Baan Jompra
ชื่อกระทู้:
หลวงปู่ชอบพบพญานาคที่น้ำตกไนแองการ่า
[สั่งพิมพ์]
โดย:
oustayutt
เวลา:
2014-10-7 11:40
ชื่อกระทู้:
หลวงปู่ชอบพบพญานาคที่น้ำตกไนแองการ่า
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย AUD เมื่อ 2014-10-7 12:13
[attach]9023[/attach]
ก่อนอื่น ผมต้องขอร้องว่าถ้าใครไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แต่โปรดอย่านึกว่าหลวงปู่ชอบเด็ดขาดนะครับ ผมขอร้อง เพราะท่านเป็นพระอริยะ ถ้าไม่เชื่อก็อย่าอ่านต่อเลย เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลวงปู่ชอบท่านถูกนิมนต์ไปอเมริกา
ะหว่างที่พำนักอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ญาติโยมไทย - ลาวที่เคารพเลื่อมใสศรัทธาในองค์หลวงปู่ ก็มักจะนิมนต์ท่านไปโปรดตามสถานที่ต่าง ๆ แล้วแต่โอกาสอันควร ท่านมีเมตตาเล่าให้บรรดาลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดติดตามท่านไปว่า ที่วัดที่ท่านไปพัก
เช่นวัดภูริทัตตวนาราม เมืองออนทาริโอ วัดเมตตาวนาราม เมืองแซนดิเอโก วัดญาณรังษี ใกล้กรุงวอชิงตัน ดี ซี รัฐเวอร์จิเนีย
คราวหนึ่งญาติโยมชาวลาวอพยพที่มาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมือง บัฟฟาโล รัฐนิวยอร์ก ได้มีศรัทธานิมนต์หลวงปู่พร้อมคณะลูกศิษย์
ผู้ติดตามไปโปรดพวกเขายังเมืองบัฟ ฟาโล เพราะที่นั้นยังไม่มีวัดพุทธศาสนาที่จะทำบุญด้วย
ท่านโปรดเขาอยู่ที่เมืองบัฟฟาโลนั้นระยะหนึ่ง ท่านเล่าว่า ที่นั้นเคยเป็นสมรภูมิรบได้มีพวกอินเดียนแดงที่สู้รบกันสมัยก่อน
แล้วตายไปพา กันมาขอส่วนบุญมากมาย ต่อมาญาติโยมนิมนต์ท่านจาริกต่อไปยังน้ำตกไนแอการ่าที่อยู่ริมเขตแดนระหว่าง
อเมริกาและแคนาดา
ไปถึงที่น้ำตกไนแอการ่าสักพัก บนท้องฟ้าซึ่งปลอดโปร่งแจ่มใส มีแสงแดดเจิดจ้า ก็กลับมีเมฆดำเคลื่อนมาบังอย่างกะทันหัน
แล้วมีฝนตกลงมาอย่างหนัก อย่างแทบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้คณะติดตามไปต้องรีบพากันหาที่หลบฝนกันอย่างจ้าละหวั่น
เพราะเป็นที่แจ้ง ไม่มีที่กำบังเลย และก็ไม่มีวี่แววเรื่องฝนจะตกมาก่อน ฝนตกหนักสักพักจึงหยุด พอออกจากที่หลบฝน
สักประเดี๋ยว ฝนก็ตกอีกเป็นรอบที่สอง ทำให้ต้องหลบเข้าหาที่มีหลังคามุงกันชุลมุน
มีศิษย์บางคนสงสัยเรื่องฝนครั้งนี้ เพราะปกติเวลาช่วงนี้ของปีเป็นฤดูร้อนที่มีอากาศแจ่มใสตลอด ปราศจากฝนมาหลายเดือนแล้ว
และพยากรณ์อากาศซึ่งเคยแม่นยำตลอดมา ก็มิได้กล่าวเลยว่าวันนั้นจะมีฝน ทำไมจึงมีฝนขึ้นมาได้ ฝนตกลงมามากเสียด้วย
และตกถึง ๒ ครั้ง ๒ ครา จึงได้กราบเรียนถามท่าน
ท่านตอบว่า
“พญานาคเขามากราบ”
“พญานาคที่ไหนขอรับ”
“ที่นี่....ไนแอการ่า”
“พญานาคมา ? ฝนก็มา..??”
