1. หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล (พระครูวิเวกพุทธกิจ) - วัดดอนธาตุ บ้านทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบล
พระปรมาจารย์กรรมฐาน
- มีความเพียรเป็นเลิศ, มีความสงบเสงี่ยม, อ่อนน้อม,สุขุม, พูดน้อย และพอใจแนะนำสั่งสอนผู้อื่นทางนั้นด้วย, เป็นผู้ใฝ่ใจในธุดงควัตร, หนักแน่นในพระธรรมวินัย, ชอบวิเวก, ไม่ติดถิ่นที่อยู่, ต้องเดินธุดงค์ไปหาวิเวกเจริญสมณธรรมตามชายป่าดงพงเขาในไทยและลาว
- ปี 2434-2436 หลวงปู่เสาร์ได้ธุดงค์ผ่านหมู่บ้านคำบง อ.ศรีเชียงใหม่ อุบล ได้เทศนาสั่งสอนท่านพระอ.มั่น สมัยยังเป็นฆราวาสจนเกิดศรัทธาเลื่อมใสติดตามออกบวช จุดนี้เป็นความยิ่งใหญ่ของวงศ์กรรมฐานตราบจนถึงปัจจุบัน
- ท่านพูดน้อย, ประพฤติองค์เป็นแบบอย่างแก่สานุศิษย์มากกว่ากล่าวอบรมสั่งสอน, อุปนิสัยโน้มน้าวไปทางพระปัจเจกเจ้า, ไม่มีนิสัยเทศนาธรรมสั่งสอนทั่วไป ปี2480 เจ้าจอมมารดาทับทิมนำผ้าป่าทอดถวายและนิมนต์ท่านขึ้นแสดงธรรม ท่านขึ้นธรรมาสน์ตั้งนโม 3 จบ กล่าวเทศนาสั้นๆว่า "ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค" จบด้วย "เอวังฯ" แล้วก้าวลงธรรมาสน์
- เกิดวันจันทร์ 2 พย.2404 - แรม 14 ค่ำ เดือนยี่ ปีระกา อุบล
- วันหนึ่ง หลวงปู่เสาร์นั่งพิจารณาอริยสัจ ได้รู้ได้เห็นตามความเป็นจริงนั้น ท่านได้ตัดเสียซึ่งความสงสัยเด็ดขาด จวนจะถึงกาลออกพรรษา ท่านได้บอกกับพระอ.มั่นว่า "เราได้เลิกการปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว และเราก็ได้เห็นตามความเป็นจริงแล้ว!" ท่านพระอ.มั่นได้ยิน ก็กิดปีติอย่างมาก และได้ทราบทางวาระจิตว่า "หลวงปู่เสาร์พบวิมุตติธรรมแน่นแล้วในอัตภาพนี้"
- อนุปาทิเสสนิพพาน ด้วยอิริยาบถก้มกราบพระประธานในพระอุโบสถวัดมหาอำมาตยาราม นครจำปาศักดิ์ ลาว เมื่ออังคาร 3 กพ.2484 - 82 ปี 62 พรรษา
ที่มา http://baleethai.com/index.php/p ... 7%E0%B8%A3%E0%B9%8C
2. พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต - วัดป่าบ้านหนองผือ ต.นาใน อ.พรรณานิคม สกลนคร
- พระอริยเจ้าผู้เป็นบิดาของพระกรรมฐาน
- สุดยอดพระอรหันต์แห่งยุค เป็นบิดาพระกรรมฐาน ตำนานชีวิตและปฏิปทาของท่านถูกกล่าวขานกันไม่รู้จบ
- 2478 ท่านบรรลุธรรมชั้นสูงสุดที่ถ้ำดอกคำ ต.น้ำแพร่ อ.พร้าว เชียงใหม่ จากนั้นธุดงค์ไปยังดอยนะโม ท่านได้พูดกับหลวงปู่ขาวว่า "ผมหมดงานที่จะทำแล้ว ก็อยู่สานกระบุงตะกร้า พอช่วยเหลือพวกท่านและลูกศิษย์ลูกหาได้บ้างเท่านั้น"
- ท่านถือธุดงค์ ทรงผ้าบังสกุลตลอดชีวิต, ธุดงค์ภาคอีสานกลาง เหนือในไทย, ลาว,เขมร,พม่า ชอบอยู่ตามถ้ำ,ป่าลึก อาศัยบิณฑบาตกับชาวป่าชาวเขา
- ในประวัติศาสาสตร์ของชาติไทย ยังไม่มีพระมหาเถระรูปใดจะยิ่งใหญ่ด้วยวัตรปฏิบัติปฏิปทา ถึงพร้อมด้วยศีลธรรม มีอำนาจจิตยิ่งใหญ่ครอบโลกธาตุ เป็นที่เคารพบูชาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ได้มากมายถึงเพียงนี้ พระอรหันต์ในประเทศไทย ล้วนเป็นศิษย์ของท่านแทบทั้งนั้น เดิมท่านปรารถนาพุทธภูมิ แต่ด้วยเห็นว่าจะเป็นการเนิ่นช้า จึงถอนความปรารถนานั้น มุ่งมั่นเป็นพระอรหันต์ในปัจจุบันชาติ
- ท่านร่างเล็ก ผิวขาวบาง ,แข็งแรงว่องไว, สติปัญญาดีมาแต่กำเนิด,ฉลาด, ว่าง่ายสอนง่ายในทางที่ถูก, ไม่ยอมทำตามในทางที่ผิด
- เกิด 20 มค 2413 บ้านคำบง ต.โขงเจียม ศรีเชียงใหม่ อุบล
- อายุ 15 บรรพชาเป็นสามเณร อายุ 17 บิดาขอร้องให้ลาสิกขาเพื่อช่วยงานทางบ้าน เมื่อลาแล้วจิตยังหวนคิดถึงร่มผ้ากาสาวพัสต์เสมอ เพราะติดใจในคำสั่งของยายว่า "เจ้าต้องบวชให้ยาย เพราะยายก็ได้เลี้ยงเจ้ายาก"
- อายุ 22 เข้าศึกษาพระธรรมในสำนักหลวงปู่เสาร์ วัดเลียบ ได้อุปสมบท 2436 ใช้คำ "พุทโธ"
- วันหนึ่งท่านสุบินนิมิตว่า "ได้เดินออกจากหมู่บ้าน มีป่า ทุ่งเวิ้งว้าง เดินตามทุ่งไป เห็นต้นชาติต้นหนึ่งที่บุคคลตัดให้ล้มแล้ว ปราศจากใบ ท่านขึ้นสู่ขอนชาติ พิจารณาดูอยู่ว่าผุพังไปบ้าง และจักไม่งอกอีก มีม้ามาเทียมขอนชาติ ท่านจึงขี่ม้า ม้าพาวิ่งไปทิศตะวันออกเฉียงเหนือเต็มฝีเท้า เห็นตู้พระไตรปิฎกตั้งข้างหน้า วิจิตรด้วยเงินสีขาววาววับเป็นประกายยิ่งนัก ม้าพาวิ่งเข้าสู่ตู้ ครั้นถึงม้าก็หยุดและหายไป ท่านมาตู้พระไตรปิฎก แต่มิได้เปิดตู้ แลดูไปข้างหน้าเป็นป่าชัฏเต็มด้วยขวากหนามต่างๆ
- การที่ท่านออกบวช ชื่อว่าออกจากบ้าน บ้านคือความผิดทั้งหลาย ป่าคือกิเลส ซึ่งเป็นความผิดเหมือนกัน ขอนชาติ คือชาติความเกิด ม้าคือตัวปัญญาวิปัสสนา จักมาแก้ความผิด การขึ้นสู่ม้าแล้วม้าพาวิ่งไปตู้พระไตรปิฎก คือเมื่อพิจารณาไปแล้วจักสำเร็จเป็นปฏิสัมภิทานุศาสน์ ฉลาด รู้อะไรๆในการเทศนาวิธีทรมานแนะสั่งสอนสานุศิษย์ให้ได้รับความเย็นใจในข้อปฏิบัติทางจิต แต่จะไม่ได้จตุปฏิสัมภิทาญาณ เพราะไม่ได้เปิดดูตู้นั้น
- 2478 บรรลุพระอรหัตผลที่ถ้ำดอกคำ ต.น้ำแพร่ อ.พร้าว เชียงใหม่ จึงกลับอีสาน
- อนุปาทิเสสนิพพานที่วัดป่าสุทธาวาส สกล 11 พ.ย. 2492 เวลา 02.23 - 80 ปี 56 พรรษา
3. หลวงปู่สิงห์ ขนฺตฺยาคโม (พระญาณวิศิษฏ์สมิทธิวีราจารย์) - วัดป่าสาลวัน อ.เมือง นครราชสีมา
- พระอริยเจ้าผู้เป็นยอดขุนพลเอก แห่งกองทัพธรรมกรรมฐาน
- เคร่งครัดวินัยมาก เสมือนองค์แทนลป.เสาร์และพระอ.มั่น เป็น 1 ใน 3 พระบูรพาจารย์สายกรรมฐาน พระกรรมฐานทั้งมวลล้วนเคยผ่านการอบรมสั่งสอนจากท่านแทบทั้งนั้น
- 2458 ท่านเข้าไปหาพระอ.มั่นที่วัดบูรพาราม อุบล เห็นพระอ.มั่นเดินจงกรม ท่านจึงนั่งสมาธิรออยู่ที่โคนต้นมะม่วง เมื่อพระอ.มั่นเหลือบเห็น จึงเรียกขึ้นไปกุฎ แล้วพูดว่า "เราได้รอเธอมานานแล้ว อยากพบ และต้องการชักชวนให้มาปฏิบัติธรรมด้วยกัน" พระอ.สิงห์ตอบทันทีว่า "กระผมอยากมาปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์มานานแล้ว" พระอ.มั่นสอนให้ท่านพิจารณากายคตาสติข้อ "ปัปผาสัง" ให้เป็นบริกรรม เมื่อฝึกแล้ว ขณะที่ท่านกำลังสอนนักเรียน ท่านพิจารณากรรมฐานข้อนี้แล้วเพ่งไปที่นักเรียนในชั้น ทุกคนกลายเป็นโครงกระดูก ท่านสลดจิตอย่างมาก ลาออกจากการเป็นครูและติดตามพระอ.มั่นไปทุกแห่ง
- ท่านปรารถนาพุทธภูมิ จึงเข้าป่าปฏิบัติ ด้วยความวิริยะอุตสาหะพยายาม ท่านจึงรอบรู้เล่ห์กลอุบายกิเลสตัณหาแยบยล ตามฆ่าอาวะกิเลสต่าง จนสามารถรอบรู้นำหมู่คณะพระกรรมฐานเที่ยวอบรมสั่งสอนประชาชนให้ยึดไตรสรณคมและปฏิบัติธรรม
- ครั้งหนึ่งท่านกับพระอ.มหาปิ่นผู้เป็นพระน้องชาย และบรรดาพระอาจารย์ เดินธุดงค์ผ่านถึงปราจีนบุรี ได้เปิดสำนักปฏิบัติธรรมขึ้นซึ่งเป็นป่าช้า ชื่อเสียงการสั่งสอนและแสดงพระธรรมเทศนาของท่านลึกซึ้ง จับใจเป็นที่นิยม ได้สร้างความไม่พอใจแก่คนเลวบางคน ถึงขนาดจ้างมือปืนมาฆ่าท่าน แต่เกิดปาฏิหาริย์ ขณะมือปืนเล็งยิงท่าน ต้นไม้ทุกต้นในป่าช้าสั่นไหวแกว่งไกวด้วยแรงพายุโบกสะบัด ต้นไม้ล้มระเนระนาด มือปืนตกใจจะวิ่งหนี แต่ขาก้าวไม่ออก ปืนตก มือปืนจึงก้มกราบ พร้อมกล่าวคำสารภาพผิด ท่านได้อบรมจิตใจของมือปืนด้วยความเมตตาและปล่อยตัวไป
- ต่อมาผู้มีอิทธิพล ได้สำนึกและได้รับฟังธรรมะโอวาทจากท่าน เกิดปีติล้นพ้น เลื่อมใสฝากตัวเป็นลูกศิษย์ และชักชวนกันสร้างสำนักสงฆ์ถวายท่านเพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงคุณของท่านที่ได้เปิดตาเปิดใจพวกเขาให้ได้รับแสงสว่างธรรมะ "วัดป่าทรงคุณ"
- เกิดวันจันทร์ 27 มค 2432- ขึ้น 7 คำ เดือน 4 ปีฉลู บ้านหนองขอน อำนาจเจริญ
- สมเด็จพระมหาวีรวงศ์(ติสฺโส อ้วน) นิมนต์พระอ.สิงห์ให้ไปช่วยสร้างวัดป่าสาลวัน ให้เป็นวัดป่าต้นแบบพระวิปัสสนาธุระ
- ตลอดชีวิตของท่าน ได้ทุ่มเทงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา และอบรมสั่งสอน
- ได้ตั้งกองทัพธรรที่วัดป่าสาลวัน แม้มีอุปสรรคมากมาย ท่านก็ฝ่าฟันเอาชนะมาได้ด้วยธรรม
- อนุปาทิเสสนิพพาน 8 กย. 2507 -10.20 น. โรคมะเร็งเรื้อรังในกระเพาะอาหาร ณ วัดป่าสาลวัน - 73 ปี 51 พรรษา
4. หลวงปู่ดูลย์ อตุโล (พระราชวุฒาจารย์) - วัดบูรพาราม อ.เมือง สุรินทร์
- พระอริยะเจ้าผู้มีความสามารถเป็นเลิศในการสอนธรรม
- มีโวหารอันแหลมคม เหมือนพี่ชายใหญ่สายพระอ.มั่น เป็นสหธรรมิกกับพระอ.สิงห์ ขนฺตฺยาคโม นิสัยเยือกเย็น, พูดน้อย, รักสงบ, จิตใจใฝ่วิเวกมาก ชอบสวดมนต์บท "อรญฺเญ รุกฺขมูเล วา สุญฺญาคาเร วา ภิกฺขุโว..."
