Baan Jompra
ชื่อกระทู้: ราหูอมจันทร์ [สั่งพิมพ์]
โดย: oustayutt เวลา: 2014-10-11 14:49
ชื่อกระทู้: ราหูอมจันทร์
รูปhttp://www.thaprachan.com/mol7
[attach]9133[/attach][attach]9134[/attach]
ราหูอมจันทร์ ดีทางเมตตามหานิยม แคล้วคลาด มหาอุด และป้องกันภูตผีปีศาจ
ในตำราทักษามหาพยากรณ์นั้นกล่าวว่า เมื่อบุคคลใดก็ตามถูกพระราหูเสวยอายุแล้ว ในช่วงเวลานั้นจะเกิดความรุ่มร้อนมีเคาระห์ต่าง ๆ เพราะพระหูนั้นเป็นความมืด เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว แม้ยามที่พระราหูจะจรพ้นจากการเสวยอายุไปก็ยังแผลงฤทธิ์ถีบเท้าจากอีกด้วยจึงกำหนดเอาไว้ว่าเมื่อพระราหูเสวยอายุจักต้องทำพิธีต้อนรับพระราหู หาไม่จะเดือนร้อนจนไม่อาจประคองตัวได้ และสิ่งหนึ่งที่โบราณใช้บรรเทาฤทธิ์พระราหูก็คือกะลาตาเดียว นั่นเอง
พระราหูเป็นเทพที่อมตะหรือไม่ตายเหตุเพราะตอนที่เทพยดาทำพิธีกวนน้ำอมฤตในเกษียรสมุทรนั้น พระราหูซึ่งเป็นอสูรได้แฝงกายเร้นอยู่ในกลุ่มเมฆ ครั้นเมื่อน้ำอมฤตขึ้นจากสะดือทะเลแล้วพระราหูก็ลอบเข้าไปกินน้ำอมฤตพอกลืนล่วงลงลำคอไปพระนารายณ์ก็เล็งฌานเห็นจึงขว้างจักรกลดไปตัดร่างพระราหูขาดกลางตัว น้ำอมฤตแล่นไป ถึงเอวพอดี ส่วนบนจึงกลายเป็นอมตะไม่รู้จักตายส่วนท่อนล่างนั้นพินาศไปในเกษียรสมุทร
โบราณนั้นท่านถือว่าพระราหูจะปรากฎในคราวเกิดจันทรุปราคา เพราะราหูจะกลืนพระจันทร์เอาไว้ทั้งดวงบ้างบางส่วนบ้างต้องตีเกราะเคาะไม้หรือยิงปืนไล่กันเอิกเกริกส่วนวิธีป้องกันพระราหูนั้นก็คือการใช้กะลาจากมะพร้าวตาเดียว หรือไม่มีตามาทำเป็นเครื่องรางเอาไว้จะบรรเทาโทษภัยจากพระราหูไปได้ กะลาตาเดียวนั้นหายาก ในมะพร้าว 1,000 ลูกจะมีก็เพียงแค่ลูกเดียวหรือสองลูก เมื่อได้มาถือว่าเป็นโชคของผู้นั้น
การสร้างเครื่องรางจากกะลาตาเดียวนั้นเป็นศิลปะอย่างหนึ่งของภาคอีสาน ซึ่งถ่ายทอดกันมาในหมู่คนอีสานและพระอีสานไม่ว่าจะอพยพไปอยู่ที่ใดวัฒนธรรมและศิลปกรรมก็จะติดไปด้วยดังเช่น รกราก บรรพบุรุษของ หลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง นครปฐมที่ท่านอพยพไปจากภาคอีสานก็มีตำรานี้ติดไปด้วย และบิดาของหลวงพ่อน้อยท่านก็เป็นอาจารย์ฆราวาสที่เป็นหนึ่งในด้านไสยศาสตร์และตำรา ตลอดจนการถ่ายทอดเคล็ดลับจึงผ่านจากโยมบิดาของหลวงพ่อให้กับหลวงพ่อน้อยจนหมดสิ้น
หลวงพ่อน้อยนั้นท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดศีรษะทองในสมัยที่ท่านเจ้าคุณพระพุทธวิถีนายก (หลวงปู่บุญ) เป็นเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ท่านได้สร้างกะลาแกะเอาไว้แจกแก่ลูกหลานของท่านป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ และทหารเกณฑ์ที่ไปจาก ต.ศีรษะทองนั้นมีหนังดีกันทุกคน เป็นที่ระย่อของบรรดาผู้เป็นศัตรู หลวงพ่อน้อยกำหนดวิธีการสร้างของท่านเป็นขึ้นตอนดังนี้
กะลามะพร้ามตาเดียว เมื่อได้มาท่านจะให้ช่างเลื่อยแบ่งโกลนเป็นรูปต่าง ๆ เช่น รูปเสมา รูปกลม รูปไข่มีหูในตัวก็มี ไม่มีหูก็มี ไม่มีหูก็มี หรือบางครั้งก็ทำทั้งลูกเลย กะลาจะต้องเป้นกะลาแก่สีดำอมน้ำตาลและเนื้อแกร่ง จากนั้นท่านจะส่งไปแกะ ช่างที่แกะนั้นเป็นนักโทษในเรือนจำ จ.นครปฐม เพราะพัศดีเป็นศิษย์ของท่านหลายคนและเมื่อได้กะลาแกะมาแล้ว ท่านก็จะปลุกเสกของท่านอย่างดีแต่ยังไม่ลงอักขระเรียกว่าเสกหนุนไปก่อนจนกว่าเกิดสุริยุปราคาหรือจันทรุปราคา
