Baan Jompra

ชื่อกระทู้: ตำนาน รักยม [สั่งพิมพ์]

โดย: AUD    เวลา: 2014-10-9 20:53
ชื่อกระทู้: ตำนาน รักยม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย AUD เมื่อ 2014-10-9 21:00

[attach]9120[/attach]

รักยมเป็นเครื่องรางของขลังอีกชนิดหนึ่งที่ประชาชนชาวไทยและประเทศเพื่อนบ้านนิยมกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย  โดยเฉพาะในหมู่พ่อค้าแม่ค้า  และคนที่ทำงานกลางคืน  แม้กระทั่งนักนิยมพระก็ยังแสวงหากัน  เพราะเป็นเครื่องรางของขลังจากวิชาไสยศาสตร์อีกชนิดหนึ่งเล่นกันจนถึงทุกวันนี้
   
         รักยมเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยใดไม่ปรากฏในฐานะที่เราเป็นประชาชนชาวไทยคนหนึ่งที่นิยมเครื่องรางของขลังเคยพบเคยเห็นกันเป็นประจำส่วนมากเท่าที่ผู้เขียนเคยพบเห็นอยู่บ่อยรักยมจะเกิดแถวสนามพระทั่ว  ๆ ไป  แต่ที่แน่แถวท่าพระจันทร์และวัดราชนัดดาเองนี่เอง ถ้าผู้อ่านลองแวะเข้าไปในสนามพระก็จะเห็นรักยมนอนอยู่ในขวด
เล็ก  ๆ เรียงรายเป็นร้อย ๆ เป็นพันส่วนมากเจ้าของแผงจะนั่งหลาวตกแต่งเองขายเอง  ทำความร่ำรวยอย่างมหาศาลมา
แล้วหลายราย
   
         ลักษณะของรักยมคล้ายกุมารเล็ก ๆ ยืนพนมมือยกถึงคาง  มีด้วยกัน  2  ร่าง  อยู่ในขวดแช่น้ำมันจันทร์ที่หอมกรุ่นอยู่ตลอดเวลาชอบทองหยิบ – ทองหยอดผลไม้และของเล่นเด็กพร้อมด้วยน้ำหนึ่งแก้ว  อานิสงฆ์ก่อนผู้ที่จะนำไปใช้จะนำไปให้กับคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงหรือหมอที่เล่นเครื่องรางของขลังนำไปปลุกเสกเสียก่อนแล้วจึงนำไปใช้การนำ
ไปใช้นั้นก็ต้องใช้ในทางที่ถูกบางท่านได้นำไปบูชา  แล้วร่ำรวยมหาศาลมาแล้วก็มีในด้านอภินิหาร ประสบการณ์ก็เคยเกิดขึ้นกับผู้เลี้ยงมาแล้วมากมาย  (ผู้เขียนขอบอกว่ายังไม่เคยเลี้ยงมากก่อนอาศัยถามคณาจารย์เก่า ๆ ที่มีความเชื่อมั่นว่ารัก – ยมมีจริง  ผมจึงได้นำมาเขียนถ้าผิดถลาดขอให้ผู้รู้และผู้อ่านช่วยชี้แนะด้วย)

โดย: AUD    เวลา: 2014-10-9 20:53
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย AUD เมื่อ 2014-10-9 21:03