- เมื่อหลวงปู่ดูลย์นำข้อธรรมที่รู้เห็นไปกราบเรียนพระอ.มั่น ได้กล่าวยกย่องว่า "ถูกต้อง ดีแล้ว เอาตัวรอดได้ นับว่าไม่ถอยหลังอีกแล้ว ขอให้ดำเนินตามปฏิปทานี้ต่อไป"
- พระอ.มั่นได้สรรเสริญให้ปรากฎต่อศิษย์ทั้งหลายว่า "ท่านดูลย์นี้ เป็นผู้มีความสามารถอย่างยิ่ง สามารถมีสานุศิษย์และผู้ติดตามมาประพฤติปฏิบัติธรรมเป็นจำนวนมาก"
- เกิดอังคาร 4 ตค 2431 แรม 2 ค่ำ เดือน 11 ปีชวด บ้านปราสาท สุรินทร์
- บวชอายุ 22 ปี มหานิกาย ได้ฝึกกรรมฐาน โดยจุดเทียนขึ้น 5 เล่ม แล้วนั่งบริกรรมว่า "ขอเชิญปีติทั้ง 5 จงมาหาเรา" ท่านเพียรอยู่ตลอด แต่ไม่ปรากฎผลอันใดเลย
- อายุ 30 ปี ญัตติเป็นธรรมยุต ออกพรรษาแรกท่านกับพระอ.สิงห์พากันไปฟังธรรมเทศนากับพระอ.มั่นที่วัดบูรพาราม อุบล เกิดความเลื่อมใสอย่างยิ่ง ซาบซึ้งถึงใจ ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ออกพรรษาแล้วติดตามพระอ.มั่นธุดงค์
- ได้ปรารภความเพียรอย่างอุกฤษฎ์แรงกล้า จนแสงแห่งพระธรรมเกิดขึ้น
- อนุปาทิเสสนิพพาน 30 ตค 2526 ที่วัดบูรพาราม สุรินทร์ -95 ปี 65 พรรษา
5. หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ - วัดป่านิโครธาราม บ้านหนองบัวบาน อ.หนองวัวซอ อุดร
พระอริยเจ้าผู้มีดวงตาเห็นธรรม
- ท่านเป็นศิษย์ที่พระอ.มั่นมอบคำบริกรรมให้โดยเฉพาะ เพราะท่านมีราคะจริต เบื้องต้นท่านให้คำว่า "กายเภทํ กายมรณํ มหาทุกฺขํ"
- ต่อมาท่านให้เปลี่ยนว่า "เยกุชฺโฌ ปฏิกุโล" - ท่านมีพระอ.ฝั้น, พระอ.กงมา เป็นสหธรรมิกออกธุดงค์
- เกิดอังคาร ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีขาล 2445 - บ้านดอนเงิน ต.แซแล กุมภวาปี อุดร
- อายุ 16-17ปี พ่อแม่พูดว่า "การบวชนี้ได้บุญมาก" ทำให้ท่านอยากบวชทันที จึงบอกพ่อแม่ว่า "ต้องการบวช ถ้าได้บวชแล้วจะไม่สึก" พ่อแม่จึงนำไปฝากเป็นศิษย์วัด
- 2461 บรรพชาเป็นสามเณร ได้พบหลวงปู่ดูลย์ อตุโล เกิดศรัทธาเลื่อมใส จึงได้ติดตามลป.ดูลย์ ท่านได้ขอญัตติใหม่จากลป.เสาร์และพระอ.มั่น แต่ท่านทั้ง2 ยังไม่ยินยอม ได้ให้เงื่อนไข "3 ให้" ที่ต้องปฏิบัติคือ
1. ให้ฝึกภาวนาไปอีก 1 ปี
2. ให้ท่องหนังสือนวโกวาทให้จบ
3. ให้ท่องพระปาติโมกข์ให้จบ
- ท่านตั้งใจท่องนวโกวาท 4 วันจบ ท่องปาฏิโมกข์ 7 วันจบ จึงได้ญัตติ
- 2496 สร้างวัดป่านิโครธาราม ต.หมากหญ้า หนองวัวซอ อุดร
- อนุปาทิเสสนิพพาน ณ รพ.รามา - 27 พค 2524 เวลา 04.00 -80 ปี 58 พรรษา
6. หลวงปู่ชอบ ฐานสโม - วัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง เลย
พระอริยเจ้าผู้ทรงอภิญญา
- 1. อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้, 2.ทิพโสต หูทิพย์, 3. เจโตปริยญาณ รู้จักกำหนดใจผู้อื่น, 4.บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้, 5.ทิพจักขุ ตาทิพย์, 6. อาสวักขยญาณ รู้จักทำอาสวะให้สิ้นไป
- นิสัยชอบโดดเดี่ยวเที่ยวไปอยู่ในป่ากว้าง, ทำในสิ่งที่บุคคลอื่นทำได้ยาก, ไม่ชอบเกี่ยวข้องกับหมู่ชนพระเณร, องอาจเด็ดเดี่ยว, อดทนเป็นเลิศ, ไม่กลัวความทุกข์ยากลำบาก, เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย, กล้าได้กล้าเสียในการปราบกิเลส
- ท่านพระอ.มั่นออกปากชมท่ามกลางสภาสงฆ์ว่า "ให้ทุกองค์ภาวนาให้ได้เหมือนท่านชอบสิ ท่านองค์นี้ภาวนาไปไกลลิบเลย" ท่านสามารถแสดงธรรมและสนทนาธรรมเป็นภาษาต่างๆ ได้หมดเพียงกำหนดจิตดูว่าภาษานั้น เขาใช้พูดกันว่าอย่างไร ท่านแสดงธรรมโปรดเทวดา พญานาค ตลอดจนภพภูมิต่างๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ การธุดงค์ของท่านโลดโผนมาก ชอบเดินทางกลางคืนหรือจวนสว่างในคืนเดือนหงาย เที่ยวไปอย่างอนาคาริกมุนี ผู้ไม่มีอาลัยในโลกทั้งปวง
- มีเสือตัวใหญ่ 2 ตัวกระโดดล้อมหน้าล้อมหลังเอาไว้ ท่านเร่งสติสมาธิ แผ่เมตตากำหนดจิตเข้าข้างใน สมาธิลึกเข้าไปจนถึงฐานของจิต ปล่อยวางสิ่งทั้งปวง เมื่อถอนจิตออกมาปรากฎว่าเสือสองตัวได้หายไปแล้ว เดินทางไปหมู่บ้านกะเหรี่ยงกลางหุบเขา เพื่อโปรดพี่ชายท่านในอดีตชาติที่รักกันมาก ซึ่งได้เกิดมาเป็นกะเหรี่ยงชื่อเสาร์ ที่ต.ป่ายาง บ้านผาแด่น เชียงใหม่ - โปรดดึงเขาเข้าสู่สายทางธรรม - ต่อมานายเสาร์ได้บวชเป็นพระติดตามท่านตลอดชีวิต - ท่านเป็นที่เคารพรักของเหล่าเทพยดา บางคราวหลงกลางป่าหลายๆ วัน เดินทางจากพม่าจะเข้าไทย หลงป่าเจียนตายเพราะหิวกระหาย เทวดาได้นำอาหารทิพย์มาใส่บาตร ท่านเล่าวว่า อาหารนั้นมีรสอร่อยส่งกลิ่นหอมหวนชวนชื่นใจ ฉันแล้วหายเมื่อย หายหิวไปหลายวัน ท่านทำสมาธิทั้งกลางวันกลางคืน บางคราวพายุฝนกระหน่ำ น้ำป่าไหล ท่านต้องนั่งกอดบาตรจนสว่าง
- ท่านบรรลุธรรมขั้นสูงสุดปี 2487 พรรษาที่ 20 อายุ 43 ปี ที่ถ้ำบ้านหนองยวน พม่า ท่านเป็นพระทรงอภิญญา ล่วงรู้สิ่งลึกลับที่คนธรรมดามองไม่เห็น เช่น เทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ พญานาค ภูตผีปีศาจมากมาย แม้แต่ความรู้สึกนึกคิดภายในใจของคน ท่านก็สามารถล่วงรู้ได้
- หลวงปู่มั่นได้ไว้วางใจมอบหมายให้ท่านช่วยดูแลพระเณรที่คิดอะไรนอกลู่นอกทาง ไม่ถูกต้องตามครรลองของผู้ทรงศีลธรรม ท่านก็จะตักเตือน ท่านมีความรู้ภายในว่องไวไม่แพ้หลวงปู่มั่น พระเณรทั้งหลายจึงเกรงกลัวท่านมาก
- ท่านระลึกชาติรู้อดีตชาติของท่านเองว่าเคยเกิดเป็นอะไรมาบ้าง เคยเกิดเป็นพระภิกษุรักษาศีลอยู่กับพระอนุรุทธะ เคยเป็นสามเณรน้อยลูกศิษย์พระมหากัสสปะ เคยเกิดเป็นท้าวมหาพรหมในพรหมโลก และเป็นสัตว์หลายชนิด
- เกิดวันพุธ 12 กพ.2444 - ขึ้น 5 ค่ำเดือน 3 ปีฉลู บ้านโคกมน วังสะพุง เลย ได้พบพระอ.มั่น ณ ป่าบ้านสามผง นครพนม
- หลวงปู่มั่นได้ให้โอวาทสั้นๆว่า "ท่านเคยภาวนามาอย่างไร ก็ให้ทำต่อไปเช่นนั้น อย่าได้หยุด ธรรม 84,000 พระธรรมขันธ์ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงไว้นั้น มันก็อยู่ที่ใจเรานี่แหละ ถ้าอยากรู้อยากเห็นธรรมเหล่านั้น ก็ให้ค้นหาเอาที่ใจของท่านเอง"
- 2501 ชาวบ้านถวายที่สร้างวัดร้อยกว่าไร่ ท่านจึงได้รับสร้างเป็นวัดป่าสัมมานุสรณ์
- 2514 ป่วยเป็นอัมพาต
- อนุปาทิเสสนิพพาน 8 มค.2538 - วัดป่าสัมมานุสรณ์ -93 ปี 70 พรรษา
7. หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร - วัดถ้ำผาบิ้ง บ้านนาแก ต.ผาบิ้ง อ.วังสะพุง เลย
พระอริยเจ้าผู้มีปฏิปทามักน้อยสันโดษ หาผู้เสมอได้ยาก
- เดิมท่านนับถือศาสนาคริสต์ แต่นิสัยน้อมทางธรรมตั้งแต่เด็ก
- 7 ขวบ มองดูสายน้ำที่ไหลไปไม่มีวันกลับ ท่านคิดพิจารณาเทียบชีวิตคนที่ล่วงตายไป ไม่มีวันกลับคืนได้เหมือนสายน้ำ จึงภาวนาโดยอาศัยสายน้ำเป็นอารมณ์
- 9 ขวบ จิตตกภวังค์ นิมิตเห็นแสงสว่างคล้ายสีรุ้ง ชอบพระกรรมฐานและการออกบวชอย่างมาก พระอ.มั่นยกย่องว่า "เป็นผู้ทรงธุดงค์ธรรม ว่าด้วยความเป็นผู้มักน้อยสันโดษ หาผู้ใดยุคปัจจุบันเสมอได้ยาก" เป็นผู้มีความเพียรกล้า อยู่ง่ายไปเร็ว ชอบท่องเที่ยวไปตามป่าเขา ไม่ติดสถานที่ ชอบอยู่ป่าและถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร เป็นศิษย์ที่เข้าใจในอัชฌาศัยของพระอ.มั่นเป็นอย่างดี สามารถนิมนต์ท่านพระอ.มั่น เข้ามาอยู่จำพรรษาที่วัดบ้านหนองผือได้ จนกลายเป็นสำนักกรรมฐานที่เลื่องชื่อ ผลิตพระอริยะเจ้าเข้าสู่ตลาดมรรคผลนิพพาน ท่านได้รับอุบายธรรมสำคัญจากสหธรรมิกเพชรน้ำหนึ่งคือ หลวงปู่ขาว อนาลโย ด้วยอุบายธรรมแยบยลจากเพื่อนนี้เอง หลวงปู่หลุยจึงได้กล่าวว่า "การภาวนาจะเป็นไปได้ด้วยดีนั้น นอกจากจะต้องมีครูบาอาจารย์ที่ดีแล้ว ก็ควรจะต้องมีกัลยานมิตรที่ดีด้วย"
-2507 พรรษา 40 ท่านถึงที่สุดแห่งธรรมด้วยวิชาม้างกาย ที่ถ้ำกกกอก อ.วังสะพุง เลย
- เกิดอังคารที่ 3 ปีฉลู - ต.กุดป่อง เลย จำพรรษากับลป.เสาร์ที่วัดพระพุทธบาทบัวบก อุดร
- ในพรรษานี้ท่านจิตรวมแล้วสะดุ้ง พระอ.บุญสงสัยว่าการญัตติครั้งที่แล้วคงจะไม่ถูกต้อง จึงได้ให้ญัตติใหม่
- อนุปาทิเสสนิพพาน จันทร์ 25 ธค 2532 เวลา 00.43 - รพ.หัวหิน ประจวบ - 88 ปี 64 พรรษา
8. หลวงปู่ขาว อนาลโย - วัดถ้ำกลองเพล อ.เมือง หนองบัวลำภู
พระอริยเจ้าผู้เป็นดั่งเพชรน้ำหนึ่ง
- มีหลวงปู่หลุย เป็นสหธรรมิกที่เกื้อกูลกันในทางธรรม
- ท่านมีใจเด็ดเดี่ยว, มุ่งมั่นในเป้าหมาย, มีเมตตาธรรมเป็นเลิศ, สง่างามประดุจช้างสาร ท่านมีอดีตชาติเกี่ยวพันกับสัตว์ป่า มีช้างเป็นต้น ไม่ว่าท่านจะไปเที่ยวที่ป่าเขาลึกเพียงไหน ช้างหัวหน้าฝูงมักจะเข้ามาหาคารวะท่าน ท่านรู้ภาษาสัตว์ และสัตว์ก็รู้ภาษาของท่านอย่างดี เหตุที่ท่านออกบวช เกิดจากภรรยามีชู้ เมื่อท่านพบภาพคาหนังคาเขาตามคำบอกเล่าชาวบ้าน ท่านจึงเงื้อดาบสุดแรงหมายจะฟันชายชู้และภรรยาชั่ว แต่เผอิญชายชู้เห็นก่อนและได้ร้องขอชีวิต ทำให้ท่านเกิดจิตเมตตา จึงเรียกชาวบ้านมาดูเหตุการณ์ พร้อมประชุมญาติและผู้ใหญ่บ้าน ได้ปรับสินไหมด้วยเงิน พร้อมประกาศยกภรรยาให้ชายชู้อย่างเปิดเผย ท่านสลดสังเวชจิตเป็นกำลัง จิตหมุนไปทางบวชเพื่อหนีโลกโสมม ท่านสามารถระลึกชาติย้อนหลังได้หลายชาติ เคยเกิดป็นพระภิกษุ 1 ใน 500 รูปติดตามพระเทวทัต มิจฉาทิฐิ แต่หลังจากได้ฟังธรรมจากพระสารีบุตร จึงหันกลับเข้ามาสู่ทางแห่งสัมมาทิฐิ
- สถานที่ต่างๆ ที่ท่านอยู่จำพรรษา มักเป็นสถานที่เคยเกิดเป็นคนหรือสัตว์ต่างๆ ในอดีตชาติ
- ท่านบรรลุธรรมชั้นสุดยอดพรรษาที่ 16-17 ที่กลางทุ่งนา บ้านโหล่งขอด อ.พร้าว เชียงใหม่
- ท่านเล่าว่า "เย็นวันหนึ่ง เมื่อปัดกวาดเสร็จออกที่พักไปสรงน้ำ เห็นข้าวในไร่ชาวเขากำลังสุกเหลืองอร่าม เกิดปัญหาขึ้นมาว่า ข้าวมันงอกขึ้นมาเพราะมีอะไรเป็นเชื้อพาให้เกิด ใจที่พาให้เกิดตายอยู่ไม่หยุด ก็น่าจะมีอะไรเป็นเชื้ออยู่ภายในเช่นเดียวกับเมล็ดข้าว เชื้อนั้นถ้าไม่ถูกทำลายเสียที่ใจให้สิ้นไปจะต้องพาให้เกิดตายอยู่ไม่หยุด ก็แล้วอะไรเป็นเชื้อของใจเล่า ถ้าไม่ใช่กิเลสอวิชชา ตัณหาอุปาทาน ท่านก็คิดทบทวนไปมา โดยถืออวิชชาเป็นเป้าหมาย
- พิจารณาย้อนหน้าถอยหลัง อนุโลมปฏิโลมด้วยความสนใจอยากรู้ตัวจริงแห่งอวิชชา นับแต่หัวค่ำจนดึกไม่ลดละการพิจารณาอวิชชากับใจ พอจวนสว่าง จึงตัดสินกันลงได้ด้วยปัญญา อวิชชาขาดกระเด็นออกจากใจไม่มีอะไรเหลือ ยุติที่ข้าวสุก หมดการงอกอีกต่อไป การพิจารณาจิต มาหยุดกันที่อวิชชาดับ กลายเป็นจิตสุก เช่นเดียวกับข้าวสุก จิตหมดการก่อกำเนิด เกิดในภพต่างๆ อย่างประจักษ์ใจ สิ่งที่เหลือให้ชมอย่างสมใจคือความบริสุทธิ์แห่งจิตล้วนๆในกระท่อมกลางเขา"
- เกิดอาทิตย์ 28 ธค 2431 - ปีชวด บ้านบ่อชะเนง ต.หนองแก้ว อำนาจเจริญ
- อุปสมบท 2 พค 2432 จำพรรษาวัดที่บวช 6 ปี สังเกตดูครูอาจารย์เพื่อนพระสามเณร ประพฤติปฏิบัติพระธรรมวินัยลุ่มๆดอนๆ ไม่สมเจตนาที่ออกบวชเพื่อมรรคผลนิพพาน จึงกราบลา ตามหาพระอ.มั่น ได้จำพรรษากับพระอ.มั่นปีแรกที่เชียงใหม่ ท่านเร่งความเพียรแทบไม่ได้หลับนอน
- ญัตติเมื่อ 14 พค 2468 หลวงปู่ขาวเป็นนาคซ้าย, หลวงปู่หลุยเป็นนาคขวา หลวงปู่หลุยบวชก่อน 15 นาที
- อนุปาทิเสสนิพพาน ณ วัดถ้ำกลองเพล หนองบัวลำภู - จันทร์ 16 พค 2526 - 94 ปี 57 พรรษา
9. พระอ.ฝั้น อาจาโร - วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม สกลนคร
พระอริยเจ้าผู้มีพลังจิตเหนือฟ้าดิน
