Baan Jompra
ชื่อกระทู้:
หลวงพ่อชม พรหมโชติ วัดพุทไธสวรรค์ (อีกหนึ่งพระดี ศรีอโยธยา)
[สั่งพิมพ์]
โดย:
morntanti
เวลา:
2014-11-11 07:39
ชื่อกระทู้:
หลวงพ่อชม พรหมโชติ วัดพุทไธสวรรค์ (อีกหนึ่งพระดี ศรีอโยธยา)
เรื่องเล่าชาวสยาม
ได้แชร์
รูปภาพ
ของ
ตา ต้น
7 พฤศจิกายน
หลวงพ่อชม พรหมโชติ วัดพุทไธสวรรค์
(อีกหนึ่งพระดี ศรีอโยธยา)
หลวงพ่อชม มีกิตติคุณดีเด่นหลายอย่าง และได้ชื่อว่าเป็นพระนักพัฒนา ท่านทำนุบำรุงวัดวาอาราม มากมายที่ท่านไปอาศัยอยู่ แทบทุกวัดเจริญขึ้นอย่างทันตา
ถ้าจะพูดกันถึงด้านคาถาอาคม หลวงพ่อชม ก็เก่งและมีผู้ประจักษ์ในความขลังกันหลายคน ครั้งหนึ่ง มีลูกศิษย์ อ้อนวอนขอให้ท่าน หลวงพ่อชม แปลงร่างเป็นเสือให้ดูเป็นขวัญตา วันหนึ่งท่านอารมณ์ดี เห็นศิษย์มาพร้อมกันแล้ว จึงนั่งสมาธิชั่วอึดใจเดียว ร่างกายของท่านก็กลายเป็นเสือโคร่งลูกศิษย์ต่างแตกตื่นหนีด้วยความตกใจ เมื่อตั้งสติได้จึงเอาน้ำมนต์มาราดตัวเสือ กลับเป็น หลวงพ่อชม นั่งสมาธิตามเดิม
อีกเรื่องหนึ่งก็คือ นักล่าสัตว์ถือปืนผ่านวัดพบท่านกวาดลานวัด หลวงพ่อชม จึงถามว่า ยิงปืนแม่นไหม ชายผู้ถือปืนตอบว่า แม่นอยู่ หลวงพ่อชม ว่า ถ้ายิงไม่ถูกจะต้องเลิกฆ่าสัตว์เอาไหม ชายผู้นั้นรับปาก แล้ว หลวงพ่อชม จึงหยิบผ้ามาเสก เอาไปพาดกิ่งไม้ให้นักล่าสัตว์คนนั้นยิงในระยะใกล้ เสียงปืนดังแชะ แชะ ไม่ออก ครั้นหันปากกระบอกไปทิศอื่นออกเสียงดังโป้ง หลวงพ่อชม จึงอบรมสั่งสอนว่า การฆ่าสัตว์เป็นบาป ทำลายชีวิตเขา ชีวิตใครใครก็รัก …
หลวงพ่อชม มีพื้นเพหรือภูมิลำเนาเดิมอยู่ในภาคอีสาน ถือกำเนิดเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 6 ปีมะโรง ตรงกับวันที่ 26 พฤษภาคม 2411 โยมบิดาชื่อ นายดี โยมมารดาชื่อ นางนี กุลไพศาล ที่บ้าน อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี
จนกระทั่งอายุครบ 20 ปี (เมื่อประมาณ พ.ศ.2431) ท่านได้รับการอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดบ้านแดง ตำบลหน่อม อำเภออาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด โดยมี พระครูทา (สันนิษฐานว่าคงจะเป็นเจ้าคณะแขวงนั้น) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ และเป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายาว่า "พรหมโชติ " หลังจากที่ได้อุปสมบทแล้วก็ยังคงศึกษาเล่าเรียนอยู่ในสำนักของ พระอาจารย์โส วัดบ้านฟ้าเลื่อม เรื่อยมา
นอกเหนือจากการศึกษาเล่าเรียนทางด้าน คันถธุระ วิปัสสนาธุระ ซึ่งท่านได้รับความรู้มาจนพอสมควรแล้ว หลวงพ่อชม ยังสนใจในวิชาแพทย์แผนโบราณ สมุนไพร และ ไสยเวทต่างๆ เมื่ออุปสมบทได้แล้ว 9 พรรษา ทราบข่าวว่าทางภาคกลางมีพระอาจารย์ที่เชี่ยวชาญในวิชาเหล่านี้ จึงได้กราบลาพระอาจารย์โส ออกเดินทางจาก วัดบ้านฟ้าเลื่อม เดินธุดงค์ล่องลงมาทางใต้
หลวงพ่อชม ได้ศึกษาเล่าเรียนและพักจำพรรษาอยู่ในกรุงเทพฯเป็นเวลานานพอสมควร ต่อมาได้ยินข่าวว่า วัดธรรมิกราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นสำนักเรียนทั้งด้านปริยัติธรรม วิปัสสนากรรมฐาน และด้านคาถาอาคม ที่มีความรุ่งเรืองเป็นที่กล่าวขวัญกันทั่วไป จึงได้เดินทางขึ้นมาฝากตัวเข้าศึกษาเล่าเรียนในสำนักวัดนี้กับ หลวงพ่อฟัก ( พระครูธรรมิกาจารคุณ )
