Baan Jompra
ชื่อกระทู้: อานิสงส์สร้างวัดและอื่นๆ [สั่งพิมพ์]
โดย: oustayutt เวลา: 2014-12-7 19:52
ชื่อกระทู้: อานิสงส์สร้างวัดและอื่นๆ
อานิสงส์สร้างวัดและอื่นๆ
---หรือส่วนประกอบของวัด เพื่อถวายพระสงฆ์ที่มาจากถิ่นฐานต่างๆให้เป็นที่พำนักอาศัยที่ปฎิบัติธรรม ที่ประกอบกุศลกิจ อันเป็นประโยชน์ต่อผู้ทรงศีล ทรงคุณธรรมนั้นมีอานิสงส์ คือ ผลดีตอบต่อผู้ถวายอย่างยิ่งใหญ่ไพบูลย์
*พระพุทธองค์ ได้ทรงแสดงไว้ ดังนี้
---1." ผู้ใดให้ที่พักอาศัย ผู้นั้นเชื่อว่าให้สิ่งทั้งปวง " (สังยุตตนิกาย สคาถวรรค)
---2.ผู้ให้ที่พักอาศัย ฯลฯ ย่อมมีบุญเจริญในกาลทุกเมื่อ ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน เขาตั้งอยู่ในธรรม สมบูรณ์ด้วยศีล เป็นผู้ไปสวรรค์ (วนโรปสูตร)
---3.ในวิหารทานกถา พระพุทธองค์ทรงยืนยันให้เห็นชัดเจนว่า การถวายวิหาร(วัด)ที่อยู่อาศัยแกภิกษุสงฆ์ เป็นสมุฏฐานก่อให้เกิดประโยชน์สุข ทั้งผู้รับและผู้ถวาย ซึ่งทรงแสดง อานิสงส์ไว้ว่า เป็นยอดของสังฆทาน เป็นปัจจัยให้ประสบความเกษมศานต์ จนบรรลุถึงพระนิพพาน เป็นที่สุด
*อานิสงส์การถวายที่ดินเพื่อพระพุทธศาสนา
---การถวายที่ดินไว้ในบวรพุทธศาสนานั้นนับว่าเป็นการทำบุญในฝ่ายวัตถุทานที่มีอานิสงส์มาก และผู้ที่ทำบุญถวายที่ดินนี้นับว่าเป็นผู้ที่มีความฉลาดและโชคดีเป็นอย่างยิ่งด้วยเพราะผลทุกอย่างที่จะบังเกิดขึ้นหลังจากนี้ ไม่ว่าจะเป็น กุฏิ โบสถ์วิหาร หรือแม้แต่พระพุทธรูปทุกๆองค์ในวัดตลอดจนผลแห่งธรรมทั้งปวงที่จะเกิดขึ้นในศาสนสถานหลังจากที่ได้ซื้อที่ดินถวายนี้ ผู้นั้นจะได้รับผลแห่งกุศลดังกล่าวทั้งหมดเพราะทุกอย่างล้วนปลูกสร้างหรือบังเกิดมีขึ้นได้ก็ด้วยผืนแผ่นดินที่เรได้เป็นผู้สร้างถวาย
---โดยเฉพาะเมื่อสถานที่แห่งนั้นได้เป็นสถานที่เป็นเหตุปัจจัยแห่งการสร้างสาธุชน และเป็นเหตุให้บังเกิดพระอริยะบุคคล อันมีพระโสดาบันเป็นต้นตลอดจนถึงพระอรหันต์เป็นที่สุดแล้วนั้นผู้ที่มีส่วนร่วมในการซื้อที่ดินถวายในบวรพุทธศาสนาแห่งนั้นก็จักได้รับอานิสงส์ดังกล่าวด้วยยังจะเป็นบุญหนุนนำทำให้ผู้นั้นเจริญด้วยทางโลกและทางธรรมยิ่งๆขึ้นไปหากจักปราถนาพระนิพพานในปัจจุบันชาติหากผู้นั้นสามารถทำกำลังใจเต็มบริบูรณ์ทั้ง 10 ประการแล้วการหวังซึ่งพระนิพพานในปัจจุบันชาติก็มิใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้
---จึงจักได้ขอกล่าวอานิสงส์ส่วนหนึ่งอันจะบังเกิดจากการได้ถวายที่ดินเพื่อสร้างวัดหรือสถานที่สำหรับปฎิบัติธรรมให้สาธุชนทั้งหลายได้มาทำความดี ทั้งการทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาเพื่อเป็นกำลังใจแก่ผู้มีจิตศรัทธาทุกท่าน ดังได้เรียบเรียงมาดังนี้
---1.จักได้เกิดในถิ่นที่เป็นปฎิรูปเทส เหมาะแก่การทำความดี สร้างบุญบารมีให้ยิ่งๆขึ้นไป