- ท่านเป็นคนเรียบร้อย, อ่อนโยน, สุขุมเยือกเย็น, กว้างขวาง - ปรารภความเพียรแรงกล้าเด็ดเดี่ยว ไปตามภูผาป่าเขาเพียงลำพัง, แสวงหาความสงบวิเวก ยินดีต่อความสงบ - มักน้อยสันโดษ พอใจในปัจจัยสี่ที่ตนมีอยู่แล้วได้มาโดยชอบธรรม เป็นนักต่อสู้เพื่อเอาชนะกิเลส มีสหธรรมิกคือ พระอ.สิงห์ ขนฺตฺยาคโม, พระอ.มหาปิ่น, พระอ.กู่, พระอ.อ่อน, พระอ.กว่า ท่านมีความเคารพเลื่อมใส ตั้งอยู่ในโอวาทของพระอ.มั่นอย่างถึงใจ ทำความเพียรทั้งกลางวันกลางคืน ไม่มีเวลาหลับนอน จนจิตใจของท่านมีกำลังกล้าเป็น "ธรรมดวงเดียว" ไม่เกาะเกี่ยวกับอะไรๆ ทั้งสิ้น
- ท่านมีพลังจิตสูง หาผู้เสมอเหมือนได้ยาก 1. สามารถเรียกฟ้าฝนได้เป็นที่อัศจรรย์
- ปี 2489 ชาวสกลนคร เกิดทุพภิกขภัยอย่างหนัก ฝนฟ้าไม่ตก จึงเข้าไปขอฝนกับท่าน ท่านนั่งสมาธิบนลานกลางแจ้งครึ่งชั่วโมง ท้องฟ้าที่มีแดดจ้า พลันมีเสียงฟ้าร้องคำราม เกิดมีก้อนเมฆบดบังแสงอาทิตย์ มีฝนเทลงมาอย่างหนักถึง 3 ชม
- ปีนั้นฝนตกตามฤดูกาล ชาวบ้านได้ทำนาตามปกติทั่วถึง 2. ท่านสร้างวัด ต้องระเบิดหิน ท่านไม่ต้องการให้หินช่วงไหนแตกร้าว ท่านจะเอาปากกาไปเขียนยันต์ไว้ตรงจุดนั้น ระเบิดจะแรงขนาดไหน หินนั้นก็ไม่แตกร้าว 3. ท่านนั่งสมาธิใต้ต้นกระบก ลูกกระบกตกลงพื้นเสียงดังน่ารำคาญ ท่านกำหนดจิตไม่ให้ลูกกระบกตก ตั้งแต่นั้น ลูกกระบกต้นนั้นไม่หลุดลงพื้นอีกเลย
- พระอ.กงมา ได้เล่าเรื่องพลังจิตของลป.ฝั้นไว้ว่า "สมัยหนึ่งหลวงปู่ฝั้นได้ธุดงค์ไปจันทบุรี ท่านได้รับนิมนต์ไปแสดงธรรมในงานศพ มีผู้มาฟังธรรมเป็นจำนวนมาก ขณะที่ท่านแสดงธรรมอยู่ มีคนกลุ่มหนึ่งเล่นหมากรุก เมาสุรา ส่งเสียงเอะอะโวยวายรบกวน ท่านส่งกระแสจิตไปปราบพวกขี้เหล้าเหล่านั้น เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง ขี้เหล่าหยุดนิ่งไร้การเคลื่อนไหว บางคนยืนอ้าปาก, บางคนถือหมากรุก, บางคนคอพับ ไม่สามารถไหวติงได้
- จนท่านแสดงธรรมให้พรจบลง เดินทางกลับ ขี้เหล้าเหล่านั้นจึงกลับมาสู่ภาวะปกติได้" หลวงตามหาบัวเล่าว่า "ท่านพระอ.ฝั้นสามารถกำหนดจิตให้รถหยุด เครื่องยนต์ไม่ติดอย่างง่ายดาย" ฉะนั้นเวลานั่งรถ ท่านต้องพยายามทำจิตไม่ให้เพ่งไปที่เครื่องยนต์ ไม่งั้นเครื่องจะดับทันที ตอนสงครามโลกเครื่องบินญี่ปุ่นจะมาทิ้งระเบิด คนมาขอให้ท่านอย่าให้ญี่ปุ่นทำได้ ตอนแรกท่านคิดว่าจะเพ่งให้เครื่องยนต์ดับ แต่คิดได้ว่าหากทำแบบนั้น เครื่องบินต้องตก ทหารญี่ปุ่นต้องตาย ท่านจึงทำวิธีอื่นแทน อีกครั้งในงานศพพระอ.มั่น พระกำลังเตรียมงานกันอยู่ มีเด็กน้อยถีบจักรยานไปมารบกวน หลวงปู่ฝั้นท่านจึงพูดว่า "เดี๋ยวเราจะดัดนิสัยไอ้เด็กพวกนี้ จะทำให้รถมันล้ม แต่ไม่ให้มันเจ็บ" พอท่านพูดจบรถจักรยานเด็กล้มลงทันที
- ด้วยวัตรปฏิบัติและพลังจิตอันล้ำเลิศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ จึงทรงให้ความเคารพศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง
- เกิดอาทิตย์ 20 สค.2442 - ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 9 ปีกุน บ้านม่วงไข่ ต.พรรณา สกล
- 2461 บรรพชาเป็นสามเณร เอาใจใส่ ศึกษาเคร่งครัดพระธรรมวินัยอย่างยิ่ง ถึงขนาดคุณยายท่านได้พยากรณ์ไว้ว่า "ในภายภาคหน้า ท่านจะเข้าไปอาศัยอยู่ในป่าดวงขมิ้นตลอดชีวิต"
- อมตมหานฤพาน 4 มค 2520 - วัดป่าอุดมสมพร สกล - 77 ปี 52 พรรษา
10. หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ - วัดป่าประสิทธิธรรม บ้านดงเย็น อ.บ้านดุง อุดรธานี
พระอริยเจ้าผู้มีอุปนิสัยแก่กล้าในทางธรรม
- พระอริยสงฆ์ประเภทขิปปาภิญญา (บรรลุธรรมเร็ว) เป็นผู้มีอินทรีย์แก่กล้าหาได้ยาก สละทรัพย์สมบัติ ออกบวช ไม่มีความอาลัยเสียดาย ประดุจบ้วนน้ำลายทิ้งลงบนแผ่นดิน ตั้งมั่นในธุดงควัตร ชอบเที่ยวธุดงค์ในลาวและพม่า มีนิสัยวาสนาแก่กล้า พยายามฟันฝ่ากับอุปสรรคทั้งปวง เพื่อจะขอเอาดวงจิตพ้นทุกข์ให้ได้
- เกิดอังคาร 2431 ปีขาล บ้านตาล ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน สกลนคร สมัยเป็นฆราวาส แต่งงาน 2 ครั้ง ครั้งแรก ภรรยาคลอดลูกตายทั้งกลม ท่านเศร้าเสียใจอย่างมาก ทำให้ครุ่นคิดได้ว่า "ทำอย่างไรหนอ ชีวิตของเรานี้ถึงจะได้พบกับความสุขที่แท้จริง" ครั้งที่สอง อยู่กินกับภรรยาใหม่ราบรื่น จนออกบวช ท่านเป็นคนหมั่นขยันฉลาด เป็นพ่อค้ากองเกวียน (นายฮ้อย) จนมีฐานะร่ำรวย ด้วยความประพฤติดี เป็นที่พึ่งของลูกน้องได้ ท่านจึงได้รับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน
- ต่อมาได้ฟังธรรมจากพระอ.สาร ศิษย์พระอ.มั่น เกิดความดื่มดำซาบซึ้งในรสพระธรรม จึงขอให้ภรรยาบวชชีก่อน แล้วตัวท่านได้สละทรัพย์สมบัติออกบวชตาม โดยแจกทรัพย์สินทั้งหมดเป็นทาน ไม่ยินดีอาลัยในทรัพย์เหล่านั้น ผู้คนที่มาเข้าแถวเพื่อรอรับแจกทานจากท่านเป็นแถวยาวเหยียด ท่านใช้เวลาแจกทานถึง 3 วัน 3 คืนจึงหมด
- 2469 อายุ 37 อุปสมบท ณ วัดโพธิสมภรณ์ ส่วนน้องชาย น้องสาว น้องเขยได้ฟังคำสอนจากท่านก็ออกบวชตามด้วย หลังบวชแล้ว ท่านเดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์พระอ.มั่น ขณะที่ท่านเห็นพระอ.มั่นครั้งแรก ท่านได้นึกประมาทอยู่ในใจว่า "พระองค์เล็กๆ อย่างนี้นะหรือ ที่ผู้คนร่ำลือกันว่าเก่งนักเก่งหนา ดูแล้วไม่น่าจะเก่งกาจอะไรเลย" ครั้นเข้าไปนมัสการพระอ.มั่น ท่านกล่าวขึ้นเสียงดังว่า "การด่วนวินิจฉัยความสามารถของคน โดยมองดูแต่เพียงร่างกายเท่านั้น ใช้ไม่ได้ จะเป็นการตั้งสติอยู่ในความประมาท" เมื่อท่านได้ยินถึงกับสะดุ้ง เกิดความอัศจรรย์ในการรู้วาระจิตของท่านพระอ.มั่น บังเกิดศรัทธาแรงกล้า ตั้งสัจวาจาถวายชีวิต
- สมัยท่านธุดงค์ในพม่า ท่านเล่าว่า ขณะที่ท่านนั่งบำเพ็ญเพียงอยู่นั้น ได้ปรากฎมีภาพพระภิกษุมีรัศมีในกายสีฟ้าบอกว่า "เราคือพระอุปคุต เธอเคยเป็นศิษย์ของเรา เธอมีนิสัยแก่กล้า เอาให้พ้นทุกข์นะ "
- พระอ.มั่นชมเชยท่านต่อหน้าพระเถระหลายองค์ว่า "ท่านพรหม เป็นผู้มีความพากเพียรสูงยิ่ง เป็นผู้มีสติ มีความตั้งใจแน่วแน่ ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดที่สุด เป็นตัวอย่างที่ดี ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง"
- บางคราวพระอ.มั่นถามท่านต่อหน้าพระเถระทั้งหลายว่า "ท่านพรหม ท่านเดินทางมาแต่ไกลเป็นอย่างไรบ้าง การพิจารณากาย การภาวนาเป็นอย่างไร" ท่านตอบอย่างอาจหาญว่า "เกล้าฯ ไม่มีอกถังกถีแล้ว" (ไม่มีความลังเล สิ้นสงสัย)
- พระอ.มั่นได้กล่าวยกย่องว่า "ท่านพรหม สำเร็จเป็นพระอรหันต์ หลังจากบวชได้เพียงพรรษา 5"
- อนุปาทิเสสนิพพาน 13 พค 2512 เวลา 17.70 ด้วยโรคชรา - 81 ปี 43 พรรษา
11. หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ - วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว เชียงใหม่
วิสุทธิเทพแห่งดอยแม่ปั๋ง
- ท่านธุดงค์ตามป่าเขาภาคอีสาน ภาคเหนือ,พม่าและอินเดีย ด้วยเท้าเปล่า
- มีหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เป็นสหายธรรม ยังไม่มีพระอริยคณาจารย์รูปใด ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเทียบเท่าหลวงปู่แหวน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินพร้อมพระบรมวงศานุวงศ์ยังวัดดอยแม่ปั๋ง เพื่อนมัสการและสนทนาธรรมกับหลวงปู่แหวนหลายครั้งหลายหน
- เกิดจันทร์ 16 มค.2430 - ขึ้น 14 ค่ำ เดือนยี่ ปีกุน บ้านนาโป่ง อ.เมือง เลย
- 5 ขวบ ก่อนมารดาจะถึงแก่กรรม ได้เรียกท่านมาใกล้ๆ ได้จับแขนไว้แน่นๆ กล่าวว่า "ลูกเอ๋ย แม่ยินดีต่อลูก สมบัติใดๆ ในโลกนี้จะเป็นกี่ล้านกี่โกฏิ แม่ก็ไม่ยินดี แม่จะยินดีมาก ถ้าลูกจะบวชให้แม่ เมื่อลูกบวชแล้ว ให้ตายกับผ้าเหลือง ไม่ต้องสึกออกมามีลูกมีเมียนะลูกนะ"
- บรรพชา 9 ขวบ
- อายุ 31 ธุดงค์รอนแรมไปฝากตัวกับพระอ.มั่น ท่านได้กล่าวสอนสั้นๆ ว่า "ต่อไปนี้ให้ภาวนา ส่วนความรู้ที่เรียนมาให้เอาใส่ตู้ไว้ก่อน" หลวงปู่ขาว อนาลโย ซึ่งได้หลุดพ้นผ่านพ้นทุกข์ไปได้แล้ว ชวนท่านกลับอีสานด้วยกัน หลวงปู่แหวนตอบว่า "ถ้ายังไม่บรรลุพระอรหัตตผลตามความมุ่งหวัง จะไม่ไปจากเมืองเชียงใหม่"
- วันหนึ่งในปี 2512 หลวงปู่ขาว ซึ่งอยู่ที่ถ้ำกลองเพล อุดรธานี ได้ปรารภเป็นเชิงรำพึงอนุโมทนากับสานุศิษย์ว่า "เมื่อคืนได้นิมิตเห็นท่านแหวนจิตใสเหมือนแก้ว สว่างไสวทั้งองค์ ท่านแหวนได้อรหัตตผลแล้วหนอ"
- อนุปาทิเสสนิพพาน 2 กค 2528 - วัดดอยแม่ปั๋ง- 98 ปี 58 พรรษา
12. หลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ - วัดดอยธรรมเจดีย์ ต.ตองโขบ อ.โคกศรีสุพรรณ สกล
พระอริยเจ้าแห่งวัดดอยธรรมเจดีย์
- ท่านเรียบง่าย เจ้าระเบียบ มีอุบายละเอียด , การเทศนาธรรมใช้ภาษาง่ายๆ แต่กินใจความลึกซึ้ง ท่านมีหลวงปู่สาม และท่านพ่อลี เป็นสหธรรมิก ท่านได้นำสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ชื่น) ออกเที่ยวธุดงค์ตามป่าเขาภาคตะวันออก ถึงขนาดพระองค์ออกปากชมว่า "การธุดงค์ของพระปฏิบัติกรรมฐานนี้ได้ประโยชน์เหลือหลาย อย่างนี้พระต้องธุดงค์กันให้มากๆ ศาสนาจะได้รุ่งเรือง"
- เกิด 6 พย.2443 - ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ปีชวด บ้านโคก อ.โคกศรีสุพรรณ สกลนคร เคยเป็นหัวหน้านายฮ้อย พาคณะต้อนสัตว์มีวัวควายไปขายกรุงเทพ, แต่งงานอายุ 25 ปี ต่อมาภรรยาพร้อมบุตรในครรภ์ในเสียชีวิตลง ทำให้ท่านรู้สึกสูญสิ้น เป็นเหตุให้ท่านสลดสังเวชและนึกถึงร่มเงาพระพุทธศาสนา
-2482 สร้างวัดเขาน้อย ท่าแฉลบ ตามพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์
- 2485 จำพรรษากับพระอ.มั่นที่ป่าช้าบ้านโคก อ.โคกศรีสุพรรณ สกล ได้รับอุบายธรรมสำคัญและได้รับความเมตตาจากพระอ.มั่นเป็นพิเศษ ต่อมาที่แห่งนี้ ท่านได้สร้างเป็นวัดสุทธิธรรมาราม
- 2489 ท่านได้ธุดงค์ตามเทือกเขาภูพาน ได้ปักกลดพักภาวนาที่ในถ้ำ ซึ่งถ้ำนี้เป็นที่อยู่เสือ และต่อมากลายเป็น "วัดดอยธรรมเจดีย์"
- อนุปาทิเสสนิพพาน 17 ตค 2505 - 61 ปี 35 พรรษา
13. ท่านพ่อลี ธมฺมธโร (พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์) - วัดอโศกราม อ.เมือง สมุทรปราการ
พระอริยเจ้าผู้มีพลังจิตแก่กล้า
- ถึงพร้อมด้วยอำนาจแห่งบารมีและบุญที่สั่งสมไว้แต่ปางบรรพ์ มีภูมิธรรมและพลังจิตสูงยิ่ง, มีจริยวัตรงดงาม มีศรัทธาเต็มเปี่ยมในการเผยแผ่สัจธรรม
- ท่านเป็นศิษย์ที่ท่านพระอ.มั่น โปรดเป็นที่สุด ยามที่ท่านเดินทางไปคารวะพระอ.มั่นสำนักวัดบ้านหนองผือ สกลนคร ท่านได้รับการต้อนรับจากท่านพระอ.มั่นเป็นกรณีพิเศษ ท่านเป็นพระเจ้าอโศกมหาราชกลับชาติมาเกิดเพื่อบรรลุธรรม เป็นศิษย์ท่านพระอ.มั่นเพียงรูปเดียว ที่ไม่เคยถูกพระอ.มั่นต้องติ
- เมื่ออกจากสำนักไป ท่านเป็นผู้ที่ทำให้ชาวพระนครได้รู้จักพระกรรมฐาน และทำให้วงศ์กรรมฐานเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางจนถึงยุคปัจจุบัน
- ท่านบรรลุภูมิธรรมขั้นสูงที่ถ้ำเชียงดาว เชียงใหม่ บรรลุธรรมขั้นสูงสุดที่ถ้ำเขาฉกรรจ์ ปราจีนบุรี
- ท่านยังสามารถจัดงานฉลองกึ่งพุทธกาลได้อย่างยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรีที่เมืองไทยเป็นเมืองแห่งพระพุทธศาสนา พระอ.มั่นเมตตา และให้การยกย่องท่านว่า "มีพลังจิตสูง เป็นผู้เด็ดเดี่ยว อาจหาญ เฉียบขาด ถึงพร้อมด้วยศีลด้วยธรรม"
- สมศักดิ์ศรีที่ได้รับความไว้วางใจจากพระอ.สิงห์ ขนฺตฺยาคโม ให้เป็น "อัศวินแห่งกองทัพธรรมกรรมฐานสายท่านพระอ.มั่น ภูริทตฺโต" ที่มีธรรมะเป็นอาวุธ ปฏิปทาอันละมุนละไมของท่านพ่อลี ทำให้บรรดาสาธุชนเลื่อมใสทั้งกาย วาจา ใจ
- เกิดพฤหัสบดี 31 มค 2449 เวลา 21.00 แรม 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะเมีย บ้านหนองสองห้อง อ.ม่วงสามสิบ อุบล
