Baan Jompra
ชื่อกระทู้: อาจารย์วิรัช ลุปต์ซ่า ตอน เหรียญจักรเพชร ผู้ประพฤติธรรม ย่อมมีผู้คุ้มครอง [สั่งพิมพ์]
โดย: oustayutt เวลา: 2014-10-25 12:30
ชื่อกระทู้: อาจารย์วิรัช ลุปต์ซ่า ตอน เหรียญจักรเพชร ผู้ประพฤติธรรม ย่อมมีผู้คุ้มครอง
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=552673อรหันต์เป็นเลิศในทางพหูสูตร ก็ทรงเข้านิพพานแล้ว หากจะมีแต่พระสั่งสอนฝ่ายเดียว พระปฏิบัติก็ย่อมหมดไปอีก หากมีแต่พระปฏิบัติแต่ขาดพระเทศนา ศาสนาก็มีวันจะหมดตัวเข้า มีแต่พระเทศนาฝ่ายเดียว หากไม่มีอิทธิฤทธิ์ ประชาชนที่ยังไม่เห็นธรรมจะหันมาเคารพนับถือพระพุทธศาสนาอย่างไรได้ ธรรมกับโลกต้องเชื่อมโยงกัน เช่นเดียวพุทธกับพรหมย่อมเป็นของคู่กัน....
ผมเชื่อว่าเพื่อนๆ หลายๆ ท่านอาจจะเคยได้ยินเรื่องราวของ “เหรียญจักรเพชร” มาบ้างแล้ว เช่นอาจรู้จักในฐานะเหรียญยอดนิยมเหรียญหนึ่งของวงการพระเครื่อง หรือบางท่านอาจจะรู้จักจากการที่ตนเองได้มีโอกาสเป็นลูกศิษย์ของท่านผู้สร้าง คือ “อาจารย์วิรัช ลุปต์ซ่า” ในขณะที่อีกหลายท่านซึ่งเกิดไม่ทันยุคก็อาจจะรู้จักเหรียญนี้จากเรื่องของประสบการณ์ความขลังที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ฯลฯ
แต่ไม่ว่าเหรียญนี้จะเป็นอย่างไร สิ่งหนึ่งที่เพื่อนๆ ควรทราบไว้เบื้องต้นก็คือ กว่าจะก่อกำเนิดเหรียญจักรเพชรนี้ขึ้นมาได้ ท่านผู้สร้างต้องใช้เวลาและความเพียรมาเกือบจะตลอดชีวิตของท่านทีเดียว
เมื่อครั้งยังเด็ก ผมมีความฝันเกี่ยวกับเรื่องของการแขวนพระอยู่สองอย่าง หนึ่งคือพระที่แขวนจะต้องทำให้เราหนังเหนียว คงกระพันชาตรี สองคือเมื่อแขวนพระแล้วผีไม่สามารถหลอกได้ บ่อยครั้งครับที่ผมมักจะแอบหยิบหนังสือพระตามแผงขึ้นมาอ่านเพื่อตามหาประวัติของเหรียญจักรเพชร
เรื่องนี้มีที่มาที่ไปครับ
เริ่มจากเพื่อนที่เคารพต่างวัยแต่หัวใจชอบขลัง เล่าให้ฟังว่าตัวแกเป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์วิรัช ลุปต์ซ่า สมัยที่ยังวัยรุ่นแกแขวนเดี่ยวองค์เดียวคือ “เหรียญจักรเพชร” ดังนั้นเรื่องราวต่างๆ ในส่วนของประสบการณ์ที่แกเคยโดน จึงถูกนำมาถ่ายทอดสู่พวกผมอยู่บ่อยๆ เรียกได้ว่าถ้าพูดถึงเรื่องของเหรียญจักรเพชรหรือท่านอาจารย์วิรัชเป็นอันได้เรื่อง เพราะเพื่อนต่างวัยของผมจะขยันเล่าเป็นพิเศษ หากแต่เรื่องราวที่แกเล่าก็มักจะซ้ำๆ แบบเดิมๆ อยู่อย่างนั้นแหละครับ ซึ่งถ้ากล่าวในแง่ของความคิดแล้ว เราต้องยอมรับครับว่า