---2.ทำให้ชีวิตมีความเจริญรุ่งเรือง ไม่มีตกต่ำ
---3.มีความรื่นรมย์ทั้งในโลกมนุษย์และเทวโลก
---4.ปรารถนาสิ่งใดที่เป็นบุญกุศล ย่อมสำเร็จได้โดยง่าย เป็นอัศจรรย์
---5.ได้รูปกายที่สวยงาม เพียบพร้อมบริบูรณ์ด้วย รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และคุณสมบัติ
---6.ได้เป็นเทวดาที่มีศักดิ์ยิ่งใหญ่ มีทิพยสมบัติที่รุ่งเรือง ตลอดจนมีทิพยวิมานอันใหญ่โต และมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล
---7.มีความสง่างามเป็นที่เคารพนับถือศัรทธาของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย
---8.มีพร้อมด้วยสุข 3 ประการ เข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้โดยง่ายและมีพระนิพพานเป็นที่ตั้งโดยไม่เนิ่นช้า
---9.จะได้เป็นใหญ่เป็นโต เป็นผู้ปกครองแผ่นดินหรือผู้บริหารประเทศเกิดในภายภาคหน้าจะมีที่ดินเป็นของตนเอง และเป็นที่ดินที่มีทำเลดีเป็นที่ต้องการของคนทั้งหลาย เราจะไม่ต้องเร่ร่อน ไม่อดอยาก
---10.ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนแผ่นดินนั้นก็จะเจริญงอกงามเหมาะแก่การประกอบสัมมาชีพตามปรารถนา เป็นทำเลดีค้าขายก้าวหน้าปลูกพืชให้ดอกให้ผลงอกงามกว่าที่ใดๆ
---11.เป็นกุศลหนุนนำทำให้เกิดการบรรเทากรรมให้กับผู้ที่ไม่มีที่ดินทำกิน ต้องเช่าเขา ถูกเขาโกงที่หรือเกิดมาชาตินี้ต้องมาอยู่ที่แออัดคับแคบ แย่งกันอยู่ แย่งกันใช้
(หมายเหตุ)---ทั้งนี้ยังมิได้แจกแจงผลบุญที่จะทำให้บังเกิดในสวรรค์ภูมิและสุขคติภูมิต่างๆนับจำนวนกัปป์ไม่ถ้วน ตลอดจนทิพย์สมบัติอีกมากมายซึ่งเป็นผลแห่ง ทั้ง สังฆทาน วิหารทาน และธรรมทานอันจะบังเกิดขึ้นจากการถวายที่ดินนี้เป็นเหตุอีกนานัปประการ
*อานิสงส์ในการซื้อที่ดินถวายวัด
---ส่งผลให้ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนแผ่นดินนั้นก็จะเจริญงอกงามด้วยเพราะอานิสงส์แห่งการถวายที่ดินให้แก่พุทธศาสนาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดภพชาติใดก็จะมีที่ดินเป็นของตัวเอง และเป็นที่ดินที่มีทำเลดีเป็นที่ต้องการของคนทั้งหลาย เราจะไม่ต้องเร่ร่อน ไม่อดอยากเมื่อจากโลกนี้ไปแล้วจะมีวิมานที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลแก้กรรมให้กับผู้ที่ไม่มีที่ดินทำกิน ต้องเช่าเขา ถูกเขาโกงที่หรือเกิดมาชาตินี้ต้องมาอยู่ที่แออัดคับแคบ แย่งกันอยู่ แย่งกันใช้
โดย: oustayutt เวลา: 2014-12-7 19:53
*การทำบุญด้วยการถวายที่ดิน
---ผู้ที่ทำบุญด้วยการถวายที่ดินแด่พระสงฆ์ นับว่าเป็นการสร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ จะได้เป็นใหญ่เป็นโต เป็นผู้ปกครองแผ่นดินหรือบริหารประเทศ ความที่เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่จึงมีคนพากันยกย่องสรรเสริญจำนวนมาก ในเรื่องของความมั่นคงทางกายและใจ ไม่มีปัญหาอะไรเลยเพราะเป็นผู้ที่หนักแน่น ทำการใดก็เจริญและได้รับการยอมรับอยู่ตลอด จะมีความสุขทั้งชีวิตเลยทีเดียว
