Baan Jompra

ชื่อกระทู้: คือตัวแทนคุณความดี [สั่งพิมพ์]

โดย: Sornpraram    เวลา: 2015-2-3 07:01
ชื่อกระทู้: คือตัวแทนคุณความดี
แขวนพระอย่างไรให้เกิดพุทธคุณ. ปกติคนไทยชาวพุทธทุกคนล้วนเคารพกราบไหว้พระพุทธรูปและพระเครื่อง เสมือนเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า

โดยทุกคนที่แขวนพระล้วนเชื่อมั่นและศรัทธาในพระเครื่องที่ตนแขวนว่าสามารถ คุ้มครองตนได้

บางคนจะเลือกแขวนพระตามโฉลกวันเกิด

บางคนเลือกแขวนพระตามความชอบส่วนตัวหรือฐานะ

บางคนเลือกแขวนพระตามความเชื่อส่วนตัวว่าพระเครื่ององค์นั้นมีพระพุทธคุณ ด้านที่ตนต้องการ

(ฟังจากเรื่องเล่าและความเชื่อต่อๆกันมาจากอดีต)

ซึ่งพระพุทธคุณในพระเครื่องนั้นมีอยู่จริง และไม่มีวันเสื่อมสลายไปได้

ประเด็นคือ ผู้ใช้หรือผู้แขวนพระแบบไหนถึงจะรับรู้และเห็นผลของพุทธคุณในพระเครื่องหรือวัตถุมงค
ลนั้นๆ

จริงๆ แล้ว ถ้าผู้สร้างหรือคณาจารย์ที่อธิษฐานจิตปลุกเสกมีพลังจิตแก่กล้าแล้ว ผู้ใช้อาจจะสัมผัสหรือมีประสบการณ์

จากวัตถุมงคลและพระเครื่องนั้นในเร็ววัน แต่พอแขวนไปนานๆ มักจะมีความรู้สึกว่า ไม่เหมือนเดิม เงียบไป ไม่เห็นผล

ลักษณะแบบนี้มักจะเกิดกับผู้ที่แขวนพระเครื่องประเภทที่ แสวงหาหรือตั้งใจหามาเพื่อหวังผลในพุทธคุณเป็นหลัก

ให้เกิดผลดลบันดาลด้านต่างๆ ตามที่ตนปราถนาโดยไม่ทราบประวัติการสร้างหรือปฎิปทาความน่าเลื่อมใสของท่าน

ผู้ปลุกเสก บางคนแขวนเพราะพ่อแม่ให้มา แขวนพระแบบเสียไม่ได้ ถ้าวันไหนถอดก็ลืมไปเลย

ลักษณะแบบนี้ถ้าพระเครื่องหรือวัตถุมงคลมีพุทธคุณที่ปลุกเสกมาอย่างแรงกล้า ก็จะส่งผลให้เห็นได้ในระยะแรกๆ

แต่นานวันไปมักเงียบเฉย เพราะจิตของผู้แขวนไม่มั่นคง โดยส่วนมากจะสนใจพระเครื่องเป็นพักๆ แล้วหันไปสนใจ

พระเครื่องใหม่ๆ พอใจเรีมถอยศรัทธาจากของเดิมแล้ว พุทธคุณที่เคยได้รับก็ย่อมไม่เหมือนเดิม

ทั้งนี้ผู้ที่แขวนพระประเภทนี้มักตั้งหน้าตั้งตารอว่า วันนี้พระเครื่องจะมีพุทธคุณช่วยเราอะไรบ้าง

สำหรับอีกกลุ่มหนึ่งนั้นแขวนพระ เพราะศรัทธาในองค์ผู้ปลุกเสกหรืออธิษฐานจิตมีความเลื่อมใสศรัทธาสุดจิตสุดใจ

แขวนพระเครื่องของหลวงพ่อวัดไหน ก็เพราะ เคารพศรัทธาหลวงพ่อวัดนั้นๆ อย่างไม่มีเสื่อมถอย

เหตุผลมีได้มากมาย เช่น

เป็นวัดใกล้บ้าน มีความคุ้นเคยกับท่านเห็นจริยาปฎิปทาท่านตั้งแต่เด็ก แล้วเลื่้อมใส

เคยบวชเรียนกับท่านมาเป็นศิษย์ของท่าน ได้รับการอบรมบ่มนิสัยด้วยดีมาตลอด

ศรัทธาเพราะศึกษาชีวประวัติและเกิดความเลื่อมใส ตรงกับความชอบของตนเอง

ท่านเคยเมตตาเลี้ยงดูหรือเคยประจักษ์ในพุทธคุณของท่านมาก่อน

บางคนก็ประทับใจ ในความเมตตาหรือคุณความดีของท่านอย่างหมดหัวใจ

จะด้วยเหตุผลใดข้างต้น กลุ่มที่แขวนพระเพราะศรัทธาและมีความรู้สึกว่า พระเครื่องที่แขวน