หลวงพ่อจะเอากะลาที่ปลุกเสกแล้วมานั่งอยู่ที่หน้าชานกุฏิของท่านแล้วแหงนหน้าดูพระอาทิตย์หรือพระจันทร์ที่เข้าจับคราส เมื่อเงาดำเริ่มจับท่านก็จะคว้าเหล้กจารมาลงอักขระลงไปอย่างเร่งรีบ เพราะระยะการจักและการคลายอันเป็นอุดมฤกษ์นั้นมีน้อยต้องแข่งกับเวลาเพราะเมื่อคราสคลายออกหมดแล้วก้สิ้นสุดกฤษ์การลงนั้นถ้าเป็นสุริยุปราคาท่านจะลงจันทรประภา
เมื่อลงอักขระแล้วจึงเอาปลุกเสกอีก แล้วจึงจะแจกจ่ายให้ไปคุ้มครองตัวเป็นราย ๆ ไป ตามแต่ท่านจะเห็นสมควร และเมื่อถึงตอนนี้ผู้เขียนจะขอพูดถึงความเป็นมาของยันต์สุริยประภา – จันทรประภาซึ่งถิ่นกำเนิดเป็นของทางฝั่งลาว (เวียงจันทร์)
ยันต์สุริยประภา – จันทรประภา
สิทธิการิยะ - จะกล่าวถึงยันต์สุริยประภา ทั้งสองยันต์นี้ เป็นพระยายันต์ที่ประเสริฐกว่ายันต์อื่นใดในโลกถ้าบุคคลผู้ใดปรารถนาสมบัติ พัสดุเงินทอง แก้วแหวนทุกประการ จงให้สร้างพระยันต์นี้ขึ้นมาบูชาเถิด มีตำนานกล่าวมาว่า ในกาลภายภาคหน้าจักมีทุกข์ภัยเวทนาหาสมบัติบ่มิได้ จึงใคร่จะช่วยทุกข์แห่งมนุษย์ทั้งหลาย ฤๅษีตนหนึ่งจึงสร้างพระยันต์ขึ้น ยันต์หนึ่งชื่อ “ยันต์สุริยประภา” อีกตนหนึ่งก็สร้าง “ยันต์จันทรประภา” ขึ้น
ผู้ที่จะทำยันต์ทั้ง 2 นี้ ให้กากะลามะพร้าวตาเดียวเอามาแกะเป็นรูปพระราหูอมจันทร์อันหนึ่ง พระราหูอมอาทิตย์อันหนึ่ง จึงให้ลงยันต์สุริยประภาที่พระอาทิตย์ (กุเสโต ฯลฯ) พระยันต์ทั้งสองนี้เป็นของหาค่ามิได้ จะหาสิ่งใดมาเทียบเทียมได้ยากแม้ว่าสมบัติบรมจักรพรรดิ์ก็ดีสมบัติพระอินทร์หรือดวงแก้วมณีโชติ ก็หาอาจเปรียบเทียบพระ-
ยันต์ทั้ง 2 นี้ได้
ผู้ใดที่หวังความเจริญในลาภยศ และอยากจะมั่งมีทรัพย์สินเงินทอง ก็ให้คิดสร้างขึ้นเถิด เมื่อจะทำพระยันต์นี้ให้แต่งเครื่องบัตรพลี ขวัญข้าว ข้าวตอกดอกไม้ธูปเทียนเท่ากับกำลังพระอาทิตย์ – พระจันทร์ ให้ตกแต่งอาสนะขึ้น2 ที่ บูชาสักการะด้วยข้าวตอกดอกไม้ ธูปเทียนมาบูชาพระอาทิตย์สิ่งละ 6 บูชาพระจันทร์สิ่งละ 15 ให้เลือกเอาวัน ที่มีฤกษ์ดี เช่น วันเพ็ญ วันสุริยคาส วันจันทร์คาสเมื่อจะกระทำนั้นให้ชำระตัวให้บริสุทธิ์สะอาดเสียก่อนแล้วจึงกระทำพิธี
ยันต์สุริยประภา (พระอาทิตย์) และยันต์จันทรประภา (พระจันทร์) ทั้งสองนี้เวลากลางวันให้บูชาและปลุกเสกยันต์สุริยประภา เวลากลางคืนให้บูชาและปลุกเสกยันต์จันทรประภา เมื่อกระทำแล้วให้เสกด้วยคาถาใส่ในตลับทอง เอายันต์จันทรประภาใส่ตลับเงิน ให้จุนเจิมด้วยแป้งหอม น้ำมันหอม แล้วบูชาไว้เมื่อจะใช้ให้ตามอุปเท่ห์ ดัง-
กล่าวนี้
ถ้าหากท้าวพระยาเจ้านายท่านโกรธให้เอายันต์สุริยประภานั้น จุ่มเจิมด้วยเครื่องหอม ท่องคาถาสุริยประภา3 ครั้ง จึงนำเอาติดตัวไป ท่านเห็นหน้าเข้าหายโกรธเคืองสิ้น ถ้าบริวารข้าคนหลบหนีไปให้เขียนชื่อผู้หลบหนีไปนั้นใส่กระดาษ แล้วอายันต์จันทรประภาทับเสกด้วยคาถาจันทรประภาผู้นั้นจะกลับคืนมา ถ้าจะปลูกพืชผลให้เจริญงอกงามทุกชนิด ให้เอายันต์จันทรประภามาเสกด้วยคาถาจันทรประภา แล้วให้สวดมนต์บทนี้อีกบทหนึ่งคือ
โอมเขยยะสัมปัตติ มหาเขตยะสัมปัตติ เชยยันติโอมทุเร ทุเร สวาหะ เลิกมัตตะ สวาหะฯ 7 ครั้ง แล้วทำใจให้ดี อธิษฐานเอาเถิดให้ผลงอกงามเจริญดี ยันต์สุริยประภาและจันทรประภาทั้ง 2 ยันต์นี้ใช้ได้ 108 ประการแล ผู้คนก็เคารพยำเกรงหูตาก็แจ่มแจ้งอายุก็ยืน ผมก็มิหงอก ท่านให้เอายันต์จันทรประภานั้นแช่น้ำมันหอม เอาน้ำมันนั้นทาผม ไปหาเจ้านายท่านเอาน้ำมันนั้นหุงขี้ผึ้งสีปาก เอาขี้ผึ้งนั้นทาสีปากเสกด้วยคาถาจันทรประภา ไปหาเจ้าคนนายคน ท่านเมตตาเรา