- เกิดได้ 9 วัน รบกวนพ่อแม่เป็นการใหญ่ ไม่มีใครสามารถเลี้ยงให้ถูกใจได้ เป็นเด็กที่เลี้ยงยากที่สุด มักร้องไห้เอาแต่ใจเสมอ
- อายุ 11 ปี จิตคิดขึ้นเองว่า "ไม่มีอะไรที่จะทำไม่ได้ ในเรื่องที่จะตอบแทนบุญคูณข้าวป้อนของพ่อแม่" แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทำไม่ได้ จึงพูดกับแม่ว่า "แม่ มีอยู่เรื่องเดียวที่ลูกจนใจที่สุด ก็แต่เลือดในอกที่ดื่มเข้าไปเท่านั้น ที่หามาตอบแทนพ่อแม่ไม่ได้"
- อายุ 15 ปี ท่านมีคติธรรมฝังแน่นในหัวใจ 3 อย่างคือ 1. ในจำนวนคน 80 หลังคาเรือน ในหมู่บ้านเดียวกันนี้ ท่านจะไม่ยอมให้ใครมาเหยียบหัวแม่ตีนเป็นอันขาด 2. ในบรรดาคนที่เกิดปีเดียวกัน ท่านจะไม่ยอมแพ้ใครในเชิงหาเงิน 3. ถ้าอายุไม่ถึง 30 ปี ท่านจะไม่ยอมมีเมีย จะต้องมีเงินในกระเป๋าตัวเองให้พอเสียก่อน จะไม่ยอมแบมือขอใครกิน ถ้าจะมีเมียต้องเป็นผู้เลือกเอง ใครจะมาข่มเหงคลุมถุงชนไม่ได้ และผู้ที่จะเป็นเมียจะต้องมีพร้อมทั้งรูปสมบัติ คุณสมบัติ และสกุลสมบัติ
- บวชได้ 2 พรรษา จึงตั้งใจอธิษฐานให้ได้พบครูบาอาจารย์ที่ทรงคุณธรรมว่า "เวลานี้ ข้าพเจ้ามุ่งหวังเอาดีทางพระศาสนา ขอจงให้ได้พบครูบาอาจารย์ที่ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ภายใน 3 เดือน" พบพระอ.มั่น ที่วัดบูรพาราม อุบล สมความตั้งใจ ท่านได้สอนให้บริกรรม "พุทโธ" เพียงคำเดียวเท่านั้น ขณะนั้นพระอ.มั่นกำลังอาพาธ ท่านจึงแนะนำให้ไปพักอยู่ป่าบ้านท่าวังหิน ซึ่งเงียบสงัดวิเวกดี มีพระอ.สิงห์ ขนฺตฺยาคโม, พระมหาปิ่น ปญฺญาพโล เป็นพระพี่เลี้ยง
- 2474 จำพรรษากับพระอ.มั่นที่วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ - พระอ.มั่นได้สั่งให้ท่านพ่อลี ไปปฏิบัติมงคลสถาน 3 แห่งคือ 1. ดอยขะม้อ ลำพูน, 2.ถ้ำบวบทอง เชียงใหม่, 3.ถ้ำเชียงดาว เชียงใหม่
- อนุปาทิเสสนิพพาน 26 เมย.2505 เวลา 02.00 - วัดอโศการาม 55 ปี 33 พรรษา
- หลังจากมรณภาพ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฺฐายี) มีพระบัญชาให้เก็บศพท่านไว้ยังไม่ถวายเพลิง เอาอย่างพระมหากัสสปะเถระ ที่ในวันหนึ่งในอนาคตกาลจะมีพระศรีอริยเมตไตรย มาเผาศพพระมหากัสสปะอย่างสมศักดิ์ศรี "ผู้มีบุญกรรมที่เกี่ยวข้องกับท่านในวันข้างหน้า จะได้มาถวายเพลิงสรีระร่างของท่านอย่างสมศักดิ์ศรี"
- ท่านมีบัญชาอีกว่า ให้บำเพ็ญกุศลและสวดมนต์อุทิศถวายท่านพ่อลีทุกคืน บรรดาบรรพชิตและคฤหัสถ์ซึ่งเป็นคณะศิษย์ท่านพ่อลีได้ปฏิบัติตามมาโดยตลอด
14. หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม - วัดป่าอรัญญวิเวก บ้านข่า อ.ศรีสงคราม นครพนม
พระอริยเจ้าผู้มีปฏิปทาประดุจเสือโคร่ง
- รักความสงบสันโดษ, ใฝ่ใจการศึกษา, ตรงไปตรงมา, ข้อวัตรปฏิบัติเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว เอาจริงเอาจัง, นิสัยโผงผาง พูดจาขวานผ่าซาก, มีลีลาการแสดงธรรมแปลกกว่ารูปอื่น, มีคำคมขำขันแฝงเสมอในเทศนาธรรม, ติดตามพระอ.มั่นภาวนาตามถ้ำป่าลึกภาคเหนือ เช่นถ้ำเชียงดาว ปฏิปทาท่านอาจหาญสมเป็นนักรบธรรมของพระอ.มั่น, นิสัยประดุจเสือโคร่ง,ท่านมักปฏิบัติกรรมฐานอย่างอุกฤษฎ์ โดยถือเอาเสือโคร่งเป็นแบบอย่างในอิริยาบถ4
1. ต้องมีน้ำจิตน้ำใจแข็งแกร่งกล้าหาญในการเที่ยวธุดงค์ล่ากิเลส ประดุจเสือตัวเปรียวเที่ยวล่าเหยื่อไม่กลัวต่อภยันตรายใดๆ
2. ต้องกล้าเที่ยวไปในค่ำคืน ประดุจเสือไม่เคยกลัวต่อมรณภัยในความมืด
3. ต้องชอบอยู่ในท้องถ้ำที่สงัดจากผู้คน ประดุจเสือหลีกเร้นซ่อนตัวอยู่ในถ้ำอันลึกลับที่ผู้คนเข้าไปไม่ถึง
4. คิดทำอะไรลงไปแล้วต้องมุ่งความสำเร็จเป็นจุดหมาย ประดุจแววตาเสือได้จ้องเขม็งไปที่เหยื่อรายใดแล้ว ต้องตามตะปปขย้ำจนสำเร็จ ท่านสำเร็จอภิญญาญาณ สามารถเรียกสัตว์ มีเสือเป็นต้น มาขี่เป็นพาหนะในการเดินทางได้, สามารถเที่ยวนรกสวรรค์ได้ตามใจปรารถนา มีหลวงปู่แหวน เป็นสหธรรมิกเดินธุดงค์ภาคอีสานและภาคเหนือ, เวียงจันทร์, หลวงพระบาง - เกิดวันจันทร์ 3 กพ. 2431 - ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ปีชวด - บ้านข่า อ.ศรีสงคราม นครพนม
- 2514 อาพาธด้วยโรคชรา ถึงกาลใกล้นิพพาน ท่านได้แสดงธรรมโปรดสานุศิษย์สั้นๆ ว่า "สังขารไม่เที่ยง เราเกิดมาก่อน ก็ต้องไปก่อนตามธรรมดา ลมวิปริตแล้ว ธาตุในตัวแปรปรวนแล้ว" พูดจบท่านให้พรว่า "พุทฺโธ สุโข ธมฺโม สุโข สงฺโฆ สุโข จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ"
- พร้อมยิ้มหัวเราะเยาะ ลาโลกสมมุติเป็นครั้งสุดท้ายอย่างอารมณ์ดี ไม่สะทกสะท้าน แล้วนอนตะแคงขวาท่าสีหไสยาสน์ ทิ้งขันธ์
- อนุปาทิเสสนิพพาน 19 กพ.2517 เวลา 19.00 วัดป่าอรัญญวิเวก นครพนม -86 ปี 46 พรรษา
15. หลวงปู่สาม อกิญฺจโน - วัดป่าไตรวิเวก อ.เมือง สุรินทร์
พระอริยเจ้าผู้เคร่งครัดในธุดงควัตร
- ท่านกตัญญูกตเวทีต่อพระบูรพาจารย์เป็นที่ตั้ง เมื่อพระอ.มั่น เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน ท่านนอนเฝ้ารักษาศพท่านอ.มั่นตลอด 3 เดือนจนถึงพิธีประชุมเพลิง ท่านได้รับคำแนะนำจากหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ให้เข้าหาพระอ.มั่น ท่านไม่ติดสถานที่ ภาวนาตามป่าเขาทุกภาคของไทย ท่านจำพรรษามากแห่งแทบไมซ้ำกัน เป็นหนึ่งในกองทัพธรรมยุคแรกที่ธุดงค์เผยแผ่ธรรมจนได้รับคำชมจากพระอ.มั่นว่า "เป็นผู้เจริญด้วยธุดงควัตร จำพรรษาได้มากแห่ง และเป็นผู้เคร่งครัดในธุดงควัตร"
- ท่านมีสหธรรมิกคือ พระอ.กงมา และท่านพ่อลี - ท่านสามารถเข้าฌานสมาบัติได้เชี่ยวชาญ
- 2506 จำพรรษากับกะเหรี่ยงที่บ้านแม่หลอด อ.แม่แตง เชียงใหม่ ออกพรรษาแล้วเที่ยววิเวกไปแถวเชิงบ้านผาเด่ง อยู่กับแม้วกระเหรี่ยง ทำให้เขาเกิดศรัทธา จึงทำให้ท่านถูกคนอิจฉาริษยาและคิดปองร้ายหมายเอาชีวิต คืนวันหนึ่งท่านนั่งเข้าฌานสมาบัติพิจารณาธรรมขั้นสูง ดื่มด่ำรสพระธรรม ท่องเที่ยวไปทั้งเบื้องสูงเบื่องล่าง, โปรดจิตวิญญาณที่ยากไร้ นานพอสมควรท่านจึงถอนจิตออกจากฌานสมาบัติ พอถอนจิตออก ปรากฎว่าฝากระท่อมทับตัวท่านอยู่ เมื่อเอาออก จุดเทียนขึ้นดู มีเลือดเยิ้มท่วมกาย ,ข้างกายมีก้อนหินตก 1ก้อน, อีกข้างมี 2 ก้อน, มีเลือดเปรอะเกรอะกรังทั่วตัว - ท่านเล่าว่า พวกโจรผู้ร้ายคงเอาก้อนหินทุบศีรษะและใบหน้าท่านอย่างแรง และคิดว่าท่านคงตายแล้ว จึงตีฝากระท่อมให้ล้มทับตัวท่านไว้ ท่านรอดตายมาได้อย่างปาฏิหาริย์
- เกิดอาทิตย์ 12 กย. 2442 - บ้านนาสาม ต.นาบัว สุรินทร์
-2469 ศึกษาธรรมกับพระอ.มั่นที่ป่าบ้านสามผง นครพนม พระอ.มั่นแนะนำให้ติดตามพระอ.สิงห์และพระมหาปิ่นออกธุดงค์ -
นิพพานที่รพ.ศิริราช 1 กพ.2534 เวลา 19.30 น.-91 ปี 62 พรรษา
16. หลวงปู่คำดี ปภาโส (พระครูญาณทัสสี) - วัดถ้ำผาปู่ อ.เมือง เลย
พระอริยเจ้าผู้อ่อนน้อมถ่อมตนเพื่อธรรม
- ท่านมีความสมบุกสมบันทั้งภายนอกและภายใน, สันโดษ, ไม่ชอบการก่อสร้าง - ท่านศึกษาธรรมจากพระอ.สิงห์ ณ วัดป่าสาลวัน จากนั้นท่องเที่ยวตามป่าเขา จนวาระสุดท้ายท่านกลับมาวัดถ้ำผาปู่และได้รับอุบายธรรมอันสำคัญจากหลวงตามหาบัว และถึงที่สุดแห่งทุกข์ - ท่านมักกล่าวกับคนใกล้ชิดเสมอว่า "มหาบัวเป็นอาจารย์ของอาตมา" ท่านไม่ถืออายุพรรษา ท่านถือพรหมจรรย์คือพระอรหัตตผลเป็นที่ตั้ง ถ้าหากได้ธรรม แม้จะเอาสามเณรเป็นอาจารย์ท่านก็ยอม - ท่านมีวิธีการและอุบายแปลกๆ เพื่อหัดทรมาน, ท่านชอบหาที่อยู่น่ากลัว และชอบหาวิธีแก้ความกลัวเฉพาะหน้า เช่น ท่านพักในถ้ำ เสือร้องคำรามหน้าถ้ำ ตัวสั่นแต่ใจสู้ไม่ถอย ภาวนาสอนตนเองว่า "พระกรรมฐานอะไรมากลัวเสือ เรากลัวเสือมันมากินเรา ก็เรากินสัตว์มาสักเท่าไหร่ กินมาจนเต็มพุง ถ้าเสือจะมากินเราเสียบ้าง ก็ไม่เห็นจะเป็นไร วันนี้เราต้องสู้" - คิดอย่างนั้นแล้ว ท่านก็รีบเดินออกจากถ้ำไปตามหาเสือ - พอเสือเห็นท่านเดินเข้าไปหาดุ่มๆ มันก็เผ่นแน่บเปิดหนีเข้าป่าหายเงียบไป ท่านเคยจิตเสื่อมและราคะกำเริบมาก ถึงกับจะเอามีดโกนมากรีดคอตนเองให้ตายถึง 3 ครั้ง 3 หน แต่เหมือนมีเทวดามาช่วยเสมอ
- ท่านเล่าว่า หากวันนั้นมีผู้หญิงเข้าสู่ป่าที่ท่านพักอาศัยอยู่ ท่านจะต้องข่มขืนเสพเมถุนแน่นอน เพราะเกิดความกำหนัดอย่างมาก - แต่เดชะบุญบันดาล วันนั้น ไม่มีผู้หญิงสักคนเลย ทั้งที่ทุกวันจะมีผู้หญิงมาหาของป่ากันเป็นจำนวนมาก ท่านพลิกจิตแก้ตัวท่านเองทันทีอย่างเด็ดขาด ด้วยการเปลียนความคิดที่ฆ่าตัวตายเสียใหม่ว่า "ถ้าจะตาย เราต้องตายพร้อมกับความเพียรภาวนาเท่านั้น" แต่ก่อนท่านผาดโผน แข็งกระด้าง ไม่ยอมใครง่ายๆ แต่ท่านมาแก้เสียใหม่ - ครั้งหนึ่งท่านใช้สามเณรตัดผ้าขาวทำสบง สามเณรเย็บผ้าผิด ท่านฉีกผ้าโยนทิ้ง สามเณรร้องไห้ใหญ่ ท่านสะเทือนใจมากที่ทำกิริยาอย่างนั้น ผ้าตัดผิด มันก็ตัดผิดไปแล้ว แล้วมาฉีกผ้าทิ้งนี้หาประโยชน์อะไรมิได้ ท่านเตือนตนเองว่า "เอาล่ะนะ เราจะเอาสามเณรเป็นอาจารย์ ต่อแต่นี้เป็นต้นไป เราจะเปลี่ยนนิสัยใหม่ เปลี่ยนมารยาทใหม่ กิริยาอย่างนี้จะไม่นำเอามาใช้จนกระทั่งวันตาย เปลี่ยนเป็นคนอ่อนโยน ไม่ดุด่าว่ากล่าวใครโดยไร้ซึ่งเหตุและผล"
- เกิดวันพฤหัส 26 มีค. 2445 -แรม 14 ค่ำ ปีขาล เกิดบ้านหนองคู ต.บ้านหว้า ขอนแก่น
- อนุปาทิเสสนิพพาน - 17 พย 2527 เวลา 13.13 น. รพ.แพทย์ปัญญา กรุงเทพ - 82 ปี 56 พรรษา
17. หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร (พระญาณสิทธาจารย์) - วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว เชียงใหม่
พระอริยเจ้าผู้มีกลิ่นศีลธรรมกำจรกำจาย
- อุปนิสัยละมุนละไม มีเมตตาเป็นสาธารณะ ใจเด็ด มุ่งหวังเพียงความพ้นทุกข์ ได้รับคำชมจากพระอ.มั่นว่า "เป็นดอกบัวที่ยังตูมอยู่ เบ่งบานเมื่อใด จะหอมกว่าหมู่" - เมื่อพระอ.มั่นธุดงค์ไปภาคเหนือ ท่านจะติดตามไปอาศัยในรัศมีธรรมของพระอ.มั่นเสมอมา - ท่านชอบอยู่ตามถ้ำ ภูเขาสูง, เก่งการพิจารณาอสุภะกรรมฐาน - ท่านสามารถอรรถาธิบายในกายคตาสติกรรมฐาน พิจารณากระดูก 300 ท่อนได้อย่างพิสดาร - ท่านถือเคร่งใน "โสสานิกังคธุดงค์" คือธุดงค์ข้อ 11 ว่าด้วยการเข้าไปเยี่ยม และอยู่ในป่าช้า พิจารณาซากศพเป็นวัตร - ท่านเป็นผู้มีใจหนักแน่นมั่นคง ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลาย
- เกิดศุกร์ 26 พย.2452 - ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 12 ปีระกา เวลา 21.00 บ้านบัว ต.สว่าง อ.พรรณานิคม สกลนคร
- คืนที่ท่านมาปฏิสนธิ มารดานิมิตเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งเหาะมาจากท้องฟ้ามีรัศมีในกายเปล่งประกายแลดูเย็นตาเย็นใจ เหาะลงสู่กระต๊อบกลางทุ่งนา นายสานผู้เป็นบิดาจึงตั้งชื่อลูกชายว่า "สิม" (หมายถึงโบสถ์)
- อายุ 17 ปี ขอบิดามารดาบรรพาเป็นสามเณรมหานิกาย ต่อมาได้ฟังธรรมพระอ.มั่น, พระอ.สิงห์, พระอ.มหาปิ่น ณ วัดศรีสงคราม นครพนม ได้ปีติเลื่อมใสอย่างมาก จึงตัดสินใจขอถวายตัวเป็นศิษย์พระอ.มั่น ได้บรรพชาใหม่เป็นสามเณรธรรมยุต
- หลังอุปสมบท ธุดงค์ติดตามพระอ.สิงห์ ขนฺตฺยาคโม และ พระอ.สิงห์สอนอุบายการพิจารณาอสุภกรรมฐานจากซากศพ โดยพาไปขุดซากศพที่ป่าช้าขึ้นมาพิจารณา - ท่านได้อสุภะกรรมฐานจากซากศพว่า "นี่แหละร่างกาย สักแต่ว่ารูป ไม่ว่ารูปหญิงรูปชาย คืออันเดียวกัน ไม่มีใครสวยใครงามกว่ากัน อสุภํ มรณํ ทั้งนั้น -ไม่นานล่ะ เดี๋ยวมันก็ทยอยตาย ไปทีละคนสองคน หมดไปสิ้นไปไม่มีเหลือ ตายจนกระทั่งหมดโลก"