คือตัวแทนคุณความดีของหลวงพ่อที่เขารู้จักคุ้นเคย และเคยได้ไปกราบไหว้บ่อยๆ

ใจก็แขวนพระเพราะความศรัทธา ปลาบปลื้มที่มีหลวงพ่ออยู่เหนือหัว เหนือคอ อุ่นใจ เป็นกำลังใจ

แต่ไม่เคยคิดหวังว่า วันนี้หลวงพ่อจะช่วยให้รวย ให้มีเสน่ห์ หนังเหนียวอะไรทั้งนั้น

แขวนพระรักหลวงพ่อ แขวนพระศรัทธา แขวนพระแบบไม่หวังผลนี้ กลับมักจะได้ผล

จะทำการงานอะไรก็ไม่ติดขัด หรือถ้ามีติดขัดก็มีทางออกหรือมีคนคอยช่วยเหลือตลอด

ชีวิตมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข ไม่ต้องอยู่ร้อน นอนทุกข์ ราบรื่่น ไม่สะดุด แคล้วคลาดเรื่องร้ายๆ ตลอดมา

ที่สำคัญ ผู้ที่แขวนพระด้วยเหตุผลเพราะ พระเครื่อง คือ ความดีของครูบาอาจารย์นั้นแล้ว

มักได้รับผลจากพุทธคุณของพระเครื่องนั้นๆ อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ไม่มีเงียบหรือนิ่ง

เพราะใจเขานึกถึงหลวงพ่อทุกเช้าค่ำ และมีเพียงหลวงพ่อที่เขานับถือเพียงองค์เดียว ไม่วอกแวกซัดส่ายไปที่อื่น

จะเห็นได้ชัดในหลายๆ ท่านที่แขวนพระเพียงองค์เดียวและยึดมั่น ในหลวงพ่อนั้นๆ ณ ขณะเวลานั้นก็จะเห็นผลชัดเจน

ไม่ใช่แขวนพระเพราะตื่นตมตามกระแส แขวนพระเพราะหวังปาฎิหาริย์ แต่แขวนเพราะศรัทธาในความดี

พลังพุทธคุณจะเปิดออกมาได้ ต้องอาศัยพลังศรัทธาในใจเป็นกุญแจ



ที่มาข้อมูล...หมู่บ้านศิษย์วัดชายนา
โดย: padiphatbeer    เวลา: 2015-2-3 07:09
สาธุ องค์ศักดิ์สิทธิ์ หมายถึงพระเครื่อง หลวงปู่บุญมี โชติปาโล วัดสระประสานสุขท่านสอนคับ
โดย: majoy    เวลา: 2015-2-3 07:15
สาธุครับ การวางจิตวางใจ สำคัญไม่น้อยเลย
โดย: ธี    เวลา: 2015-2-3 10:02
สาธุครับ
การแขวนพระเป็นสิ่งเตือนใจไม่ให้ทำสิ่งที่ไม่ดี ส่วนผมแขวนพระเพราะมีความเชื่ออีกแบบคือ เป็นความเชื่อด้านใสยศาสตร์ที่ว่า พระที่ผ่านพิธีในองค์พระมีเทวดาหรือสิงศักดิ์สิทธิท่านสถิตอยู่และคุ้มครองผู้ที่ศรัทธา คุ้มครองป้องกันอันตราย เหมือนกับที่หลวงปู่ชื่นท่านบอกครับว่าองค์พระมีสิ่งศักดิ์สิทธิอยู่
โดย: Metha    เวลา: 2015-2-3 10:48

เพราะศรัทธา จึงเกิดปาฏิหาริย์
โดย: padiphatbeer    เวลา: 2015-2-3 17:14
ผมแขวนพระเครื่องำว้ระลึกถึงคำสอน ไว้เป็นสังฆานุตสติ ธรรมมานุตสติ พุทธานุตสติ  เพื่อเป็นที่ระลึกนึกถึง ครูบาอาจารย์
โดย: padiphatbeer    เวลา: 2015-2-3 17:17
และเวลาคับขัน ระลึกถึงครูบาอาจารย์ หลวงปู่ช่วยด้วย
โดย: majoy    เวลา: 2015-2-4 07:08
padiphatbeer ตอบกลับเมื่อ 2015-2-3 17:17
และเวลาคับขัน ระลึกถึงครูบาอาจารย์ หลวงปู่ช่วยด้วย ...

เป็นที่พึ่งพาอย่างวางใจ สาธุ
โดย: padiphatbeer    เวลา: 2015-2-4 17:52
ต้องระลึกถึงครูบาอาจารย์บ่อยๆแม้ยามปกติ เพราะเวลาคับขันบางที จะระลึกไม่ออก เลยคับ
โดย: padiphatbeer    เวลา: 2015-2-4 18:02
ระลึกถึงพ่อแม่ มีชัยชนะทุกทิศเลย ชนะพาล ชนะทุกอย่างเลย
โดย: padiphatbeer    เวลา: 2015-2-4 18:04
ความกตัญญูเป็นสิ่งมีค่า เศษขอนไม้ยังมีค่ากว่าคนอกตัญญู
โดย: Sornpraram    เวลา: 2015-2-5 06:36
padiphatbeer ตอบกลับเมื่อ 2015-2-4 18:04
ความกตัญญูเป็นสิ่งมีค่า เศษขอนไม้ยังมีค่ากว่าคนอกต ...