บุคคลผู้ใดปรารถนาวัตถุสิ่งไรก้ดีให้เอายันต์จันทรประภาใส่อับเงิน และเอายันต์สุริยประภาใส่อับทองคำบูชาทุกวันให้เอาขันเงินขันทองคำใส่เครื่องบูชายันต์ทั้งสองนี้ แม้ปรารถนาอันใดก็จะได้ดังใจต้องการทุกอันและบำเพ็ญไปเถิดอย่าได้ขาด อย่าประมาทเลย พระยันต์ทั้งสองนี้ผู้ใดนับถือบูชาไว้ มิรู้อดอดยากตกทุกข์ได้ยากเลย ให้บูชานับถือประดุจสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเถิด
เมื่อจะใช้ยันต์สุริยประภานั้นให้เอาคาถานี้นมัสการก่อน 7 จบ
เอกะจักข์ นาฬิเกลา สุริยะประภา ราหูคาหาสัตตะ ระตะนะ สัมปันโน มณีโชติ ระโสยะถา สุวัณณะ รัชชะตะ สะมิทธา อะหังวันทามิ เมสะทา
คาถานมัสการยันต์จันทรประภา (ถ้าจะทำให้ผู้อื่นให้เปลี่ยน “เมสะทา” เป็น “เตสะทา”) คาถา 2 บทนี้ให้บูชานมัสการยันต์สุริยประภาและยันต์จันทรประภาทุกวันแล
คาถาสุริยประภา
กุเสโต มะมะ กุเสโต โตราโม มะนะ โตราโม คุยหะโม มะนะ คุยหะโม คุตติโม มะมะ คุตติโม คาถาบทนี้สำหรับลงในยันต์สุริยประภา และใช้เสกยันต์ประภาด้วย 108 แล
คาถาจันทรประภา
ยะธาตัง มะมะ ตังถายะ ตังวะตัง มะมะ ตังวะตัง ตังเสถา มะมะ ถาเสตัง ถาติยะ มะมะ ยะติกา คาถาบทนี้สำหรับลงในยันต์จันทรประภาและใช้เสกยันต์จันทรประภาด้วย 108 แล
การพิจารณา
ให้ดูความเก่าความแห้งของกะลามะพร้าวว่าจะต้องดำเป็นมันอมน้ำตาลผิวเรียบเสี้ยนกะลาจะปรากฎน้อยที่สุดความมันแผล็บของน้ำมันในกะลาจะไม่มีเพราะอายุการสร้างนาน ส่วนลวดลายแกะนั้นถือเป็นหลักตายตัวไม่ได้เพราะแกะกันหลายคนหยาบบ้างละเอียดบ้างให้ดูประกอบส่วนอักขระนั้นจะเป็นขอมลาวล้วนไม่มีอักขระขอมไทยให้เห็นซึ่งปัจจุบันได้เห็นว่า มีการเอาขอมไทยมาลงด้วยซึ่งเป็นของที่เป็นยุคหลังไม่ทันกับชีวิตหลวงพ่อน้อยทั้งสิ้น และอักขระนั้นจะไม่ค่อยสวย
อานุภาพ และวิธีอาราธนา
กะลามะพร้าวแกะเป็นรูปพระราหูอมจันทร์ สำนักวัดศรีทองนั้นใช้เป็นเมตตาเป็นแคล้วคลาด เป็นมหาอุด และแก้กันพระราหูเสวยอายุพร้อมกันไป ทำน้ำมนต์รดแก้เสนียดจัญไรได้ชะงัด ภูตผีปีศาจไม่อาจต้านทานได้ มีไว้กับตัวย่อมปลอดภัยจากอันตรายต่าง ๆ
การอารามธนานั้นให้ใช้คาถา พญาไก่เถื่อนดังนี้
เวทาสากุ กุสาทาเว ทายะสาตะ ตะยะสาทา สาสาทิกุ กิทิสาสา กุตุกุภู ภูกุตะกุ โอมราหูยักษะเทวตา อานุภาเวนะ ขอเทพยดา พระราหูผู้ทรงฤทธิ์จงมาประสิทธิ์แก่กะลา พระราหูทรงขัยอันตรายใด ๆ อย่าได้มาบีฆาสารพัดศัตรูวินัสสันตุ
ท่านที่มีกะลาตาเดียวหากจะตัดแบ่งแล้วแกะเป็นรูปพระราหูเอาไปถวายพระอาจารยืที่ท่านเรืองเวทย์ก็ใช้ได้เหมือนกัน
http://www.itti-patihan.com/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B9%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A1-%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94-%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%9C%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%88.html
โดย: oustayutt เวลา: 2014-10-11 15:02
[url=][/url]
http://www.komchadluek.net/detail/20121210/146752/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B9%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7.html