เรื่องที่หนึ่ง

กล่าวว่านานมาแล้วบนยอดเขาลูกหนึ่งในป่าหิมพานต์ซึ่งเป็นอาศรมของพระฤาษีตาไฟ (หนึ่งในร้อยแปดพระฤาษีผู้เรืองฤทธิ์) รูปลักษณะของท่านจะเหมือนพระฤาษีทั่วไป ยกเว้นบริเวณหน้าผากระหว่างคิ้วซ้ายและคิ้วขวา จะมีดวงตาที่สาม ซึ่งหากเป็นกรณีปกติ ตาที่สามจะปิดสนิทคล้ายหลับตา แต่หากตาที่สามของท่านเปิดขึ้นเมื่อใด สรรพสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าท่านจะกลายเป็นจุลทันที พระฤาษีองค์นี้เป็นผู้มีเมตตาจิตสูงส่งครั้งหนึ่งท่านบำเพ็ญตบะในป่ารกชักแห่งหนึ่ง ได้มีหญิงชาวบ้านผู้หนึ่งได้เห็นปฏิปทาของพระฤาษีและเกิดศรัทธา จึงได้มอบบุตรชายสองคนฝากไว้ให้เป็นศิษย์ของท่าน คนพี่ชื่อ “รัก” คนน้องชื่อ “ยม” ซึ่งพระฤาษีมีความเอ็นดูในเด็กทั้งสองเป็นอย่างมาก จึงได้นำเด็กน้อยทั้งสองกลับไปยังอาศรมของท่านในป่าหิมพานต์พร้อมทั้งฝึกฝนสรรพวิชาให้อย่างดีเป็นเวลาหลายปี
อยู่มาวันหนึ่งขณะที่พระฤาษีกำลังเคลิ้มหลับในอาศรมอยู่นั้น เด็กน้อยทั้งสองนึกสนุกเพราะคิดได้ว่าตั้งแต่มาร่ำเรียนตลอดจนปรนนิบัติรับใช้พระอาจารย์มาหลายปี ก็ยังไม่เคยเห็นตาที่สามของผู้เป็นอาจารย์ว่าเป็นอย่างไรจะเหมือนกับตาทั้งสองหรือไม่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเด็กน้อยทั้งสองจึงหาเศษไม้ไปแหย่ตาที่สามของผู้เป็นอาจารย์ ทันใดนั้นพระฤาษีพลันตกใจตื่นเพราะคิดว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน จึงได้เปิดตาที่สามของตนเป็นผลให้เด็กน้อยทั้งสองโดนฤทธิ์ของตาที่สามเผาไหม้เป็นจุลในพริบตา พอพระฤาษีได้สติจึงรู้ว่าศิษย์อันเป็นที่รักทั้งสองคนถูกเผาไหม้เป็นจุลจากฤทธิ์ของตาที่สามของตนแล้ว ก็รู้สึกเสียใจเป็นอันมากเพราะท่านรักและเอ็นดูเหมือนบุตรของท่านเอง จึงได้นำผงเถ้าของศิษย์ทั้งสองมาอธิษฐานและร่ายมนต์ก่อนนำลงไปฝังลงดินสองหลุมอยู่ใกล้ ๆ กัน ต่อมาจึงเกิดขึ้นเป็นต้นไม้สองต้นคือ “ต้นรัก” และ “ต้นยม (มะยม)” ซึ่งต้นไม้ทั้งสองต้นมีลักษณะพิเศษคือ ต้นรักเมื่อเวลาออกดอกนั้นไม่ว่าใครจะเดินผ่านไปผ่านมา ต่างก็หลงชอบดอกรักอย่างมาก ส่วนต้นยมนั้นจะให้ผลคล้ายฝักทองขนาดเล็กมีสีเหลืองนวล และมีรสชาติหวานอมเปรี้ยวมีกลิ่นหอมเวลารับประทาน เป็นที่ถูกอกถูกใจกับผู้ที่ได้รับประทาน
เมื่อเห็นว่าต้นไม้ทั้งสองนั้นมีคุณลักษณะพิเศษดังกล่าวแล้ว พระฤาษีจึงได้ประสิทธิ์มนต์ว่า ไม้ทั้งสองต้นเป็นของมงคลยิ่ง หากผู้ใดต้องการนำไปใช้สร้างเป็นเครื่องรางเพื่อให้เกิดเป็นเมตตามหานิยม ให้นำไม้ทั้งสองนี้มาแกะเป็นรูปกุมารสองตนในท่ายืนพนมมือ และนำไปปลุกเสกโดยผู้ทรงคุณวิทยาจะเกิดเป็นของวิเศษให้ผู้ที่ศรัทธา


โดย: AUD    เวลา: 2014-10-9 20:54
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย AUD เมื่อ 2014-10-9 21:05

เรื่องที่สอง

เล่ากันว่าในสมัยหนึ่ง  ในป่าหิมวันต์  เมืองเมืองหนึ่ง  เมืองนี้เป็นเมืองเงียบสงบ มองไปทางไหนก็มีแต่ป่าทั้งนั้น  ในป่านั้นก็มีพระฤๅษีชีไพรนั่งบำเพ็ญตะบะเต็มไปหมด  ในขบวนเหล่าฤๅษีนั้นก็มีพระพหลฤๅษีอยู่องค์หนึ่งทึ่เป็นใหญ่กว่าฤๅษีทั้งหลาย
   