- 2503 ท่านธุดงค์มาพบถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว เชียงใหม่ และพัฒนาจนเป็นมงคลสถานที่อบรมภาวนา
- อนุปาทิเสสนิพพาน - ศุกร์ 14 สค. 2535 - วัดถ้ำผาปล่อง -82 ปี 63 พรรษา
18. หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน (พระธรรมวิสุทธิมงคล) - วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง อุดรธานี
พระอริยเจ้าผู้เป็นมหาบุรุษของแผ่นดิน
- ท่านยิ่งใหญ่ด้วยบุญบารมี เป็นมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค, ทำประโยชน์ใหญ่ให้แก่ชาติและพระพุทธศาสนา, เป็นพระของแผ่นดินไทยที่ประวัติศาสตร์ต้องจดจารึกเป็นศักดิ์ศรีและเกียรติยศประดับวงศ์พระพุทธศาสนาอย่างสง่างาม, ปฏิปทาและคำสอนของท่านหาผู้ใดเสมอเหมือนได้ยาก
- ท่านสามารถทำในเรื่องที่บุคคลอื่นทำได้ยาก เรื่องที่ยากแสนยาก เมื่อท่านดำริ กลับเป็นเรื่องง่ายประดุจพลิกแผ่นดินได้ ท่านคิดทำเรื่องใดไม่ว่าน้อยใหญ่ กิจนั้นสำเร็จราวปาฏิหาริย์ - ท่านเล่าว่า "เดิมจริงๆ ท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิ แต่มาพิจารณาเห็นว่าจะเป็นการเนิ่นช้า จึงถอนความปรารถนานั้นเสีย มุ่งตรงเข้าสู่แดนนิพพานโดยตรง" พระอ.มั่น ไว้วางใจและยกย่องท่านว่า "เป็นผู้ฉลาดทั้งภายนอกภายใน ต่อไปจะเป็นที่พึ่งแก่หมู่คณะได้มาก" ยามที่พระอ.มั่นนิพพานไป ท่านจึงเป็นแม่ทัพใหญ่ ทดแทนสืบทอดมรดกมรรคปฏิปทาเหมือนยามที่ท่านพระอ.มั่นยังปรากฎอยู่
- 2482 พระอ.มั่นได้กล่าวยกย่องและทำนายภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งซึ่งยังไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน ด้วยอนาคตังสญาณว่า "ในอนาคตอีกไม่นาน จักมีพระหนุ่มรูปหนึ่ง เข้ามาหาเราเพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ เธอจะทำประโยชน์ใหญ่ให้แก่ประเทศชาติและพระพุทธศาสนา" และต่อมาเป็นที่ทราบกัว่า ภิกษุหนุ่มรูปนั้นคือ "พระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน"
- เกิด 12 สค.2456 บ้านตาด อุดรธานี ก่อนเกิด โยมบิดาได้สุบินนิมิตว่า "ได้มีด มีดด้ามงาที่ฝักเคลือบด้วยเงิน" โยมมารดาสุบินนิมิตว่า "ได้ต่างหูทองคำ 1 ข้าง สวยงามมาก" โยมตาได้ทำนายสุบินนิมิตไว้ 2 อย่าง 1. ถ้าไปในทางชั่ว มหาโจรสู้ไม่ได้ ยังเป็นหัวหน้ามหาโจรอีก 2. ถ้าไปในทางที่ดีแล้ว จะดีจนถึงที่สุด
- ท่านศึกษาปริยัติ 7 ปี สอบได้นักธรรมเอกและเปรียญธรรม 3 ประโยค ได้รับความอนุเคราะห์จากสมเด็จมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) เป็นอย่างยิ่ง
- 2485-2492 ท่านได้ไปศึกษาและปฏิบัติธรรมกับพระอ.มั่น 8 ปี ยอมสยบในภูมิจิตภูมิธรรมอันละเอียดอ่อนแยบยลที่ท่านพระอ.มั่นอบรมสั่งสอนถึง 3 วาระ - วาระที่ 1 ท่านนั่งสมาธิตลอดรุ่งติดต่อกันหลายวัน จนก้นพุพองแตกน้ำเหลืองไหลเยิ้ม พระอ.มั่นให้อุบายว่า "กิเลสไม่ได้อยู่ที่กายนะ มันอยู่ที่ใจ เหมือนสารถีฝึกม้า ถ้าม้าหายพยศ การฝึกหนักควรลดลง"
- วาระที่ 2 - ท่านติดสมาธิอยู่ถึง 5 ปี ่จิตสงบแน่วไม่หวั่นไหวดั่งภูผาหิน พระอ.มั่นให้อุบายว่า "สุขในสมาธิเท่ากับเนื้อติดฟัน -สมาธิทั้งแท่ง เป็นสมุยทัยทั้งแท่ง - ให้ออกเดินทางด้านปัญญา"
- วาระที่ 3 ท่านเพลินในการพิจารณาด้านปัญญาทั้งวันทั้งคืนเกินตัว ไม่หลับไม่นอน คิดตำหนิสมาธิว่านอนตายอยู่เฉยๆ ปัญญาต่างหากสามารถแก้กิเลสได้ พระอ.มั่นให้อุบายว่า "บ้าหลงสังขาร" คือการพิจารณาเพลินเกินตัว ไม่รู้จักประมาณ สมุทัยแทรกเข้าในจุดนี้ ให้พักจิตเข้าสมาธิ เหมือนถอนเสี้ยนหนาม -จากนั้นก็เข้าสู้มหาสติมหาปัญญา กิเลสที่ใดตามต้อนจนหมด ท่านอยู่อุปัฏฐากรับใช้พระอ.มั่นจนนิพพานในวันที่ 11 พย.2492
- ท่านได้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดวันที่ 15 พค.2493 แรม 11 ค่ำ เดือน 6 เวลา 5 ทุ่มตรง บนหลังเขา วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร
- มกราคม 2553 หลวงตาพระมหาบัวญาณสัมปันโน อายุ 97 ปี พรรษา 76 ได้ยอมสละชีวิตเลือดเนื้อ รบกับความจนในชาติอย่างเด็ดเดี่ยว เมตตามอบทองคำและดอลลาร์เข้าสู่คลังหลวง รวม 15 ครั้ง ทองคำ 967 แท่ง น้ำหนักรวม 12,087.5 กก. ดอลลาร์ 10,214,600$ เพื่อเป็นการเพิ่มพูนสินทรัพย์ค้ำชูประเทศไทยให้อยู่ยั่งยืนมั่นคง
-(ข้อมูล 2553) - ด้วยความเมตตาไม่มีประมาณต่อสัตวโลก หลวงตายังสงเคราะห์ต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ - แม้ชีวิตล้มมลายลงไป ปัจจัยทั้งหมดที่มหาชนศรัทธานำมาถวายในงานศพในอนาคต ท่านมีพินัยกรรมให้นำมอบเข้าสู่พระคลังหลวง ให้เป็นสมบัติของชาติเป็นทุนของลูกหลานสืบไป
- นี่คือชีวิตพระอรหันต์ที่ยังทรงธาตุขันธ์ให้ชาวโลกได้ชื่นชมบุญบารมี - บาทวิถีที่ท่านก้าวย่างผ่านไป นำความสงบสุขและแสงสว่างมาให้แก่สัตวโลกทั้งปวง
19. หลวงปู่มหาเขียน ฐิตสีโล (พระอริยเวที) - วัดรังสีปาลิวัน ต.โพน อ.คำม่วง กาฬสินธุ์
พระอริยเจ้าผู้แตกฉานในอรรถและธรรม
- ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติ ชำนาญทั้งคันถธุระและวิปัสสนาธุระ ท่านละทิ้งเกียรติยศตำแหน่งในการบริหารคณะสงฆ์ มุ่งเพียงเกียรติอันยิ่งใหญ่คือพระนิพพาน - ละจากความเป็นพระบ้านเข้าสู่ความเป็นพระป่าได้อย่างสนิทใจ - อุปนิสัยพูดจริงทำจริง, เรียนจริงปฏิบัติจริง บากบั่นมุมานะ ไม่ท้อแท้ต่ออุปสรรคที่มาถึง, รักสงบ, สำรวมระวัง, ปฏิบัติตนเคร่งครัดในธรรมวินัย, ไม่ชอบคลุกคลี, ซื่อตรงต่อธรรมวินัย, หนักแน่นด้วยหิริโอตตัปปะธรรม, มักน้อย, สันโดษ, เรียบง่าย มีระเบียบบริบูรณ์ด้วยข้อปฏิบัติไตรศึกษา ถวายตัวเป็นศิษย์พระอ.มั่น ณ วัดหนองผือนาใน สกล -ท่านได้บำเพ็ญคุณประโยชน์ไว้ในพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก ทั้งด้านการศึกษา ด้านการปกครอง ด้านการเผยแผ่ ตั้งแต่บรรพชาอุปสมบทจนตลอดอายุขัย
- เกิดวันพุธ 29 ตค 2456 - เดือน12 ปีฉลู หมู่บ้านโพน อ.คำม่วง กาฬสินธุ์
- 2484 สอบไล่ได้เปรียญธรรม 9 ประโยคที่วัดบวรนิเวศวิหาร พร้อมกับสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน) - ครั้งได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระอ.มั่น กัณฑ์แรกเรื่อง "โทษของการเกิด" และกัณฑ์ที่2 เรื่อง "มุตโตทัย" - ท่านถึงกับลุกจากที่นั่งไปกราบพระอ.มั่น พร้อมกล่าวคำปฏิญาณว่า "สาสเน อุรํ ทตฺวา ขอมอบกายถวายชีวิตนี้แก่พระพุทธศาสนา ชีวิตทั้งชีวิตนี้ขอมอบไว้ในพระศาสนา ขอให้ท่านพระอาจารย์เป็นสักขีพยานด้วย" - จากนั้นตราบจนสิ้นอายุขัย ท่านได้ทำสัจวาจานั้นให้เป็นที่ปรากฎแก่ชนทั้งหลาย - ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดสุทธจินดาลำดับที่ 3 - ท่านมีแนวคิดกว้างไกล บริหารภายในวัด ตั้งเป้าไว้สูงให้พระเณรศิษย์วัดปฏิบัติตามเคร่งครัดและคัดเลือกหมู่คณะเข้ารับการอบรมที่วัดบวร ให้กลับมาเป็นบุคคลากรบริหารวัดช่วยเจ้าอาวาส - ท่านริเริ่มก่อตั้งมูลนิธิ "สุทธจินดาราชสีมามูลนิธิ" - ได้ผลงานตามวัตถุประสงค์ ทุนทรัพย์เติบใหญ่ - เมื่อวางรากฐานการปกครองและการศึกษา เข้าสู่ความเจริญตามเป้าหมาย - ท่านได้ประกาศท่ามกลางคณะสงฆ์อย่างอาจหาญว่า "จะออกปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานในป่า"
- ตั้งแต่ 2500 เป็นต้น ท่านได้สร้างวัด รังสีปาลิวัน บ้านโพน อ.คำม่วง กาฬสินธุ์ และได้ออกบำเพ็ญตามถ้ำ ผาหลายแห่ง - ท่านปรารภถึงชีวิตท่านขณะเป็นพระอยู่ในเมืองว่า "ชีวิตวันหนึ่งคืนหนึ่ง รู้สึกว่าจะน้อยมาก สำหรับที่จะทำความเพียร ไม่เพียงพอเลย - วันหนึ่งๆ มีแต่ต้อนรับผู้คน พูดคุยเรื่องต่างๆ เสียเวลาทำความเพียร เป็นการทำชีวิตให้เป็นหมัน เพราะเรื่องที่พูดนั้นเป็นเรื่องข้างนอกทั้งนั้นเป็นการคลุกคลีด้วยหมู่คณะจนเกินไป อันเป็นทางให้เกิดความประมาท- เป็นปปัญจธรรม คือธรรมอันเป็นเหตุให้เนิ่นช้าในคุณธรรมอันยิ่งขึ้นไป - หลงตัวลืมตัวมัวเมามืดมน อนธการ - คิดๆดูแล้ว ก็สงสารหมู่คณะที่อยู่ในเมือง ถ้าจะให้เรากลับมาอยู่ในเมืองอีก ให้ตายเสียยังจะดีกว่า - เพราะรู้สึกอึดอัดคับแค้นใจมาก - ฟัง คิด พิจารณา เกิดมากี่ภพกี่ชาติ จึงจะมีโอกาสงามสำหรับบำเพ็ญสมณธรรมเช่นชาตินี้ - "ทุลฺลภขณสมฺปตฺติ" สมณศักดิ์ ตำแหน่ง ห้ามอบายภูมิไม่ได้ - แต่คุณความดี และศีล สมาธิ ปัญญาเท่านั้น ที่ห้ามอบายภูมิได้"
- 4 มิย. 2527 อายุ 71 ปี ท่านป่วยอัมพาต เพราะเส้นโลหิตในสมองแตก ทำให้พูดออกมาไม่เป็นคำพูด ฟังยาก แขนขาซีกขวาไม่ทำงาน ช่วยตัวเองได้ 10% - ท่านป่วยนานถึง 19 ปี ลูกศิษ์ใกล้ชิดช่วยสับเปลี่ยนดูแลพยาบาลมาโดยสม่ำเสมอ
- อนุปาทิเสสนิพพานอย่างสงบ 5 กพ 2546 - เวลา 20.25 - 90 ปี 68 พรรษา ถวายเพลิงศพวันเสาร์ 15 มีค. 2546
20. หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท - วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี
พระอริยเจ้าผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง
- เด็ดเดี่ยวอาจหาญ พระอ.มั่นได้ยกย่องท่านว่า "เป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง" อุปนิสัยตรงไปตรงมา มีปฏิปทา ยอมหักไม่ยอมงอ , ท่านสละอวัยวะ ทรัพย์ และชีวิตเพื่อธรรม, เป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที, จงรักภักดีต่อท่านพระอ.มั่นยิ่งกว่าชีวิต ท่านได้รับความไว้วางใจจากพระอ.มั่น ให้เดินทางไปเฝ้าอุปัฏฐากหลวงปู่เสาร์ ซึ่งอาพาธหนักถึงเมืองนครจำปาศักดิ์ ลาว จนกระทั่งหลวงปู่เสาร์มรณภาพ ท่านไม่กว้างขวางเรื่องปริยัติธรรมภายนอก, รอบรู้เฉพาะเรื่องจิตตภาวนา ท่านปฏิบัติลำบาก แต่รู้เร็ว คำสอนของท่านเป็นปัจเจกะ มุ่งเน้นด้านจิตใจ ท่านมีบารมีธรรมที่บ่มบำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน เป็นสิ่งที่ช่วยเกื้อหนุนอยู่อย่างลึกลับ การปฏิบัติของท่านจึงนับว่ารู้ธรรมเร็วในยุคปัจจุบัน - ท่านสอนให้พวกเรามองอะไร ไม่ควรมองแต่เพียงด้านเดียว การมองอะไร ไม่เพียงใช้สายตาเป็นเครื่องตัดสินเท่านั้น แต่ต้องใช้แววตาคือปัญญา เหมือนดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงสว่างแก่โลก ย่อมไม่ละเลยทั้งกอไผ่และภูผา การปฏิบัติของท่านมุ่งเน้นที่ผลการปฏิบัติ มากกว่ารูปแบบการปฏิบัติ เพราะนี่เป็นนิสัยสะท้านโลกาและปฏิปทาที่เป็นปัจจัตตัง ยากที่ใครๆ จะเลียนแบบได้ - หลวงตามหาบัว ได้ยกย่องชมเชยท่านว่า "พระอาจารย์เจี๊ยะเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง เป็นเพชรน้ำหนึ่งที่หาได้โดยยากยิ่ง"
- เกิดวันอังคาร 6 มิย.2459 - ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 7 ปีมะโรง บ้านคลองน้ำเค็ม อ.แหลมสิงห์ จันทบุรี ค้าขายผลไม้, นิสัยนักเลง, ตรงไปตรงมา, จริงจังในหน้าที่การงาน, ยอมหักแต่ไม่ยอมงอ, พูดจาโฮกฮาก ไม่กลัวคน
- อุปสมบท 11 กค 2480 วัดจันทนาราม - จำพรรษากับพระอ.กงมา ที่ป่าช้าผีดิบบ้านหนองบัว ปัจจุบันคือวัดทรายงาม จันทบุรี ท่านปฏิบัติกรรมฐานด้วยอิริยาบถ 3 คือ ยืนภาวนา, เดินจงกรม, นั่งสมาธิ แบบสละตาย ด้วยการตั้งสัจจะอธิษฐานว่า "ข้าพเจ้าจะถือเนสัชชิก คือ ในเวลาค่ำคืน ไม่นอนตลอดไตรมาส - ด้วยพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ ถ้าหากแม้นว่าข้าพเจ้าไม่ทำตามสัจจะนี้ ขอให้ข้าพเจ้าถูกฟ้าผ่าตาย, แผ่นดินสูบตาย, ไฟไหม้ตาย, น้ำท่วมตาย - แต่ถ้าหากว่าข้าพเจ้า ปฏิบัติตามสัจจะที่ตั้งไว้ได้ ขอจงเป็นผู้เจริญงอกงามในธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วเทอญ" - พรรษาที่ 3 จิตท่านเกิดรวมครั้งใหญ่ใต้ต้นกระบก ด้วยการหยั่งสติปัญญาลงในกายานุปัสสนา หยั่งลงสู่ความจริงประจักษ์ใจ -โลกสมมุติทั้งหลายไม่มีปรากฎขึ้นกับใจ ประหนึ่งว่าแผ่นดินแผ่นฟ้าละลายหมด เหลือแต่จิตดวงบริสุทธิ์เท่านั้น