อกตัญญู แปลว่า ผู้ไม่รู้สึกถึงบุญคุณที่ผู้อื่นทำแก่ตน ผู้ไม่มีความกตัญญู

อกตัญญู คือเนรคุณ ทรยศ หักหลัง ไม่ซื่อสัตย์ ผู้ระลึกไม่ได้ว่าใครเคยทำดีเคยช่วยเหลือเกื้อกูลตนมา ผู้ลืมบุญคุณของคนอื่นที่ทำแก่ตนมา ผู้ไม่ยอมรับบุญคุณของใครทั้งนั้น เรียกว่า คนอกตัญญู มีลักษณะตรงข้ามกับคนกตัญญู

อกตัญญู มีลักษณะลบหลู่บุญคุณคน ไม่ปรารถนาที่จะตอบแทนความดีของใคร ชอบลืมเรื่องที่เขาเคยทำเคยช่วยเหลือตนมา แต่ก็ไม่มีความรู้สึกอิ่มที่จะรับจากคนอื่นอีก หากยังมีช่องทางจะได้จากเขาอีกก็จะพอใจ หากเห็นว่าหมดโอกาสแล้วก็จะตีจากไปทันที หรือไม่ก็แสดงกิริยาพูดจาให้ร้ายต่างๆ ท่านจึงว่า


"แม้จะยกแผ่นดินทั้งหมดให้แก่คนอกตัญญูก็จะให้เขายินดีพอใจไม่ได้"


โดย: Sornpraram    เวลา: 2015-2-5 07:21
padiphatbeer ตอบกลับเมื่อ 2015-2-4 18:04
ความกตัญญูเป็นสิ่งมีค่า เศษขอนไม้ยังมีค่ากว่าคนอกต ...

"คนเราถ้าเคารพพ่อแม่ เคารพครูบาอาจารย์ ก็จะมีแต่ความสุขความเจริญ

ถ้าดูถูกพ่อแม่ ดูถูกครูบาอาจารย์ ดูถูกพระพุทธ ดูถูกพระธรรม ดูถูกพระสงฆ์

จะหาความเจริญไม่ได้ จะมีแต่เคราะห์แต่โศก"





หลวงพ่อกวย วัดบ้านแค





โดย: morntanti    เวลา: 2015-2-5 07:28
"คนเราถ้าเคารพพ่อแม่ เคารพครูบาอาจารย์ ก็จะมีแต่ความสุขความเจริญ

ถ้าดูถูกพ่อแม่ ดูถูกครูบาอาจารย์ ดูถูกพระพุทธ ดูถูกพระธรรม ดูถูกพระสงฆ์

จะหาความเจริญไม่ได้ จะมีแต่เคราะห์แต่โศก"

โดย: majoy    เวลา: 2015-2-5 11:03
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2015-2-5 07:21
"คนเราถ้าเคารพพ่อแม่ เคารพครูบาอาจารย์ ก็จะมีแต่คว ...

เห็นจริงเช่นนั้นครับ
โดย: padiphatbeer    เวลา: 2015-2-5 18:28
ตามนี้เลยคับ
โดย: Metha    เวลา: 2015-2-5 21:37

โดย: Sornpraram    เวลา: 2015-2-6 06:57
ประเด็นคือ..


