Baan Jompra
ชื่อกระทู้:
เรื่องกล้วยๆ....ที่ไม่.."กล้วย"
[สั่งพิมพ์]
โดย:
lnw
เวลา:
2015-3-16 11:02
ชื่อกระทู้:
เรื่องกล้วยๆ....ที่ไม่.."กล้วย"
มีคำถามว่า...ผลไม้อะไรเอ่ย ที่มีสรรพคุณในการป้องกันโรคได้ดีที่สุด...
หนึ่งในคำตอบ คงหนีไม่พ้นผลไม้บ้านๆที่อยู่คู่กับคนไทยตั้งแต่เกิดจนตาย นั่นก็คือ “กล้วย”
ในทางการแพทย์ กล้วยเป็นผลไม้ชนิดเดียว ที่สามารถป้องกันและบรรเทาอาการเจ็บป่วยของโรคต่างๆได้ไม่ต่ำกว่า 10-15 โรค
ชาวอินเดียใช้ ดอกกล้วย ต้มและนำน้ำที่ได้จากการต้มมากินแก้เบาหวาน
วิธีต้มง่ายๆก็คือ นำดอกกล้วย 1 กำมือ ล้างน้ำให้สะอาด ต้มกับน้ำ 3 แก้ว ให้เดือดนาน 20 นาที
จากนั้นให้ดื่มน้ำต้มดอกกล้วยครั้งละ 1 แก้ว วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น จะช่วยทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดมีความสมดุล
นอก จากนี้ในอินเดียยังมีการใช้ขี้เถ้าจากใบและต้นกล้วยมาต้มกินวันละ 1 ช้อนชา หลังอาหารเช้า-เย็น เป็นยาขับพยาธิ
ชาวจีนใช้ดอกกล้วยแห้งบดเป็นผง นำไปผสมกับน้ำ ใส่เกลือลงไปเล็กน้อย กินครั้งละ 1-2 ช้อนชา วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เป็นยาช่วยรักษาโรคหัวใจ
สรรพคุณจากส่วนต่างๆของกล้วยเหล่านี้
มีบันทึกในตำราการแพทย์ทั้งแผนตะวันตกและตะวันออก ในการประชุมเชิงปฏิบัติการ
เรื่อง การขยายเครือข่ายฟันเทียมพระราชทานและการส่งเสริมสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุ
โดยหน่วยบริการปฐมภูมิ ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย
กล่าวระหว่างการบรรยายว่า กล้วยมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้า จะมีแคลเซียมสูงมาก
เมื่อรับประทานเข้าไปจะทำให้ช่องปากมีสภาพเป็นด่าง ช่วยป้องกันฟันผุได้ การกินกล้วยน้ำว้า
ควรกินตอนห่ามๆ อย่าให้สุกมากไป เพราะจะมีความหวานมากเกินไป
“กล้วยน้ำว้ามีวิตามินซี แคลเซียมสูงมาก กินวันละ 4 ลูก จะได้แคลเซียมพอดี รวมทั้งโปแตสเซียม
มีโปรตีนครบเหมือนนมแม่ มีฮิสโตแฟน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของการหลั่งเอ็นโดรฟิน เมื่อกินกล้วยแล้วจึงทำให้มีความสุข
หลับสบาย กินแล้วฟันไม่ผุ เพราะมีสารเพคติน ซึ่งมีฤทธิ์ฝาดสมาน จะเคลือบตั้งแต่ในปาก ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่
ถือเป็นยามหัศจรรย์ ใครท้องเสียให้กินดิบ ห่ามก็ได้ จะหยุดท้องเสียที่ไม่รุนแรงได้”
คุณหมอพรเทพบอก พร้อมกับแนะนำวิธีการเลือกซื้อกล้วยว่า ควรซื้อขณะที่มีสีเขียว
และควรเลือกหวีที่อยู่กลางเครือ เพราะจะมีสารอาหารครบถ้วน กล้วยหวีที่อยู่กลางเครือจะมีลูกประมาณ 15-16 ลูก
เมื่อได้กล้วยแล้ว ให้ดึงออกจากเครือโดยไม่ต้องใช้มีด จับที่ก้านแล้วดึงออกทีละลูก ฉีกออกมาวางไว้
กล้วยจะแห้งที่ก้าน อยู่อย่างนี้ได้ 3-5 วัน ไม่สุกไม่เน่า
อธิบดีกรมอนามัย บอกด้วยว่า วิธีการกินกล้วยที่ถูกต้อง ให้ปอกเปลือกจากบนลงล่าง
กินจากข้างบนลงไป คำแรกๆ จะรู้สึกฝาด เพราะมียางอยู่ในปาก ซึ่งยางนั้น คือ ยาวิเศษ เพราะมีส่วนผสมของ
เพคติน ยางกล้วยจะช่วยรักษาแผลในปาก โรคกระเพาะ โรคลำไส้ โรคทางเดินอาหาร กินกล้วยแล้วมีความสุขมาก
เพราะได้น้ำตาลฟรุคโทส เป็นน้ำตาลที่ไม่ใช้อินซูลิน กินไม่ถึง 5 นาที จะรู้สึก มีความสุข เพราะน้ำตาลจะขึ้นไปที่สมอง
