ดังนั้น เนื้อหาในเรื่องกำเนิดโลกนี้ หากมีท่านใดท่านหนึ่งอาจจะคัดค้านไม่เห็นด้วยก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป็นทัศนะในพระพุทธศาสนาซึ่งไม่ปรารถนาจะให้ผู้อ่านเชื่อในทันทีเมื่อมาศึกษา แต่จะเป็นการดีถ้าได้พิสูจน์แล้วและเห็นตาม การกำเนิดขึ้นของจักรวาล โลก และสรรพสิ่งนั้น เริ่มจากแต่เดิมนั้นก่อนที่สรรพสิ่งจะเกิดขึ้นนั้น ในท้องจักรวาลไม่มีสิ่งใด ๆ เลย มีเพียงอากาศที่เวิ้งว่างว่างเปล่า โล่งเตียนตลอด (ในบทเรียนที่ ๒ เราได้ทราบแล้วว่า อากาศ เป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งมีสภาพเป็นที่ว่าง ปราศจากธาตุอื่น ๆ และเป็นธาตุองค์ประกอบหนึ่งที่เป็นจุดกำเนิด และมีอยู่ในทุกสรรพสิ่ง) โดยที่ความว่างเปล่านี้เกิดจากการที่จักรวาลได้เสื่อมและถูกทำลายลง ด้วย ไฟ น้ำ และลม ซึ่งเราจะได้ศึกษาถึงรายละเอียดการที่โลกถูกทำลาย ในบทเรียนที่ ๖ ต่อไป เนื่องจากจักรวาลและโลกนั้นกำเนิดขึ้น และถูกทำลายลงมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน และยังจะต้องถูกทำลาย และก็จะเกิดขึ้นอีกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยที่ไม่สามารถจะระบุได้ว่า จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของการเริ่มต้นและสิ้นสุดนี้คือเมื่อใด การกำเนิดของโลกและสรรพสิ่งที่กล่าวถึงในบทเรียนนี้ จึงเป็นช่วงหนึ่งของวัฏจักรที่ไม่มีที่สิ้นสุดนั้น โดยการกำเนิดที่กล่าวถึงในบทเรียนนี้ เป็นการกำเนิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่จักรวาลถูกทำลายด้วยไฟ ก่อนที่จะมาถึงกำเนิดขึ้นนี้ หลังจากที่จักรวาลเปล่าร้างปราศจากสิ่งใด ๆ เป็นเวลายาวนาน (นานจนไม่สามารถระบุระยะเวลาได้) ต่อมามีฝนตกลงมาในท้องจักรวาลที่มีเพียงอากาศนั้น น้ำฝนที่ตกลงมาในระยะแรก เป็นฝนที่มีขนาดเล็กมาก จากนั้นจึงมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งขนาดเท่ากับลำของต้นตาล เนื่องจากฝนที่ตกขึ้นนี้ ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ปริมาณน้ำฝนจึงเพิ่มระดับสูงขึ้น จนกระทั่งท่วมเต็มทั่วทั้งท้องจักรวาล การที่ฝนทรงตัวอยู่ได้นี้ เป็นเพราะมีลมมารองรับไว้เหมือนภาชนะ จึงทำให้น้ำไม่รั่วไหลกระจัดกระจาย แต่จะรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน ด้วยคุณสมบัติของลมทำให้น้ำค่อย ๆ งวดยุบหดลดลงจากเบื้องบน ระดับน้ำได้ลดระดับลงมาเรื่อย ๆ เมื่อระดับน้ำลดลง ทำให้ที่ตั้งของภพต่าง ๆ ปรากฏขึ้น เริ่มตั้งแต่ พรหมชั้นต่าง ๆ เรื่อยลงมาจากชั้นบนสู่ชั้นล่าง จากนั้นสวรรค์ชั้น ต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นหลังจากที่ระดับน้ำได้ลงไปจากที่ตั้งของภพสวรรค์ชั้นต่าง