ผู้ใช้หรือผู้แขวนพระแบบไหนถึงจะรับรู้และเห็นผลของพุทธคุณ

ในพระเครื่องหรือวัตถุมงคลนั้นๆ


จริงๆ แล้ว ถ้าผู้สร้างหรือคณาจารย์ที่อธิษฐานจิตปลุกเสกมีพลังจิตแก่กล้าแล้ว

ผู้ใช้อาจจะสัมผัสหรือมีประสบการณ์

จากวัตถุมงคลและพระเครื่องนั้นในเร็ววัน แต่พอแขวนไปนานๆ มักจะมีความรู้สึกว่า

ไม่เหมือนเดิม เงียบไป ไม่เห็นผล

ลักษณะแบบนี้มักจะเกิดกับผู้ที่แขวนพระเครื่องประเภทที่

แสวงหาหรือตั้งใจหามาเพื่อหวังผลในพุทธคุณเป็นหลัก

ให้เกิดผลดลบันดาลด้านต่างๆ ตามที่ตนปราถนา

โดยไม่ทราบประวัติการสร้างหรือปฎิปทาความน่าเลื่อมใสของท่าน

ผู้ปลุกเสก บางคนแขวนเพราะพ่อแม่ให้มา แขวนพระแบบเสียไม่ได้

ถ้าวันไหนถอดก็ลืมไปเลย

ลักษณะแบบนี้ถ้าพระเครื่องหรือวัตถุมงคลมีพุทธคุณที่ปลุกเสกมาอย่างแรงกล้า

ก็จะส่งผลให้เห็นได้ในระยะแรกๆ

แต่นานวันไปมักเงียบเฉย เพราะจิตของผู้แขวนไม่มั่นคง

โดยส่วนมากจะสนใจพระเครื่องเป็นพักๆ แล้วหันไปสนใจ

พระเครื่องใหม่ๆ พอใจเรีมถอยศรัทธาจากของเดิมแล้ว

พุทธคุณที่เคยได้รับก็ย่อมไม่เหมือนเดิม



โดย: majoy    เวลา: 2015-2-6 08:07
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2015-2-6 06:57
ประเด็นคือ..

ศรัทธาเหมือนน้ำขึ้นน้ำลง


เคยได้ยินคำนี้จากไหนหนอ
โดย: Metha    เวลา: 2015-2-6 10:40
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2015-2-6 06:57
ประเด็นคือ..


โดย: padiphatbeer    เวลา: 2015-2-7 15:38
ศัทธาเหมือนเต่าหดเข้าหดออก
โดย: Metha    เวลา: 2015-2-8 01:10
padiphatbeer ตอบกลับเมื่อ 2015-2-7 15:38
ศัทธาเหมือนเต่าหดเข้าหดออก

ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ
โดย: Sornpraram    เวลา: 2015-2-8 06:55
Metha ตอบกลับเมื่อ 2015-2-8 01:10
ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ

น้องเบียร์เขากำลังหายถึง เขาคนนั้น อ่ะ

คนนั้น งัย.. เข้าใจตรงกันนะ



โดย: padiphatbeer    เวลา: 2015-2-8 08:25
หุุุๆๆหมายถึงผมนี้ละครับพี่ ไม่รู้จะทำยังไงให้ศัทธามั่นคง น้องละเหนื่อยใจกับตัวเองจริงๆคับพี่
โดย: majoy    เวลา: 2015-2-8 12:17
ศรัทธาให้เหมือนอากาศครับ มองไม่เห็นให้รับรู้ได้ เปลี่ยนเป็นร้อน เป็นเย็น หรือสบาย ก็ให้รู้ จะได้ปรับแก้ถูก
โดย: Metha    เวลา: 2015-2-8 23:38
ตัว กับใจ ก็เป็นของเราแล้วจะให้ใครมาบัญชา
โดย: Nujeab    เวลา: 2015-2-9 12:11
ขอบคุณครับ
โดย: padiphatbeer    เวลา: 2015-2-9 18:22
ขอบคุณคับพี่
โดย: padiphatbeer    เวลา: 2015-2-9 19:28
ผมเห็นจิตคิดชั่ว ทั้งที่ใจอยากทำดี แต่จิตคิดชั่ว ทุกข์เพราะใจคับพี่ปรุงแต่งแต่อกุศล คือผมจะเผลอสติสัมปชัญญะไม่ได้เลยคับพี่
โดย: Nujeab    เวลา: 2015-2-10 12:21
padiphatbeer ตอบกลับเมื่อ 2015-2-9 19:28
ผมเห็นจิตคิดชั่ว ทั้งที่ใจอยากทำดี แต่จิตคิดชั่ว ทุ ...

เป็นเรื่องธรรมดาของจิตครับ แส่ส่ายไปเรื่อย ดื้อเหมือนลิง ยิ่งไปบังคับก็ยิ่งดื้อไปใหญ่

หากจิตอกุศลมันเกิดขึ้นแล้วเราปราบมันได้คุมมันได้ ผมว่าเยี่ยมแล้วนะ แต่ก็คงมีชนะบ้างแพ้บ้าง ก็อย่าไปคิดมากครับ ทุกข์ใจปล่าวๆ ปล่อยวางดีกว่า

โดย: padiphatbeer    เวลา: 2015-2-10 18:09
ขอบคุณคับพี่
โดย: Metha    เวลา: 2015-2-11 11:35
Nujeab ตอบกลับเมื่อ 2015-2-10 12:21
เป็นเรื่องธรรมดาของจิตครับ แส่ส่ายไปเรื่อย ดื้อเหม ...


เจ้หนูคนเดิม...หรือเปล่า
โดย: Nujeab    เวลา: 2015-2-11 15:59
Metha ตอบกลับเมื่อ 2015-2-11 11:35
เจ้หนูคนเดิม...หรือเปล่า


โดย: majoy    เวลา: 2015-2-18 06:50
เพราะเรามี ตัวแทนแห่งคุณงามความดีอยู่ จึงยังมีหลักยึดในความดีนั้น
โดย: MarcoReus    เวลา: 2015-2-19 15:32
majoy ตอบกลับเมื่อ 2015-2-18 06:50
เพราะเรามี ตัวแทนแห่งคุณงามความดีอยู่ จึงยังมีหลักย ...