“คนเราถ้าเล่าเรื่องเดียวกันและเหมือนกันทุกครั้งอย่างไม่ผิดเพี้ยน แม้เวลาจะเดินทางผ่านไปนานขนาดไหน ก็ยังสามารถเล่าได้อย่างแม่นยำและมีความสุขทุกครั้งที่เอ่ยถึง ย่อมต้องเป็นความประทับใจที่ไม่ธรรมดาแน่”
เหรียญจักรเพชรเป็นเหรียญลักษณะทรงกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓ ซม. ครับ
ด้านหน้า มีพระรูป “องค์สมเด็จพระบรมครูท่านท้าวมหาพรหมธาดา” บรรจุชื่อที่ฐานพระรูปว่า “ท่านท้าวมหาพรหมธาดา” มีลูกประคำ ๑๐๘ ลูกล้อมรอบ มียันต์ตานกแมว ปิดท้ายอักขระขอมทั้งสองข้าง
ด้านหลัง มีจักรเก้าอยู่ตรงกลาง มีรัศมีรอบจักร มียันต์ตรีนิสิงเห อยู่ตรงกลางจักรและบนจักรมีอักษรไทยว่า “เหรียญจักรเพชร” บนขึ้นไปมี พระหมอุณาโลม รอบจักรมี คชสีห์ ราชสีห์และเสือ อยู่รอบจักร มีอักษรขอมโบราณ มีลูกประคำ ๑๐๘ ลูกล้อมรอบ
ใช่แล้วครับ เหรียญจักรเพชรคือเหรียญรูปพระพรหมธาดา
กล่าวกันว่าพระพรหมเป็นเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ถือกันว่าท่านเป็นพระผู้สร้างจักรวาลและทรงเป็นหนึ่งในตรีมูรติ อันประกอบไปด้วยเทพเจ้าสามองค์ คือ พระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ
ในคติของพระพุทธศาสนา เชื่อกันว่า พระพรหมเป็นชาวสวรรค์ชั้นสูงกว่าเทวดา สถิตย์อยู่ในสวรรค์ชั้นพรหม และเนื่องจากพระพรหมยังอยู่ในกามาวจรภพ จึงยังคงมีการเวียนว่ายตายเกิด
จะว่าไปแล้วในวงการพระเครื่องมีการสร้างเหรียญพระพรหมออกมาหลายสำนักครับ ความแตกต่างขององค์พระพรหมที่สร้างจะเป็นตัวบ่งบอกถึงที่มาที่ไปของสายวิชา
อย่างเช่นสายของ “ท่านอาจารย์ทองแถม ศาสตระรุจิ” จะเป็นวิชาพรหมศาสตร์ สำหรับเหรียญพระพรหมที่มีราคา(อาจจะ)แพงที่สุด ก็น่าจะเป็นเหรียญพระพรหมของ”ท่านอาจารย์เฮง ไพรวัลย์” ฆราวาสอาคมขลังชาวกรุงเก่า ซึ่งก็เป็นการสร้างในวิชาเฉพาะของท่าน
ในส่วนของ”ท่านอาจารย์วิรัช ลุปต์ซ่า” สร้างเป็นพระพรหมธาดา และทรงมีพระนามที่เรียกเฉพาะของศิษย์สายนี้ว่า “องค์สมเด็จพระบรมครูท่านท้าวมหาพรหมธาดา” ก็เป็นการสร้างในศาสตร์ของท่านเช่นกัน แต่ทั้งหมดที่ยกมานี้โปรดอย่าถามครับว่าสร้างและเสกกันด้วยวิชาอะไรบ้าง เพราะผมห่างเรื่องพวกนี้จริงๆ
เพื่อนต่างวัยของผม ยอมรับครับว่าแกเองก็จำไม่ได้ว่าความเจ็บจากเข็มสัก”จุดสุดท้าย”บนแผ่นหลังสิ้นสุดลงไปเมื่อใด