*อานิสงส์สร้างกุฎีวิหาร
---ในกาลครั้งนั้น สมเด็จพระบรมศาสดา เสด็จประทับอยู่ ณลัฏฐิวันสวนตาลหนุ่ม พระองค์เที่ยวโปรดเวไนยสัตว์ให้ได้มรรค ๔ ผล ๔ในครั้งนั้นพระเจ้าพิมพิสารได้ครองราชสมบัติที่กรุงราชคฤห์ก็มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าแล้วก่อสร้างกุฎีวิหารในพระราชอุทยานเวฬุวัน สวนป่าไม้ไผ่ให้เป็นวัดแรกในพุทธศาสนาถวายแก่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าพร้อมกับภิกษุสงฆ์๕๐๐ รูป พร้อมกับถวายภัตตาหารเป็นสังฆทานสมเด็จพระบรมศาสดาพร้อมกับภิกษุสงฆ์เสร็จภัตตากิจแล้ว
---พระเจ้าพิมพิสารทูลถามว่า ภนฺเตข้าแต่พระองค์ผู้เจริญสาธุชนทั้งหลายมีใจศรัทธา ปสันนาการเลื่อมใสมาก่อสร้างกุฎีวิหารถวายเป็นสังฆทานนั้นจะได้ผลานิสงส์เป็นประการใด ขอให้พระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาให้ข้าพุทธเจ้าพร้อมบริษัททั้งหลายให้รู้แจ้งเห็นจริงด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้าองค์สมเด็จพระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาว่า ดูกรมหาบพิตรพระราชสมภารบุคคลผู้ใดมีจิตศรัทธาเลื่อมใสพระรัตนตรัยแล้วก่อสร้างกุฎีวิหารศาลาคูหาน้อยใหญ่ ถวายเป็นทาน จะประกอบด้วยผลอานิสงส์มาก เป็นอเนกประการนับได้ถึง๔๐ กัลป์
---พระองค์ทรงนำอดีตนิทานมาเทศนาต่อไปว่า อดีต ในอดีตกาลล่วงมาแล้วพระพุทธเจ้ายังมิได้อุบัติบังเกิดในโลกยังศูนย์เหล่าอยู่สิ้นกาลช้านานในระหว่างนั้นพระปัจเจกโพธิเจ้าทั้งหลายก็ได้บังเกิดตรัสรู้ในโลกนี้เมื่อพระปัจเจกโพธิเจ้าก็อาศัยในป่าหิมพานต์อยู่มาวันหนึ่งมีความปรารถนาเพื่อจะมาใกล้หมู่บ้านอันเป็นว่านแคว้นกาสิกราชมาอาศัยอยู่ในราวป่าแห่งหนึ่งแถบใกล้บ้านนั้นมีนายช้างคนหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านนั้น ก็ไปป่ากับลูกชายของตน เพื่อจะตัดไม้มาขายกินเลี้ยงชีพตามเคยก็แลเห็นพระปัจเจกโพธิเจ้านั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่พ่อลูกสองคนก็เข้าไปใกล้น้อมกายถวายนมัสการแล้วทูลถามว่าข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าจะไปไหน จึงมาอยู่ในสถานที่นี้
---พระปัจเจกโพธิจึงตอบว่า ดูกรอาวุโส บัดนี้จวนจะเข้าพรรษาแล้วอาตมาเที่ยวแสวงหากุฏีวิหาร ที่จะจำพรรษานายช่างก็อาราธนาให้อยู่จำพรรษาในที่นี้พระปัจเจกโพธิทรงรับด้วยการดุษณียภาพสองคนพ่อลูกก็ดีใจ จึงขออาราธนาพระผู้เป็นเจ้าเข้าไปสู่เรือนถวายบิณฑบาตทานแก่พระปัจเจกโพธิสองคนพ่อลูกก็เที่ยวตัดไม้แก่นมาทำสร้างกุฎีวิหารที่ริมสระโบกขรณีใหญ่ และทำที่จงกรมเสร็จแล้วขออาราธนาพระผู้เป็นเจ้าจงอยู่ให้เป็นสุขเถิดพระเจ้าข้า