- ปลายปี 2482 ท่านกราบลาพระอ.กงมา และท่านพ่อลี เดินทางไปยังเชียงใหม่ พร้อมสหธรรมิกคือ พระอ.เฟื่อง โชติโก เพื่อนำธรรมที่รู้เห็นไปเล่าถวายพระอ.มั่น - พระอ.มั่นทราบเหตุการณ์ล่วงหน้าโดยตลอด จึงปูอาสนะนั่งรอท่า อยู่บนแคร่น้อยๆ - เมื่อได้โอกาสอันสมควรจึงเล่าเรื่องภาวนาให้พระอ.มั่นฟังว่า "ได้พิจารณากาย จนกระทั่งใจนี้มันขาดไปเลย" พระอ.มั่นนั่งฟังนิ่ง ยอมรับแบบอริยมุนี ไม่คัดค้านในสิ่งที่เล่าถวายแม้แต่น้อย - อีกไม่นาน ฟันของท่านพระอ.มั่นหลุด แล้วท่านก็ยื่นให้ - ลป.เจี๊ยะเล่าว่า "ท่านคงรู้ได้ด้วยอนาคตังสญาณ ว่าเราจะมีวาสนาสร้างภูริทัตตเจดีย์บรรจุทันตธาตุถวายท่านเป็นแน่แท้"
- 2483-2485 หลวงปู่เจี๊ยะเป็นพระคลิานุปัฏฐาก และเป็นปัจฉาสมณะ เป็นประดุจเงาตามตัวพระอ.มั่นมาโดยตลอด - พระอ.มั่นได้กล่าวชมเชยหลวงปู่เจี๊ยะท่ามกลางหมู่สงฆ์ว่า "ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ท่านรูปนี้ปฏิบัติลำบากแต่รู้เร็ว - ปฏิบัติเพียง 3 ปี เท่ากับเราปฏิบัติภาวนามาเป็นเวลา 22 ปี อันนี้อยู่ที่นิสัยวาสนา เพราะนิสัยวาสนาของคนมันต่างกัน"
-2492 ท่านภาวนาในป่าดงลึก เชิงเขาบายศรี อ.ท่าใหม่ จันทบุรี เกิดป่วยเป็นไข้มาลาเรียอย่างหนัก ขณะป่วยหนักนั้น ท่านเล่าว่า "จิตเป็นธรรมชาติที่อัศจรรย์ตลอดเวลา พิจารณาจนกระทั่งจิตดับหมด หยุดความคิดค้น จิตปล่อยวางสิ่งทั้งปวง คว่ำวัฏจักร วัฏจิต แหวกอวิชชาและโมหะอันเป็นประดุจตาข่าย กิเลสขาดสะบั้นออกจากใจ จิตมีอิสระอย่างสูงสุดเกินที่จะประมาณได้"
- 2493 หลังถวายเพลิงศพพระอ.มั่น - ท่านกลับไปจันทบุรี เพื่อโปรดโยมมารดาซึ่งป่วยหนัก หวังจะทดแทนบุญคุณข้าวป้อนด้วยอรรถด้วยธรรม- ท่านจึงสร้างวัดเขาแก้ว ต.ท่าช้าง , และสร้างวัดบ้านสถานีกสิกรรม อ.พลิ้ว ถวายหลวงตามหาบัว
- 2520 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ได้นิมนต์ท่านเป็นเจ้าอาวาส และรวมสร้างวัดญาณสังวราราม ชลบุรี
- 2526 คณะศรัทธาถวายที่ดินบ้านคลองสระ อ.สามโคก ปทุมแก่หลวงตามหาบัว หลวงตาได้นิมนต์ท่านมาอยู่เป็นเจ้าอาส และท่านได้สร้างวัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม - แม้ท่านจะเป็นเถระผู้ใหญ่ และสร้างวัดใหญ่โตแล้ว ท่านก็ยังเที่ยวภาวนาตามป่าตามเขาท้องถ้ำเงื้อมผา จนร่างกายเดินไม่ไหว
- อนุปาทิเสสนิพพานด้วยความสงบและอาจหาญในธรรม 23 สค 2547 เวลา 23.55 น รพ.ศิริราช - 88 ปี 68 พรรษา
21. หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ - วัดราษฎรสงเคราะห์ (วัดป่าหนองแซง) อ.หนองวัวซอ อุดร
พระอริยเจ้าผู้บรรลุโสดาบันตั้งแต่ยังเป็นคฤหัสถ์
- เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ในวัยชรา ท่านบวชเป็นตาปะขาวถือศีล8 เคร่งครัด, ติดตามหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ออกธุดงค์ จนบรรลุโสดาบันตั้งแต่เป็นคฤหัสถ์ ท่านมีวิถีจิตมุ่งสู่ความหลุดพ้น พระอ.มั่นได้กล่าวทำนายไว้ว่า "ในกาลข้างหน้า ถึงเวลาบารมีสุกงอมเต็มที่ จะมีคนมาโปรด"
- ต่อมา ท่านได้รับอุบายธรรมขั้นสูงจากหลวงตามหาบัว ที่วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ตามคำทำนายของพระอ.มั่น หลวงตามหาบัว แนะวิธีปฏิบัติให้ตอนเย็น- พอรุ่งเช้า ท่านก็จบกิจพรหมจรรย์ เป็นพระอรหันต์ - ท่านเล่าว่า "อวิชชาขาดมันรุนแรงถึงขั้นกายไหว ประหนึ่งว่าคานกุฏิที่อยู่ได้ขาดไปด้วย อัศจรรย์พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และอัศจรรย์อุบายธรรมที่หลวงตาแนะนำพร่ำสอน คืนนั้นทั้งคืน จิตตื่นอยู่ไม่หลับไม่นอน เสวยวิมุตติสุข หาสุขอื่นยิ่งกว่าไม่มี" หลวงปู่บัว เป็นผู้แก้จิต และแนะนำธรรมขั้นสุดท้ายให้แก่หลวงปู่ศรี มหาวีโร พระอริยเจ้าแห่งวัดป่ากุง ร้อยเอ็ด หลวงปู่ศรีจึงเคารพรักท่านเป็นอย่างมาก - ท่านสามารถระลึกชาติย้อนหลังได้หลายชาติ ท่านเล่าว่า เคยเกิดที่บริเวณวัดป่าหนองแซงนี้ นานถึง 4 ชาติ และชาตินี้เป็นชาติที่ 5 ชาติสุดท้าย ท่านเคยเกิดเป็นหมูป่า, ชาติต่อมาเป็นควายป่า ถูกพรานใจบาปยิงตาย ก่อนตายได้รับทุกข์ทรมานยิ่ง พรานใจบาปนี้เที่ยวล่าฆ่าสัตว์ตายจำนวนมาก ไม่เคยก่อสร้างบุญกุศล เมื่อเขาตายไปได้เป็นเปรต เสวยผลกรรมเผ็ดร้อน อยู่บริเวณวัดป่าหนองแซงแห่งนี้ - ท่านไม่ได้เรียนเขียนอ่าน แต่ธรรมภายในท่านลึกซึ้ง ท่านภาวนาพุทโธตั้งแต่เป็นฆราวาส, บวชผ้าขาวถือศีล8 เคร่งครัด 3 ปี ติดตามหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ธุดงค์ตามป่าตามเขา ผจญสัตว์ป่าและอันตรายต่างๆ - ระหว่างเป็นผ้าขาว ได้ฟังธรรมครูบาอาจารย์หลายรูป เช่น พระอ.สุวรรณ สุจิณฺโณ, ลป.สิงห์, ลป.ขาว, ลป.จันทร์ เขมปตฺโต, หลวงปู่อ่อนสา, หลวงปู่คำดี, หลวงตามหาบัว แม้อยู่ในวัยชรา แต่ความเพียรพยายามเหมือนพระหนุ่มๆ ท่านพอใจต่อการรักษาสัจจะ หากศิษย์คนใดมีจิตใจแน่วแน่ที่จะรักษาสัจจะแล้ว จะเป็นที่นิยมและชอบใจของท่านยิ่งนัก
- เกิด 2431 ที่บ้านเขืองใหญ่ ต.หมูม่น อ.ธวัชบุรี(โป่งลิง) ร้อยเอ็ด เป็นช่างประจำหมู่บ้าน, เก่งวิชาอาคมไสยศาสตร์, อาชีพหมอผี ปราบผีสางนางไพร เป็นที่นับถือคนถิ่นนั้น - ท่านยึดมั่นคุณธรรม 2 ประการคือ การมีสัจจะ และการรักษาศีลอย่างเคร่งครัด
- อุปสมบทปี 2482 อายุ 52 ปี วัดบึงพระลานชัย จำพรรษาอยู่กับพระอ.เพ็ง พุทฺธธมฺโม พระลูกชาย ที่วัดป่าศรีไพรวัน ร้อยเอ็ด กลางพรรษาแรก ท่านเจ็บรูหูมาก ได้นั่งสมาธิพิจารณาทุกขเวทนาใต้ต้นลำดวนในวัดติดต่อกัน 3 วัน 3 คืน จึงรู้แจ้งในอริยสัจจ์ จึงเอาชนะความเจ็บปวดได้ จากนั้นเข้าถวายตัวเป็นศิษย์พระอ.มั่น ที่วัดบ้านหนองผือ สกลนคร เมื่อไปถึง พระอ.มั่นถามทันทีว่า "นั่งอยู่ใต้ต้นลำดวนอยู่ 3 วัน 3 คืนนั้น ท่านได้พิจารณาอะไรบ้าง" - ท่านถึงกับตกใจที่พระอ.มั่นรู้ได้เช่นนั้น จึงกราบเรียนท่านว่า "กำหนดดูปฏิสนธิตั้งแต่เริ่มแรก พิจารณาการเกิดตั้งแต่เข้าไปอยู่ในครรภ์มารดาต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน" - 2495 หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ กับพระอ.ศรี มหาวีโร รับนิมนต์จากท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์(จูม พนฺธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ อุดร เพื่อสร้างวัดกรรมฐานที่บ้านหนองแซง อุดร
- เป็นที่เที่ยวผ่านไปมาของพระอ.กรรมฐานเสมอ เช่น พระอ.ชอบ ฐานสโม, พระอ.หลุย จนฺทสาโร, พระอ.คำดี ปภาโส
- อนุปาทิเสสนิพพาน 2518 - วัดป่าหนองแซง - 87ปี 36 พรรษา
22. หลวงปู่ชา สุภทฺโท (พระโพธิญาณเถร) - วัดหนองป่าพง ต.โนนผึ้ง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
พระอริยเจ้าผู้ก้าวล่วงความสงสัยในนิกาย
- ท่านไม่ได้ญัตติเป็นพระฝ่ายธรรมยุต, เป็นผู้ทรงธรรม, เก่งเทศนาโวหารและการเปรียบเปรย, ข้อธรรมของท่านชวนให้คนได้คิดเสมอ, สติปัญญาไว, ดัดนิสัยสานุศิษย์ได้ฉับพลัน, มีบุญบารมีมาก, มีหลวงพ่อพุธ ฐานิโย เป็นสหธรรมิก - มีนิสัยโน้มเอียงในทางธรรมตั้งแต่วัยเด็ก, กลัวบาป, เป็นคนซื่อสัตย์ ไม่โกหก, รักความยุติธรรม เกลียดความอยุติธรรม, ชอบเล่นแต่งตัวเป็นพระ, พอใจภูมิใจที่ได้แสดงเป็นพระ, ยินดีในผ้ากาสาวพัสตร์และเพศพรหมจรรย์ - ท่านมีความสามารถในการสอนธรรมให้ชาวต่างชาติ, มีศิษย์ต่างชาติจำนวนมาก, มีวัดสาขาทั้งในและต่างประเทศ, มีกฎระเบียบจากวัดหนองป่าพง เป็นต้นแบบทุกสาขาทั่วโลก - เกิดวันศุกร์ 17 มิย.2461- ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย- บ้านก่อ อ.วารินชำราบ อุบล
- บรรพชาเป็นสามเณ เมื่อ2474 ปฏิบัติครูอาจารย์ 3 ปี และได้ลาสิกขาบทมาช่วยบิดามารดาทำไร่ทำนา
- อุปสมบท 2482 -พรรษาที่ 1-2 สอบนักธรรมชั้นตรีได้ โยมพ่อมักจะบอกว่า "อย่าลาสิกขานะลูก อยู่เป็นพระอย่างนี้แหละดี สึกออกมามันยุ่งยากลำบาก หาความสบายไม่ได้"
- 2490 เดินทางไปกราบนมัสการพระอ.มั่น ที่สำนักหนองผือนาใน สกลนคร พระอ.มั่นเทศน์สั้นๆว่า "การประพฤติปฏิบัตินั้น ถ้าถือพระธรรมวินัยเป็นหลักแล้ว ก็ไม่ต้องสงสัยในนิกายทั้งสอง" และพระอ.มั่นอธิบายเรื่อง พละ 5,อิทธิบาท 4 คืนที่ 2 พระอ.มั่นได้แสดงปกิณกธรรมต่างๆ จนจึงท่านคลายความสงสัย มีความรู้ลึกซึ้ง จิตหยั่งสู่สมาธิ เกิดปีติ เหมือนตัวลอยอยู่บนอาสนะ นั่งฟังจนเที่ยงคืน - ท่านพักสำนักพระอ.มั่นได้ไม่นานนัก แต่ท่านพอใจในรสพระธรรมที่ได้ดื่มด่ำเป็นอย่างยิ่ง ท่านเทียบว่า"คนตาดีพบดวงไฟก็มองเห็นแสงสว่าง ส่วนคนตาบอดถึงจะนั่งเฝ้าดวงไฟ ก็ไม่เห็นอะไร หลังกราบนมัสการพระอ.มั่น และศรัทธาท่านแกร่งกล้าขึ้น พร้อมเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการทำความเพียร เพราะแนวปฏิบัติชัดเจนขึ้น จากนั้น ท่านธุดงค์รอนแรมภาวนาตามป่าเขา ไม่ว่าอยู่ที่ใด มีความรู้สึกว่าพระอ.มั่นคอยติดตามให้คำแนะนำอยู่เสมอ - ผจญภัยอันตรายต่างๆ เป็นไข้ป่า มาลาเรีย ไม่มียารักษาโรค ต้องอาศัยธรรมโอสถช่วยเหลือตนเอง ยอมเป็น ยอมตาย จนจิตใจของท่านกล้าแกร่ง จิตมีธรรมเป็นที่พึ่ง ท่านพาลูกศิษย์เดินธุดงค์ไปอ.บ้านแพง นครพนม ได้ขึ้นภูลังกาเพื่อกราบนมัสการ พระอ.วัง หลังสนทนาแล้ว ท่านเข้าใจในความละเอียดลึกซึ้งของธรรมปฏิบัติมากขึ้น พักอยู่ภูลังกา 3 วันจึงลงมาถึงวัดหนึ่งที่เชิงเขา ฝนตก ได้หลบฝนเข้าไปนั่งใต้ถุนศาลา จิตกำลังพิจารณาธรรมอยู่ ทันใดนั้น จิตก็ตั้งมั่นขึ้นแล้วเปลี่ยนไปเหมือนอยู่คนละโลก ดูอะไรก็เปลี่ยนไปหมด เหมือนหน้ามือเป็นหลังมือ, เหมือนแดดจ้าที่มีก้อนเมฆเคลื่อนมาบดบัง แสงแดดก็วาบหายไป, เปลี่ยนนขณะจิตไปวาบๆ ตั้งขึ้นมาก็เปลี่ยนวาบ, เห็นขวด ก็ไม่ใช่ขวด ดูแล้วไม่เป็นอะไร เป็นธาตุ เป็นของสมมุติขึ้นทั้งนั้น ไม่ใช่ขวดแท้ ไม่ใช่กระโถนแท้ - น้อมเข้ามาหาตัวเอง ดูทุกสิ่งในร่างกายไม่ใช่ของเรา มันล้วนแต่ของสมมุติ
- มีค.2497 ท่านเดินธุดงค์มาที่ดงป่าพง เห็นเป็นที่สัปปายะ จึงสร้างเป็นวัดหนองป่าพง
- อนุปาทิเสสนิพพาน - พฤหัส 16 มค 2535 - วัดหนองป่าพง -74 ปี 52 พรรษา
23. หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ (พระโพธิธรรมาจารย์เถร) วัดป่าเขาน้อย ต.เสม็ด อ.เมือง บุรีรัมย์
พระอริยเจ้าผู้หลุดพ้นด้วยอิริยาบถเดิน
- ท่านเป็นศิษย์ต้นของพระอ.ฝั้น และท่านได้รับโอวาทจากพระอ.มั่นว่า "คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของเล่น ถ้าทำเล่นจะไม่เห็นของจริง" ท่านเป็นพระที่รักสันโดษ โดดเดี่ยว ปลีกวิเวก, มีจิตฝังลึกลงในธรรมของพระตถาคตด้วยศรัทธา, มีเหตุผลมั่นคง, ปรารถนาจะบวชตั้งแต่เยาว์วัย ชอบท่องเที่ยวจาริกธุดงค์ทั่วประเทศและต่างประเทศ, ไม่ยึดติดหมู่คณะ, ไม่ติดสถานที่, ไม่คลุกคลีกับใคร เหมือนนกตัวน้อยๆโผปีกทะยานสู่โลกกว้าง ไม่อาลัยสิ่งใดๆ ท่านเป็นพระ "เอเกโก ว" ชอบเที่ยวไปผู้เดียว, บางทีท่านเดินธุดงค์ถึง 2 รอบ จากสกลนครไปทางอุบล ลงไปนครราชสีมา แล้วย้อนกลับมาทางอุดรแล้วเข้าสกลตามเดิม คราวถวายเพลิงศพพระอ.มั่นเสร็จ ท่านเป็นผู้นำออกธุดงไปอ.น้ำโสม อุดร โดยมี พระอ.วัน, พระอ.จวน, พระอ.สิงห์ทอง, พระอ.คำพอง, พระอ.บุญเพ็ญ เขมาภิรโต, พระอ.ประยูร ติดตาม ท่านถึงที่สุดแห่งธรรมปี 2515-2524 ที่ถ้ำศรีแก้ว สกลนคร ด้วยอิริยาบถเดิน ขณะกลับกุฏิ ท่านเล่าว่า "คำเทศน์ของหลวงปู่ฝั้น และหลวงตามหาบัว เป็นหัวใจอันสำคัญที่นำท่านไปสู่อุดมธรรม" ท่านได้นำพระธรรมที่บรรลุรู้ไปประกาศกังวานไกลถึงต่างแดน เป็นที่เลื่อมใสของชาวต่างชาติ ท่านเป็นพระ "ปาสาณเลขูปโม" คือสลักความดีลงบนแผ่นหิน คือหัวใจอันแข็งแกร่ง ไม่มีใครสามารถลบทิ้งไปได้ ถูกจารึกตลอดอนันตกาล