สาธุครับ
โดย: JimMoriarty    เวลา: 2015-2-20 16:15
ขอบคุณครับ
โดย: Sornpraram    เวลา: 2015-3-10 14:26

โดย: Nujeab    เวลา: 2015-3-10 16:59
เยี่ยมไปเลยครับ
โดย: majoy    เวลา: 2015-3-18 07:41
แขวนพระหลวงปู่หรืออาจารย์ไว้ จะลั้นลาอะไรก็เกรงใจจริงๆ
โดย: majoy    เวลา: 2015-5-29 00:16
เพราะคือตัวแทนคุณงามความดี

เพราะเป็นแบบอย่างให้เดินตาม
โดย: majoy    เวลา: 2015-6-30 22:37
ยังคงเป็นเช่นนี้เสมอมาและเรื่อยไป

แขวนวัตถุมงคล ให้รำลึกถึงผู้สร้างและรูปพระหรือเทพที่บูชา ให้ทำตัวเป็นมงคล ให้ละอายต่อการทำชั่วเพราะเราบูชาของๆ ครูบาอาจารย์อยู่ เปรียบเหมือนมีพ่อแม่ครูบาอาจารย์คอยสอดส่องดูแล
โดย: Sornpraram    เวลา: 2015-7-1 06:27

โดย: majoy    เวลา: 2015-7-5 11:53
ของของครูบาอาจารย์อยู่ที่คอ เหน็บที่อก พันที่เอว สวมที่นิ้ว ลงที่กาย

เหมือนมีครูบาอาจารย์ตามรักษา จะคิด จะพูด จะนินทา จะชื่นชม ยกย่อง เทิดทูญ อย่านึกว่าท่านไม่รู้

วงจรปิด+GPS


โดย: Sornpraram    เวลา: 2015-7-6 07:18
majoy ตอบกลับเมื่อ 2015-7-5 11:53
ของของครูบาอาจารย์อยู่ที่คอ เหน็บที่อก พันที่เอว สว ...



โดย: majoy    เวลา: 2015-7-6 22:19
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2015-7-6 07:18

ต้องให้วุ่นทั่วมอ มาเล่าในรายการ คนดังนั่งเคลียร์
โดย: Sornpraram    เวลา: 2015-7-7 06:11
พระเครื่องสามารถช่วยได้ในบางเรื่อง  เช่นกันภูติผีปีศาจ หรือสิ่งไม่ดีที่เรามองไม่เห็นได้
หรือบางครั้งอาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับด้านเมตตา หรือการเจรจา  อันนี้จะมีบ่อย
คนไม่เคยพบเคยเจอกับตัวเอง จะไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด  ว่าสิ่งที่เหลือเชื่อ  มันมีได้จริงๆ
แต่เรื่อง เหนียว คงกระพัน อันนั้นก็แล้วแต่ว่า  ดวงถึงฆาตรึยัง  ได้ยินบ่อย แต่ไม่เคยเจอกับตัวเอง

พระเกจิ...มีอยู่ทั่วประเทศ  กว่าจะปลุกเสกพระได้  ต้องไปร่ำเรียนจากครูบาอาจารย์มา
ไม่ใช่ท่องคาถาได้ก็จะปลุกเสกพระได้  

ท่านคิดว่าพระเกจิ...ท่านไปนั่งปรกปลุกเสกพระนั้น  ท่านเพียงแค่นั่งหลับตาพักผ่อนหรืออย่างไร
แล้วถ้ามันไม่มีอยู่จริง หรือช่วยอะไรใครไม่ได้จริง  พระระดับนี้ จะยังโง่ ไปร่ำเรียนมาทำบ้าอะไร
กว่าจะเรียกยันต์แต่ละตัวได้  กว่าจะทำเป็น  จิตหรือสมาธิต้องระดับไหน  
กว่าอาจารย์จะสอนวิชาให้  ไม่ใช่ง่ายๆ  ตำหรับตำรา สารพัด  ท่านคิดว่าเค้าเขียนเล่นๆรึไง

จริงอยู่  มันไม่ใช่ทางหลุดพ้นตามคำสอนของพระพุทธเจ้า  
แต่พระพุทธเจ้าเคยปฎิเสธรึป่าวว่ามันไม่มีอยู่จริง.........


แม้พระเกจิ..แต่ละรูป จะปลุกเสกพระเครื่องให้คนห้วยคอ  
แต่ทุกรูปท่านก็จะสอนเสมอว่าให้รักษาศีล  และนึกถึงพระพุทธ พระธรรม ไว้ในใจ
ไม่เคยมีรูปไหนบอกว่า  เออ...เอ็งเอาไปห้อยคอแล้วรับรองว่า  
ไปปล้้นร้านทองร้านไหนก็สะดวก หายห่วง  ตำรวจหาตัวไม่เจอแน่  ข้าฯรับรอง.....ไม่มีหรอก........