รู้แต่ว่าหลังจากวันที่ได้รับการสักจากท่านอาจารย์วิรัช วันคืนก็หมุนผ่านมาเกือบสี่สิบกว่าปีแล้ว เวลากว่าสี่ทศวรรษไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความศรัทธาที่แกเคยมีให้กับท่านอาจารย์วิรัชได้เลย แต่มันก็เป็นเวลาอันยาวนานพอที่จะเปลี่ยนชีวิตของแกจาก ฉก.นย.ประจำชายแดนบริเวณอำเภอโป่งน้ำร้อน ที่รอดชีวิตจากคมกระสุนของฝ่ายเขมร กลายมาเป็นนายทหารยศเกือบใหญ่โตที่เกษียรอายุราชการก่อนกำหนด
“ตอนนั้นมีคำสั่งให้ไปประจำชายแดนโป่งน้ำร้อน ได้ยินมาว่ามีอาจารย์เก่งมาจากกรุงเทพ มาพักอยู่ที่บ้านพักคนงานโรงงานไม้อัดศรีราชา เลยชวนพวกไปอีกสามคน แต่สักแค่สองคน อีกคนกลัวเจ็บ
ขึ้นไปสักได้ทีละคน เพราะบ้านพักมันแคบมาก แล้วก็บูชาเหรียญจักรเพชรมาคนละเหรียญ อาจารย์ไม่ให้มากกว่านั้น อาจารย์เณรสักเสร็จแล้วฟันเลย ก็รู้สึกเจ็บแต่ตอนที่เอาอะไรแหลมๆ มากระทุ้งสีข้างเจ็บมากกว่า”
ครับ โรงงานไม้อัดศรีราชา ในที่นี้หมายถึง บริษัท ศรีมหาราชา จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่แปรรูปไม้ด้วยเครื่องจักรแห่งแรกของภาคตะวันออก พื้นที่ของบริษัทค่อนข้างใหญ่และเปลี่ยว สมัยก่อนตอนเด็กๆ พวกผมมักจะนัดมาต่อยกันก็บริเวณนี้แหละครับ ปัจจุบัน บริษัท ศรีมหาราชา จำกัด ได้ย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว สถานที่แห่งนี้จึงกลายมาเป็นที่ตั้งของห้างสรรพสินค้าและอาคารพาณิชย์
ในส่วนของ “อาจารย์เณร” ที่แกพูดถึงคือ “สามเณรวิรัช ลุปต์ซ่า” (ขณะนั้น) สำหรับประวัติความเป็นมาของท่าน หนังสือของ”สถานค้นคว้าสัจจะธรรม ปุรุโษตตมะ” ได้บันทึกไว้อย่างละเอียดพอสมควรครับ
โดย: oustayutt เวลา: 2014-10-25 12:31
สามเณรวิรัช ลุปต์ซ่า (มหาฤษีนารท ราชโยคะ) เกิดเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๔๙๐ บ้านเดิมอยู่ย่านวัดดอนยานนาวา กรุงเทพ มีปู่เป็นชาวเยอรมันชื่อ เฟอร์โด ลุปต์ซ่า เคยเป็นครูสอนเกษตรในไทย ก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง คุณย่าชื่อ แช่ม สกุลเดิมคือ ศรีโยหะ เป็นบุตรคนที่ ๔ บิดาของท่านคือ “อาจารย์วินิจ ลุปต์ซ่า (มหาฤษีนาร โษตตะมะ)” หรือ “อาจารย์พ่อ”
