Baan Jompra
ชื่อกระทู้:
โพธิ์ สรรพคุณและประโยชน์ของต้นโพธิ์ 29 ข้อ !
[สั่งพิมพ์]
โดย:
oustayutt
เวลา:
2014-11-16 11:00
ชื่อกระทู้:
โพธิ์ สรรพคุณและประโยชน์ของต้นโพธิ์ 29 ข้อ !
โพธิ์ ชื่อวิทยาศาสตร์
Ficus religiosa Linn. จัดอยู่ในวงศ์
MORACEAE
[1]
โพธิ์
ยังมีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ อีกว่า สลี (ภาคเหนือ), สี สะหลี (ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ), โพ โพธิ โพศรีมหาโพ (ภาคกลาง), ย่อง (แม่ฮ่องสอน), ปู (เขมร), โพธิใบ เป็นต้น
[1],[2],[3]
ในปัจจุบันต้นโพธิ์เป็นไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดปราจีนบุรี
[4]
หมายเหตุ
: คำว่า “
โพธิ
” แต่เดิมแล้วมิได้เป็นชื่อต้นไม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง หากแต่เป็นชื่อเรียกของต้นไม้ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงประทับใต้ต้นไม้ต้นนั้นๆ และได้ตรัสรู้ ต้นโพธิ์ จึงมีความหมายว่า ต้นไม้แห่งการตรัสรู้ (โพธิ แปลว่า เป็นที่รู้หรือเป็นที่ตรัสรู้) และยังเป็นต้นไม้ที่ชาวพุทธ พราหมณ์ และฮินดูให้ความเคารพนับถือกันอย่างสูงอีกด้วย
[3]
ลักษณะของต้นโพธิ์
ต้นโพธิ์
มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ผลัดใบ แตกกิ่งก้านสาขาออกเป็นพุ่มตรงส่วนยอดของลำต้น ปลายกิ่งลู่ลง กิ่งอ่อนเกลี้ยง ตามกิ่งมีรากอากาศห้อยลงมาบ้าง ลำต้นมีความสูงประมาณ 20-30 เมตร ลำต้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5-3 เมตร และมีน้ำยางสีขาว เปลือกต้นเรียบเป็นสีน้ำตาลปนเทา โคนต้นเป็นพูพอนขนาดใหญ่ โดยจัดเป็นพรรณไม้ที่มีรูปทรงของลำต้นส่วนงามชนิดหนึ่ง ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด ใช้กิ่งชำ หรือใช้กระโดงจากราก แต่ส่วนมากแล้วจะเจริญเติบโตจากสัตว์นำพา เช่น นกมากินเมล็ดและไปถ่ายทิ้งไว้ ก็จะเกิดเป็นต้นใหม่ขึ้นมา เจริญเติบโตได้ในดินทุกชนิด ต้องการน้ำปานกลาง พบขึ้นทั่วไปทั้งในทวีเอเชีย ปากีสถาน จีนตอนใต้ และภูมิภาคอินโดจีน ในไทยพบในธรรมชาติน้อยมาก เข้าใจว่ากระจายพันธุ์มาจากต้นที่มีการนำมาปลูกเอง และพบขึ้นมากตามซากอาคาร และนิยมปลูกกันทั่วไปในวัดทุกภาคของประเทศไทย
[1],[2],[3]
ต้นโพธิ์
เป็นไม้ที่มีอายุยืนยาวมากชนิดหนึ่ง แต่เนื่องจากมีกิ่งก้านแยกสาขาออกจากลำต้นมาก จึงทำให้เกิดเชื้อราที่อาศัยความชุ่มชื้นจากน้ำฝนที่ขังอยู่ตามง่ามไม้ แผ่ขยายเข้าทำลายเนื้อไม้จนเป็นโพรง ซึ่งเรามักจะพบเห็นได้ในต้นโพธิ์ที่มีขนาดใหญ่และมีอายุมาก แต่ถ้าเป็นโพรงอย่างรุนแรงก็อาจทำให้ต้นโพธิ์ตายได้เหมือนกัน
[4]
ใบโพธิ์
ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปใจ ปลายใบแหลมและมีติ่งหรือหางยาว (ปลายติ่งบางใบมีความยาวมากกว่าครึ่งหนึ่งของใบ) โคนใบมนเว้าเข้าหาก้านใบเป็นรูปหัวใจ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 8-15 เซนติเมตร และยาวประมาณ 12-24 เซนติเมตร ผิวใบเกลี้ยงเป็นมัน เนื้อใบค่อนข้างเหนียว ใบมีลักษณะห้อยลง แผ่นใบเป็นสีเขียวนวลๆ ส่วนยอดอ่อนหรือใบอ่อนนั้นเป็นสีน้ำตาลแดง ก่อนใบจะร่วงหล่นจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ก้านใบยาวและอ่อน มีความยาวได้ประมาณ 8-12 เซนติเมตร มีหูใบยาวประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร หลุดร่วงได้ง่าย เมื่อลมพัดจะเห็นจะเห็นใบโพธิ์พลิ้วไปตามต้นใหญ่ดูสวยงาม ส่วนปลีที่หุ้มส่วนยอดอ่อนอ่อนสีครีมหรือสีงาช้างอมชมพู