- เกิดวันศุกร์ 29 สค.2462 บ้านตากูก สุรินทร์ ท่านเป็นช่างทอง วันหนึ่งท่านนั่งกลางทุ่งนาเห็นพระธุดงค์เดินผ่าน เมื่อได้สนทนาเกิดความเลื่อมใส จึงตั้งความปรารถนาไว้ว่า "กาลข้างหน้าจะต้องออกบวชเป็นพระธุดงค์" วันหนึ่ง มีผู้หญิงท้องแก่ คลอดก่อนกำหนด ไม่มีใครอยู่ในหมู่บ้าน เธอร้องขอความช่วยเหลือ น้ำคร่ำไหลออกเต็มไปหมด - ท่านไปเห็นจึงได้เข้าไปช่วยเหลือ ช่วยจับ ช่วยดึง ช่วยบอกให้เบ่งๆๆ สงสารก็สงสาร สังเวชก็สังเวช ทั้งเลือดทั้งคนปะปนออกมา ความเกิดเป็นทุกข์ประจักษ์ใจแบบไม่มีวันลืม เกิดความเบื่อหน่ายในกามขึ้นมาทันใด ได้กระทำไว้ในใจว่า"สักวันหนึ่งจะต้องออกบวชอย่างแน่นอน"
- 2481 อายุ 19 บรรพชาเป็นสามเณรมหานิกาย บวช 1 ปีลาสิกขามาช่วยบิดาทำงาน 2482 อายุ 20 บวชพระมหานิกาย และแสวงหาอาจารย์ ได้พบพระอ.ฝั้น อาจาโร ที่วัดป่าศรัทธาราม นครราชสีมา เกิดความเลื่อมใสท่านอ.ฝั้นยิ่งนัก จึงขอญัตติเป็นธรรมยุต 2484 - ได้ฉายา "สุวโจ" แปลว่า "ผู้ว่ากล่าวตักเตือนง่าย" ญัตติแล้วจำพรรษาและศึกษากับพระอ.ฝั้น และพระอ.มหาปิ่น จากนั้นติดตามพระอ.ผั่น ปาเรสโก ออกธุดงค์ไปทางพระธาตุพนม - ธุดงค์ไปกาฬสินธ์ ขึ้นเทือกเขาภูพาน เข้าพักวัดบ้านหนองผือ กราบนมัสการพระอ.มั่น ท่านให้โอวาทว่า "อาจารย์ของเธอคือพระอาจารย์ฝั้น ตอนนี้ก็แก่มากแล้ว สมควรที่เธอจะต้องทดแทนบุญคุณ เธอไม่ต้องมาอยู่กับเราที่นี่ ให้ไปปฏิบัติท่านอาจารย์ฝั้น ศึกษาและปฏิบัติกับท่านฝั้นก็เป็นที่เพียงพอแล้ว" - หลังจากนั้นท่านได้ติดตามอุปัฏฐากพระอ.ฝั้นจนนิพพาน 2525-2526 ท่านเดินทางไปเผยแผ่ธรรมที่สหรัฐตามคำนิมนต์ มีผู้ศรัทธาซื้อที่ดินถวายสร้างวัดวอชิงตันพุทธวนาราม 4401 south 360th street Aubrn WA 98001 - 7 เอเคอร์(17.5ไร่) -2528 สร้างวัดป่าธรรมชาติที่เมืองลาพวนเต้ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐ - 5 เอเคอร์
- 2530-2535 สร้างวัดภูริทัตตวนาราม เมืองออนทาริโอ แคลิฟอร์เนีย มีชาวอเมริกันศรัทธาซื้อที่ดิน 60 เอเคอร์(150 ไร่) ราคา 17,500,000 บาท ถวายเพื่อสร้างเป็นวัดเมตตาวนาราม เมืองแวลเลย์เซ้นเตอร์ แคลิฟอร์เนีย
- 2541 เป็นต้นมา จำพรรษาที่วัดป่าเขาน้อย ต.เสม็ด อ.เมือง บุรีรัมย์
- อนุปาทิเสสนิพพาน 5 เมย.2545 -82 ปี 61 พรรษา
24. พระอ.จวน กุลเชฏฺโฐ - วัดเจติยาคีริวิหาร (ภูทอก) อ.ศรีวิไล หนองคาย
พระอริยเจ้าผู้มีกายและจิตสมควรแก่วิมุตติธรรม
- ท่านมีนิสัยโน้มน้อมมาทางพระธรรมตั้งแต่เยาว์วัย, เมื่อได้ฟังธรรมจากพระกรรมฐาน จิตสงบรวมเป็นหนึ่ง สามารถแยกกายและจิตได้ ท่านจึงได้สละทรัพย์และบ้านเรือนอกบวช ท่านมีความเพียรพยายามเป็นเลิศ, มีสติในการแก้ไขกิเลสเฉียบพลัน, อุบายธรรมและปฏิปทาเป็นปัจเจก แปลกจากครูบาอาจารย์รูปอื่น
-2493 ท่านจำพรรษาที่ถ้ำพวง อ.ส่องดาว สกลนคร ได้เกิดจิตปฏิพัทธ์หญิงสาวคนหนึ่ง จึงคิดหาอุบายแก้ไข โดยยกภาษิต "เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง ยังเอากระดูกมาแขวนคอ" ท่านจึงดัดนิสัยตนเองที่ไปหลงรักผู้หญิงเข้า โดยเอากระดูกช้างมาแขวนคอห้อยต่องแต่ง ท่านตั้งใจมั่นว่า "ตราบใดที่ใจยังตัดใจอาลัยรักในสตรีไม่ได้ ยืน เดิน นั่ง นอน ออกบิณฑบาตร ฉันข้าว ก็จะเอากระดูกช้างแขวนคอไว้ตราบนั้น" ไม่ว่าท่านจะเดินจงกรม นั่งสมาธิ หรือรับกิจนิมนต์ไปในหมู่บ้านก็ตาม ท่านเอากระดูกช้างแขวนคอไว้ตลอด จนชาวบ้านเล่าลือกันว่า "ท่านเป็นบ้า"
- เมื่อท่านทำปฏิบัติอย่างนี้ เกิดความละอายใจ เห็นโทษภัยในความลุ่มหลง จิตก็คลายกำหนัดรักใคร่ในหญิงนั้น เมื่อหลวงปู่ขาว อนาลโย ได้ถามถึงเหตุที่ท่านทำเช่นนั้น ท่านได้กราบเรียนดังที่กล่าว หลวงปู่ขาวชมว่า "อุบายนี้ดีนักแล" ท่านชอบท่องเที่ยวแสวงหาครูบาอาจารย์ที่อยู่ตามป่าเขาลึกๆ เช่น เข้าไปศึกษากับพระอ.หล้า ขนฺติโก พระอริยเจ้าผู้อยู่แต่เพียงโดดเดี่ยวบนสันเทือนเขาภูพาน ท่านมีสหธรรมิกคือ พระอ.สิงห์ทอง ธมฺมวโร ได้รับอบรมจากพระอ.มั่นและหลวงปู่ขาว พระอ.มั่นยกย่องท่านว่า "กาเยนะ วาจายะ วะเจตวิทธิยา ท่านจวน! เป็นผู้มีกายและจิตสมควรแก่ข้อปฏิบัติธรรม เป็นผู้สามารถรวมจิตทีเดียวถึงฐีติจิต"
- เกิดวันเสาร์ 10 กค.2463 - แรม 10 ค่ำ เดือน 8 ปีวอก บ้านเหล่ามันแกว ต.ดงมะยาง อำนาจเจริญ
- อายุ 14-15 ปี ได้พบพระธุดงค์มาปักกลดใกล้บ้าน ก็บังเกิดความเลื่อมใส ตั้งปณิธานว่าต่อไปจะบวชอย่างท่านบ้าง พระธุดงค์ได้มอบหนังสือ "ไตรสรณคมน์" ของพระอ.สิงห์ ขนฺตฺยาคโม ไว้ให้ ท่านได้อ่านจึงปฏิบัติตาม เริ่มสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิ บริกรรมภาวนาจิตรวมเป็นหนึ่ง จิตอยู่เฉพาะจิต กายอยู่เฉพาะกาย เวทนาใดก็ไม่มีปรากฎเลย
- หลังจบป.6 อายุย่าง 18 ท่านได้เข้าทำราชการกรมทางหลวงแผ่นดินอยู่ 4 ปี ภายหลังได้รับหนังสือ "จตุราลักษณ์" ของพระอ.เสาร์ กนฺตสีโล เมื่อท่านอ่านถึงบทมรณานุสติ จิตก็สลดสังเวชว่า "เราก็ต้องตาย"
- อายุ 20 ปี ท่านสละเงินที่เก็บหอมรอมริบทั้งหมด เป็นเจ้าภาพสร้างมหากฐินคนเดียว, สร้างพระประธาน, สร้างห้องน้ำถวายสงฆ์จนเงินหมด
- อายุ 21ปี อุปสมบทเป็นพระภิกษุมหานิกาย สอบได้นักธรรมตรีพรรษานั้น และต่อมาลาสิกขา หลังสึกเป็นฆราวาส ท่านเดินทางไปแสวงหาอาจารย์กรรมฐานธรรมยุต และได้อุปสมบทเป็นพระธรรมยุต 24 มีค.2486
- อุปสมบทแล้ว ท่านได้ท่องปาฏิโมกข์และ 7 ตำนานจบภายใน 1 เดือน
- 2488 พรรษาที่ 3 ท่านอธิษฐานทำความเพียรจะไม่นอนและไม่ฉันตลอดพรรษา ท่านอธิษฐานว่า "ถ้ายังมีบุญวาสนาอยู่พรหมจรรย์แล้ว ขอให้ได้นิมิตเห็นพระอ.มั่น ภูริทตฺโต" หลังจากนั้น 3 วัน ท่านได้นิมิตว่า ได้เดินทางไปสำนักพระอ.มั่น เห็นท่านกวานลานวัดอยู่ พอเห็นก็รู้ว่านี่คือท่านพระอ.มั่น ท่านเหลือบมาเห็นเข้าก็ทักพระอ.จวนอย่างดีใจว่า "อ้อ ท่านจวนมาแล้ว ท่านจวนมาแล้ว" มีความรู้สึกคล้ายพ่อเห็นลูก ลูกเห็นพ่อ พอท่านตรงเข้าไปจะกราบนมัสการ พระอ.มั่นก็โก่งหลัง บอกให้ท่านขึ้นขี่หลังเหมือนขี่ม้า แล้วท่านจึงพาเหาะขึ้นบนอากาศจนลิบเมฆ แล้วมาลงที่กลางภูเขาลูกหนึ่ง แล้วบอกว่า "เอาละ ลงนี่แหละ พอดีพอควรแล้ว" ท่านพิจารณาเกิดปีติยินดีว่า คงจะมีวาสนาบารมีอยู่ในเพศพรหมจรรย์ จึงเร่งทำความเพียรต่อไป
- 2489 พรรษาที่ 4 ท่านได้ติดตาม พระอริยคุณาธาร (มหาเส็ง ปุสฺโส) ไปอยู่กับพระอ.มั่น วัดป่าบ้านหนองผือ สกล
- ขณะที่ท่านอยู่ที่วัดป่าบ้านหนองผือใหม่ๆ ใจก็อดคิดตามประสาปุถุชนไม่ได้ว่า "เขาเล่าลือกันว่า ท่านพระอาจารย์ใหญ่เป็นพระอรหันต์ เราก็ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่ ถ้าเป็นอรหันต์จริง คืนนี้ก็ให้มีปาฏิหาริย์ให้เห็นปรากฎด้วย"
- คืนวันนั้น พอท่านภาวนา ก็ปรากฎนิมิตเห็นท่านพระอ.มั่นเดินจงกรมอยู่บนอากาศ และเหาะขึ้นลงตลอดเวลา และเวลานอนหลับก็ยังฝันเห็นนท่านเดินอยู่บนอากาศเช่นเดียวกัน - ท่านจึงยกมือไหว้ และกล่าวขอขมาว่าเชื่อแล้ว - หลังจากนั้น ท่านก็เกิดคิดขึ้นมาอีกว่า "เอ เขาว่าท่านอาจารย์ใหญ่รู้วาระจิตของลูกศิษย์ทุกคน จริงไหมหนอ เราน่าจะทดลองดู ถ้าท่านอาจารย์ใหญ่รู้วาระจิตของเรา ขอให้ท่านอาจารย์ใหญ่มาหาเรา ที่กุฏิคืนวันนี้เถอะ" - พอท่านคิดได้ประเดี๋ยวเดียว ก็ได้ยินเสียงไม้เท้าเคาะใกล้เข้ามา และกระแทกเปรี้ยงเข้าที่ฝากุฏิของท่าน พร้อมกับเสียงพระอ.มั่นเอ็ดลั่นว่า "ท่านจวน ทำไมจึงไปคิดอย่างนั้น นั่นไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ รำคาญเรานี่"
- พรรษาที่ 5-6 ปี2490-2491 จำพรรษาที่วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ คืนหนึ่ง ขณะนั่งภาวนาในโบสถ์มีนิมิตว่า มีพระเถระรูปหนึ่งได้มาให้โอวาทตักเตือนว่า "ท่านจวน ท่านอย่าวางแผ่นดิน เพราะความประพฤติของท่านยังไม่สม่ำเสมอ" - ท่านได้มาพิจารณาดู - แผ่นดินแปลว่า ให้มีความหนักแน่นเหมือนแผ่นดิน - เมื่อถูกกระทบกระเทือนจากอารมณ์ ก็อย่าวอกแวกตั้งใจให้เป็นสมาธิ ไม่หวั่นไหวฟุ้งซ่าน - ท่านจึงได้เขียนจดหมายกราบเรียนถามพระอ.มั่นถึงนิมิตนี้ - พระอ.มั่นได้ตอบจดหมายว่า "ถึงท่านจวนที่อาลัยยิ่ง ...ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมได้แนะนำให้ท่านนั้น ขอให้ท่านจงตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติดำเนินไปตามคำที่ผมแนะนำ อย่าได้ประมาท เพื่อจะได้เป็นเกียรติยศแก่พระพุทธศาสนาต่อไป"
- หลังจากนั้นท่านออกวิเวกอยู่บนดอยกับชาวเขาทางเหนือติดพม่า เข้าเชียงตุง พม่า แล้วกลับอีสาน- เมื่อกราบนมัสการพระอ.มั่นที่วัดบ้านหนองผือ พระอ.มั่นได้ถามว่าการภาวนาเป็นอย่างไรบ้าง ท่านกราบเรียนว่า "ไม่ดีเหมือนอยู่กับพ่อแม่ครูบาอาจารย์" พระอ.มั่นจึงบอกว่า "ต่อไปนี้ให้ภาวนาอยู่ทางภาคอีสานนี้แหละ อย่าไปที่อื่นอีกเลย" - จากนั้นท่านธุดงค์อยู่ป่าเขาถ้ำอีสานมาตลอด
- พรรษา 27-38 พ.ศ.2512-2523 ท่านสร้างวัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) อ.ศรีวิไล หนองคาย ให้เป็นศาสนสถานที่สำคัญสำหรับผู้มุ่งปฏิบัติธรรม เมื่อใครไปแล้วต่างเกิดซาบซึ้งศรัทธาถ้วนหน้า
- อนุปาทิเสสนิพพานวันอาทิตย์ที่ 27 เมย.2523
- ด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตก ณ ท้องนาทุ่งรังสิต อ.คลองหลวง ปทุมธานี พร้อมกับพระอ.บุญมา ฐิตเปโม, พระอ.วัน อุตฺตโม, พระอ.สิงห์ทอง ธมฺมวโร, พระอ.สุพัฒน์ สุขกาโม 59 ปี 38 พรรษา
25. พระอ.สิงห์ทอง ธมฺมวโร - วัดป่าแก้วชุมพล บ้านชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
พระอริยเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ประเภทสุขวิปัสสโก
- เป็นผู้เคร่งครัดปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ, มีปฏิปทาเที่ยงตรงต่ออริยมรรคอริยผล, มีนิสัยเด็ดเดี่ยวเอาจริงเอาจัง, มีความเพียรเป็นเลิศ, โปรดการเดินจงกรมเป็นพิเศษ, การใช้ปัจจัยสี่ก็ใช้อย่างประหยัดมัธยัสถ์ ไม่สุรุ่ยสุร่าย แม้ของนั้นจะมีมากก็ตาม, ท่านไม่นิยมการก่อสร้างทุกชนิด, แม้งานในวัดก็ไม่ให้มี, ชอบให้พระเณรสร้างจิตใจเพื่อมรรคผลนิพพาน - ท่านเป็นพระผู้มีอารมณ์ขัน, แสดงออกตรงไปตรงมา, อารมณ์ดีเสมอ, เทศนาและโอวาทท่านน่าฟังมาก โดยเฉพาะเมื่ออยู่กับศิษย์ใกล้ชิด ท่านจะมีเรื่องราวขำขันชวนหัวเราะอยู่เสมอ แต่เป็นหลักธรรมชวนพิจารณา ท่านเป็นศิษย์ใกล้ชิดหลวงตามหาบัว และได้รับความไว้วางใจจากหลวงตามหาบัวเป็นพิเศษ
1. ให้เป็นประธานฝ่ายบรรพชิตในการดำเนินงานศพของหลวงปู่บัว พระอริยเจ้าแห่งวัดป่าหนองแซง อุดร
2. ให้เป็นประธานดำเนินงานศพของหลวงตามหาบัว หากหลวงตาละสังขารไปก่อนท่าน