โดย: Sornpraram    เวลา: 2015-7-7 06:15
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2015-7-7 10:27




จริงๆแล้วการห้อยพระนั้นยังจัดเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งเอาไว้ให้คนนึกถึงพระรัตนตรัยต่างหาก

เพราะเป็นสิ่งที่สัมผัสได้ ห้อยติดคอไว้ จิตจะนึกถึงพระรัตนตรัยอันเป็นมงคล อย่างน้อยก็ดีกว่า

ที่จะไปคิดเรื่องอื่นที่ไม่เป็นมงคล ไม่เป็นกุศล โดยเฉพาะถ้าใช้ฝึกเด็กเล็กๆให้รักษาศีลจะดีมาก

เพราะเด็กจะเข้าใจว่ามีพระคอยดูอยู่ตลอด จนเขาโตขึ้นมาแล้วถึงจะเลิกห้อยพระไปแต่ว่าอุปนิสัย

ในการรักษาศีลก็ติดตัวเขาไปบ้างแล้ว ซึ่งคนที่มีศีลนั้น ถือเป็นคนที่มีอาภรณ์อันประเสริฐอยู่แล้วครับ

พระเครื่องที่เคยห้อยคอไว้ จัดเป็นเครื่องมือช่วยฝึกที่ดีครับ นั่นแหล่ะคือประโยชน์จริงๆ      

โดย: majoy    เวลา: 2015-7-7 08:15

โดย: Metha    เวลา: 2015-7-7 09:40
majoy ตอบกลับเมื่อ 2015-7-5 11:53
ของของครูบาอาจารย์อยู่ที่คอ เหน็บที่อก พันที่เอว สว ...

จริงแท้ แน่นอน
โดย: majoy    เวลา: 2015-7-13 06:19

โดย: padiphatbeer    เวลา: 2015-8-13 18:38

โดย: majoy    เวลา: 2016-1-29 08:10
บางทีก็มีอะไรหลายๆ ปัจจัย มายั่วให้ทำในสิ่งชั่วๆ อยากจะทำแบบคนอื่นเขา เอาสบายใจเข้าว่า พอคิดแบบนั้น ใจก็แว๊บนึกถึงของที่คล้องคออยู่ นึกถึงครูบาอาจารย์ท่าน

เราทำให้ท่านภูมิใจยังมิได้ ก็จงอย่าทำให้ท่านผิดหวังที่เมตตารับเราเป็นศิษย์

ว่าแล้วก็ก้มหน้าก้มตาอดทนทำสิ่งที่ถูกที่ควรต่อไป

คือตัวแทนคุณงามความดี
โดย: Sornpraram    เวลา: 2016-1-31 07:30
ศรัทธาเพราะศึกษาชีวประวัติและเกิดความเลื่อมใส ตรงกับความชอบของตนเอง

ท่านเคยเมตตาเลี้ยงดูหรือเคยประจักษ์ในพุทธคุณของท่านมาก่อน

บางคนก็ประทับใจ ในความเมตตาหรือคุณความดีของท่านอย่างหมดหัวใจ

จะด้วยเหตุผลใดข้างต้น กลุ่มที่แขวนพระเพราะศรัทธาและมีความรู้สึกว่า พระเครื่องที่แขวน

คือตัวแทนคุณความดีของหลวงพ่อที่เขารู้จักคุ้นเคย และเคยได้ไปกราบไหว้บ่อยๆ

ใจก็แขวนพระเพราะความศรัทธา ปลาบปลื้มที่มีหลวงพ่ออยู่เหนือหัว เหนือคอ อุ่นใจ เป็นกำลังใจ

แต่ไม่เคยคิดหวังว่า วันนี้หลวงพ่อจะช่วยให้รวย ให้มีเสน่ห์ หนังเหนียวอะไรทั้งนั้น

แขวนพระรักหลวงพ่อ แขวนพระศรัทธา แขวนพระแบบไม่หวังผลนี้ กลับมักจะได้ผล

จะทำการงานอะไรก็ไม่ติดขัด หรือถ้ามีติดขัดก็มีทางออกหรือมีคนคอยช่วยเหลือตลอด

ชีวิตมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข ไม่ต้องอยู่ร้อน นอนทุกข์ ราบรื่่น ไม่สะดุด แคล้วคลาดเรื่องร้ายๆ ตลอดมา

ที่สำคัญ ผู้ที่แขวนพระด้วยเหตุผลเพราะ พระเครื่อง คือ ความดีของครูบาอาจารย์นั้นแล้ว

มักได้รับผลจากพุทธคุณของพระเครื่องนั้นๆ อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ไม่มีเงียบหรือนิ่ง

เพราะใจเขานึกถึงหลวงพ่อทุกเช้าค่ำ และมีเพียงหลวงพ่อที่เขานับถือเพียงองค์เดียว ไม่วอกแวกซัดส่ายไปที่อื่น

จะเห็นได้ชัดในหลายๆ ท่านที่แขวนพระเพียงองค์เดียวและยึดมั่น ในหลวงพ่อนั้นๆ ณ ขณะเวลานั้นก็จะเห็นผลชัดเจน

ไม่ใช่แขวนพระเพราะตื่นตมตามกระแส แขวนพระเพราะหวังปาฎิหาริย์ แต่แขวนเพราะศรัทธาในความดี

พลังพุทธคุณจะเปิดออกมาได้ ต้องอาศัยพลังศรัทธาในใจเป็นกุญแจ




โดย: majoy    เวลา: 2016-1-31 07:37
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2016-1-31 07:30
ศรัทธาเพราะศึกษาชีวประวัติและเกิดความเลื่อมใส ตรงก ...