- พระราหูอมจันทร์หลวงพ่อน้อยสุดยอดกะลาตาเดียว
พระราหูอมจันทร์หลวงพ่อน้อย สุดยอด...กะลาตาเดียว วัดศีรษะทอง จ.นครปฐม : พระองค์ครู โดยไตรเทพ ไกรงู
กะลาตาเดียว หลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง ต.ห้วยตะโก อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม พุทธคุณพระราหูอมจันทร์ กะลาตาเดียว เชื่อกันว่า ช่วยป้องกันภัยต่างๆ เมื่อยามดวงชะตาตก กะลาพระราหู หลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทองจะช่วยแก้ ช่วยพยุงให้ดวงชะตาดีขึ้นดังเดิม
นายนิพนธ์ เฮงเส็ง หรือ นุ เพชรรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญพระกรุและกรรมการของสมาคมพระเครื่องพระบูชาไทย บอกว่า การแกะพระราหู จากกะลาเป็น จุดเริ่มต้น ของงานศิลปะพื้นบ้าน โดยการฝึกฝนการแกะกันในหมู่บ้าน การแกะจึงมักไม่มีรูปแบบที่เป็นมาตรฐาน ต่อมาศิลปะวิชาการแกะกะลาพระราหู นี้ได้ตกทอดสืบต่อกัน โดยเฉพาะเจ้าอาวาสวัดศีรษะทอง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือมนต์พิธีต่างๆ
การพัฒนางานแกะพระราหูอมจันทร์ กะลาตาเดียว หลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง เห็นได้ว่าในยุคต้นๆ นั้น การแกะพระราหูไม่มีรูปแบบที่เป็นมาตรฐาน มีทั้งสี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม รูปกลม รูปกลีบบัว ก็มี สุดแล้วแต่ช่างจะแกะกัน แต่ในยุคหลวงพ่อน้อยก็มีบ้าง คือช่างชาวบ้านที่แกะกันเอง แล้วนำมาให้หลวงพ่อน้อยปลุกเสกให้ แต่ส่วนใหญ่กะลาแกะพระราหู ของหลวงพ่อน้อยนั้นจะมีศิลปะการแกะที่เป็นมาตรฐาน พระราหูอมจันทร์ กะลาตาเดียวโดยใช้ช่างแกะไม่กี่กลุ่ม ซึ่งได้แก่
๑.แกะโดยฝีมือช่างที่เป็นพระภายในวัด แรกๆ ก็แกะเป็นรูปสามเหลี่ยมบ้าง สี่เหลี่ยมบ้าง วงกลมบ้างเหมือนกัน ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นแบบเดียวกัน คือ แกะพระราหู เป็นรูปเสมาคว่ำ
๒.แกะโดยฝีมือช่างที่เป็นนักโทษ เรือนจำจังหวัดนครปฐม โดยหลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง ท่านมีลูกศิษย์ลูกหา เป็นผู้คุมเรือนจำ ในสมัยนั้นผู้คุมเรือนจำเป็นช่างฝีมือแกะหลายคน ซึ่งเป็นครูคอยสอนนักโทษด้วย แล้วให้นักโทษช่วยกันลองแกะพระราหู กันดูจากกะลาตาเดียว และได้ คัดอันที่สวยที่สุดมาเป็นตัวอย่าง
ในครั้งนั้นคัดได้มีลักษณะรูปแบบพระราหู เป็นรูปเสมาคว่ำ และมีขนาดเล็ก กะทัดรัด สวยงาม และเหมาะสำหรับพกพาติดตัวด้วย รูปแบบการแกะนี้จึงได้รับความสนใจเรื่อยมา หลวงพ่อน้อยจึงอาศัยรูปแบบนี้เป็นมาตรฐานในการแกะสืบต่อกันมา
พระราหู กะลาแกะของวัดศีรษะทอง นั้นมีหลายขนาด ทั้งเล็ก กลาง ใหญ่ แกะจากกะลาครึ่งลูก หรือแกะจากกะลาทั้งลูกก็มี กะลาราหูของหลวงพ่อน้อยที่แกะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ข้อสังเกตคือพระราหูอมจันทร์ กะลาตาเดียว กะลาจะมีลักษณะบาง แบน แต่งตะไบ และมีน้ำหนักเบากว่ากะลาใหม่ที่มีขนาดเท่ากัน คือกะลาหลวงพ่อน้อยจะมีความแห้งสูงมาก
ด้านพุทธคุณ กะลาแกะราหูอมจันทร์ที่ออกมาจากสำนักวัดศีรษะทอง ไม่ว่าจะแกะมาจากช่าง หรืออาจารย์องค์ใด พุทธคุณไม่ต่างกัน เพราะคาถาที่ปลุกเสกนั้นมาจากคัมภีร์ใบลานของหลวงพ่อไตรองค์เดียวกัน ผู้ได้ใช้กะลาแกะจากพระราหู เชื่อกันว่า ช่วยป้องกันภัยต่างๆ เมื่อยามดวงชะตาตก กะลาพระราหู จะช่วยแก้ ช่วยพยุงให้ดวงชะตาดีขึ้นดังเดิม เรื่องคนชัง ให้กลับมารักชอบนั้นได้ผลแน่ รวมทั้งเรื่องเมตตา โภคทรัพย์ก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าอาจารย์ใดๆ เช่นกัน