ๆ นั้น เมื่อระดับน้ำลดลงมาถึงระดับพื้นดิน ระดับน้ำเริ่มคงที่ไม่ลดลงไปอีก เมื่อน้ำนิ่งจึงเกิดการรวมตัวกันเป็นตะกอนลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ซึ่งตะกอนนี้เกิดจากการรวมตัวของธาตุหยาบ (การเกิดขึ้นของภพพรหมและสวรรค์ เป็นการรวมตัวของธาตุละเอียด ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตามนุษย์) ตะกอนที่รวมตัวและลอยอยู่เหนือน้ำนี้ คล้ายกับการลอยของใบบัวที่อยู่เหนือน้ำคือลอยอยู่ได้โดยไม่จม มีสีเหลือง รสหวาน และมีกลิ่นหอม (เรียกว่า ง้วนดิน) ซึ่งต่อมาคือแผ่นดินที่รองรับสิ่งต่าง ๆ โดยตะกอนที่เกิดขึ้นมาก่อนเรียกว่า ศีรษะแผ่นดิน ซึ่งถือว่าเป็นประธานของโลกมนุษย์ หลังจากแผ่นดินได้เกิดขึ้นแล้ว ต่อมาได้มีต้นไม้เกิดขึ้น ต้นไม้ที่เกิดขึ้นเป็นชนิดแรกคือ ต้นบัว โดยที่เป็นบัวที่มีลักษณะเป็นไม้ยืนต้น และขึ้นบนแผ่นดิน ต่างจากบัวในปัจจุบันที่เป็นไม้ล้มลุกและขึ้นเฉพาะในน้ำ บัวที่เกิดขึ้นนี้จะปรากฏขึ้นทุกครั้งที่โลกกำเนิดขึ้นหลังจากที่ถูกทำลายไป โดยที่ในการเกิดขึ้นของดอกบัวนี้จะออกดอกไม่เท่ากันในแต่ละครั้ง บางครั้งไม่มีดอก บางครั้งมีดอก โดยการออกดอกจะมีตั้งแต่ ๑ ถึง ๕ ดอก แต่จะไม่มากไปกว่านั้น ซึ่งจำนวนของดอกบัวที่เกิดขึ้นนี้จะเป็นสิ่งที่บอกว่า จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดหรือไม่บังเกิดขึ้น หรือว่าบังเกิดขึ้นอีกพระองค์ในกัปนั้น (อย่างเช่นในกัปของเรา มีดอกบัวปรากฏเมื่อครั้งกำเนิดโลก ๕ ดอก ก็หมายความว่าจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ๕ พระองค์) บัวนี้จึงมีชื่อว่า บัวพยากรณ์ |
มนุษย์เริ่มกินเนื้อสัตว์ สาเหตุที่มนุษย์เริ่มกินเนื้อสัตว์ เนื่องจากมีสัตว์นรกที่พ้นกรรมมาเกิดเป็นมนุษย์ แต่ยังมีวิบากติดตัว เป็นวิบากที่เป็นประเภทโทสะจริต เคยผูกเวรกัน เนื่องจากเคยเป็นสัตว์ที่กินกันมาก่อน เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์จึงผูกเวรกัน เมื่อเห็นสัตว์ที่เป็นคู่กรรมคู่เวรกับตน ก็จะทำให้มีความคิดที่อยากจะฆ่า อยากจะทำร้าย โดยการฆ่าในช่วงแรกจะฆ่าด้วยก้อนอิฐ ก้อนหิน หรือท่อนไม้ ตอนแรกที่ฆ่านั้น ไม่ได้คิดว่าจะเอามาทำเป็นอาหารเพียงแค่คิดอยากจะฆ่า แต่เมื่อเห็นสัตว์นั้นตายแล้ว จึงลองมานำมาประกอบเป็นอาหาร เมื่อกินเข้าไปก็ถูกปากติดใจ ติดในรสอยากกินอีก จึงลงมือฆ่าเพื่อนำมาเป็นอาหาร ระยะแยกจะกินเพียงคนเดียว ต่อมาจึงแจกจ่ายในครอบครัว ต่อจากนั้นจึงขยายวงกว้างไปอย่างแพร่หลาย จึงกินเนื้อสัตว์กันเรื่อยมา ครั้นเมื่อจะกินอย่างอื่นบ้างจึงนำสัตว์ที่ฆ่าได้ไปแลกกับสิ่งอื่น เช่น ข้าว พืชผักต่าง