หลวงพ่อชม จำพรรษาและศึกษาเล่าเรียนอยู่ใน สำนักวัดธรรมิกราช กับ หลวงพ่อฟัก จนมั่นใจว่ามีวิชาความรู้พอสมควรแล้ว ได้กราบลา หลวงพ่อฟัก ย้ายไปจำพรรษาอยู่วัดต่างๆ ในเขตอยุธยาและท้องถิ่นใกล้เคียงอีกหลายวัด แต่การย้ายวัดของท่านต่อจากนี้ไปนั้น มิได้เป็นไปในลักษณะของการศึกษาเล่าเรียนหรือฝากตัวเป็นศิษย์ของใครอีกเลย คงย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสหรือเป็นไปในลักษณะก่อสร้างวัดขึ้นใหม่บ้าง บูรณะซ่อมแซมวัดที่ชำรุดทรุดโทรม เพราะขาดผู้นำและกำลังในดำเนินการบ้าง
ท่านมักจะพูดกับลูกศิษย์อยู่เสมอว่า ท่านไม่ชอบอยู่วัดไหนนาน ยิ่งเป็นวัดที่เจริญแล้วมั่นคงแล้วยิ่งไม่อยากอยู่ ท่านชอบแสดงฝีมือในการก่อสร้างบูรณะ โดยอาศัยวิชาความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาเป็นเครื่องช่วยค้ำจุนหนุนนำ ทำให้เกิดความสำเร็จอย่างรวดเร็วทุกวัด วิชาความรู้ทางด้านไสยเวท แพทย์แผนโบราณและคาถาอาคมต่างๆ
วัดที่ หลวงพ่อชม ย้ายไปจำพรรษาอยู่นั้น เสนาสนะที่สำคัญและเป็นหลักของวัด เช่น โบสถ์ และการเปรียญ ล้วนแล้วแต่สำเร็จลงด้วยฝีมือและวิชาความรู้ของท่านทั้งนั้น และยังมีอีกหลายวัดที่ถึงแม้ว่า หลวงพ่อชม จะมิได้ไปอยู่จำพรรษา แต่ได้รับการอาราธนาขอร้องให้ไปเป็นประธานในการก่อสร้างโบสถ์ (ซึ่งจะต้องใช้ปัจจัยและกำลังมากกว่าอย่างอื่น) จนสำเร็จเรียบร้อย แล้วรับเป็นประธานในการผูกพัทธสีมาให้ด้วย เช่น วัดสนามไชย วัดหนองโดน วัดโนนตาลเสี้ยน และ วัดตอยาง และอีกมากมาย
เมื่อท่านได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่ วัดใหม่บางกะจะ แล้ว ไม่นานนักทางฝ่ายราชการบ้านเมืองและทางคณะสงฆ์ อันมี พระยาโบราณราชธานินทร์ (พรเดชะคุปต์) สมุหเทศาภิบาล และ พระญาณไตรโลก ( ฉาย คงฺคสุวณฺโณ )เจ้าคณะจังหวัด ซึ่งได้ทราบกิตติศัพท์เกี่ยวกับวิชาความรู้และฝีมือในการก่อสร้างบูรณะวัดของ หลวงพ่อชม มานานแล้ว ได้ปรึกษาหารือเห็นพ้องต้องกันว่า สมควรอาราธนา หลวงพ่อชม ให้ย้ายมาครอง วัดพุทไธศวรรย์ ในตำแหน่งเจ้าอาวาส เพราะเห็นว่า วัดพุทไธศวรรย์ นี้เป็นโบราณสถานที่ใหญ่โต และทรงความสำคัญยิ่งยวด ในเมื่อเคยเป็นพระอารามหลวงมาแต่ก่อน ด้วยความประสงค์จะให้ หลวงพ่อชม บูรณปฏิสังขรณ์องค์พระปรางค์ พระพุทธรูปในวิหารคต (พระระเบียง) และโบสถ์
เมื่อ หลวงพ่อชม มาครอง วัดพุทไธศวรรย์ ในฐานะเจ้าอาวาส และเจ้าคณะหมวดรองแขวง ( รองเจ้าคณะอำเภอ ) เพียงชั่วระยะเวลาไม่นานนัก ชื่อเสียงเกียรติคุณของท่านได้ขจรขจายมากยิ่งกว่าเดิมหลายเท่านัก ทั้งนี้ เพราะผลงานในด้านการก่อสร้างซ่อมแซมวัด และเสนาสนะผลงานในด้านการปกครองบังคับบัญชาวัดหรือพระสงฆ์ในเขตที่รับผิดชอบ รวมทั้งผลงานในด้านสงเคราะห์พุทธบริษัทเกี่ยวกับการรักษาโรคภัยไข้เจ็บและวัตถุมงคลต่างๆ
หลวงพ่อชม มรณภาพวันที่ 21 มกราคม 2475 สิริอายุ 65 ปี พรรษาที่ 45
ที่มา:พระเกจิอยุธยา
โดย:
sritoy
เวลา:
2014-11-13 16:04
ขอบคุณครับ
โดย:
majoy
เวลา:
2014-11-15 23:51
กราบ กราบ กราบ
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/)
Powered by Discuz! X3.2