◎ วิชาขมังธนู ◎
หมายถึงธนูที่ใช้กระสุนดินเหนียวปั้นเป็นลูกกลมๆ แบบที่เด็กๆ ใช้ยิงกับหนังสะติ๊ก วิชาคันธนูหรือคันกระสุนนี้ ถูกถ่ายทอดกันมาแต่โบราณคณาจารย์รุ่นเก่าๆ ที่ท่านขมังเวทย์ มักจะสำเร็จวิชาขมังธนูนี้ด้วย แต่เดิมนั้นผู้เขียนเชื่อว่าวิชานี้คงใช้ประโยชน์ในการศึกษาสงครามมากกว่าเพราะขุนพลนักรบโบราณล้วนต้องเชี่ยวชาญตำรับพิชัยสงคราม และชำนาญพระเวททั้งนั้น คงต้องเรียนรู้วิชาขมังธนูนี้เพื่อการศึกเป็นแม่นมั่น
ต่อมาภายหลัง ความจำเป็นที่จะต้องใช้วิชานี้ลดน้อยลง และคณาจารย์รุ่นเก่าๆ ก็ล้มหายตายจากไป วิชานี้จึงสูญเสียการถ่ายทอดไป เข้าใจว่าหลวงพ่อฟุ้ง ท่านคงจะได้รับการถ่ายทอดวิชาขมังธนูมาจากอุปัชฌาย์ของท่านคือ พระครูศรีฯ วัดพระปรางค์ ซึ่งกิตติศัพท์ความขมังเวท ของพระครูศรี ในสมัยนั้นจัดอยู่ในระดับแนวหน้าสุดของ จ.สิงห์บุรี และเป็นหนึ่งในสุดยอดคณาจารย์สายภาคกลาง เท่าที่ได้ข้อมูลมา หลวงพ่อฟุ้งท่านเคยแสดงวิชาคันกระสุนอันแม่นยำหลายครั้ง แต่มีผู้ยืนยันว่าที่เห็นกับตา ๒ ครั้ง ครั้งแรกนั้นท่านใช้กับสัตว์ ส่วนครั้งที่สองท่านใช้กับคน
นายหงวน เป็นชาวบ้านบนเหนือวัดสะเดา มีความสนิทคุ้นเคยกับหลวงพ่อฟุ้งมาก บางครั้งจึงพูดจาหยอกล้อหลวงพ่ออย่างเป็นกันเอง มีอยู่วันหนึ่งนายหงวนแกมาหาปลาอยู่ในนาแถบๆ เหนือวัดแต่ก็ไม่ไกลมากนัก ขณะกำลังเพลินๆ กับการหาปลา คงนึกครึ้มและคันปากขึ้นมาจึงร้องลิเกหยอกหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อ หลวงพี่ เมื่อไหร่จะสึกเสียที สีกาเขามาคอย” ขณะนั้นหลวงพ่อกำลังนอนเล่นอยู่หน้าพระประธาน คงได้ยินเสียงนายหงวนร้องลิเกล้อ จึงคิดจะแก้ลำสั่งสอนเสียบ้าง จึงคว้าเอาคันกระสุนซึ่งวางอยู่ใกล้ๆ ตัวออกมา แล้วออกมา แล้วง้างสายกระสุนเล็งไปทางทิศตะวันตก ซึ่งอยู่คนละทางกับที่นายหงวนร้องลิเกอยู่ เมื่อหลวงพ่อปล่อยลูกกระสุนออกไป ชาวบ้านหลายคนในที่นั้นก็แลเห็นอยู่ว่าหลวงพ่อเล็งส่งเดชไปทางทิศตะวันตก
แต่พอกระสุนหลุดจากรังก็ได้ยินเสียงนายหงวนร้องดัง.......โอ้ย!!!..........และเสียงต่อมาก็คือละล่ำละลักว่า.....กลัวแล้วหลวงพ่อ....กลัวแล้วครับ ปรากฏว่าแทนที่นายหงวนจะวิ่งหนีกลับบ้านกลับวิ่งมาที่วัดตรงมาหาหลวงพ่อ มือนั้นกุมหน้าผากมา ปากก็สูดปากร้องด้วยความเจ็บปวด เมื่อมาถึงแทนที่จะโกรธกลับก้มลงกราบหลวงพ่อ ฝ่ายหลวงพ่อก็ยิ้มหัวเราะชอบใจ แสร้งถามว่า “หัวไปโดนอะไรมา” นายหงวนก็ตอบว่า “หลวงพ่อไม่น่าทำผมเลย” พูดพลางก็เขยิบเข้าไปหาหลวงพ่อยื่นหน้าเข้าไปใกล้ หลวงพ่อก็เอามือจับหน้าผากเป่าพรวดลงไปตรงรอยปูดเท่าผลมะนาว เพียงหลวงพ่อเป่า ๒-๓ ครั้ง หน้าผากที่ปูดโน ก็ค่อยๆ ยุบลงจนหายเป็นปกติ นายหงวนจึงกราบลา และอีก ๒-๓ วันต่อมาก็นำสำรับกับข้าวมาถวายหลวงพ่อเป็นการลุแก่โทษที่ล่วงเกินหลวงพ่อ