ท่านอาจารย์วิรัช ลุปต์ซ่า มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้บวชเป็นสามเณรตั้งแต่อายุ ๗ ปี (พ.ศ.๒๔๙๗) หลังจากที่ท่านศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนาแล้ว ท่านก็ยังมีความสนใจและมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ในอันที่จะศึกษาทางด้านไสยศาสตร์ ท่านจึงได้ร่ำลาอาจารย์พ่อ เพื่อออกเสาะแสวงหาอาจารย์ที่ทรงคุณวิเศษเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาการให้ โดยออกเดินธุดงค์ไปจนถึงชายแดนไทยกับเขมร บริเวณเขาพระวิหาร ซึ่งดินแดนแถบประเทศเขมรนั้น อุดมไปด้วยครูบาอาจารย์ทางด้านไสยเวทย์เป็นจำนวนมาก
ณ บริเวณเขาพระวิหารนั่นเอง ท่านก็ได้พบกับ “อาจารย์ที” เป็นชาวเขมร ที่ศรีสะเกษ กำลังบำเพ็ญพรตอยู่บริเวณเขาพระวิหาร ท่านอาจารย์วิรัชก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์และได้ศึกษาวิชาพระเวทย์ วิชาไสยศาสตร์ต่างๆ จนแตกฉานช่ำชองเป็นอย่างดี
ในคืนวันหนึ่ง ณ บริเวณยอดเขาพระวิหาร ท่านอาจารย์วิรัชได้นั่งสมาธิ ซึ่งเมื่อจิตของท่านสงบ จิตของท่านก็ได้พบกับพระจิตของ “พระผู้สำเร็จองค์แรกของโลก” ซึ่งมีพระนามทางโลกว่า “องค์สมเด็จพระบรมครูท่านท้าวมหาพรหมธาดา” ส่วนพระนามทางธรรมนั้นเรียกว่า “จอมมหาเอกะ ปรมะ ปรมัตถะ มหาอัฐฐะ ทิฏฐะ” หรือเรียกว่า “องค์ธรรม” นั่นเอง
(องค์สมเด็จพระบรมครูท่านท้าวมหาพรหมธาดา)
พระผู้สำเร็จองค์นั้นได้ทรงสั่งสอน “ธรรมะแห่งธรรมชาติ” อันแท้จริงให้แก่ท่านอาจารย์วิรัช ลุปต์ซ่า และทรงดำหริให้ท่านอาจารย์วิรัช ลุปต์ซ่า นำไปเผยแพร่ อบรม สั่งสอน “ธรรมะแห่งธรรมชาติ” หรือ “ธรรมะของโลก” ให้แก่สาธุชนทั้งหลาย โดยพระองค์ผู้สำเร็จได้ทรงตรัสไว้เป็นปริศนาธรรมว่า
“พระองค์ย่อมแสดงให้ปรากฏซึ่ง ธรรมะแห่งธรรมชาติมาแล้วทุกยุคทุกสมัย เมื่อใดอธรรมรุ่งเรือง ธรรมะย่อมปรากฏ เพื่อปราบอธรรม”
นับตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๐๒ (อายุ ๑๒ ปี) หลังจากท่านอาจารย์วิรัช ลุปต์ซ่า ได้ศึกษาพิจารณา “ธรรมะแห่งธรรมชาติ” และได้สำเร็จ “ฌาน” และ “ญาณ” อันเป็นจริงโดยธรรมชาติจนแตกฉานดีแล้ว ก็ได้กลับมาจำพรรษาอยู่ ณ วัดดอนยานนาวา กรุงเทพฯ
เล่ากันว่าการกลับมาของท่านอาจารย์วิรัช ในครั้งนี้
เป็นการปรากฏตัวของความหวังใหม่
เป็นความหวังที่ค่อนข้างถูกใจผู้คนทั่วไป
เนื่องจากท่านอาจารย์วิรัช ได้ใช้วิชาอาคมที่เล่าเรียนมา ช่วยเหลือแก่สาธุชนทั่วไป โดยไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ทั้งลง ทั้งเสก ทั้งเป่า หลายคนที่รอดตายจากอุบัติเหตุ และหลายคนที่มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นจากการที่ท่านอาจารย์วิรัชได้ช่วยขจัดปัดเป่าให้เรื่องร้ายกลายเป็นดี ว่ากันว่าในช่วงเวลานั้นชื่อเสียงของท่านอาจารย์วิรัช ลุปต์ซ่า โด่งดังเอามากๆ เลยทีเดียว