“อือ พญานาคมา”
ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่าพญานาคกับการควบคุมธาตุน้ำนั้นเป็นของคู่กัน
โดย:
AUD
เวลา:
2014-10-7 12:17
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย AUD เมื่อ 2014-10-7 12:19
[attach]9024[/attach]
จากบันทึกครูบากล้วย ๒๕๔๓
พระอาจารย์สมศรี อัตตสิริ ท่านเล่าเรื่องพญานาคที่วัดป่าม่วงไข่ให้ฟัง
ปี ๒๕๑๓ องค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม พาลูกศิษย์มาพักภาวนาที่วัดป่าม่วงไข่ ต.สานตม อ.ภูเรือ จ.เลย..
ครั้งนั้นมี หลวงพ่อบัวคำ มหาวีโร หลวงปู่ลี กุสลธโร หลวงปู่คำผอง กุสลธโร หลวงปู่ผาง ปริปุณโณ พระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร พักภาวนาอยู่กับองค์ท่านหลวงปู่ชอบที่วัดป่าม่วงไข่..
พระอาจารย์สมศรีท่านพักภาวนาอยู่ที่ วัดป่าสวนกล้วย บ.สวนกล้วย ต.กกทอง อ.เมือง จ.เลย พอท่านทราบข่าวพ่อแม่ครูจารย์ชอบเดินทางมาพักภาวนาที่วัดป่าม่วงไข่พระอาจารย์สมศรีท
่านจึงตามเข้ามาสมทบ..
พระอาจารย์สมศรีท่านเดินทางจากบ้านสวนกล้วยลัดป่าภูผาหมานมาบ้านม่วงไข่อย่างทุลักทุ
เล ท่านไม่เคยเดินทางเส้นนี้มาก่อนจึงลังเลสงสัยว่าตนเองจะเดินหลงทาง ท่านเดินมาคิดมาตามทางว่าเรามาถูกทางหรือเปล่า เส้นทางที่เราเดินผ่านมามีแต่รกทึบหารอยทางรอยเท้าของคนไม่เห็นเลย..
ระหว่างครึ่งทางที่พระอาจารย์สมศรีท่านเดินมา ท่านเห็นต้นไม้ใบหญ้าล้มราบลงเป็นระยะๆ รอยต้นไม้ใบหญ้าที่ล้มราบมีความกว้างประมาณหนึ่งวาของท่าน ท่านบอกลักษณะต้นไม้ต้นหญ้าล้มราบนี้คล้ายกับรอยรถล้อเหล็กบดถนนวิ่งผ่าน ท่านจึงอาศัยเดินตามรอยทางนี้มาเรื่อยๆ ก่อนท่านจะถึงบ้านม่วงไข่ รอยต้นไม้ใบหญ้าที่ล้มราบนี้ก็มาสิ้นสุดที่ทางเข้าบ้านม่วงไข่พอดี..
ท่านบอก ระหว่างที่เดินมาบนรอยล้มของต้นหญ้า ท่านสงสัยว่าต้นไม้ใบหญ้าพวกนี้มันล้มราบลงได้อย่างไร ฝนฟ้าพายุก็ไม่ได้ตกทำไมจึงมีรอยทางแบบนี้เกิดขึ้น คล้ายกับมีคนจงใจทำให้เกิด..
พอท่านเดินทางมาถึงวัดป่าม่วงไข่ พระอาจารย์สมศรีท่านเข้าไปกราบรายงานตัวกับองค์ท่านหลวงปู่ชอบ องค์ท่านหลวงปู่ชอบเห็นหน้าท่านแล้วยิ้มให้ องค์ท่านหลวงปู่ชอบบอกพระอาจารย์สมศรีเข้าพักกุฏิที่องค์ท่านบอกให้พ่อเชียงหมุนจัดเ
ตรียมไว้ให้..
พระอาจารย์สมศรีสงสัยในเรื่องต้นไม้ใบหญ้าล้มราบที่ท่านเดินผ่าน ท่านพูดเรื่องนี้ให้ท่านพระอาจารย์จันทร์เรียน คุณวโร ศิษย์ผู้พี่ฟัง พระอาจารย์จันทร์เรียนบอก..
“ ท่านบ่ฮู้ตี้ ทางที่ท่านเทียวมานั้นเป็นทางพญานาคสร้างขึ้นมา ต้นไม้ใบหญ้าที่ราบลงเกิดจากฤทธิ์พญานาคเขาสำแดง พ่อแม่ครูจารย์(ชอบ)เพิ่นสั่งพระเณรไว้ วันนี้เบิ่งแน่เด้อเพื่อท่านศรีทะเล่อทะล่ามาบ้านม่วงไข่ พ่อแม่ครูจารย์เพิ่นฮู้แล้วว่าท่านจะมา เพิ่นถึงบอกพระเณรไว้เป็นพยานความฮู้ของเพิ่น ไปถามพ่อแม่ครูจารย์เพิ่นเบิ่งตี้ถ้าท่านอยากฮู้เรื่องนี่ ”..