คุณลุงไม้ ไม้ดัด อายุ ๖๘ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๕๙ ม.๗ ต.บางกระบือ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี ซึ่งท่านเป็นกรรมการวัดกรุณาเล่าให้ฟัง
ส่วนเรื่องความขมังธนูเรื่องที่สองนี้ คุณลุงเขียว ลอกเสือ มรรคทายกวัดวัย ๗๐ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๕๙ ม.๗ ต.บางกระบือ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี เป็นผู้เล่าให้ฟัง คุณลุงเขียว เล่าว่า ขณะนั้นท่านยังเป็นลูกศิษย์วัด และอยู่กับหลวงพ่อฟุ้ง วันหนึ่งลุงเขียวแลเห็นเหยี่ยวแดงตัวใหญ่บินมาโฉบเอาลูกไก่ไปกิน เจ้าเหยี่ยวแดงตัวนี้มา ล่าเอาชีวิตลูกไก่เสียหลายตัวแล้วหลวงพ่อเองก็ยังไม่สบโอกาส จนกระทั่งลุงเขียววิ่งกระหีดกระหอบไปบอกว่า เมื่อครู่เห็นเหยี่ยวแดงตัวเดิม บินมาโฉบเอาลูกไก่ขึ้นไปเกาะบนกิ่งสะเดาใหญ่หน้าวัด แต่ตอนนี้ไม่ทราบว่าตัวเหยี่ยวอยู่ที่ไหนเสียแล้ว คงเกาะอยู่ในพุ่มสะเดาแน่ๆ เพราะยังไม่เห็นไปไหน และเข้าใจว่าคงกำลังกินลูกไก่เคราะห์ร้ายอยู่ หลวงพ่อคว้ากระสุนก็เล็งไปที่ต้นสะเดาโดยที่มองไม่เห็นเป้า เสร็จแล้วก็ปล่อยกระสุนออกไป ลุงเขียวบอกได้ยินเสียงดังป๊อก.........แล้วมีของหนักๆ ร่วงลงมาจากต้นสะเดา หลวงพ่อจึงใช้ให้ลุงเขียววิ่งไปเก็บเอามา เมื่อไปถึงใต้ต้นสะเดา (ไกลจากกุฏิหลวงพ่อมาก) ลุงเขียวเห็นเยี่ยวแดงตัวใหญ่นอนตะแคงอยู่ แต่ตายังลืมแป๋วอยู่ จึงเข้าไปรวบปีกวิ่งเอามาให้หลวงพ่อ หลวงพ่อรับเอาเหยี่ยวมาลูบตามปีกตามหัว ๒-๓ ทีแล้ว ก็บอกให้ลุงเขียวเอาขังกรงไว้ก่อน เมื่อมันแข็งแรงดีแล้วจึงค่อยปล่อยไป ทุกวันหลวงพ่อจะเอาอาหารป้อนเหยี่ยวเองและพูดเป็นทำนองสอนเหยี่ยวว่า ทีหลังอย่ามาขโมยลูกไก่ไปกินอีก เพราะผิดศีลทั้งข้องปาณาฯ และข้ออทินนาฯ ทั้งยังเป็นบาปกรรมที่พรากลูกพรากแม่เค้า หลวงพ่อท่านป้อนไปสอนไป ๒-๓วัน เมื่อเห็นว่าเหยี่ยวแข็งแรงดีแล้วก็สั่งให้ลุงเขียวปล่อยไปและหลังจากนั้นมาเหยี่ยวตัวนั้น ก็ไม่มารบกวนอีกเลย
วิธีการทำลูกกระสุนของหลวงพ่อ ลุงไม้และลุงเขียว ได้อธิบายว่า หลวงพ่อท่านก็เอาดินเหนียวแถวๆ ใกล้ๆ วัดมาปั้นคลึงให้เป็นลูกกลมๆ แต่เวลาปั้นคลึงจะต้องภาวนาคาถากำกับไปด้วยตลอดเวลา ลุงเขียวเล่าว่า วันหนึ่งๆ หลวงพ่อท่านจะนั่งปั้นกระสุนจำนวน ๓ ลูก ท่านจะไม่ปั้นน้อยหรือมากกว่า ๓ ลูกเป็นอันขาด เวลาท่านปั้นกระสุน ท่านก็จะไม่พูดจากับใครจนกว่าจะเสร็จธุระของท่าน เป็นที่น่าเสียดายว่า คันกระสุนเพิ่งจะสูญหายไปหลังจากหลวงพ่อมรณภาพได้ ๒-๓ ปี เมื่อก่อนทุกคนก็ยังเห็นกันอยู่ แต่ปัจจุบันนี้สูญหายเสียแล้ว จึงไม่มีภาพมาลงประกอบได้
หลวงพ่อฟุ้ง วัดสะเดา สิงห์บุรี