[1],[2],[3]
ดอกโพธิ์
ออกดอกเป็นช่อกลมๆ รวมกันเป็นกระจุกภายในฐานรองดอกรูปคล้ายผล โดยจะออกที่ตอนปลายของกิ่ง ดอกย่อยเป็นแบบแยกเพศ ไม่มีก้าน มีใบประดับเล็กที่โคน ฐานดอกเป็นรูปทรงกลม ดอกย่อยมีขนาดเล็กและมีจำนวนมาก มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ดอกเป็นสีเหลืองนวล และจะเจริญไปเป็นผล
[2],[3]
ผลโพธิ์
ผลเป็นผลรวม ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลมขนาดเล็ก มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.8 เซนติเมตร ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูม่วง สีแดงคล้ำ หรือม่วงดำและร่วงหล่นลงมา
[1],[2]
หมายเหตุ
: ต้นโพธิ์ในสกุล Ficus จะมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ โพธิใบ (Ficus religiosa Linn.) ซึ่งกล่าวถึงในบทความนี้ และโพธิขี้นกหรือโพธิประสาท (Ficus rumphii Bl.) ข้อแตกต่างของโพธิทั้ง 2 ชนิดนี้คือ ใบและผลของใบโพธิขี้นกจะมีขนาดเล็กกว่าใบโพธิใบมาก ส่วนผลสุกของโพธิใบจะเป็นสีแดงคล้ำหรือสีม่วงดำ ในขณะที่ผลสุกของโพธิขี้นกจะเป็นสีดำ
[3]
สรรพคุณของต้นโพธิ์
ใบมีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ด้วยการนำใบแก่ 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ 3 แก้ว ใช้แบ่งดินก่อนอาหารเช้าและเย็น (ใบ)
[2]
ผลมีสรรพคุณเป็นยาแก้โรคหัวใจ (ผล)
[4]
ผลมีสรรพคุณเป็นยาช่วยขับพิษ (ผล)
[4]
เมล็ดใช้เป็นยาลดไข้ (เมล็ด)
[4]
ใบมีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้จับสั่นเรื้อรัง (ใบ)
[2]
เปลือกต้นใช้เป็นยาแก้เจ็บคอ (เปลือกต้น)
[4]
ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ (ผล)
[4]
น้ำจากเปลือกต้นใช้เป็นยาแก้ปวดฟัน รักษารากฟันเป็นหนอง (เปลือกต้น)
[2],[3],[4]
รากใช้เป็นยารักษาโรคเหงือก (ราก)
[4]
ใบใช้รักษาโรคคางทูม (ใบ)
[4]
ช่วยรักษาโรคหืด (ผล)
[4]
ใบใช้รักษาโรคท้องผูก ท้องร่วง (ใบ)
[4]
ลำต้น ใบมีสรรพคุณเป็นยาถ่าย (ลำต้น,ใบ)
[2]
ผลใช้รับประทานเป็นยาระบายอ่อนๆ และช่วยในการย่อยอาหาร (ผล)
[1],[2],[3],[4]
เมล็ดใช้เป็นยา มีสรรพคุณช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย และมีฤทธิ์เป็นยาระบายเช่นเดียวกับผล (เมล็ด)
[1],[2]
เมล็ดใช้เป็นยาแก้โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ (เมล็ด)
[4]
ยางใช้รักษาริดสีดวงทวาร (ยาง)
[4]
เปลือกต้นใช้ทำเป็นยาชงกินแก้โรคหนองใน (เปลือกต้น)
[4]
เปลือกต้นใช้เป็นยาล้างแผล ช่วยรักษาแผลเปื่อย (เปลือกต้น)
[2],[4]
เปลือกต้นมีสรรพคุณช่วยสมานบาดแผล ห้ามเลือด ทำให้หนองแห้ง (เปลือกต้น)
[2],[4]
ลำต้น ใบใช้เป็นยาบำบัดโรคผิวหนัง ส่วนเปลือกต้นใช้เป็นยาแก้โรคผิวหนัง (ลำต้น,ใบ,เปลือกต้น)
[2],[4]
ยางใช้เป็นยารักษาโรคหูด (ยาง)
[4]
ยางมีสรรพคุณเป็นยาแก้เท้าเป็นหน่อ แก้เท้าเป็นพยาธิ (ยาง)
[2]
ช่วยแก้กล้ามเนื้อช้ำบวม (เปลือกต้น)
[4]
รากใช้เป็นยารักษาโรคเก๊าท์ (ราก)
[4]
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของต้นโพธิ์
สารสำคัญที่พบ ได้แก่ amyrin, bergapten, bergaptol, campesterol, fucosterol,28-iso, n-hentriacontane, hexacosan-1-ol, lanosterol, lupen-3-one, lupeol, n-nonacosane, octacosan-1-ol, oleanolic acid methyl ester, pelargonidin-5, 7-dimethyl ether 3-O-α-L-rhamnoside, β-sitosterol, solanesol, stigmasterol
[2]
