Baan Jompra
ชื่อกระทู้:
ถ้าใครทำได้ มันจะมีฤทธิ์เดช เรียกว่า บุญฤทธิ์
[สั่งพิมพ์]
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2014-12-17 15:05
ชื่อกระทู้:
ถ้าใครทำได้ มันจะมีฤทธิ์เดช เรียกว่า บุญฤทธิ์
อิทธิฤทธิ์หรือจะสู้บุญฤทธิ์
หนุมานทุ่มก้อนหินใส่กุมภกรรณ กุมภกรรณจับขยี้แหลกเป็นผงไปเลย เอาก้อนใหม่ทุ่มไปอีก ก็จับโยนไป
พวกนี้สำเร็จอิทธิฤทธิ์มาได้อย่างไร มันสำเร็จมาได้ด้วยการบำเพ็ญตบะ จนพระอินทร์ พระพรหม พระอิศวร
เห็นใจประทานพรให้มันเป็นผู้มีฤทธิ์ แต่เสร็จแล้วมันก็มาเที่ยวฆ่ากันอยู่
เพราะฉะนั้น สิ่งที่วิเศษที่สุดก็คือศีล ถ้ามีศีลบริสุทธิ์แล้วไม่ต้องไปคำนึงถึงอะไร
พระท่านไปเที่ยวเทศน์ ท่านไล่เรื่องญาณเรื่องฌานอะไรแข่งกัน
พอเทศน์จบ ลงจากธรรมาสน์มา ก็มานั่งด่ากันขโมงโฉงเฉงอยู่ ไม่เห็นได้ประโยชน์อะไร
เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะได้ประโยชน์อย่างแท้จริงในปัจจุบันนี่
ใครมีเมีย รักสงสารเมียของตนเองมากๆ
ใครมีผัว รักสงสารผัวของตนเองให้มากๆ
ใครมีลูก รักเมตตาปราณีต่อลูกให้มากๆ
ใครมีพ่อมีแม่ รักเคารพบูชาพ่อแม่ให้มากๆ เลี้ยงดูท่านให้มีความสุข
ถ้าใครทำได้ มันจะมีฤทธิ์เดช เรียกว่า บุญฤทธิ์
คนมีบุญฤทธิ์นี่ ไปที่ไหนก็สงบเยือกเย็น ไม่ไปก่อกรรมทำเข็ญให้ใครเดือดร้อน
มีแต่พวกภูติผีปีศาจที่มันไม่นิยมชมชอบในคุณธรรมนั่นแหละ มันจะร้อนเป็นไฟ
เราปฏิบัติสมาธิ จิตของเราไปถึงไหน สมาธิขั้นใด ตอนใด กี่ขั้นก็ตาม ผลลัพธ์ก็คือ เราละความชั่วได้
นี่มันอยู่ที่ตรงนี้
เรื่องของสมาธินี่ ถึงใครจะวิเศษวิโสสักปานใด มันไม่ใช่สิ่งวิเศษหรอก
มันวิเศษอยู่ตรงที่ว่า เมื่อจิตเราเป็นสมาธิแล้ว
เราละบาปได้หรือเปล่า ศีล ๕ เราบริสุทธิ์หรือเปล่า
โดย:
majoy
เวลา:
2014-12-17 15:18
ขอบคุณครับ
โดย:
ธี
เวลา:
2014-12-17 16:14
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ธี เมื่อ 2014-12-17 20:36
สาธุ....ต้องระวังเพราะบุญเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวมีตน คนทุกคนแม้พระหรือเทวดาก็ไม่เห็นตัวบุญว่ามีหน้าตาอย่างไร มีหนวดมีเคราหรือไม่ คนคิดว่าต้องทำมากจึงได้มาก จึงมุ่งแต่ทำ"ทาน" คือการให้ เพราะพระที่เทศนาธรรมมักสอนให้คนทำบุญหรือเรียกว่าให้ทาน ทั้งๆที่ควรสอนคนให้ปฏิบัติกรรมดีละเว้นกรรมชั่ว และผลของกรรมดี คือสิ่งที่ควรสอน ..........เรื่องนี้ผมไม่ได้คิดเองครับ มีผู้เล่าให้ฟังว่า ที่วัดแห่งหนึ่ง โยมนำปิ่นโตมาวัด เจ้าอาวาสสอบถามโยมว่ามาทำอะไร??? โยมบอกว่า มาเอาบุญ เจ้าอาวาสบอกโยมว่า อาตมาบวชมาก็หลายพรรษายังไม่เห็นตัวบุญว่ามีตัวตนอย่างไร หน้าตาเป็นอย่างไร เจ้าอาวาสบอกโยมว่า อาตมาสอนให้คนทำกรรมดีละเว้นกรรมชั่ว ส่วนความเชื่อที่คนทุกคนเข้าใจเรื่องบุญนั้น เป็นสิ่งที่เกิดผลจากการกระทำกรรมดีของตนไม่ใช่เฉพาะนำอาหารมาวัด การพูดจาไพเราะกับผู้อื่น การช่วยเหลือเวลาผู้อื่นเดือดร้อน ก็เป็นกรรมดี มีผลให้เป็นสุขในโลกนี้ .....
ส่วนการนั่งสมาธิเหมือนหินทับหญ้า เมื่อออกจากสมาธิ เหมือนยกหินออก กิเลสยังอยู่ครบ การที่จะละกิเลสต้องใช้ปัญญา เหมือนั่งสมาธิก็ให้เกิดปัญญาพิจารณาด้วยจึงจะละกิเลสได้ การนั่งสมาธิเป็นกรรมดี ที่เกิดผลให้ผู้นั่งมีสุขในขณะปฏิบัติ แต่ก็ขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติว่ามุ่งให้เกิดผลทางใด เราก็รู้ว่า ก่อนพุทธกาลมีหลายลัทธิที่สอนการนั่งสมาธิ ผู้ที่สำเร็จญาณก็มีทั้งฤาษี โยคี และพระ รวมทั้งผู้ฝึกทุกคน บางคนใช้ในทางที่ดี บางคนใช้ให้ทางที่ไม่ดี ดังนั้นการฝึกสมาธิต้องฝึกปัญญาให้เห็นผลและโทษของการกระทำ ตามบทสวดที่พระสวดในงานศพ"กุสลาธรรมา อกุศลาธรรมมา..." ....กรรมดีให้ผลดี กรรมไม่ดีย่อมให้ผลไม่ดี
โดย:
oustayutt
เวลา:
2014-12-17 19:56
สาธุครับ
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2015-4-21 07:39
โดย:
Marine
เวลา:
2015-4-21 10:00
ขอบคุณครับ
โดย:
Nujeab
เวลา:
2015-4-21 11:06
สาธุครับ
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2015-11-11 06:35
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/)
Powered by Discuz! X3.2