีอาการหัวเราะแล้วร้องไห้ พระองค์จึงแย้มพระโอษฐ์ ให้ปรากฏแก่ภิกษุ ทั้งหลาย เมื่อพระภิกษุเหล่านั้นทูลถามถึงสาเหตุ พระพุทธเจ้าจึงทรงเล่าเรื่องราว ดังต่อไปนี้
ภิกษุณีรูปนี้เป็นธิดาของผู้มีตระกูลในเมืองสาวัตถี เมื่อออกบวชในพุทธศาสนาแล้วได้มาฟัง
ธรรมเทศนา
พร้อมภิกษุณีทั้งหลาย สาเหตุที่ภิกษุณีแสดงอาการเช่นนั้นเนื่องจากในขณะที่นางฟังธรรมเทศนา อยู่นั้น นางได้เพ่งดูความสง่างามผุดผ่องของพระพุทธองค์ แล้วระลึกไปถึงชาติก่อนๆ ว่านางเคยเป็น บาทบริจาริกาของมหาบุรุษนี้หรือไม่ ก็ระลึกได้ว่าเมื่อครั้งที่พระพุทธองค์เป็นช้างฉัททันต์ นางเคยเป็นคู่ครองของพญาช้าง ก็บังเกิดความปิติยินดียิ่งจนไม่อาจสะกดไว้ได้ ถึงกับหัวเราะออกมาดังๆ แต่ครั้นมาหวนคิดได้ว่าอีกชาติหนึ่งนางเคยใช้ให้นายพรานโสณุดร ยิงพญาช้างด้วยลูกศรอาบยาพิษ พร้อมทั้งให้ตัดงาอันมีรัศมี 6 สี ทั้งคู่มาให้นางจนเป็นเหตุให้พญาช้างสิ้นชีวิตลง เพราะความอาฆาตของนาง นางจึงบังเกิดความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ไม่อาจกลั้นความเศร้าโศกไว้ได้ ถึงกับสะอื้นไห้ออกมาดังๆ
ช้างปาลิไลยกะ
ช้างปาลิไลยกะ เป็นช้างที่รู้จักกันดีในพระ
พุทธประวัติ
เพราะเป็นช้างที่ได้ปรนนิบัติพระพุทธเจ้าตลอดพรรษที่ 10 นับตั้งแต่พระพุทธองค์ตรัสรู้ ในขณะที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปประทับจำพรรษาที่ป่ารักขิตวัน ใกล้หมู่บ้านปาลิไลยกะ ใกล้เมืองโกสัมพี หมู่บ้านนี้จึงมีความสำคัญในพุทธศาสนา
ช้างปาลิไลยกะเป็นช้างพลายหัวหน้าโขลงที่มีกำลังแข็งแรง ต่อมาเกิดความเบื่อหน่ายต่อการอยู่รวมกับช้างเป็นจำนวนมากในโขลง เพราะช้างเหล่านั้นประพฤติตนไม่อยู่ในระเบียบ ทั้งในเรื่องอาหารการกิน และการดำรงชีวิตอยู่ เช่น แย่งกินหญ้าหมด พญาช้างต้องกินต้นหญ้าที่เหลือ นอกจากนี้ช้างโขลงนั้นยังลงกินน้ำในแอ่งหรือสระก่อน และทำน้ำขุ่น พญาช้างต้องกินน้ำขุ่นๆ ช้างพังก็มักชอบเดินเสียดสีกายพญาช้าง เมื่อต้องลงไปท่าน้ำหรือขึ้นจากน้ำ ช้างปาลิไลยกะจึงตัดสินใจแยกตัวจากโขลงไปเป็นช้างโทนอยู่ตามลำพังเพื่อความสุขสงบของตนเอง
ในเวลาเดียวกันนั้น พระพุทธองค์ทรงเบื่อระอาภิกษุชาวโกสัมพี ที่ทะเลาะวิวาทกันด้วยเรื่องเล็กน้อย จึงทรงหลีกออกจากพระภิกษุไปแต่พระองค์เดียว จึงเสด็จไปทางหมู่บ้านปาลิไลยกะ ประทับอยู่ที่บริเวณ ใต้ต้นสาละที่ชายป่ารักขิตวัน จำพรรษาอยู่ ณ ที่นั้น
หลังจากนั้นช้างปาลิไลยกะก็เดินทางไปถึงที่ซึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ได้เข้าไปทำความเคารพด้วยความเลื่อมใส
ศรัทธา