จริงเป็นอย่างยิ่งครับ


โดย: Sornpraram    เวลา: 2016-9-27 05:52
[url=http://www.baanjompra.com/webboard/forum.php?mod=viewthread&tid=7160&highlight=%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B5][/url]

โดย: majoy    เวลา: 2016-10-19 07:55
อาจารย์ท่านสินว่า จะบูชารูปพระพุทธ รูปครูบาอาจารย์ หรือรูปเทพพรหม ต่างๆ ให้พึงรำลึกถึงคุณธรรมของท่านเหล่านั้น เมื่อใจเราน้อมเอาธรรมเหล่านั้นไว้เป็นอนุสติ เวลานั้น จึงได้ชื่อว่า เราแขวนบูชา วัตถุมงคล
โดย: majoy    เวลา: 2017-1-7 10:39
หลายๆ ครั้งที่เราใช้ความศรัทธาในวัตถุมงคลชิ้นที่แขวน มายับยั้งใจไม่ให้ลงต่ำกว่าที่เป็น

เมื่อเราใช้ของชิ้นนั้นด้วยจิตแบบนั้น นั่นจึงทำให้ของชิ้นนั้นๆ เรียกว่า วัตถุมงคล อย่างแท้จริง
โดย: Sornpraram    เวลา: 2017-1-8 08:18

โดย: Metha    เวลา: 2017-1-8 09:59

โดย: majoy    เวลา: 2017-2-6 08:09
เมื่อใดที่นึกถึงครูบาอาจารย์ ให้นึกถึงคุณความดี ความเสียสละ อดทน อดกลั้น ที่ท่านสอนเราเสมอ โดยการทำให้ดูเป็นแบบอย่างให้ดำเนินตาม

ยิ่งเราอยู่ใกล้ชิด จนเห็นเป็นความเคยชิน ยิ่งต้องระวังไม่ให้เราพลาดและมองข้ามแนวทางที่ท่านทำไว้ให้เห็น ให้เรียนรู้


โดย: Sornpraram    เวลา: 2017-3-11 07:35


โดย: majoy    เวลา: 2017-3-11 14:02
แขวนพระ เทพ หรือรูปครูบาอาจารย์ นึกถึงท่าน นึกถึงคุณธรรมของท่าน ก็จะละอายหากเราจะทำบาป
โดย: Sornpraram    เวลา: 2017-3-12 06:52
majoy ตอบกลับเมื่อ 2017-3-11 14:02
แขวนพระ เทพ หรือรูปครูบาอาจารย์ นึกถึงท่าน นึกถึงคุณธรรมของท่าน ก็จะละอายหากเราจะทำบาป

หิริโอตัปปะคืออะไร?




หิริ คือ ความละอายต่อบาป ถึงไม่มีใครรู้แต่นึกกินแหนงแคลงใจ ไม่สบายใจ เป็นความรู้สึกรังเกียจ เห็นบาปเป็นของสกปรก จะทำให้ใจของเราเศร้าหมอง จึงไม่ยอมทำบาป
โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวต่อบาป เป็นความรู้สึกกลัว กลัวว่าเมื่อทำไปแล้วบาปอาจจะส่งผลเป็นความทุกข์ทรมานแก่เรา จึงไม่ยอมทำบาป

สมมติว่าเราเห็นเหล็กชิ้นหนึ่งเปื้อนอุจจาระอยู่ เราไม่อยากจับต้องรังเกียจว่าอุจจาระมาเปื้อนมือเรา ความรู้สึกนี้เปรียบได้กับหิริ คือความละอายต่อบาป สมมุติว่าเราเห็นเหล็กท่อนหนึ่งเผาไฟอยู่จนร้อนแดง เรามีความรู้สึกกลัวไม่กล้าจับต้อง เพราะเกรงว่าความร้อนจะลวกเผาไหม้มือเรา ความรู้สึกนี้เปรียบได้กับโอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวต่อผลของบาป

“สัตบุรุษผู้สงบระงับ ประกอบด้วยหิริโอตตัปปะ ตั้งมั่นอยู่ในธรรมขาว ท่านเรียกว่า ผู้มีธรรมของเทวดาในโลก” (ขุ.ชา.เอก. ๒๗/๖/๓)