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา พบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งระดับน้ำตาลในเลือดสูง ลดระดับน้ำตาลในเลือด ต้านแบคทีเรีย ต้านเชื้อจุลชีพ ต้านเชื้อรา
[2]
เมื่อปี ค.ศ.1963 ที่ประเทศอินเดีย ได้ทำการทดลองใช้สารสกัดจากใบโพธิ์ ผลการทดลองพบว่าสารสกัดดังกล่าวสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดของสัตว์ทดลองได้
[2]
จากการทดสอบความเป็นพิษและรายงานผลการทดลอง ด้วยการฉีดสารสกัดด้วยเอทานอลและน้ำ ในอัตราส่วน 1:1 เข้าช่องท้องของหนูถีบจักรทดลอง พบว่าในขนาดสูงสุดที่หนูทนได้คือ 500 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม และพบว่ามีผลลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วย
[2]
ประโยชน์ของต้นโพธิ์
ใบอ่อนใช้รับประทานอาหารและยังใช้เลี้ยงหนอนไหมได้ด้วย นอกจากนี้ในใบโพธิ์ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสามารถนำมาใช้ในสูตรอาหารในการทำปศุสัตว์ได้ และยังพบว่าใบมีปริมาณของโปรตีนและธาตุหินปูนสูงอีกด้วย
[1],[2]
ผลอ่อนใช้รับประทานเป็นอาหารได้
[1]
ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับตามวัดวาอาราม และยังสามารถปลูกเลี้ยงไว้เป็นไม้แคระแกรนได้ หรือปลูกตามคบไม้หรือปลูกเกาะหิน
[1]
สำหรับชาวพุทธหรือฮินดู จะถือกันว่าต้นโพธิ์เป็นต้นไม้ที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะมีความเกี่ยวทางศาสนา ฉะนั้นจึงไม่มีใครนำมาปลูกไว้ตามบ้านเรือน อีกทั้งรากของต้นโพธิ์อาจทำให้บ้านหรือตัวอาคารเกิดความเสียหายได้ จึงมีปลูกกันมากก็ตามวัดวาอารามเท่านั้น
[1]
(แต่บางความเชื่อก็ระบุว่า หากปลูกต้นโพธิ์ไว้เป็นไม้ประจำบ้าน เชื่อว่าจะทำให้เกิดความร่มเย็น)
หมายเหตุ
: ในปัจจุบันต้นโพธิ์ที่สำคัญที่สุดจะอยู่ที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย แต่จะไม่ใช่ต้นเดิมเมื่อครั้งพุทธกาล แต่เป็นต้นที่แตกหน่อมาจากต้นเดิม เนื่องจากต้นโพธิ์ที่พระพุทธองค์เคนประทับ ได้ถูกผู้มีมิจฉาทิฏฐิและคนนอกศาสนาโค่นทำลายไปแล้ว แต่ด้วยบุญญาภินิหารเมื่อได้นำน้ำนมโคไปรดที่ราก จึงเกิดมีแขนงแตกขึ้นมาใหม่ และได้มีชีวิตอยู่มาอีกไม่นานก็ตายไปอีก แล้วกลับแตกหน่อขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งต้นที่เหลืออยู่ในปัจจุบันก็นับเป็นต้นที่ 4 แล้ว
[4]
References
หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, พิมพ์ครั้งที่ 5. (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “
โพธิ์ (โพ)
”. หน้า 575-576.
หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “
โพธิ์
”. หน้า 116-117.
ไม้พุทธประวัติ, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “
โพธิ
”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก:
www.rspg.or.th/plants_data/homklindokmai/budhabot/budbot.htm.
[27 ส.ค. 2014].
ลานธรรมจักร. “
โพธิญาณพฤกษา : ต้นโพธิ์ (ต้นอัสสัตถะ)
”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก:
www.dhammajak.net.
[27 ส.ค. 2014].
ภาพประกอบ
:
www.flickr.com
(by jakub303, Shubhada Nikharge, Dinesh Valke, Ahmad Fuad Morad, Christian Defferrard, Marc Aurel, david.petts4)
เรียบเรียงข้อมูลโดย
ฟรินน์.คอม
http://frynn.com/%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C/
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/)
Powered by Discuz! X3.2