- เกิดวันเสาร์ 12 กค. 2467- ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 8 ปีชวด บ้านศรีฐาน ต.กระจาย ยโสธร ท่านมีเพื่อนสหธรรมิกและเพื่อนตาย คือ พระอ.จวน กุลเชฏฺโฐ, พระอ.วัน อุตฺตโม ท่านทั้งสามมักจะไปไหนไปด้วยกัน, รับกิจนิมนต์มักจะไปพร้อมกัน, แม้สุดท้ายนิพพาน ท่านก็นิพพานพร้อมกัน - ระหว่างจำพรรษาที่วัดป่าศรีฐานใน ท่านได้เกิดสุบินนิมิตว่า "มีพาหนะ 3 ชนิดคือ ช้างเผือก, ม้าขาว และวัวอุสุภราช ท่านได้ขี่พาหนะทั้ง 3 ตัวในขณะเดียวกัน และได้ยินเสียงดนตรีบรรเลงออกมาจากหมู่บ้าน ดังมายังศาลาวัด คล้ายชาวบ้านจะมาทอดผ้าป่าหรือทำการกุศลชนิดใดชนิดหนึ่ง แต่พอมาถึง ปรากฎว่าไม่มีคน มีแต่ดอกไม้นานชนิดลอยมาสูงระดับหน้าอกแล้วเวียนรอบศาลา ตื่นจากความฝัน ทำให้ท่านมั่นใจว่า การบวชของท่านนั้นจะบรรลุผลอันพึงพอใจ"
- พรรษาที่ 5 จำพรรษากับหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ วัดป่าบ้านนาหัวช้าง อ.พรรณานิคม ปัจจุบันคือวัดป่าอุดมสมพร
- พรรษาที่ 6 จำพรรษากับหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร วัดป่าบ้านโคกมะนาว อ.พรรณานิคม ท่านเล่าว่า "การภาวนาเริ่มจะยาก ภาวนาผ่านทุกขเวทนาไม่ได้" ต่อสู้หลายหนแต่เอาชนะไม่ได้ จึงนำอุบายที่หลวงตามหาบัวแนะนำ โดยให้ใช้สติปัญญาพิจารณาแยกแยะธาตุขันธ์ด้วยการตั้งสัจจะว่า "จะสู้กับทุกขเวทนี้แบบสละชีวิต เพื่อให้รู้เห็นความจริงของทุกข์ ถึงแม้จะปวดหนักปวดเบาขนาดไหน จะไม่ยอมลุกหนี จะปล่อยให้มันออกมาเลย ถ้าผ่านทุกขเวทนี้ไม่ได้แล้ว จะไม่ยอมลุกจากที่นั่งเด็ดขาด" ท่านต่อสู้อยู่นานหลายชั่วโมง ปรากฎว่าท่านผ่านไปได้ จิตสงบรวมลงน่าอัศจรรย์ ทำให้ท่านมีกำลังใจในการปฏิบัติอย่างมาก - วิเวกไปอ.สว่างแดนดิน, อ.ส่องดาว,อ.วาริชภูมิ ได้ไปพักกับหลวงปู่ขาว อนาลโย ขณะพักที่บ้านหวายสะนอย (ภูเหล็ก) อ.ส่องดาวกับหลวงปู่ขาวนั้น ท่านว่าการภาวนาดีมาก นอนนิดเดียวก็อิ่ม จิตสงบละอียดดีมาก
- 2495-2497 พรรษาที่ 9-11 จำพรรษากับหลวงตามหาบัว ที่บ้านห้วยทราย อ.คำชะอี มุกดาหาร
-2499-2502 พรรษาที่ 13-16 จำพรรษากับหลวงตามหาบัวที่วัดป่าบ้านตาด อุดร
- 2508 หลวงปู่ขาวได้แนะนำให้ชาวบ้านชุมพล ไปนิมนต์ท่านมาอยู่เป็นเจ้าอาวาสวัดป่าแก้วชุมพล
- อนุปาทิเสสนิพพานวันอาทิตย์ 27 เม.ย. 2523
- ด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตก ณ ท้องนาทุ่งรังสิต คลองหลวง ปทุมธานี - พร้อมกับพระอ.บุญมา ฐิตเปโม, พระอ.จวน กุลเชฏฺโฐ, พระอ.วัน อุตฺตโม, พระอ.สุพัฒน์ สุขกาโม - 55 ปี 35 พรรษา
26. หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต- วัดภูจ้อก้อ ต.หนองสูงใต้ อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร
พระอริยเจ้าผู้เป็นดั่งผ้าเช็ดเท้าท่านพระอ.มั่น
- ท่านบากบั่น อุตสาหะ, พยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อหาทางพ้นทุกข์ ,บารมีธรรมคำสั่งสอนเป็นที่ซาบซึ้งถึงใจ และหยั่งรากฝังลึกลงในหัวใจของมหาชน, สั่งสอนศิษย์ด้วยเมตตาธรรม ดุจพ่อแม่อบรมสั่งสอนลูก เป็นศิษย์รุ่นสุดท้ายของพระอ.มั่นที่สำคัญยิ่งรูปหนึ่ง,หลังท่านละสังขารไม่นาน อัฐเป็นพระธาตุ หลวงตามหาบัวชมและยกย่องท่านว่า "เป็นพระที่ซื่อสัตย์ต่อครูอาจารย์ เอาใจใส่ในอาจาริยวัตรเสมอ, แม้ถูกดุด่าก็อดทนต่อคำสั่งสอน ไม่เหนื่อยหน่ายต่อโอวาทธรรมที่ครูอาจารย์พร่ำสอน และเป็นดั่งผ้าเช็ดเท้าของท่านอาจารย์มั่น" ท่านถวายอุปัฏฐากแด่ท่านพระอ.มั่นอย่างใกล้ชิด, มีภาระหลายหน้าที่ เช่น สรงน้ำ, ซักย้อมสงบจีวร, ตามไฟถวายเมื่อองค์ท่านจงกรมในยามค่ำคืน่, ดูแลไฟให้ความอบอุ่นยามหนาวเย็น, ชำระอุจจาระปัสสาวะเมื่อองค์ท่านอาพาธ - ท่านได้สังเกตศึกษา ปฏิปทา และจริยาวัตรพระอ.มั่นอย่างใกล้ชิดต่อเนื่องตลอดเวลา 4 ปีสุดท้ายของพระอ.มั่น
- เกิดวันจันทร์ 19 กพ.2454 - ขึ้น 3 ค่ำ ปีกุน - บ้านกุดสระ อ.เมือง อุดร
- อายุ 18 ปี บวชเณร, อุปสมบท 2473 ไม่นานลาสิกขา
- ได้แต่งงาน 2 ครั้ง มีบุตร 1 คนกับภรรยาคนแรก, มีบุตร 3 คนกับภรรยาคนต่อมา
- อายุ 32 ปี บวชอีกครั้ง 2486 , ญัตติเป็นธรรมยุต 2488 - 2489 ฝากตัวเป็นศิษย์พระอ.มั่น และตั้งสัจวาจาว่า "ขอมอบกายถวายชีวิตต่อท่านพระอ.มั่น ผูกขาดทุกลมปราณ ตลอดทั้งคณะสงฆ์ในที่นี้ทุกๆ องค์ด้วย" พระอ.มั่น สอนสั้นๆว่า "กรรมฐาน 40 ห้อง เป็นน้องอาปานสติ อานาปานสติเป็นยอดมงกุฎของกรรมฐานทั้งหลาย" หลวงตามหาบัว ซึ่งเป็นพระเถระที่ดูแลหมู่คณะได้กล่าวเตือนว่า "เอาให้ดีนะ เมื่อคุณได้มอบกายถวายตัวกับองค์ท่านแบบแจบจมอย่างนี้แล้ว ต้องเข่นหนักนะ"
- 2493 จำพรรษากับหลวงปู่เทสก์ เทสฺรงฺสี- วัดโคกลอย พังงา
- 2494-95 จำพรรษากับหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ - วัดป่าตะโหนด อ.ตะกั่วทุ่ง พังงา
- 2496-2499 จำพรรษากับหลวงตามหาบัว - ป่าบ้านห้วยทราย อ.คำชะอี มุกดาหาร
- 2500 เป็นต้นมา จำพรรษาที่วัดภูจ้อก้อ
- 19 มค.2539 หลวงตามหาบัว ได้มาเยี่ยมอาการอาพาธของหลวงปู่หล้า ซึ่งแพทย์กราบเรียนว่าไม่สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นอีกได้
- หลวงตามหาบัวได้เมตตาแนะนำว่า เมื่อการรักษาไม่เกิดประโยชน์อะไรแล้ว ก็ควรหยุดการรักษา ปล่อยให้ท่านอยู่กับธรรมชาติของท่าน"
- ละสังขาร 19 มค.2539 เวลา 13.59
- ถวายเพลิงศพ 28 มค.2539 โดยหลวงตามหาบัวเป็นประธาน 84 ปี 52 พรรษา
27. หลวงปู่ผาง ปริปุณฺโณ- วัดประสิทธิธรรม บ้านดงเย็น อ.บ้านดุง อุดรธานี
พระอริยเจ้าผู้ปรารภความเพียร
- ท่านท่องเที่ยวธุดงค์ไปทั่วไทย, ไม่หวั่นไหวในสุขและทุกข์, นอบน้อมถ่อมตนเข้าหาสำนึกครูบาอาจารย์เสมอ, มีความเป็นอยู่เรียบง่าย แต่ทุกท่วงท่ากิริยาแฝงไปด้วยความหมายแห่งธรรม ท่านเป็นศิษย์ต้นและเป็นทายาทธรรมของหลวงปู่พรหม จิรปุญโญ ท่านได้ปฏิบัติธรรมติดตามพระอรหันต์องค์สำคัญๆทั้งนั้น เช่น พระอ.มั่น, หลวงปู่พรหม , หลวงปู่แหวน, หลวงปู่ฝั้น, หลวงปู่ชอบ, หลวงปู่ขาว, หลวงปู่ตื้อ, หลวงปู่เทสก์ เป็นต้น
- เกิด 5 เมย.2469 - แรม 6 ค่ำ เดือน 4 ปีขาล บ้านดงเย็น อุดร
- อุปสมบทอายุ 20 ปี- 2490 จำพรรษากับหลวงปู่พรหมที่วัดประสิทธิธรรมกับหลวงปู่พรหม, ออกพรรษาแล้วได้ติดตามพระอ.มั่น ที่วัดบ้านหนองผือ สกล
- 2491 ตั้งใจจะไปจำพรรษากับพระอ.มั่น แต่กุฏิไม่เพียงพอ พระอ.มั่นจึงเมตตาให้ท่านไปจำพรรษาที่วัดม่วงไข่ สกล
- 2492 จำพรรษาภูเก้า อ.โนนสัง อุดร
- ออกพรรษา วิเวกไปอ.ศรีเชียงใหม่ หนองคาย พักศึกษากับหลวงปู่เทสก์
- 2493 ติดตามหลวงปู่พรหม ซึ่งเตรียมงานประชุมเพลิงองค์หลวงปู่มั่น และได้กราบนมัสการหลวงปู่ขาว ติดตามหลวงปู่ขาวไปธุดงค์ตามเทือกเขาภูพาน ,ไปศึกษากับหลวงปู่คำดี ปภาโสที่วัดถ้ำผาปู่ เลย ติดตามหลวงปู่คำดีไปยังภูเขาควาย ประเทศลาว - 2494 จำพรรษาวัดบ้านนาเชือก จ.เลย, ออกพรรษาไปอุปัฏฐากหลวงปู่พรหม- ได้ปฏิบัติธรรมกับหลวงตามหาบัว ,หลวงปู่บัวคำ ,อ.บัว ที่บ้านสามผง
- 2496 จำพรรษากับพระอ.ทองสุก,พระอ.เมฆที่อ.วังสะพุง - ออกพรรษาแล้ววิเวกไปถ้ำผาบิ้ง เพื่อศึกษาธรรมกับหลวงปู่ชอบ
- 2497 ศึกษาธรรมกับหลวงปู่แหวน ที่วัดป่าบ้านปง อ.แม่แตง เชียงใหม่ - หลวงปู่ชอบพาท่านธุดงค์ไปวัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว เชียงใหม่ ได้พบหลวงปู่สิม,หลวงปู่ตื้อ, หลวงปู่หลุย
- 2506 วิเวกทางดงหม้อทอง, ภูวัว ภูทอก -ไปพักกับพระอ.จวน แล้ววิเวกต่อยังภูลังกา
- 2507 จำพรรษากับหลวงตามหาบัว ที่วัดป่าบ้านตาด, วิเวกทางหนองคาย, ลุ่มน.โขง
- 2508 จำพรรษาที่น้ำหนาว เพชรบูรณ์
- 2509 จำพรรษาที่วัดป่าแก้วชุมพล กับพระอ.สิงห์ทอง ธมฺมวโร จ.สกลนคร
- 2512-2516 จำพรรษาที่วัดประสิทธิธรรม ประชุมเพลิงหลวงปู่พรหมเรียบร้อย ท่านได้นำคณะศรัทธาก่อสร้างเจดีย์บรรจุอัฐธาตุและอัฐบริขารของหลวงปู่พรหม
- 2539 จำพรรษาที่วัดประสิทธิธรรม บ้านดงเย็น อ.บ้านดุง อุดร
- อนุปาทิเสสนิพพานด้วยโรคมะเร็งในตับ ศุกร์ 15 กพ. 2545 - 23.35 น. 76 ปี 54 พรรษา
28. หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต - วัดอุดมคงคาคีรีเขต (ดูน) ต.นางาม อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น
พระอริยเจ้าผู้เป็นที่พึ่งของเหล่าพวกกายทิพย์ มีภูตผี พญานาค เทวบุตร เทวดา เป็นต้น เหล่าเทวดามักเรียกชื่อท่านว่า "หลวงพ่อน้อยสัตย์ซื่อ" เพราะเทวดาเอาเหล็กไหลของศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมาวางไว้ในถ้ำน้ำหนาวที่ท่านพักภาวนาอยู่ ท่านไม่เคยจะสนใจจะหยิบฉวยเอาเลย - หลวงตามหาบัวกล่าวยกย่องท่านว่า "ท่านเป็นพระประเภทเพชรน้ำหนึ่ง"
- ท่านอุปสมบทถึง 3 ครั้ง ครั้งสุดท้ายได้ถวายตัวเป็นศิษย์พระอ.มั่น ที่วัดบ้านหนองผือ พระอ.มั่นได้ให้โอวาทว่า "ให้เที่ยวไปองค์เดียว อยู่คนเดียว และตายคนเดียว" ท่านรู้ภาษาสัตว์ ไม่ว่าสัตว์บกหรือสัตว์น้ำ ท่านสามารถสั่งสอนให้อยู่ในโอวาทได้อย่างน่าอัศจรรย์ โดยเฉพาะจระเข้กับงู ผูกพันใกล้ชิดกับท่านเป็นพิเศษ - ท่านสามารถเรียกให้ไปมาได้ - วันที่ท่านนิพพาน จระเข้ที่ท่านเลี้ยง ร้องไห้เสียงดังถึง 3 วัน
- ท่านจึงมีคุณสมบัติเด่นในเรื่องลึกลับที่ปุถุชนสัมผัสและเข้าใจได้ยาก ท่านเป็นพระพูดน้อยแต่ปฏิบัติมาก ธรรมะที่ท่านแสดงใจความสั้นๆ แต่แหลมคมว่า "ชีวิตของเรามีเพียงบาตรใบเดียวก็อยู่ได้ และเพียงพอแล้ว" ท่านทรงจำภาษิตอีสานเก่าๆ ที่เป็นคติธรรมเตือนใจ เช่น "มีซือบ่ให้ปรากฎ มียศบ่ให้ลือชา มีตำราบ่ให้เฮียนยาก"
- สิ่งใดๆ ถ้าท่านได้ตั้งสัจจะว่าจะทำอะไรแล้ว ท่านจะต้องทำได้จริงๆ แม้นจะยากลำบากสักเพียงใด ท่านจะพยายามทำให้สำเร็จจนได้ สัจจะบารมี คือคุณธรรมอันเลิศที่หลวงปู่ผางถือปฏิบัติ และเป็นปฏิปทาที่ควรถือเอาเป็นแบบอย่าง - หลวงปู่คำดี ปภาโส พระอริยเจ้าแห่งวัดถ้ำผาปู่ จ.เลย ได้กล่าวยกย่องหลวงปู่ผางว่า "หลวงพ่อผาง ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติจริงจังมาก ปฏิบัติแบบสละชีวิต ในคราวที่ท่านบำเพ็ญเพียรที่ถ้ำน้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ ในปี 2513 ได้พบโมกขธรรม(หลุดพ้น) จิตของท่านสว่างไสวทั้งกลางวันและกลางคืน"
- เกิดอังคาร 5 สค.2445 - ขึ้น 2 ค่ำเดือน 9 ปีขาล - บ้านกุดกะเสียน อ.เขืองใน อุบล
- 2465 อายุ 20 อุปสมบทพระมหานิกาย และลาสิกขา ได้มีครอบครัวอยู่หลายปี แต่ไม่มีลูก
- อายุ 43 ปี ได้ชวนภรรยาออกบวช ภรรยาได้บวชเป็นแม่ชี ท่านบวชในสงฆ์มหานิกาย แต่ไปศึกษากับพระอ.สิงห์ และพระอ.มหาปิ่น จึงเกิดความเลื่อมใส
- อายุ 47 ปี ขอญัตติ 2491 อบรมในสำนักพระอ.สิงห์พอสมควร จึงธุดงค์วิเวกลำพัง และเข้าอบรมกับพระอ.มั่น พอสมควร จากนั้นท่องเที่ยววิเวกผู้เดียวในป่าเขาจ.เพชรบูรณ์ ถิ่นทุรกันดารหลายปี
-2492 จำพรรษาวัดป่าบังลังก์ศิลาทิพย์ บ้านแท่น ,แล้วธุดงค์ต่อยังภูผาแดง อ.มัญจาคีรี ชาวบ้านเรียนที่นั่นว่า "ดูน" มีน้ำไหลออกมาจากภูเขาตลอดปี และชาวบ้านถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะไม่มีพระรูปใดเข้าไปอยู่ได้ ท่านอยู่จำพรรษาที่นั่นหลายปี และได้ตั้งชื่อวัดว่า "วัดอุดมคงคาคีรีเขต"
- วันเสาร์ที่ 30 เม.ย.2520 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ, สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช, สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ, สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษ์ เสด็จพระราชดำเนินปิดทองฝังลูกนิมิต และนมัสการหลวงปู่ผาง
- อนุปาทิเสสนิพพาน 24 มีค.2525 เวลา 16.45- วัดอุดมคงคาคีรีเขต - 80 ปี 34 พรรษา
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) | Powered by Discuz! X3.2 |