สำหรับค่านิยมในพระราหูอมจันทร์ กะลาตาเดียว หลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง ตลาดพระเครื่อง พระราหู ถือเป็นเครื่องรางอย่างหนึ่งที่มีผู้แสวงหาค่อนข้างมาก ราคาพระเครื่องทั่วไปอยู่ที่หลักหมื่นขึ้นไป อยู่ที่ตามสภาพ ขนาด ลวดลาย และเอกลักษณ์ต่างๆ เป็นส่วนประกอบ บทสวดบูชาพระราหู
-
โดย: oustayutt เวลา: 2014-10-11 15:04
<iframe name="google_ads_iframe_/11260700/Mobile_320x50_0" width="320" height="50" id="google_ads_iframe_/11260700/Mobile_320x50_0" src="javascript:""" frameborder="0" marginwidth="0" marginheight="0" scrolling="no" style="border: 0px currentColor; vertical-align: bottom;">
'คด'กะลามหาอุตม์กะลาวิเศษที่ต้องแลกด้วยเงิน'แสน!' : เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู กะลาสามตา กะลาตาเดียว แกะเป็น พญาราหู และคดกะลาทำเป็นขวดใส่ยาดม ยาหอม มีคติความเชื่อว่าเป็นของคงทนสิทธิ์ เป็นเครื่องรางของขลังชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ อยู่บนต้นมะพร้าว อาจจะนับได้ว่าเป็นเครื่องรางที่หายากสุดๆ มะพร้าว ๑,๐๐๐ ลูก หรือ ๑๐,๐๐๐ ลูก จะมีก็เพียงลูกเดียวหรือสองลูกเท่านั้นที่พบ
ในตำราทักษามหาพยากรณ์นั้น กล่าวว่า เมื่อบุคคลใดก็ตามถูกพระราหูเสวยอายุแล้ว ในช่วงเวลานั้นจะเกิดความรุ่มร้อน มีเคราะห์ต่างๆ นานา เพราะพระราหูนั้นเป็นความมืด เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว แม้ยามที่พระราหูจะจรพ้นจากการเสวยอายุไปก็ยังแผลงฤทธิ์อีกด้วย คณาจารย์โบราณจึงกำหนดเอาไว้ว่า เมื่อพระราหูเสวยอายุจักต้องทำพิธีต้อนรับพระราหู หาไม่จะเดือดร้อนจนไม่อาจประคองตัวได้ และสิ่งหนึ่งที่โบราณใช้เป็นเครื่องรางบรรเทาฤทธิ์เดชของพระราหูคือ กะลาตาเดียว
พระราหูพระราหู ไม่ใช่ยักษ์มาร ผีโขมด ไม่ใช่ความหลงมัวเมาในตัณหา ไม่ใช่ความโง่เขลาเบาปัญญา แท้จริงแล้ว พระราหูคืออะไร ในสมัยโบราณ เมื่อคนเรามีความรู้ในทางดาราศาสตร์ยังไม่กว้างขวาง คราใดเกิดปรากฏการณ์ จันทรคราส หรือ สุริยคราส ก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องพระราหูใส่จับพระจันทร์และพระอาทิตย์ เมื่อจับได้ก็จะอมไว้ บังเกิดความมืดปกคลุมไปทั่ว หรือเกิดความกลัวว่า พระจันทร์ พระอาทิตย์ จะดับไปชั่วนิรันดร์ จึงต้องช่วยกันแก้ไขด้วยการตีเกราะ เคาะกะลา จุดประทัด ยิงปืน นัยว่าเพื่อทำให้พระราหูตกใจกลัว จะได้คายพระจันทร์ พระอาทิตย์ รีบหลบหนีไป
โบราณนั้นท่านถือกันว่า พระราหูจะปรากฏในคราวเกิดจันทรุปราคา พระราหูจะกลืนพระจันทร์เอาไว้ทั้งดวงบ้าง บางส่วนบ้าง ต้องตีเกราะเคาะไม้หรือยิงปืนไล่กันเอกเกริก ส่วนวิธีป้องกันพระราหูนั้นก็คือ การใช้กะลาจากมะพร้าวตาเดียวหรือไม่มีตามาทำเป็นเครื่องรางเอาไว้ก็จะบรรเทาโทษภัยจากพระราหูไปได้ กะลาตาเดียวนั้นหายากในมะพร้าว ๑,๐๐๐ ลูก ๑๐,๐๐๐ ลูก จะมีก็เพียงลูกเดียวหรือสองลูกเท่านั้น เมื่อได้มาก็ถือว่าเป็นโชคของผู้นั้น เพราะโดยปกติลูกมะพร้าวที่พบเห็นโดยทั่วไปนั้นจะมีรูงอกหนึ่งรู และมีตาสองตา รวมแล้วมีสามรูด้วยกัน