ๆ เมื่อได้กินเนื้อสัตว์เข้าไปคนเหล่านั้นก็ติดใจ ทำการกินเนื้อสัตว์เป็นที่นิยม ทำให้มีความคิดความเข้าใจกันว่า สัตว์เกิดมาสำหรับเป็นอาหารของมนุษย์ และทำให้เกิดการค้าขายแลกเปลี่ยนขึ้น ในตอนเริ่มต้นมนุษย์แลกเปลี่ยนสิ่งของกับสิ่งของ ระหว่างกัน ครั้นเมื่อมีการสมมติให้มีเงินและทองเป็นสื่อกลาง จึงเริ่มมีการซื้อขายกันด้วยเงิน และทองเกิดขึ้น ที่กล่าวถึงเกี่ยวกับวิวัฒนาการต่าง ๆ ของมนุษย์นี้กล่าวถึงเฉพาะการเกิดบนโลกที่เราอาศัยอยู่ ซึ่งเรียกกันว่า ชมพูทวีป นอกจากโลกที่เราอยู่ ยังมีมนุษย์เกิดในโลกหรือทวีปอื่นอีก ๓ ทวีป คืออุตตรกุรุทวีป ปุพพวิเทหทวีป และอปรโคยานทวีป โดยที่แต่เดิมนั้น อายุขัยของมนุษย์ที่อยู่ในทุกทวีปจะยาวนานมาก ยาวเป็นอสงขัยปีดังที่กล่าวแล้ว ครั้นเมื่กิเลสในตัวมนุษย์มากขึ้น ทำให้สิ่งแวดล้อมในโลกเลวร้ายลง ทั้งนี้เป็นเพราะบุญที่จะมารองรับมนุษย์น้อยลง ประกอบการเกิดจากการกระทำของมนุษย์เอง ทำให้อายุมนุษยน์สั้นลงตามลำดับ มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีป จะอายุขัยลดลงจนถึง ๑๐๐๐ ปีแล้วจะคงที่ มนุษย์ที่อยู๋ในปุพพวิเทหทวีป อายุขัยลดลงถึง ๗๐๐ ปี แล้วคงที่ และมนุษย์ที่อยู่ในอปรโคยานทวีป อายุขัยจะลดลงเหลือ ๕๐๐ ปีแล้วคงที่ ส่วนมนุษย์ในชมพูทวีปจะมีอายุลดลงไปถึง ๑๐ ปี แล้วอายุจึงเพิ่มขึ้นตามลำดับ จนกระทั่ง อสงขัยปี แล้วก็ลดลงมาอีก เป็นเช่นนี้เรื่อยไป ในแต่ละจักรวาลจะมีทวีป ๔ ทวีปนี้ เหมือนกันทุกจักรวาล และในทวีปต่าง ๆ ที่อยู่ในจักรวาลทั้งหลาย ก็จะมีอายุขัยเช่นนี้ มนุษย์ในทวีปทั้ง ๓ คือ อุตตรกุรุทวีป ปุพพวิเทหทวีป และ อปรโคยานทวีป จะมีศีล ๕ เป็นปกติ ทุกคนจึงชีวิตที่สงบสุข แต่อย่างไรก็ตาม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาบังเกิดขึ้นเฉพาะในชมพูทวีปเท่านั้น |
สรุป การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยที่กัปบังเกิดขึ้น แล้วพรหมก็ลงมากินง้วนดินจนกลายมาเป็นมนุษย์ในยุคต้นกัป แล้วกลายสภาพความเป็นอยู่ของตนมาเป็นเช่นปัจจุบันนี้ ล้วนมีเหตุอันเกิดขึ้นมาจากจิตในของมนุษย์นี้เอง แม้ว่าวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามนุษย์นั้นมีต้นกำเนิดมาจากอะไร แต่พระพุทธศาสนาก็มีคำสอนที่ได้บอกเอาไว้ว่า มนุษย์นั้นมิได้เกิดมาจากสัตว์เดรัจฉานอย่างที่นักวิทยาศาสตร์พากันคิดกัน ความรู้ในวิทยาศาสตร์ หรือศาสตร์ในแขนงต่างๆ เมื่อนำมาเปรียบกับความรู้ในพระพุทธศาสนาแล้วก็เป็นเพียงแค่ก้อนเมฆที่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าเท่านั้น เพราะความรู้ในพระพุทธศาสนาครอบคลุมความรู้ทั้งหมด แม้แต่อัลเบิร์ต ไอสไตน์ นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ผู้คิดค้นทฤษฎีสัมพันธภาพยังแสดงความเห็นต่อศาสนาพุทธว่า “ศาสนาในอนาคตจะเป็นศาสนาแห่งสากลจักรวาล เป็นศาสนาที่ข้ามพ้นความเชื่อที่เป็นตัวเป็นตนของพระเจ้า และหลีกเลี่ยงความเชื่อแบบติดศรัทธาโดยไม่พิสูจน์และเรื่องของพระเจ้ากับโลก แต่จะเป็นศาสนาที่ครอบคลุมทั้งเรื่องธรรมชาติและจิตวิญญาณ โดยมีพื้นฐานมาจากความรู้สึกทางศาสนาที่มาจากประสบการณ์ที่ได้ประสบกับสรรพสิ่ง ทั้งจากธรรมชาติและจิตวิญญาณ ด้วยนัยยะความหมายที่มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งพระพุทธศาสนาสามารถให้คำตอบในสิ่งที่พรรณนามาดังกล่าว ถ้าจะมีศาสนาใดที่ดำเนินไปได้กับความต้องการของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ศาสนานั้นก็คือพระพุทธศาสนา”[5] |
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ๔. อัคคัญญสูตร [๕๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้- สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารบุพพาราม เป็นปราสาท ของนางวิสาขามิคารมารดา เขตพระนครสาวัตถี ก็โดยสมัยนั้นแล วาเสฏฐ- *สามเณรกับภารทวาชสามเณร เมื่อจำนงความเป็นภิกษุอยู่ อยู่อบรมในสำนักภิกษุ ทั้งหลาย เย็นวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่หลีกเร้น เสด็จลงจาก ปราสาทแล้ว ทรงจงกรมอยู่ ณ ที่แจ้งในร่มเงาปราสาท วาเสฏฐสามเณรได้เห็น พระผู้มีพระภาค เสด็จออกจากที่หลีกเร้น เสด็จลงจากปราสาทกำลังเสด็จจงกรม อยู่ในที่แจ้ง ในร่มเงาปราสาทในเวลาเย็น ครั้นแล้วจึงเรียกภารทวาชสามเณรมา พูดว่า ดูกรภารทวาชะผู้มีอายุ นี้พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่หลีกเร้นในเวลา เย็น เสด็จลงจากปราสาททรงจงกรมอยู่ ณ ที่แจ้งในร่มเงาปราสาท เรามาไปกัน เถิด พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ บางทีเราจะได้ฟังธรรมีกถา เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์บ้างเป็นแม่นมั่น ส่วนภารทวาชสามเณรรับคำของ วาเสฏฐสามเณรแล้ว ทันใดนั้น วาเสฏฐสามเณรกับภารทวาชสามเณร พากัน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้ว ชวนกันเดินตามเสด็จพระองค์ผู้กำลังเสด็จจงกรมอยู่ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกวาเสฏฐสามเณรมาแล้วตรัสว่า ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ เธอทั้งสอง มีชาติเป็นพราหมณ์ มีตระกูลเป็นพราหมณ์ ออกบวชจากตระกูลพราหมณ์ ดูกร วาเสฏฐะและภารทวาชะ พวกพราหมณ์ไม่ด่าว่าเธอทั้งสองบ้างดอกหรือ ฯ สามเณรทั้งสองนั้นจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์ พากันด่าว่าข้าพระองค์ทั้ง ๒ ด้วยคำเหยียดหยามอย่างสมใจ อย่างเต็มที่ ไม่มีลด- *หย่อนเลย พระผู้มีพระภาคจึงตรัสถามต่อไปว่า ก็พวกพราหมณ์พากันด่าว่าเธอ ทั้งสองด้วยถ้อยคำอันเหยียดหยามอย่างสมใจ อย่างเต็มที่ ไม่มีลดหย่อนอย่างไร เล่า สามเณรทั้งสองกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์พากันว่า อย่างนี้ว่า พราหมณ์พวกเดียวเป็นวรรณะที่ประเสริฐที่สุด วรรณะอื่นเลวทราม พราหมณ์พวกเดียวเป็นวรรณะขาว พวกอื่นเป็นวรรณะดำ พราหมณ์พวกเดียว บริสุทธิ์ พวกอื่นนอกจากพราหมณ์หาบริสุทธิ์ไม่ พวกพราหมณ์เป็นบุตรเกิดจาก อุระ เกิดจากปากของพรหม มีกำเนิดมาจากพรหม พรหมเนรมิตขึ้น เป็นทายาท ของพรหม เจ้าทั้งสองคนมาละวรรณะที่ประเสริฐที่สุดเสียแล้ว ไปเข้ารีดวรรณะ ที่เลวทราม คือ พวกสมณะที่มีศีรษะโล้น เป็นพวกคฤหบดี เป็นพวกดำ เป็น พวกเกิดจากเท้าของพรหม เจ้าทั้งสองคนมาละพวกที่ประเสริฐที่สุดใดเสีย ไป เข้ารีดวรรณะเลวทราม คือพวกสมณะที่มีศีรษะโล้น เป็นพวกคฤหบดี เป็นพวกดำ เป็นพวกเกิดจากเท้าของพรหม ข้อนั้นไม่ดี ไม่สมควรเลย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์พากันด่าว่าข้าพระองค์ทั้งสองด้วยถ้อยคำที่เหยียดหยาม อย่างสมใจ อย่างเต็มที่ ไม่มีลดหย่อนเลยอย่างนี้แล พระองค์จึงตรัสว่า ดูกรวาเสฏฐะและ ภารทวาชะ พวกพราหมณ์ระลึกถึงเรื่องเก่าของพวกเขาไม่ได้ จึงพากันพูดอย่างนี้ พราหมณ์พวกเดียวเป็นวรรณะที่ประเสริฐที่สุด วรรณะอื่นเลวทราม พราหมณ์ พวกเดียวเป็นวรรณะขาว พวกอื่นเป็นวรรณะดำ พราหมณ์พวกเดียวบริสุทธิ์ พวกอื่นนอกจากพราหมณ์หาบริสุทธิ์ไม่ พวกพราหมณ์เป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิด จากปากของพรหม มีกำเนิดมาจากพรหม พรหมเนรมิตขึ้น เป็นทายาทของพรหม ดังนี้ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็ตามที่ปรากฏอยู่แล คือ นางพราหมณี ทั้งหลายของพวกพราหมณ์ มีระดูบ้าง มีครรภ์บ้าง คลอดอยู่บ้าง ให้ลูกกินนม อยู่บ้าง อันที่จริง พวกพราหมณ์เหล่านั้น ก็ล้วนแต่เกิดจากช่องคลอดของนาง พราหมณีทั้งนั้น พากันอวดอ้างอย่างนี้ว่า พราหมณ์พวกเดียวเป็นวรรณะที่ประเสริฐ ที่สุด วรรณะอื่นเลวทราม พราหมณ์พวกเดียวเป็นวรรณะขาว พวกอื่นเป็น วรรณะดำ พราหมณ์พวกเดียวบริสุทธิ์ พวกอื่นนอกจากพราหมณ์หาบริสุทธิ์ไม่ พวกพราหมณ์เป็นบุตรเกิดจากอุระ เกิดจากปากของพรหม มีกำเนิดมาจากพรหม พรหมเนรมิตขึ้น เป็นทายาทของพรหม เขาเหล่านั้นกล่าวตู่พรหม และพูดเท็จ ก็จะประสบแต่บาปเป็นอันมาก ฯ |