และใช้ได้ทันที เหมาะสำหรับคนไข้เบาหวาน และกินกล้วยน้ำว้าไม่ทำให้ปากเหม็น
“สำหรับผู้สูงอายุ ขอให้กินกล้วยน้ำว้ามากๆ เพราะย่อยง่าย มีเยื่อ มีกาก มีวิตามินซี
ไม่ทำให้ฟันผุ แต่ต้องแปรงฟันให้สะอาด” คุณหมอพรเทพ บอก พร้อมกับเสริมอีกว่า กล้วยน้ำว้า
เมื่อเทียบกับกล้วยหอมและกล้วยไข่แล้ว กล้วยน้ำว้าจะให้คุณค่ามากกว่า เช่น ให้พลังงานสูง มีธาตุเหล็ก
ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินซี ช่วยบำรุงกระดูกและเหงือก
ช่วยให้ระบบขับถ่ายคล่องขึ้น นอกจากจะมีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ในด้านความสวยความงาม
กล้วยน้ำว้ายังช่วยให้ผิวพรรณมีสุขภาพดีขึ้น
ในตำราการแพทย์แผนไทย ระบุสรรพคุณของกล้วยหลายประการ เช่น รักษาโรคริดสีดวงทวาร
สำหรับผู้ที่เริ่มเป็นริดสีดวง ควรรับประทานกล้วยหอมสุกเป็นประจำทุกๆ เช้า วันละ 1-2 ผล กล้วยจะช่วยทำให้อุจจาระไม่แข็ง
จึงไม่กระทบกับริดสีดวงเมื่อขับถ่าย
กล้วย ช่วยรักษาความดันโลหิตสูง ให้นำเปลือกกล้วยหอมสดมาต้มน้ำ แล้วกรองเอาแต่น้ำไปดื่ม
จะช่วยลดความดันโลหิตได้ หรือแม้แต่การรับประทานผลกล้วยสุกเป็นประจำก็ช่วยป้องกันรักษาโรคความดันเลือดสูงได้เช่นกัน
กล้วยช่วยระงับกลิ่นปาก สำหรับผู้ที่มีกลิ่นปากแรง โดยที่ไม่ได้มีปัญหามาจากฟันผุ สามารถกำจัดกลิ่นได้
โดยรับประทานกล้วยสุกในตอนเช้าสัก 6-7 ลูก แล้วค่อยแปรงฟัน จะเป็นกล้วยชนิดใดก็ได้
ขอให้เป็นกล้วยสุกที่ไม่ผ่านกระบวนการใดๆ ไม่ว่าจะต้ม ทอด ปิ้ง เมื่อกินติดต่อกันสัก 7 วัน ก็จะเริ่มเห็นผล
หนังสือ The New England Journal of Medicine ระบุว่า ผู้ที่กินกล้วยเป็นประจำ จะลดอันตรายที่เกิดกับเส้นโลหิตแตกได้ถึง 40%
นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลว่าในกล้วยมีโปรตีนที่มีชื่อว่า เทปโตแพน (trytophan) เมื่อรับประทานเข้าไป
ร่างกายจะแปรเปลี่ยนโปรตีนดังกล่าวเป็น สารซีโรโตนิน (serotonin) ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย มีอารมณ์ดี
ช่วยรักษาอาการซึมเศร้าได้ ยิ่งไปกว่านั้น วิตามินบี 6 ในกล้วย จะช่วยในการควบคุมอารมณ์ ช่วยให้ระบบประสาทดีขึ้น
สำหรับสตรีตั้งครรภ์ หากรับประทานหัวปลีกล้วย จะช่วยให้มีน้ำนมมากขึ้น
เปลือกกล้วย ยังมีสรรพคุณ แก้เม็ดผื่นคันจากยุงกัด โดยใช้เปลือกกล้วยด้านในทาบริเวณที่โดนยุงกัด
จะช่วยลดอาการคันและทำให้เม็ดผื่นคันยุบตัวลงเร็วขึ้น
นอกจากนี้ กล้วยยังช่วยรักษาแผลในลำไส้เรื้อรัง ทำให้ไม่เกิดการระคายเคืองในผนังลำไส้และกระเพาะอาหาร
ธาตุเหล็กในกล้วย ช่วยในการผลิตฮีโมโกลบินในเลือดช่วยรักษาภาวะโลหิตจางได้
รู้อย่างนี้แล้ว ผลไม้หลังอาหารมื้อต่อไปของคุณอย่าลืมมี “กล้วย” ในเมนูด้วยนะ...
ขอบคุณข้อมูลจาก..
http://www.thairath.co.th/content/449753
โดย:
lnw
เวลา:
2015-3-16 11:05
[youtube]4phGaKGPkfY[/youtube]
โดย:
Nujeab
เวลา:
2015-3-16 11:24
ขอบคุณครับ แจ่มเลย
โดย:
oustayutt
เวลา:
2015-3-19 22:20
เยี่ยมเลยครับ
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2015-3-20 07:45
โดย:
Nujeab
เวลา:
2015-3-20 11:35
มากินกล้วยกันเถอะ
โดย:
lnw
เวลา:
2015-3-24 16:08
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/)
Powered by Discuz! X3.2