อย่างไรก็ตามหากเป็นกะลาตาเดียวแล้วจะมีเพียงหนึ่งตา หรือถ้าไม่มีตาก็จะมีรูงอกเพียงรูเดียว เขาเรียกว่า กะลาตาบอด แต่ถ้าไม่มีทั้งรูงอกและตาเลยนั้น โบราณเรียกกันว่า กะลามหาอุตม์ ถือเป็นหนึ่งในเครื่องรางของขลังตามธรรมชาติที่หายากสุดๆ ยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก เพราะลำพังกะลาตาเดียวก็หายากสุดๆ อยู่แล้ว เรียกว่าจะเป็นหนึ่งในแสนในล้านลูกถึงจะเจอสักลูกหนึ่ง ด้วยเหตุนี้พระเกจิอาจารย์จึงนิยมนำรูปลักษณ์ของพระราหูนำมาแกะเป็นลงบนกะลามหาอุตม์ และคดกะลามหาอุตม์ด้วย
คุณวิเศษแห่งกะลาตา
"ป้องกันภัยอันตรายต่างๆ มีโชคลาภ โภคทรัพย์ คนโบราณเก่าก่อนนิยมเอากะลาตาเดียวมาผ่าออกเป็นสองซีก ใช้ตักตวงข้าวสารกรอกหม้อ ว่ากันว่า จะทำให้มีกินมีใช้ไม่ขาดมือ แล้วยังมีคุณวิเศษในด้านอื่นๆ อีก คณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาคมนิยมใช้กะลาตาเดียวมาสร้างวัตถุมงคล" นี่เป็นคติความเชื่อถึงคุณวิเศษของกะลาตาเดียว
จากคติความเชื่อดังกล่าว กะลามหาอุตม์จึงถูกนำมาสร้างวัตถุมงคลส่วนมากจะถูกนำมาแกะลวดลายตัวละครสำคัญเรื่องรามเกียรติ์ เช่นเดียวกับกะลาตาเดียวที่ปลุกเสกโดยหลวงพ่อกุน วัดพระนอน จ.เพชรบุรี ที่ลือชื่อในเรื่องของตะกรุด ซึ่งถือว่าเป็นตะกรุดที่มีราคาหาเช่าแพงที่สุดในเมืองไทย อยู่หลักแสนต้นๆ ตะกรุดของท่านจะไม่ลงอักขระเหมือนของพระเกจิอาจารย์อื่นๆ แต่ท่านจะลงเป็นรูปตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ เช่น ลงเป็นรูปหนุมานผูกผมนางมณโฑกับทศกัณฐ์เข้าด้วยกัน
กะลามหาอุตม์จึงเป็นเครื่องรางด้วยฝีมือช่างเก่าโบราณของเรานี้ มีคุณวิเศษนานานับประการ บุคคลใดมีไว้ครอบครองก็จะปราศจากภัยอันตรายต่างๆ ไม่ว่าจะเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ เทวดา อสูร ภูตผีปีศาจ ก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้ กะลามหาอุตม์บางลูกแกะเป็นลายวิจิตรงดงามพิสดารแล้ว ยังถือว่าเป็นหนึ่งเดียวที่หายากสุดๆ อีกด้วย เรื่องราคาไม่ต้องพูดถึง บางลูกก็ต้องว่ากันเป็นหลักแสน
นอกจากนี้ยังมีคติความเชื่อด้วยว่า กะลาที่มี ๙ ตา ๗ ตา ๕ ตา ๓ ตา และตาเดียว เป็นของคงทนสิทธิ์ พระคณาจารย์หรือผู้ที่มิวิชาอาคม ในเรื่องของไสยศาสตร์ เวชศาสตร์ มีความเชื่อกันว่า ไม่มีอำนาจใดๆ มาทำลายล้างได้ นอกจากอำนาจแห่งกรรมที่ผู้ถือครอบครองประกอบคุณงามความดีสะสมแต่กรรมดี ก็จะตอบสนองในทางที่ดีคุ้มครองดลบันดาลปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ เพิ่มพูนในเรื่องของทรัพย์สินเงินทอง ความสุข ความสบาย กะลาบางลูกหาที่มาที่ไปไม่ได้ว่าเป็นของอาจารย์ใด แต่ผู้ที่ดูความเก่าเป็น ดูอักขระที่จารลงในกะลาเป็น และเป็นกะลาแท้ๆ
โดย: oustayutt เวลา: 2014-10-11 15:11
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย oustayutt เมื่อ 2014-10-11 15:13
[attach]9135[/attach]
ครูบาโน (ครูบาเจ้าอโนชัยธรรมจินดาภิกขุ) แห่งวัดปงสนุกใต้ จังหวัดลำปาง อดีตพระราชาคณะหัวเมือง ท่านมีกิตตศัพท์ในด้านสดับเสียงนกหนู จับอสรพิษมดแมงที่มีพิษได้โดยอสรพิษดังกล่าวไม่สามารถตีต่อย ทั้งยังเป็นนักก่อสร้างมีศิลปะลวดลายการวาดรูปชาดกต่างๆ และท่านได้บันทึกเรื่องราวต่างๆ อันเป็นประโยชน์ทางประวัติศาสตร์มากมาย ท่านเป็นอาจารย์ผู้สอนวิชากะลาแกะราหูให้แก่ครูบานันตา วัดทุ่งม่านใต้ ถ้าเทียบกับกะลาแกะของครูบานันตาแล้ว กะลาแกะของครูบาโนจะเก่ากว่ามาก(ครูบานันตาเรียนวิชาจากท่านประมาณปี พ.ศ. 2438) กะลาแกะราหูของท่านเป็นเครื่องรางของจังหวัดลำปางชิ้นหนึ่งที่หายากมาก ปัจจุบันหาเจอตัวจริงได้น้อยมาก โดยพระจันทร์นั้นแกะเป็นกระต่าย ส่วนพระอาทิตย์แกะเป็นนกยูง มีการลงสีคล้ายสีฝุ่น