กฎธรรมชาติ ครั้นแล้วกฎแห่งธรรมชาติวิวัฒนาการของมนุษย์ได้เริ่มขึ้นใหม่อีกกฎหนึ่งในตอนนี้ นั้นคือกฎแห่งกรรมดี..กรรมชั่วหรือกฎธรรมชาติเมื่อมนุษย์แพร่ขยายพันธุ์ขึ้นในโลกมากมาย การแก่งแย้งชิงดีชิงเด่น แก่งแย่งกันทำมาหากินก็มากขึ้น มีการฆ่าฟันทำร้ายข่มเหงรังแกกัน เป็นของธรรมดาสัตว์โลกปุถุชน กฎแห่งกรรมดี.. กรรมชั่ว หรือกฏหมายธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติอย่างน่าอัศจรรย์ในตอนนี้คือ... นรกโลกและเทวโลก โลกทั้งสองที่เกิดขึ้นใหม่สดๆร้อนๆคือ นรกโลกและเทวโลกนี้ จัดไว้เป็นที่อยู่ของมนุษย์โลกที่ตายไปแล้ว เพื่อชดใช้กรรมดีและกรรมชั่วของตนที่เคยได้ทำไว้สมัยที่มีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ นรกโลกและเทวโลกนี้ไม่มีใครสร้างเป็นโลกละเอียดปรมาณูหรือโลกวิญญาณที่เกิดขึ้นมาเองด้วยตัวของมันเอง โดยธรรมชาติกฎแห่งสากลจักรวาลอันเป็นหลักวิวัฒนาการ มนุษย์คนไหนทำดี กฎหมายธรรมชาติคือทำดีได้ดีก็จัดส่งให้ไปเกิดในเทวโลก มนุษย์คนไหนทำชั่วคือทำชั่วได้ชั่ว กฏหมายธรรมชาติก็ส่งไปอยู่ในนรกโลกคือมนุษย์ตายไปแล้วสูญร่างกายหยาบ ส่วนจิตวิญญาณที่มาจากอาภัสรพรหมนั้นยังคงอยู่เพื่อรับกรรม คือกฏแห่งการกระทำของตนเอง พรหมโลก ขณะที่กฎแห่งธรรมชาติให้กำเนิดนรกโลกและเทวโลกขึ้นในจักรวาลนี้ พรหมโลกนั้นได้มีขึ้นอยู่ก่อนแล้ว คือโลกของอาภัสรพรหม หรือโลกของสัตว์ที่ไม่มีร่างหากมีแต่จิต เสวยอารมณ์ปีติอิ่มเอมใจเป็นอาหารทิพย์ เป็นภูมินรกและภุมเทวดาได้เกิดขึ้นแล้วเช่นนี้ พวกอาภัสรพรหม ที่คิดอยากจะท่องเที่ยว หรือจุติมาปฏิสนธิในโลกมนุษย์เหมือนอย่างแต่ก่อนก็เปลี่ยนไปคือไม่อยากจะมา เพราะโลกมนุษย์มีความเป็นสัตว์โลกหยาบช้าสกปรกมาก มีกิเลสชั่วร้ายมาก แก่งแย้งการทำมาหากินกันมาก ข่มเหงรังแกกันมาก ฉะนั้นการเวียนว่ายตายเกิดจึงเกิดขึ้นเป็นวงโคจรหรือวัฏฏะขึ้นระหว่างมนุษย์โลก นรกโลกและเทวโลก ส่วนอาภัสรพรหมแห่งพรหมโลกที่อยากจะจุติมาเกิดในมนุษย์โลกบ้าง จะมาได้ก็ด้วยอาศัยพลังของตัณหาคือความอยาก ความอยากหรือตัณหาของพรหมนี้คือกิเลส อยากจะมาประกอบกรรมดีในโลกมนุษย์เพื่อทดลองบำเพ็ญความดี คือว่าอยากมาร่วมทุกข์ร่วมสุขวุ่นวายกับพวกมนุษย์ ไม่ใช่คิดอยากจะมากินง้วนดินอันโอชารส เหมือนพวกอาภัสรพรหมรุ่นแรก เพราะว่าตอนนี้ง้วนดินในโลกมนุษย์ไม่เหลือหลออะไรอีกแล้ว อาภัสรพรหมที่นึกสนุกอยากจะมาเกิดในมนุษย์โลกนี้มีเป็นส่วนน้อย ส่วนมากมักเลื่อนชั้นตัวเองขึ้นไปอยู่ภูมิที่สูงขึ้นไปอีกภูมิหนึ่งคือภูมิของ มหาพรหม |