จะว่าไปแล้วในสังคมของไสยศาสตร์ ท่านอาจารย์วิรัช ก็เป็นอีกท่านหนึ่งครับ ที่สามารถนำเอาเรื่องของไสยศาสตร์มาแสดงให้ผู้คนได้เห็นเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ท่านยังได้ทำการสั่งสอนและเผยแพร่ “องค์สมเด็จพระบรมครูท่านท้าวมหาพรหมธาดา” หรือ “องค์ธรรม” อันเป็น “หัวใจธรรมะ” หรือ “ธรรมแห่งธรรมชาติอันแท้จริง” ซึ่งมีนัยยะคือ ความจริงที่นำไปสู่ความสงบสุขอย่างแท้จริงของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในโลกนี้
ในปีพุทธศักราช ๒๕๐๘ (อายุ ๑๘ ปี) ท่านอาจารย์สามเณรวิรัช ลุปต์ซ่า ได้สร้างอิทธิวัตถุ คือ “เหรียญจักรเพชร” เพื่อเผยแพร่และเป็นตัวแทนของ “องค์สมเด็จพระบรมครูท่านท้าวมหาพรหมธาดา” หรือ “องค์ธรรม” ซึ่ง “องค์สมเด็จพระบรมครูท่านท้าวมหาพรหมธาดา” ท่านได้ทรงเมตตาประทานพร “เหรียญจักรเพชร” ไว้ว่า
“ผู้ใดนำเหรียญจักรเพชรไปสักการะบูชา ผู้นั้นย่อมมีพระพรอันบริสุทธิ์และสูงสุดของบิดา มารดา ติดตัวอยู่เสมอไป”
(อุโบสถวัดดอน ยานนาวา สถานที่ประกอบพิธีปลุกเสก ครั้งที่ ๓)
เป็นความจริงครับ กับคำกล่าวที่ว่าเมื่อพ่อแม่ให้พรเรา พรนั้นแหละประเสริฐสุด ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าพรใดๆ ซึ่งพรอันนี้เป็นเช่นพรของพระพรหม ยิ่งใหญ่และมหาศาล ดังนั้นเหรียญจักรเพชรจึงมีสถานะเป็นสื่อตัวแทนถึงความรัก ความเมตตา ความกรุณาและคุณธรรม ที่พ่อแม่มีให้กับลูก ผู้ใดบูชาไว้กับตัวก็เหมือนได้รับพรอยู่ตลอดเวลาและถ้าหากผู้ใดสามารถประสานจิตได้อย่างมั่นคงแล้ว ไม่รับรองผลว่าจะดีขึ้นขนาดไหนแต่ยืนยันว่าชีวิตไม่ตกชั้นลงแน่นอน เรื่องเหล่านี้มีประสบการณ์ชัดเจนครับ
ในส่วนของพิธีกรรมการปลุกเสกเหรียญจักรเพชร จัดว่าอลังการมากครับเนื่องจากได้มีการประกอบพิธีปลุกเสกตามหลักของพระพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์ ซึ่งเหตุการณ์และรายละเอียดของพิธีกรรม ได้มีการบันทึกไว้ในหนังสือของ”สถานค้นคว้าสัจจะธรรม ปุรุโษตตมะ” ดังนี้ครับ
ต่อมาเมื่อลุถึงวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๐๗ บรรดาศิษยานุศิษย์ของท่านอาจารย์วิรัช ลุปต์ซ่า โดยการนำของคุณวิลาส โอสถานนท์ ได้ทูลขอต่อ “องค์สมเด็จพระบรมครูท่านท้าวมหาพรหมธาดา” เพื่อสร้างเกจิวัตถุแทนพระองค์บรมครู เป็นรูปเหรียญ เพื่อให้ศิษยานุศิษย์นำไปสักการะบูชา และนำรายได้มาเป็นทุนสร้าง พระอุโบสถ วัดนาเหล่าน้ำ อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา พิธีกรรมในการปลุกเสกได้ถูกกำหนดขึ้นเป็น ๓ วาระ ครับ