พระราหู ที่แกะสลักมาจาก กะลาตาเดียว ที่โด่งสุดในยุคนี้ คือ พระราหู หลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง จ.นครปฐม โด่งดังกว่าของอาจารย์ท่าน คือ ครูบานันตา วัดทุ่งม่านใต้ เจ้าตำรับ พระราหูกะลาตาเดียวแห่งแคว้นแดนล้านนา แต่ที่เหนือไปกว่านั้น คือ พระราหู ครูบาโน (ครูบาเจ้าอโนชัยธรรมจินดาภิกขุ) วัดปงสนุกใต้ จ.ลำปาง อดีตพระราชาคณะหัวเมือง ท่านมีกิตติศัพท์ในด้านการสดับเสียงนกหนูจับอสรพิษมดแมงที่มีพิษ โดยอสรพิษดังกล่าวไม่สามารถตีต่อยอะไรได้เลย อีกทั้งยังเป็นนักก่อสร้างที่มีศิลปะลวดลายการวาดรูปชาดกต่างๆ โดยท่านได้บันทึกเรื่องราวอันเป็นประโยชน์ทางประวัติศาสตร์มากมาย และที่สำคัญในด้านของ เครื่องรางของขลัง คือ ท่านเป็นอาจารย์ผู้สอนวิชา กะลาแกะพระราหู ให้แก่ ครูบานันตา วัดทุ่งม่านใต้ (ประมาณ พ.ศ.๒๔๓๘) ถ้าเทียบกับกะลาแกะของ ครูบานันตา แล้ว กะลาแกะของ ครูบาโน จะเก่ากว่ามาก กะลาแกะพระราหู ของ ครูบาโน เป็นเครื่องรางของ จ.ลำปาง ชิ้นเอกที่หาของแท้ได้ยากมาก กะลาแกะพระราหู ของ ครูบาโน นั้น “พระจันทร์” ท่านจะแกะเป็น “กระต่าย ส่วน “พระอาทิตย์” ท่านจะแกะเป็น “นกยูง” มีการลงสีคล้ายสีฝุ่นอย่างสวยงามมาก เป็นผลงานด้านศิลปะที่สุดคลาสสิกจริงๆ พระราหูอมพระจันทร์ และ พระราหูอมพระอาทิตย์ กะลาตาเดียวแกะสลัก คู่นี้เป็นของ รศ.จิรพัฒน์ เงาประเสริฐวงศ์ อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักสะสมพระเครื่องรางของขลังระดับแนวหน้าคนหนึ่งในวงการพระเครื่องเมืองไทย ทุกวันนี้
http://www.thaprachan.com/show_pra.php?id=921595
โดย: oustayutt เวลา: 2014-10-11 15:47
กะลามหาอุด-พระราหู เครื่องรางดังแต่ครั้งโบราณ
จะว่าไปแล้วนอกจาก "พระเครื่อง" วัตถุมงคลที่นักสะสมชื่นชอบ คงหนีไม่พ้นประเภท "เครื่องรางของขลัง" โดยเฉพาะที่ทำจากสิ่งของชนิดนี้ "กะลามะพร้าว" ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ นิยมเรียกกันว่า "กะลามหาอุด"
ในตำราทักษามหาพยากรณ์นั้นกล่าวว่า เมื่อบุคคลใดก็ตามถูกพระราหูเสวยอายุแล้ว ในช่วงเวลานั้นจะเกิดความรุ่มร้อน มีเคราะห์ต่างๆ นานา เพราะพระราหูนั้นเป็นความมืด เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว แม้ยามที่พระราหูจะจรพ้นจากการเสวยอายุไปก็ยังแผลงฤทธิ์ตอนถีบเท้าจากอีกด้วย คณาจารย์โบราณจึงกำหนดเอาไว้ว่า เมื่อพระราหูเสวยอายุจักต้องทำพิธีต้อนรับพระราหูหาไม่จะเดือดร้อนจนไม่อาจประคองตัวได้ และสิ่งหนึ่งที่โบราณใช้เป็นเครื่องรางบรรเทาฤทธิ์เดชของพระราหูคือ "กะลาตาเดียว"