กาลนานต่อมาพรหมในชั้นมหาพรหมเหล่านั้นได้จุติลงมาเกิดในโลกมนุษย์ด้วยอำนาจ กิเลสความอยากอะไรบางอย่าง เมื่อเติบใหญ่ครองเรือนอยู่ในโลกมนุษย์ จนเบื่อหน่ายแล้ว สัญชาตญาณดั้งเดิมของความเป็นพรหมได้ทำให้คิดละโลกีย์ สละโลก ด้วยอำนาจบำเพ็ญพรตเป็นฤาษีดาบส ไปตามกฎแห่งกรรมของตนเอง พอพำเพ็ญเพียรตบะได้ถึงจุดบรรลุฌานสมาบัติ ก็เกิดระลึกชาติขึ้นมาได้ว่า ชาติก่อนตนเองเคยเป็นพรหมเสวยสุขบริโภคอาหารทิพย์ มีปีติอิ่มเอิบเป็นเครื่องเลี้ยงชีพ ก็เลยหลงผิดคิดว่าตัวเองลงมาเกิดในโลกมนุษย์นี้ เป็นเพราะมหาพรหมผู้เฒ่าองค์นั้นแน่ๆ เป็นผู้บันดาลให้มาเกิด ยิ่งทำให้หลงผิดเชื่อมั่นยิ่งขึ้นว่า มหาพรหม คือพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทรงอำนาจสร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่าง อยากจะให้ใครเกิดก็ได้ ให้ใครตายก็ได้ แหละนี่เองคือความหลงผิดของมนุษย์ในยุคแรกที่คิดว่ามีพระผู้เป็นเจ้าสร้างโลก สร้างจักรวาล ความรู้ความเข้าใจนี้ได้แพร่หลายออกไป กลายเป็นศาสนานับถือพระเจ้าขึ้นในโลกมนุษย์เป็นครั้งแรก พระพุทธเจ้าผู้ทรงสัพพัญญุตญาณได้ทรงตรัสต่อไปว่าเมื่อธรรมชาติกฎแห่งจักรวาลได้สร้างมนุษย์โลก นรกโลก และเทวโลกขึ้นมาแล้ว ก็เกิดกฎแห่งการหมุนเวียนหรือวัฏฏะคือการเวียนว่ายตายเกิด เพื่อให้สัตว์ทั้งสามโลกนี้ได้ชดใช้กรรมดีกรรมชั่วของตัวเอง กฎแห่งวัฏฏสงสารนี้ก็คือกฎหมายธรรมชาติมีไว้สำหรับตัดสินสัตว์โลกนั้นเอง |
แดนนิพพาน กฎแห่งธรรมชาติที่เกิดขึ้นตามมาอีกคือ กฎแห่งกการล่วงพ้นวัฏฏสงสาร กฎนี้มีไว้สำหรับผู้ต้องการบำเพ็ญความดีขั้นสูงสุด เพื่อความหลุดพ้นการเวียบว่ายตายเกิด ใครสามารถทำได้สำเร็จก็จะไปแดนพระนิพพาน ซึ่งเป็นแดนสุญตาหรือแดนพรหมขึ้นไปอีกไกลสุดกู่ พระพุทธองค์ตรัสว่า นิพพานังปรมังสุขัง นิพพานเป็นแดนสุขอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทรงค้นพบกฎแห่งการหลุดพ้นวัฏสงสารนี้ ชี้ให้สัตว์โลกเห็นแดนพระนิพพานซึ่งศาสดาดึกดำบรรพ์แรกนับถือมหาพรหม พระผู้เป็นเจ้า หลงเข้าใจผิดไปว่า แดนของพรหมคือนิพพานหรือนิรวาณัมอันเป็นแดนสุขอย่างยิ่ง เป็นอาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งความจริงไม่ใช่ เพราะแดนนิพพานที่แท้จริงอยู่สูงไปอีกกว่านั้น เป็นแดนของพระอรหันต์โดยเฉพาะ ส่วนแดนนิพพานของพรหมก็คือแดนของพระอนาคามีในพระพุทธศาสนาเท่านั้นเอง คุณๆผู้อ่านก็ได้รู้แล้วล่ะว่าเราท่านถือกำเนิดสืบเชื้อสายมาจากวิญญาณกลุ่มแรกที่มาจากนอกโลกคือ อาภัสรพรหม แล้วอาภัสรพรหมล่ะ เกิดมาจากไหน? คำตอบก็คือ อาภัสรพรหมเกิดขึ้นเอง เป็นเอง เป็นสสาร พลังงานธรรมชาติอย่างหนึ่ง ทีมีคุณพิเศษคือเป็นธาตุรู้ มีสติปัญญาความรู้สึกนึกคิดเป็นสัตว์ประเสริฐไม่มีร่างกายมีแต่ดวงจิตหรือวิญญาณ มีรังสีแสงเปล่งออกจากดวงจิตได้ด้วยพลังงานในตัวเอง เป็นตำนานพรหมยุดแรกที่มาสร้างโลก http://www.chongter.com |
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) | Powered by Discuz! X3.2 |