ครั้งที่ ๑ ทำพิธีปลุกเสก ณ บ้านคุณไปล่ อัญชันบุตร แขวงคลองต้นไทร เขตบางลำภูล่าง กรุงเทพฯ ได้อัญเชิญ “องค์สมเด็จพระบรมครูท่านท้าวมหาพรหมธาดา” มาปลุกเสกเหรียญจักรเพชร ด้วยพระองค์เอง เมื่อวันศุกร์ที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๐๘
ครั้งที่ ๒ ทำพิธีปลุกเสก ในงานพิธีบูชาครูธรรมของ”องค์สมเด็จพระบรมครูท่านท้าวมหาพรหมธาดา” ประจำปีที่ ๔ ที่ท่านอาจารย์วิรัช ลุปต์ซ่า ได้เป็นผู้เริ่มพิธีบูชาครูธรรม ตรงกับวันพฤหัสบดี เดือน ๓ ขึ้น ๙ ค่ำ,๑๐ ค่ำ และ ๑๑ ค่ำ ณ บ้านพักชายทะเลของคุณวิลาส โอสถานนท์ ได้อัญเชิญ “องค์สมเด็จพระบรมครูท่านท้าวมหาพรหมธาดา” มาปลุกเสกเหรียญจักรเพชรด้วยพระองค์เอง ตลอด ๓ วัน
ครั้งที่ ๓ ทำพิธีปลุกเสก เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๐๘ ณ อุโบสถ วัดดอน ยานนาวา กรุงเทพฯ โดยมีเกจิอาจารย์ฝ่ายพุทธ ได้แก่ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี หลวงพ่อคล้าย วัดสวนขัน หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง หลวงพ่อเนียม ศรีราชา เป็นต้น
สำหรับเกจิฝ่ายพราหมณ์ ได้แก่ พราหมณ์ผุสดีและคณะจากวัดพระศรีอุมาเทวี สีลม ในส่วนของพระฤษีและโยคี ที่มาร่วมปลุกเสกได้แก่ ท่านมหาฤษีสัตยนารายณ์ แห่งหิมาลัย ท่านมหาฤษีโกซาย แห่งอุตรประเทศ ท่านฤษีหลวงจีน แห่งเขาวงพระจันทร์ ได้ร่วมกันปลุกเสกเหรียญจักรเพชรตลอดคืน
สุดท้าย ท่านอาจารย์วิรัช ลุปต์ซ่า ได้ทรงอัญเชิญ “องค์สมเด็จพระบรมครูท่านท้าวมหาพรหมธาดา” มาจากพรหมโลก ทรงมาประจุอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์ และเสด็จลงเจิมเหรียญจักรเพชรทุกเหรียญ เมื่อเวลา ๕.๓๐ น. ตรงกับวันรุ่งแจ้งแสงทองของวันใหม่
โดย: oustayutt เวลา: 2014-10-25 12:31
ในส่วนของประสบการณ์ของเหรียญจักรเพชร ต้องบอกว่าเชื่อถือได้เลยครับ โดยเฉพาะเรื่องหนังเหนียวคงกระพันต้องถือเป็นที่สุด เพราะโดนกันมาเยอะ มีคนไปเจอประสบการณ์ในเรื่องแบบนี้ไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร อย่างเช่นเพื่อนร่วมอุดมคติสูงวัยของผมท่านนี้ แกบอกว่าถ้าเป็นลูกปืนเคยโดนมาบ้างแค่เจ็บๆ แต่ถ้าแบบจุกๆ ก็ตอนโดยสะเก็ดระเบิด (ถูกล้อมในขณะลาดตะเวน-โป่งน้ำร้อน จันทบุรี) ทุกวันนี้แกยังมีอาการหูดับบ้างเป็นครั้งคราว