         อยู่มาวันหนึ่งฤๅษีพหลนั้นได้เดินออกจากสถานที่บำเพ็ญตะบะนั้นเพื่อออกแสวงหาผลไม้ในป่ามาฉันท์ขณะที่เดินผ่านสระน้ำในป่านั้น  ก็มีดอกบัวชูช่อยู่ดาษดื่นฤๅษีพหลก็  เหลือบไปเห็นกุมารน้อยคู่หนึ่งนอนในดอกบัวนั้นจึงได้เก็มาเลี้ยงไว้ที่อาศรม  ฤๅษรพหลจึงตั้งชื่อสองกุมารน้อยว่ารัตตะกุมาร  กับ  ยมกะกุมาร ต่อมากุมารน้อยทั้งสองก็ได้
ร่ำเรียนวิชา  กับพระอาจารย์ดาบสองค์นั้นจะมีความสามารถรอบรู้หมดทุกอย่าง  ส่วนฤๅษีพหนลนั้นก็ได้ถ่ายทอดวิชาให้อย่างหมดสิ้นในที่สุด  รัตตะกุมารกับยมกะกุมารก็เจริญเติบโต  จนเป็นหนุ่มใหญ่สมชายชาตรีทุกอย่าง สรุปแล้ว  รัตตะกุมารก็คือ  เจ้ารัก  ส่วนยมกะกุมาร ก็คือ  เจ้ายม

สำหรับเจ้ารักนั้นเป็นผู้เลอโฉม  รวมทั้งหน้าตาลักษณะท่าทางมองแล้วเหมือนมานพน้อยมีรูปร่างมองแล้วไม่เบื่อตาเป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็นทั่วไป  ส่วนยมนั้นเล่าความหล่อเหลาด้อยกว่าเจ้ารักหน่อย  เพราะคนเราเกิดมารูปธรรมนามธรรมเหมือนอย่างกับเจ้ายมถึงแม้จะรูปชั่วตัวดำไปนิด  ถึงกระนั้นฤๅษีพหลก็ยังมีความรัก  ความสงสารยิ่งขึ้น  จึงมอบวิชาต่าง ๆ ให้กับเจ้ายมเป็นพิเศษ
   
         เป็นอันว่า  เรื่องเชี่ยวชาญในเชิงขบวนยุทธจักร  และเวทย์มนต์คาถาต้องยกให้เจ้ายมคนเดียวยุคนั้นวันหนึ่ง  รัตตุมาร  (เจ้ารัก)  กับยมกะกุมาร  (เจ้ายม)  สองพี่น้องก็คิดอยากจะไปเที่ยวหัวเมืองต่าง ๆ จึงได้กราบลาพระอาจารย์เพื่อออกแสวหาประสบการณ์ต่าง ๆ จึงได้ออกเดินทางจนไปถึงเมืองใหญ่แห่งหนึ่งด้วยความ
ปรีชาสามารถต่าง ๆ ของกุมารน้อยทั้งสอง  จึงได้เข้ารับราชการกับพระราชาเมืองนั้น
   
         อยู่ต่อมาไม่นานพระราชาจึงแต่งตั้งให้รัตตะกุมาร  (เจ้ารัก)  เป็นทหารเอาไปครองแคว้นเมือง  เมืองหนึ่ง  ส่วนยมกะกุมาร  (เจ้ายม)  นั้น  พระราชาแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับในด้านหัวเมืองต่าง ๆ ระหว่างที่รัตตะกุมาร  (เจ้ารัก)  รับราชการอยู่นั้นเพราะความหล่อเหลามานพน้อย  จึงเป็นที่หมายตาต้องใจของพระธิดาลูกเจ้าเมืองนั้นทั้งสอง
จึงเกิดความรักใคร่กัยิ่งนานวันความรักยิ่งประทับแนบแน่นยิ่งขึ้น
   