เนื่องจากเป็นช้างที่เฉลียวฉลาด เมื่อเห็นพระพุทธองค์ประทับอยู่เพียงพระองค์เดียว ไม่มีสิ่งใดจะเป็นเสนาสนะของพระองค์ พญาช้างมีความปรารถนาที่จะปรนนิบัติพระพุทธเจ้า
ช้างปาลิไลยกะได้ปรนนิบัติต่อพระพุทธเจ้าเช่นนี้เป็นประจำตลอดพรรษา คือเป็นระยะเวลา 3 เดือน หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าจึงออกเดินทางต่อ โดยพญาช้างเดินตามมาขวางทางไว้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสแก่พญา-ช้างว่า พระองค์เสด็จไปแล้วไม่กลับมาอีก ขอให้พญาช้างหยุดเพียงนี้ พญาช้างมีความอาลัยจึงสอดงวงเข้าปากแล้วร้องไห้ เดินตามไปข้างหลังจนใกล้เขตหมู่บ้าน พระพุทธองค์ทรงบอกพญาช้างให้กลับเพราะต่อไปจะเป็นที่อยู่ของมนุษย์ จะมีอันตรายอยู่รอบข้าง พญาช้างจึงยืนร้องไห้อยู่ ณ ที่นั้น มองดูพระพุทธองค์ จนกระทั่งเสด็จห่างไปลับสุดสายตาแล้วจึงหัวใจวายสิ้นลงทันใด และเนื่องจากช้างปาลิไลยกะมีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า จึงได้เกิดใน
สวรรค์
เป็นเทพบุตร ชื่อ ปาลิไลยกะเทพบุตร อยู่วิมานทองสูง 30 โยชน์ในสวรรค์ดาวดึงส์ ในท่ามกลางนางอัปสรนับพัน
โดย:
oustayutt
เวลา:
2015-5-5 12:38
นาฬาคิรี
ภาพพุทธประวัติจากวัดพระรามเก้า
เมื่อพระเทวทัตวาง
แผนการประทุษร้ายต่อพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ประสบผลสำเร็จทั้ง ๒ ครั้ง ในครั้งที่ ๓ พระเทวทัตได้ติดสินบนแก่ควาญช้างเพื่อให้มอมเหล้าพญาช้างนาฬาคิรีด้วยสุราถึง ๑๖ กระออม จนพญาช้างเกิดความคลุ้มคลั่งแล้วปล่อยให้ไปทุษร้ายพระพุทธองค์ขณะเสด็จพุทธดำเนินบิณฑบาตโปรดสัตว์พร้อมเหล่าภิกษุสงฆ์สาวก
เหล่ามหาชนได้เห็นพญาช้างวิ่งทะยานมาตามถนนต่างรีบตะโกนบอกต่อ ๆ กันไปและหลบเข้าที่ปลอดภัย ขณะพญาช้างส่งเสียงกึกก้องโกญจนาทวิ่งตรงเข้าหาพระบรมศาสดา พระอานนท์เถระพุทธอุปัฏฐากเกรงอันตรายจะเกิดแก่พระพุทธองค์ จึงวิ่งออกมาขวางพญาช้างหมายน้อมถวายชีวิตพลีแด่พระศาสดา แม้พระผู้มีพระภาคาจะตรัสเรียกถึง ๓ ครั้ง แต่พระอานนท์ก็มิยอมถอยกลับ
พระอานนท์นั้นเป็นผู้มีความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ท่านยอมสละชีพของท่านเพื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เมื่อช้างนาฬาคิรีวิ่งเข้ามาทางพระพุทธองค์ พระอานนท์จึงได้เดินล้ำมาเบื้องหน้าพระศาสดา ด้วยคิดหมายจะเอาองค์ป้องกันสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มีพระพุทธดำรัสให้พระอานนท์หลีกไป อย่าป้องกันพระองค์เลย แต่พระอานนท์ได้กราบทูลว่า
“