ผมแกล้งสัพยอกว่า สาเหตุที่หนังเหนียวมีหลายเหตุผลที่รองรับ
ซึ่งแกก็ยอมรับและก็เชื่อว่ามีหลายเหตุผล แต่ถ้าจะต้องคิดและเลือกระหว่างคำว่า “เหตุผลกับศรัทธา” ละก็ แกขอเลือก”ศรัทธา”ดีกว่า เพราะที่แกมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้ มันก็เพราะแกมีศรัทธาในเหรียญจักรเพชรและในตัวท่านอาจารย์วิรัช
แกว่า “เหตุผลไม่ได้ช่วยให้แกหนังเหนียว”
ผมมานั่งคิดดู ก็ต้องว่าตามนั้นครับเพราะเมื่อถามใจตัวเอง ผมว่าเอาเข้าจริงๆ ผมก็ต้องเลือกอย่างที่แกเลือกครับ...เหตุผลไม่ได้ช่วยให้หนังเหนียว
ในปีพุทธศักราช ๒๕๐๙ (อายุ ๑๙ ปี) ก่อนที่ท่านอาจารย์วิรัช จะถึงแก่กรรม ๒๕ วัน อาจารย์สามเณรวิรัช ลุปต์ซ่า(ขณะนั้น)ได้สึกจากออกมาเป็นฆราวาส และก่อนที่ท่านจะละสังขาร ๗ วัน ท่านได้อัญเชิญ “องค์สมเด็จพระบรมครูท่านท้าวมหาพรหมธาดา” มาครอบวิชาให้คุณพ่อของท่านคือ “อาจารย์วินิจ ลุปต์ซ่า” โดยองค์สมเด็จพระบรมครูท่านห้าวมหาพรหมธาดา ท่านได้ทรงมอบหมายหน้าที่การเผยแพร่ธรรมะให้แก่ “ท่านอาจารย์วินิจ ลุปต์ซ่า(อาจารย์พ่อ)” เพื่อให้เป็นผู้สืบทอดทำหน้าที่ ทำนุ บำรุง รักษา “องค์ธรรม” ต่อไป
(ท่านอาจารย์วินิจ ลุปต์ซ่า-อาจารยพ่อ)
วันที่ตั้งสวดพระอภิธรรมท่านอาจารย์วิรัช ลุปต์ซ่า ณ วัดมงกุฏกษัตริยาราม พระวิญญาณของท่านอาจารย์วิรัช ลุปต์ซ่า ได้มาประทับร่างน้องสาวของท่านคือ คุณนงลักษณ์ ลุปต์ซ่า และประกาศว่าจะอยู่ใกล้ชิดกับศิษย์ทั้งหลาย ใครมีปัญหาเดือดร้อนอะไร ให้อัญเชิญมาได้ โดยให้คุณนงลักษณ์ ลุปต์ซ่า เป็นร่างประทับ หลังจากนั้นก็ได้มีการอัญเชิญท่านอาจารย์วิรัช ลุปต์ซ่า มาประทับร่างน้องสาวของท่าน คือ คุณนงลักษณ์ ลุปต์ซ่า เป็นต้นมา
ครับ-วันเวลาได้ผ่านพ้นไปเป็นเดือน เป็นปี และเป็นสิบปี นับตั้งแต่วันที่ผมเข้ามา “สถานค้นคว้าสัจจะธรรม ปุรุโฆตตมะ” ครั้งสุดท้าย...ท่านอาจารย์วินิจ(อาจารย์พ่อ)และเรือนไทยภายในสถานที่แห่งนี้ นอกจากจะเป็นสิ่งหนึ่งในความทรงจำของเรื่องราวที่ผมเคยประสบแล้ว ยังคงเป็นส่วนหนึ่งในความตั้งใจของเพื่อนร่วมอุดมคติสูงวัยทั้งสามท่าน ที่ต้องการจะมาเยือน