         ต่อมาพระราชาได้ทราบข่าวของคนทั้งสองจึงไม่พอพระทัยทรงขัดขวางความรักทั้งสองอยู่ตลอดเวลา พระราชา  ทรงตรัสว่า  “เจ้ารักกับราชนิกุลไม่ควรคู่กัน”  พระราชาต้องการให้พระธิดาอภิเษกสมรสกับเจ้าชายอีกเมือง
หนึ่ง ซึ่งเป็นราชตระกูลกษัตริย์เท่าเทียมกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นพระราชาจึงตัดสินใจส่งพระธิดาไปฝากไว้กับเจ้าเมือง ๆ หนึ่ง
   
         รัตตะกุมาร  (เจ้ารัก)  ทราบข่าวว่าพระราชาได้แยกคนรักของตนไปอยู่เมืองอื่น  จึงเกิดความแค้นเคืองเป็นยิ่ง
นักเจ้ารักจึงวางแผนฆ่าพระราชาอยู่ตลอดเวลาส่วนเจ้ายมคนน้องถึงแม้จะปมด้วยของชีวิตแต่ก็เป็นคนรอบคอบเป็นคน
อารมณ์เย็นจึงได้มายับยั้งการวางแผนฆ่าพระราชาเพราะมันจะมีความผิดอย่างมหันต์
   
         สามวันผ่านมาเจ้ารักก็กินไม่ได้นอนไม่หลับจะนั่งจะเดินก็กระสับกระส่ายอยู่ตลอดเวลาเพราะด้วยพิษรักอันแสนเสน่หาของพระธิดาองค์นั้น  จึงหน้ามืดตามัว  คิดจะปลงพระชนม์จึงได้ลอบเข้าไปในพระราชวัง  จนถึงห้องบรรทมของพระราชาและได้ใช้อาวุธคู่มือ  สับพระราชาอย่างไม่มีชิ้นดี  จนพระราชาสิ้นพระชนม์
   
        เมื่อฤๅษีพหลผู้เป็นพระอาจารย์ทราบข่าวการกระทำของ  รัตตะกุมาร  (เจ้ารัก)  จึงเกิดความโกรธแค้นเคืองยิ่งนัก ที่ศิษย์ของตนละเมิดคำสั่งสอน  จึงได้เรียกกุมารทั้งสองกลับมาเมื่อกุมารทั้งสองเดินทางกลับมาถึงอารมของฤๅษีพหลผู้เป็นอาจารย์  เจ้ารักจึงได้สำนึกผิดและได้สารภาพต่อผู้เป็นพระอาจารย์และมีความเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ละเมิดคำ
สั่งสอนของพระอาจารย์ฤๅษีพหลจึงได้ตัดสินใจให้รัตตะกุมาร  (เจ้ารัก) สละเพศฆราวาส  ให้บวชประพฤติตนบำเพ็ญประโยชน์เพื่อลบรอยมลทินที่ได้สร้างมาจนกว่าจะสิ้นชีวิตจากโลกไป
   
         ส่วนยมกะกุมารหรือเจ้ายมนั้น  ครั้นเมื่อสู่วัยชราจึงได้สละเพศฆราวาสได้ออกบวชตามพี่ชาย  (เจ้ารัก)  เพื่อบำเพ็ญศีลภาวนา  ตามอาศรมของพระฤๅษีในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วไป ต่อมาฤๅษีพหลผู้เป็นพระอาจารย์ถึงวัยชราใกล้ถึงการอายุขัย  ย่อมหนีกฏแห่งกรรมไม่พ้นคือ  มีเกิดก็ต้องมีดับเหมือนกันทุกชีวิต  ฤๅษีพหลจึงเรียกสองนักบวชผู้เป็นศิษย์มาพบอีกครั้งหนึ่งเมื่อสองพระกุมารมาพบพระอาจารย์ฤๅษีพหลจึงถามศิษย์ทั้งสองว่า  “อยากได้อะไรที่เหนือกว่าโลกนี้”  สองจะปฏิบัติตามคำอาจารย์หมดทุกอย่าง”  ฤๅษีพหลจึงให้พรว่า  “เจ้าทั้งสองแม้จะไปเกิดชาติปางใดก็ตามขอให้เสน่ห์เป็นที่รักของคนทั่ว ๆ ไป  จะไม่มีศัตรูทั้งปวงจะไปเกิดบนโลกมนุษย์ไม่ได้  ท่านทั้งสองจะต้องเป็นวัตถุ  แต่ไม่มีชีวิตจิตใจวัตถุสิ่งนั้นจะต้องดังมีชื่อเสียงก้องยืนนาน”
   