โบราณนั้นท่านถือกันว่าพระราหูจะปรากฏในคราวเกิดจันทรุปราคา พระราหูจะกลืนพระจันทร์เอาไว้ทั้งดวงบ้าง บางส่วนบ้าง ต้องตีเกราะเคาะไม้หรือยิงปืนไล่กันเอิกเกริก ส่วนวิธีป้องกันพระราหูนั้นก็คือ การใช้กะลาจากมะพร้าวตาเดียวหรือไม่มีตามาทำเป็นเครื่องรางเอาไว้ก็จะบรรเทาโทษภัยจากพระราหูไปได้ "กะลาตาเดียว" นั้นหายาก ในมะพร้าวพันลูกหมื่นลูก จะมีก็เพียงลูกเดียวหรือสองลูกเท่านั้น เมื่อได้มาก็ถือว่าเป็นโชคของผู้นั้น เพราะโดยปกติลูกมะพร้าวที่พบเห็นโดยทั่วไปนั้นจะมีรูงอกหนึ่งรู และมีตาสองตา รวมแล้วมีสามรูด้วยกัน แต่ถ้าเป็นกะลาตาเดียวแล้วจะมีเพียงหนึ่งตา หรือถ้าไม่มีตาก็จะมีรูงอกเพียงรูเดียว เขาเรียกว่า กะลาตาบอด แต่ถ้าไม่มีทั้งรูงอกและตาเลยนั้นโบราณเรียกกันว่า "กะลามหาอุด" ถือว่าเป็นหนึ่งในเครื่องรางของขลังตามธรรมชาติที่หายากสุดๆ ยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก เพราะลำพังกะลาตาเดียวก็หายากสุดๆ อยู่แล้ว เรียกว่าจะเป็นหนึ่งในแสนในล้านลูกถึงจะเจอสักลูกหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้พระเกจิอาจารย์จึงนิยมนำรูปลักษณ์ของพระราหูนำมาแกะลงบนกะลามหาอุด และคดกะลามหาอุด ด้วยคุณวิเศษของกะลาตาเดียวมีหลายอย่างด้วยกันคือ ป้องกันภัยอันตรายต่างๆ มีโชคลาภ โภค ทรัพย์ คนโบราณเก่าก่อนนิยมเอากะลาตาเดียวมาผ่าออกเป็นสองซีก ใช้ตักตวงข้าวสารกรอกหม้อ ว่ากันว่าจะทำให้มีกิน มีใช้ ไม่ขาดมือ แล้วยังมีคุณวิเศษในด้านอื่นๆ อีก
พระคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาคมนิยมใช้กะลาตาเดียวมาสร้างวัตถุมงคล "กะลามหาอุด" ที่ถูกนำมาสร้างวัตถุมงคลส่วนมากจะถูกนำมาแกะลวดลายตัวละครสำคัญเรื่องรามเกียรติ์ เช่นเดียวกับกะลาตาเดียวที่ปลุกเสกโดย "หลวงพ่อกุน วัดพระนอน" จ.เพชรบุรี ที่ลือชื่อในเรื่องของ "ตะกรุด" ซึ่งถือว่าเป็นตะกรุดที่มีราคาหาเช่าแพงที่สุดในเมืองไทย อยู่หลักแสนต้นๆ ตะกรุดของท่านจะไม่ลงอักขระเหมือนของพระเกจิอาจารย์อื่นๆ แต่ท่านจะลงเป็นรูปตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ เช่น ลงเป็นรูปหนุมานผูกผมนางมณโฑกับทศกัณฐ์เข้าด้วยกัน
กะลามหาอุดจึงเป็นเครื่องรางด้วยฝีมือช่างเก่าโบราณของเรานี้ มีคุณวิเศษนานัปการ บุคคลใดมีไว้ครอบครองก็จะปราศจากภัยอันตรายต่างๆ ไม่ว่าจะเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ เทวดา อสูร ภูตผีปีศาจ ก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้ กะลามหาอุดบางลูกแกะเป็นลายวิจิตรงดงามพิสดารแล้ว ยังถือว่าเป็นหนึ่งเดียวที่หายากสุดๆ อีกด้วย เรื่องราคาไม่ต้องพูดถึง บางลูกก็ต้องว่ากันเป็นหลักแสน
กะลามหาอุด หรือกะลาที่มี 9 ตา 7 ตา 5 ตา 3 ตา หรือตาเดียว เป็นของคงทนสิทธิ์ พระคณาจารย์หรือผู้ที่มิวิชาอาคมในเรื่องของไสยศาสตร์ เวทศาสตร์ มีความเชื่อกันว่าไม่มีอำนาจใดๆ มาทำลายล้างได้ นอกจากอำนาจแห่งกรรมที่ผู้ถือครอบครองประกอบคุณงามความดีสะสมแต่กรรมดี ก็จะตอบสนองในทางที่ดีคุ้มครองดลบันดาลปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ เพิ่มพูนในเรื่องของทรัพย์สินเงินทอง ความสุข ความสบาย กะลาบางลูกหาที่มาที่ไปไม่ได้ว่าเป็นของอาจารย์ใด แต่ผู้ที่ดูความเก่าเป็น ดูอักขระที่จารลงในกะลาเป็น และเป็นกะลาแท้ๆ คุณวิเศษดีครอบจักรวาลทุกใบ กะลาที่แกะเป็นราหูอมจันทร์ พระปิดตามหาอุด รูปฤๅษี นางกวัก พระพิฆเนศ หรืออักขระยันต์ที่เป็นมงคลยังมีอีกมากมายที่ไม่รู้วัด ไม่รู้สำนัก
ที่มา ข่าวสดรายวัน
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sittanavi&month=02-2011&date=27&group=98&gblog=35
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) |
Powered by Discuz! X3.2 |