เพียงแต่ ณ ตอนนี้ ท่านอาจารย์วินิจ(อาจารย์พ่อ) ท่านถึงแก่กรรมไปเมื่อ ๑๔ มีนาคม ๒๕๔๕ แล้วครับ คำพูดที่เคยได้ยิน “อั๊ว” – “ลื้อ” หรือภาพร่างของพระพรหมที่ท่านชอบยกมาหยิบมาให้ดู พร้อมการอธิบายความว่า นี่คือ “สันโดษ สัจจะ เมตตา กรุณา” อันเป็นธรรมะ ๔ ประการ ในการก้าวเข้าให้ถึงซึ่งองค์สมเด็จพระบรมครูท่านท้าวมหาพรหมธาดา ที่เป็นความปรารถนาสูงสุดของศิษยานุศิษย์ ยังคงถูกบันทึกอยู่ในประมวลความจำ ซึ่งคงไม่ใช่ของผมคนเดียวแน่นอน
ว่ากันว่าเมื่อเป็นลูกศิษย์และลงของจากสำนักแห่งนี้ ก็ต้องเป็นลูกศิษย์กันไปตลอดชีวิต ห้ามมิให้ไปลงของที่สำนักอื่นอีก ถึงเพื่อนสูงวัยของผมทั้งสามท่านนี้จะผ่านวันเวลามาโชกโชนขนาดไหน ก็ยังไม่เคยไปลงของที่ไหนอีกเลย ซึ่งผมเชื่อว่าก็ยังมีอีกหลายท่านที่ยึดมั่นกฏเหล็กข้อนี้
เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา สถานค้นคว้าสัจจะธรรม ปุรุโฆตตมะ ได้จัดให้มีพิธีไหว้ครู ผมได้พาเพื่อนสูงวัยทั้งสามท่านนี้ไปร่วมงาน สังเกตุว่าทุกคนมีความตื่นเต้นและมีดวงตาที่เปล่งประกายแห่งความสุขเหมือนได้เจอเพื่อนเก่า
“ไม่เคยมาที่นี่เลย เจออาจารย์เณร อาจารย์พ่อ วันนั้นแล้วก็ไม่เคยเจออีกเลย”
ชายสูงวัยทั้งสามท่านพูดกับผมแบบเดียวกัน หลังจากที่ขึ้นไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนเรือนไทยภายในสถานค้นคว้าสัจจะธรรม ปุรุโฆตตมะ
ครับ การที่โลกของเราหมุนไปทุกวัน นั่นย่อมหมายความว่าโลกก็ต้องเปลี่ยนไป โลกเปลี่ยน สภาพแวดล้อมเปลี่ยน
เช่นเดียวกันครับถึงทุกวันนี้ศาสตร์ลึกลับในเรื่องของ “องค์สมเด็จพระบรมครูท่านท้าวมหาพรหมธาดา” จะไม่ได้โด่งดังเหมือนสมัยที่อาจารย์วิรัช ลุปต์ซ่ายังมีชีวิตอยู่ แต่ศาสตร์นี้ก็ยังคงมีการสืบทอดวิชาอย่างสอดคล้องไปตามสภาพกาล
ไม่แน่ครับนับจากวันนี้กับสภาพของสังคมที่มีปริมาณของอธรรมสูงกว่าธรรมะ ศาสตร์อันมหัศจรรย์แห่ง “องค์ธรรม” อาจจะกลับมาทวงความรุ่งเรือง ดังปริศนาธรรมที่ว่า
“พระองค์ย่อมแสดงให้ปรากฏซึ่ง ธรรมะแห่งธรรมชาติ มาแล้วทุกยุคทุกสมัย เมื่อใดอธรรมรุ่งเรือง ธรรมะย่อมปรากฏ เพื่อปราบอธรรม”
เหรียญจักรเพชร
“ผู้ประพฤติธรรม ย่อมมีผู้คุ้มครอง.....”
สวัสดีครับ...
ขอขอบคุณ เอกสารอ้างอิง หนังสือบันทึกประวัติฯ ของสถานค้นคว้าสัจจะธรรม ปุรุโฆตตมะ ภาพเหรียญจักรเพชร จากเวปไซด์ต่างๆ คุณสมบูรณ์ เนื่องจำนงค์ ที่ให้ยืมเอกสารมาอ้างอิง คุณพรชนก สุขพงษ์ไทย สำหรับภาพถ่าย เพื่อนต่อกับคำแนะนำและคุณสมบูรณ์ ร้านนายฮ้อ สระบุรี สำหรับกำลังใจที่มีให้เสมอครับ
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) |
Powered by Discuz! X3.2 |