เหตุที่ทำให้เกิดหิริ

๑. คำนึงถึงความเป็นคน หรือชาติตระกูล “เรานี่มีบุญอุตส่าห์ได้เกิดเป็นคนแล้ว ทำไมจึงจะมาฆ่าสัตว์ ทำไมต้องมาขโมยเขากิน นั่นมันเรื่องของสัตว์เดียรัจฉาน ทำไมต้องมาแย่งเมีย ไม่ใช่หมูหมากาไก่ในฤดูผสมพันธุ์นี่ เรานี่มันชาติคน เป็นมนุษย์สูงกว่าสัตว์ทั้งหลายอยู่แล้ว” พอคำนึงถึงชาติตระกูล หิริก็เกิดขึ้น
๒. คำนึงถึงอายุ “โธ่เอ๋ย เราก็แก่ปานนี้แล้ว จะมานั่งเกี้ยวเด็กสาวๆ คราวลูกคราวหลานอยู่ได้อย่างไร โธ่เอ๋ย เราก็แก่ปานนี้แล้วจะมานั่งขโมยของเด็กรุ่นลูกรุ่นหลานได้อย่างไร” พอคำนึงถึงวัย หิริก็เกิดขึ้น
๓. คำนึงถึงความดีที่เคยทำ “ดูซิ เรามีความองอาจกล้าหาญ ทำความดีมาก็มากแล้ว ทำไมจะต้องมาทำความชั่วเสียตอนนี้ล่ะ ไม่เอาละ ไม่ยอมทำความชั่วละ” พอคำนึงถึงความดีเก่าก่อน หิริก็เกิดขึ้น
๔. คำนึงถึงความเป็นพหูสูต “ดูซิ เราก็มีความรู้ขนาดนี้แล้ว รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว รู้ว่าอะไรควรทำ รู้สารพัดจะรู้แล้วจะมาทำความชั่วได้อย่างไร” พอคำนึงถึงความเป็นพหูสูต หิริก็เกิดขึ้น
๕. คำนึงถึงพระศาสดา “เราเองก็ลูกพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงเหนื่อยยาก ตรัสรู้ธรรมแล้วทรงสั่งสอนอบรมพวกเราต่อๆ กันมา เราจะละเลยคำสอนของพระองค์ ไปทำความชั่วได้อย่างไร” พอคำนึงถึงพระศาสดา หิริก็เกิดขึ้น
๖. คำนึงถึงครูอาจารย์ สถานศึกษา “ฮึ เราก็ศิษย์มีครูเหมือนกัน ครูอาจารย์สู้อบรมสั่งสอนมา ชื่อเสียงสถาบันของเราก็โด่งดังเป็นที่ยกย่องสรรเสริญแล้วเราจะมาทำชั่วได้อย่างไร” พอคำนึงถึงครูอาจารย์ สำนักเรียน หิริก็เกิดขึ้น

เหตุที่ทำให้เกิดโอตตัปปะ

๑.กลัวคนอื่นติ “นี่ถ้าเราขืนไปขโมยของเขาเข้า คนอื่นรู้คงเอาไปพูดกันทั่ว ชื่อเสียงที่เราอุตส่าห์สร้างมาอย่างดี คงพังพินาศหมดคราวนี้เอง”เมื่อกลัวว่าคนอื่นเขาจะติเอา โอตตัปปะก็เกิดขึ้น จึงไม่ยอมทำบาป
๒.กลัวการลงโทษ “อย่าดีกว่า ขืนไปฆ่าเขาเข้า บาปกรรมตามทัน ตำรวจจับได้ มีหวังติดคุกตลอดชีวิตแน่” เมื่อกลัวว่าบาปจะส่งผลให้ถูกลงโทษ โอตตัปปะก็เกิดขึ้น จึงไม่ยอมทำบาป
๓.กลัวการเกิดในทุคติ “ไม่เอาละ ขืนไปขโมยของเขาอีกหน่อย ต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกายไม่ทำดีกว่า” เมื่อกลัวว่าจะต้องไปเกิดในทุคติ โอตตัปปะก็เกิดขึ้น จึงไม่ยอมทำบาป



โดย: majoy    เวลา: 2017-3-13 21:31
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2017-3-12 06:52
หิริโอตัปปะคืออะไร?

จะจดจำไว้ครับกัปตัน บางทีมันยากเย็นแสนเข็ญ รู้ทั้งรู้ ก็ยังอุตส่าห์เกเร ถึงไม่ถึงขั้นผิดแปดเปื้อน แต่ก็ด่างจนทั่ว
โดย: Sornpraram    เวลา: 2017-3-14 08:21
majoy ตอบกลับเมื่อ 2017-3-13 21:31
จะจดจำไว้ครับกัปตัน บางทีมันยากเย็นแสนเข็ญ รู้ทั้ง ...


โดย: Nujeab    เวลา: 2017-3-14 13:05

โดย: Sornpraram    เวลา: 2017-3-15 18:45
Nujeab ตอบกลับเมื่อ 2017-3-14 13:05


โดย: Nujeab    เวลา: 2017-3-16 09:41
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2017-3-15 18:45






ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2