         เมื่อฤๅษีพหลกล่าวพรจบทานก็ถึงกาลกิริยาวิญญาณ  ก็ออกจากร่างไป  ณ  ที่นั้น  พระกุมารทั้งสองจึงได้ทำการขุดหลุมฝังศพของฤๅษีพหลผู้เป็นพระอาจารย์ในที่นั้น  ต่อมาไม่นานหลุมฝังศพของฤๅษีพหลก็เกิดมีไม้ชนิดหนึ่งขึ้นมา  มีดอกซ้อนแพรวพราวอันสวยงาม  แถมยังเป็นไม้ที่ปวงชนรักใคร่กันทั่วไป  ดังประชาชนที่เรียกกันทุกวันนี้ว่า
ต้นรักซ้อน
   
         ต่อมาก็ได้มีพันธ์ไม้อีกชนิดหนึ่งได้ขึ้นคู่เคียงกับต้นรักซ้อนมีผลชูช่ออันตระกานตาจนภายหลังมีชื่อขานนามว่ารักยม  ต่อมาชาวบ้านจึงเรียกกันว่ามะยมด้วยข้อมูลที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นนักปราชญ์  คณาจารย์ต่างคิดค้นทำรักยกกันขึ้นมา  นี่แหละครับความเป็นมาของรักยมรวมทั้งข้อมูลต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว

ผู้ที่จะใช้รัก – ยม  จะต้องมีหิ้งขนาดปานกลาง  หิ้งนั้นต้องติดไว้ที่หัวนอน ก่อนนอนต้องบูชาทุกคืนใช้คาถารักยมหรือจะให้คาถากุมาร  20  ก็ได้  ก็มีอยู่ว่า  โอมมะอัดแอ  ลืมพ่อลืมแม่  ปู่เจ้าสมิงไพร  ช้างกินก็ลืมโรง  โขลงกินก็ลืมไพร  จะอยู่มิได้  โม  ร้องไห้มาหากู  มาจนถึงที่สำนักมาตามหลัก  มาตามโขลง  นางทองอย่าเสือก  นางเผือกอย่าทัดไพร  อะ  อยู่มิได้  โม ร้องไห้มาหากู  โอมมะอะทิ  เอหิมะมะ  นะมะพะทะ  อะระหัง

         คาถาบทนี้บูชารัก – ยมทุกคืนก่อนนอน  จะปลอดภัยจากเรื่องภัยศัตรู  แม้แต่คนที่เคยคิดจะเป็นศัตรูกับเราก็จะมาคืนดีกับเราจะสมความปรารถนาหมดทุกอย่าง  (ส่วนในเรื่องอภินิหารของรัก – ยมนั้น  ผู้เขียนขอสงวนไว้ก่อน
ครับ)

         เป็นอันว่า  ผู้จะคิดใช้รัก-ยมเป็นเครื่องรางของขลังอีกชนิดหนึ่ง แม้แต่นายพลนายพันชั้นพิเศษบางท่าน  ก็ยังนำไปใช้ติดตัวกันเป็นประจำ  แม้แต่คณาจารย์สมัยก่อนมีประชาชนไปขอเครื่องรางของขลังจากท่านเป็นต้นว่า  รัก-ยม  กุมารทอง  และนางกวักอีกมากมายหลายอย่าง



ที่มา http://www.itti-patihan.com/
   

โดย: En130    เวลา: 2014-10-9 21:41

โดย: Sornpraram    เวลา: 2014-11-15 18:30
ใครยังไม่มีรักยมในครอบครองแสดงว่า..

ยังไม่ถึง  
โดย: majoy    เวลา: 2014-11-16 00:00
ยังไม่ถึงครับ
โดย: Sornpraram    เวลา: 2014-11-17 21:43
majoy ตอบกลับเมื่อ 2014-11-16 00:00
ยังไม่ถึงครับ


โดย: kit007    เวลา: 2014-11-18 21:20
ขอบคุณครับ
โดย: Sornpraram    เวลา: 2019-7-31 07:17

โดย: Nujeab    เวลา: 2019-7-31 10:22





ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2