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชีวิตของพระองค์มีค่ายิ่งนัก พระองค์อยู่เพื่อเป็นประโยชน์แก่โลก เป็นดวงประทีปของโลก เป็นที่พึ่งของโลก ของพระองค์อย่าเสี่ยงกับอันตรายครั้งนี้เลย ชีวิตของข้าพระองค์มีค่าน้อย ขอให้ข้าพระองค์ได้สละสิ่งซึ่งมีค่าน้อยเพื่อรักษาสิ่งที่มีค่ามาก เหมือนสละกระเบื้อง เพื่อรักษาซึ่งแก้วมณีเถิดพระเจ้าข้าฯ
”
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า
“
อย่าเลยอานนท์ บารมีเราได้สร้างมาดีแล้ว ไม่มีใครสามารถปลงชีวิตของตถาคตได้ ไม่ว่าสัตว์ดิรัจฉานหรือมนุษย์หรือเทวดามารพรหมใด ๆ
”
ในขณะนั้นช้างนาฬาคิรีวิ่งมาจนจะถึงพระองค์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระบรมศาสดาจึงใช้พุทธปาฏิหาริย์บันดาลให้พญาช้างวิ่งเสไปทางอื่น แล้วทรงแผ่เมตตาตรัสเรียกพญาช้างนาฬาคิรีให้ได้สติสร่างเมาสิ้นพยศทรุดกายลงนั่งยกงวงขึ้นถวายอภิวาทแทบบาทพระศาสดา พระผู้มีพระภาคทรงยกพระหัตถ์ขวาลูบกระพองศีรษะพญาคชสารพร้อมประทานโอวาท ให้หยุดกระทำปาณาติบาตละเลิกความโกรธ มีเมตตา จิตสร้างบุญกุศลไม่คิดเบียดเบียน พร้อมกับตรัสว่า
“
นาฬาคิรีเอ๋ย เธอกำเนิดเป็นดิรัจฉานในชาตินี้ เพราะกรรมอันไม่ดีของเธอในชาติก่อนแต่งให้เธออย่าประกอบกรรมหนัก คือทำร้ายพระพุทธเจ้าเช่นเราอีกเลย เพราะจะมีผลเป็นทุกข์แก่เธอตลอดกาลนาน
”
พญาคชสารได้ฟังพระโอวาทเกิดตื้นตันใจหลั่งน้ำตาไหลรินอาบหน้า ก้มเศียรเกล้าวันทาแล้วถวายบังคมพระยุคลบาท น้อมรับฟังพระพุทธดำรัสด้วยอาการดุษฎี เดินกลับหลังไปสู่โรงช้างดังเดิม (ในคัมภีร์อนาคตวงศ์กล่าวว่า ในอนาคตกาลนับจากพระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้าไป จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้อีกหลายพระองค์ และช้างนาฬาคิรี จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าพระติสสพุทธเจ้า)
เหล่ามหาชนต่างแซ่ซ้องพนมมือขึ้นสาธุการด้วยความปีติในพุทธปาฏิหาริย์
ในพุทธประวัติกล่าวไว้ว่า พระบรมศาสดาทรงทราบถึงการหมายประทุษร้ายของพระเทวทัตอยู่ก่อนแล้วด้วยข่าวนี้ได้รั่วไหลไปสู่มหาชนจึงต่างนำความมากราบทูลพระพุทธองค์ซึ่งเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร พร้อมทั้งขอให้พระผู้มีภาคและเหล่าภิกษุสงฆ์งดการบิณฑบาตเพื่อความปลอดภัย มหาชนต่างนัดหมายว่าจะนำภัตตหารมาถวายโดยพร้อมเพรียงกัน แต่ด้วยพระเมตตาปรารถนาที่จะโปรดพญาคชสารนาฬาศิรี พระพุทธองค์จึงนำเหล่าภิกษุสงฆ์ออกบิณฑบาตในเช้าวันนั้น แล้วจึงเสด็จกลับมารับไทยทานของเหล่ามหาชนผู้มีศรัทธา
โดย:
ธี
เวลา:
2015-5-6 11:12
ขอบคุณครับ
โดย:
SHA
เวลา:
2015-5-7 15:39
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/)
Powered by Discuz! X3.2