---ครั้นพระปัจเจกโพธิได้รับนิมนต์แล้ว สองคนพ่อลูกตั้งปฏิธานความปรารถนาขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากทุกข์ยากไร้เข็ญใจและขอให้ข้าพเจ้าทั้งสองนี้ได้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพผู้ประเสริฐองค์หนึ่งเถิด พระปัจเจกโพธิก็รับอนุโมทนาซึ่งบุญนายช่างสองคนพ่อลูกอยู่จนสิ้นอายุขัยแล้วก็ทำกาลกริยาตายไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีวิมานทองเป็นที่รองรับ และเทพอัปสรแวดล้อมเป็นบริวารเสวยทิพย์สมบัติอยู่ในสวรรค์สิ้นกาลช้านานจุติจากสวรรค์นั้นแล้วก็ไปบังเกิดเป็นราชบุตรของพระเจ้าสุโรธิบรมกษัตริย์ในเมืองมิถิลามหานครทรงพระนามว่ามหาปนาทกุมาร ๆ เจริญวัยขึ้นได้เสวยราชสมบัติเป็นพระยาจักรพรรดิราช
---ด้วยอานิสงส์ที่ได้สร้างกุฎีวิหารถวายเป็นทานแก่พระปัจเจกโพธิครั้นตายจากชาติเป็นพระยามหาปนาทแล้วก็เวียนว่ายตายเกิดในมนุษย์สมบัติสวรรค์สมบัติแล้วก็มาเกิดเป็นเศรษฐีมีทรัพย์ ๘๐ โกฎิอยู่ในภัททิยนคร ชื่อว่า ภัททชิก็ได้ปราสาท ๓ หลัง อยู่ใน ๓ ฤดูครั้นเจริญวัยได้บวชในศาสนาสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ในศาสนาของตถาคตดังนี้แลส่วนเทพบุตรองค์พ่อนั้นยังเสวยทิพย์สมบัติอยู่ในสวรรค์ช้านานจนถึงศาสนาพระศรีอริยเมตไตรย์ลงมาตรัสสัพพัญญู เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในมนุษย์โลก ได้จุติลงมาปฏิสนธิในครรภ์พระอัครมเหสีสมเด็จพระเจ้ากรุงเกตุมวดี ทรงพระนามว่าสังขกุมารครั้นเจริญวัยแล้วก็ขึ้นครองราชย์สมบัติทรงพระนามว่าสมเด็จพระเจ้าสังขจักรบรมกษัตริย์ มีทวีปน้อยใหญ่เป็นบริวารพระองค์จึงได้สละราชสมบัติบ้านเมืองออกไปบรรพชา ในสำนักพระศรีอริยเมตไตรย์กับทั้งบริวาร ๑ โกฎิ ก็ได้ถึงอรหันต์ได้เป็นอัครสาวกเบื้องขวาทรงพระนามอโสกเถระ ก็ด้วยอานิสงส์ได้สร้างกุฎีให้เป็นทานนั้นแลอันเป็นบุญให้ถึงความสุข ๓ ประการ คือ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัตินิพพานสมบัติ
*ทิพย์สมบัติปรากฏทันทีที่ถวายวิหารทาน
---นันทิยะมาณพ เป็นอุบาสกที่มีความศรัทธาสูงมาก เป็นผู้ชอบให้ทานบำรุงภิกษุสงฆ์ เขาจัดอาสนะให้พระภิกษุได้ฉันที่เรือนทุกวันจัดให้มีคนคอยดูแลรับบาตร นิมนต์ให้นั่ง กรองน้ำดื่มให้ล้างบาตรให้เวลาภิกษุฉันเสร็จและยังให้ทานโดยหุงข้าวตั้งไว้ที่ประตูเรือนสำหรับคนยากไร้และคนเดินทางนันทิยะมาณพบริจาคทรัพย์สร้างศาลา ๔ หลัง ที่ อิสิปตนมหาวิหารและจัดตั้งเตียงตั่งถวายเป็นมหาทานแด่พระภิกษุสงฆ์ซึ่งทานทั้งหลายของนันทิยะมาณพก็บังเกิดผลเป็นทิพย์สมบัติในเทวโลกทันทีที่ถวายทานเสร็จ และตัวนันทิยะมาณพเองก็ยังมีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์
---วันหนึ่ง พระโมคคัลลานะเถระ ขึ้นไปชมดาวดึงส์เทวโลกเห็นวิมานผุดขึ้นใหม่หลังหนึ่ง เป็นวิมานรัตนะ ๗ ประการ กว้างยาว ๑๒ โยชน์สูง ๑๐๐ โยชน์ เอิกเกริกไปด้วยเทพธิดาพันหนึ่งพระโมคคัลลานะจึงถามเทพบุตรที่มาไหว้ว่า วิมานนี้เป็นวิมานของใครเทพบุตรเหล่านั้นตอบว่าเป็นวิมานของนันทิยะมาณพชาวพาราณสีมาณพนั้นสร้างศาลา ๔ หลังถวายสงฆ์ วิมานนี้จึงบังเกิดขึ้นสำหรับนันทิยะมาณพเมื่อเทพธิดาพากันมาไหว้พระโมคคัลลานะ พวกนางก็บอกพระเถระว่าพวกดิฉันบังเกิดในวิมานนี้เพื่อเป็นบริจาริกาของนันทิยะขอพระคุณเจ้าโปรดบอกแก่เขาว่าทิพย์สมบัติในเทวโลกน่าพอใจเป็นอย่างยิ่งขอให้มาณพอย่ามัวชักช้า รีบทุบหม้อดินแล้วมารับเอาภาชนะทองนี้เถิดพระโมคคัลลานะได้นำเรื่องนี้มากราบทูลพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าก็ทรงยืนยันว่าทิพย์สมบัตินั้นบังเกิดขึ้นตั้งแต่เจ้าของยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้จริงตามที่พระโมคคัลลานะได้ประจักษ์แล้ว.
*การทำบุญ
---ทำบุญอย่างไรให้ได้บุญมากต้องทำบุญถูกที่ ถูกเวลา ตรงกับความต้องการและสิ่งที่ทำบุญจะต้องเป็นประโยชน์สำหรับคนส่วนมากวัดเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเป็นศูนย์รวมจิตใจในการทำความดีการทำบุญเพื่อสร้างวัดจึงได้อานิสงส์เป็นอย่างมาก เพราะเงินที่ทำบุญมีส่วนให้วัดสำเร็จได้ถ้าไม่มีเราวัดคงจะสำเร็จไม่ได้ จากอรรถกถาขุททกและที่สำคัญเป็นการสืบทอดพุทธศาสนาให้คงอยู่ ไปอีกนานเท่านาน
*ผลแห่งการทาน จะสมบูรณ์ได้อย่างไร
---ใจความว่า พระศาสดาได้เสด็จประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร แห่งกรุงสาวัตถีมีมาณพคนหนึ่งเป็นช่างทองทำการขายทองรูปพรรณอยู่ในกรุงสาวัตถีนั้นจนมั่งมีโภค ทรัพย์สมบัติมากอยู่มาวันหนึ่งมาณพนั้นมาคิดว่าเราค้าขายทองก็มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ ทรัพย์ที่หามาได้โดยยากก็ไม่อยากจะให้สูญหายไปโดยเร็ว ตริตรองหาวิธีที่จะเก็บทรัพย์ให้ได้อยู่นานก็ไม่พบวิธีที่จะป้องกันความเสื่อมเสียของทรัพย์ได้เพราะว่าทรัพย์เป็นของกลางเป็นเครื่องอาศัยของคน ทุกคนสุดแล้วแต่ใครจะขยันหมั่นเพียรหามาได้เท่านั้น ถึงแม้จะหามาได้มากก็ดี
---ถ้าขาดปัญญาเป็น เครื่องรักษาทรัพย์แล้วทรัพย์นั้นก็ไม่คงทนอยู่ได้แม้จะอยู่ได้ตลอดไปตนเองก็มีชีวิตยืนนานที่จะบริโภคต่อไปไม่ได้เพราะความตายย่อมมาพรากตนให้หนีไปเสียจากทรัพย์เมื่อสิ้นชีพแล้วทรัพย์เหล่านั้น ก็ไม่ ติดตามตนไปปล่อยไว้ให้คนอื่นเขาใช้สอยอย่างสบายเห็นมีอยู่แต่อย่างเดียวเท่านั้น ที่จะติดตามตัวไป ในอนาคตคือฝังทรัพย์ไว้ในพุทธศาสนาเมื่อคิดเช่นนี้แล้วก็คิดดูว่าจะทำอะไร สิ่งอื่นๆ ก็มีผู้ทำไว้หมด แล้ว ก็เห็นแต่เวจกุฎีเท่านั้นที่ยังไม่มีใครทำเลย
---เมื่อคิดเช่นนี้แล้วจึงได้สร้างขึ้นเมื่อสำเร็จแล้วยังได้สร้างโรงไฟแลที่สำหรับอาบน้ำอีกด้วย เมื่อเสร็จสรรพดีแล้วก็ทำการฉลองอย่างมโหฬารและมอบถวายแก่ ภิกษุสงฆ์มีพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเป็นประธานแล้วตั้งปฏิธานความปรารถนาว่าข้าแต่ท่านผู้ เจริญ เมื่อข้าพเจ้ายังไม่ถึงพระนิพพานตราบใดขึ้นชื่อว่าความทุกข์อันเกิดแต่โรคต่าง ๆ อย่าได้มาแผ้วพานต่อข้าพเจ้าเลยอิมินาทาเนน ด้วยอำนาจผลทานนี้พระสารีบุตรก็อนุโมทนาว่าขอให้ความปรารถนาจงเป็นผลสำเร็จเถิดมาณพนั้นเป็นผู้ไม่ประมาทผลทานให้สมาทานศีลครั้นทำกาลกิริยาตายไปแล้วไปเกิดบนสวรรค์เทวโลกมีสมบัติวิมานทอง มีเทพอัปสรเป็นยศบริวาร อยู่มาวันหนึ่งภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนาถึงมาณพผู้นั้นอยู่พระศาสดาเสด็จมาถึงในที่นั้นแล้วตรัสถามว่าดูกรภิกษุทั้งหลายเธอ นั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบ
---พระองค์ทรงแสดงธรรมเทศนาแก่ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ว่าดูกรภิกษุทั้งหลายนรชนทั้งหลายเกิดมาได้พบพระพุทธเจ้าและในขณะที่พุทธศาสนายังประดิษฐานอยู่ จะเป็นผู้เศร้าโศกในอบายภูมิเป็นจำนวนมากมาณพที่เป็นช่างทองนี้ได้พบทั้งสองประการแล้วไม่เป็นผู้ประมาทได้สร้างเวจกุฎีถวายบูชาพระรัตนตรัยด้วยศรัทธาเลื่อมใสได้เสวยสุขในสุคติโกลสวรรค์ และเป็นปัจจัยให้ถึงซึ่งพระนิพพานแม้ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าทรงพระถามว่าตัณหังกรเราตถาคตก็เคยสร้างเวจกุฎีและที่สำหรับอาบแก่พระภิกษุสามเณรได้ตั้งสัตยธิษฐานว่าขอให้ข้าพระองค์ได้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์หนึ่ง ในอนาคตกาลด้วยผลแห่งอานิงส์ ที่ข้าพระองค์ได้สร้างเวจกุฎีให้เป็นสาธารณะทานนี้ตถาคตครั้นทำลายขันธ์แล้วก็ไปบังเกิดสวรรค์เสวยทิพย์สมบัติอยู่ชั้นดุสิตครั้นจุติจากชาตินั้นแล้วได้ท่องเที่ยงอยู่สังสารวัฎฎ์จนบารมีเต็มเปี่ยมแล้วจึงตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือตถาคตนี้เองก็สมดังคำปรารถนาในครากาลครั้งโน้นทุกประการ เมื่อจบพระธรรมเทศนาจบลงแล้วชนทั้งหลายเป็นอันมากได้ดวงตาเห็นธรรมต่างก็รื่นเริงบันเทิงใจในเวจกุฎี เป็นยิ่งนัก.
..............................................
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล
นิกาย วิมานวัตถุ เรื่องเรวดีวิมาน และอรรถกถาขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เรื่องนายนันทิยะ
รวบรวมโดย...แสงธรรม
ปรับปรุงครั้งที่ 5 วันที่ 24 กันยายน 2556
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) |
Powered by Discuz! X3.2 |