ผู้บันทึกถามท่านพระอาจารย์สมศรี ท่านอาจารย์ได้นำเรื่องนี้ไปกราบเรียนถามพ่อแม่ครูจารย์ชอบหรือไม่ พระอาจารย์สมศรีท่านบอก..
บ่กล้าไปถามเพิ่น กลัวพ่อแม่ครูจารย์(ชอบ)ท่านว่าให้ ตาหมากขามขี้ (ความหมายเดียวกับคำว่าตาถั่ว สำนวนคำที่องค์ท่านหลวงปู่มักพูดให้ลูกศิษย์)..
ท่านบอก ระหว่างท่านพักภาวนาอยู่วัดป่าม่วงไข่กับองค์ท่านหลวงปู่ชอบและครูบาอาจารย์รุ่นพี่ท
่านอื่นๆ วันนั้นเป็นวันแรมสิบห้าค่ำ เป็นวันอุโบสถ พระอาจารย์สมศรีท่านเดินจงกรมอยู่จนถึงเที่ยงจึงเลิกจากทางจงกรม ท่านหิ้วถังน้ำลงไปสรงน้ำที่บ่อซับน้ำผุดทางลงศาลาหลังเก่าวัดป่าม่วงไข่..
(ทางลงไปบ่อซับน้ำผุดกะจากศาลาหลังเก่าวัดป่าม่วงไข่ลงไปประมาณแปดสิบก้าวเดิน ทางเส้นนี้เป็นทางเดียวกันกับที่องค์ท่านหลวงปู่ชอบขอให้พญานาคภูผาหมานแสดงให้ลูกศิ
ษย์เห็นเป็นหลักฐาน เมื่อเดือนหก ปีพุทธศักราช ๒๕๐๘ ตอนพญานาคภูผาหมานยกทัพไปนาคายุทธกับพญานาคแม่น้ำโขงเมืองเชียงคาน-ผู้บันทึก ครูบากล้วย)..
ขณะพระอาจารย์สมศรีท่านนั่งสรงน้ำอยู่ที่ริมบ่อซับน้ำผุด ปรากฏน้ำในบ่อเป็นลำขนาดเท่ากับด้ามพร้าหรือลำอ้อยเลื้อยหมุนวนกวนน้ำอยู่ในบ่อ จนทำให้น้ำในบ่อขุ่นขึ้นมาทันที ท่านนึกว่าเป็นปลากั้ง(ปลาช่อนหินลักษณะเดียวกับปลาชอนทั่วไป ปลากั้งจะมีแผงสันหลังและปลายหางเป็นสีแดงอมแสด ปลากั้งตัวจะเล็กกว่าปลาช่อนทั่วไปมาก ปลากั้งตัวโตที่สุดจะมีขนาดเท่ากับลำอ้อย)..
พระอาจารย์สมศรีท่านนั่งดูลำน้ำหมุนวนอยู่พักหนึ่ง ท่านถึงรู้ว่า นี่ไม่ใช่ปลากั้งมากวนน้ำให้ขุ่น ที่น้ำหมุนวนนี้เป็นพญานาคสำแดงเดชกวนน้ำให้ขุ่น ท่านเกรงในอำนาจของพญานาคจึงรีบสรงน้ำและรีบออกจากบ่อน้ำทันที..
พระอาจารย์สมศรีท่านเล่าแบบตลกว่า “ ย่าน(กลัว)พญานาคหลาย ฟ้าว(รีบ)ยกถังน้ำส่าวเดียว(ทีเดียว)ถึงศาลาวัดม่วงไข่เลย ทุกครั้งตักน้ำขึ้นมาต้องหยุดพักระหว่างทาง แต่ครั้งนี้หิ้วถังน้ำทีเดียวถึงหน้าศาลาวัดม่วงไข่เลย กลัวพญานาคแกล้งด้วยอำนาจของเขา เราไม่มีฤทธิ์มีเดชเหมือนหลวงปู่ชอบจึงกลัวเขาแกล้งในตอนนั้น..
หลังลงอุโบสถแล้ว องค์ท่านหลวงปู่ชอบให้โอวาทลูกศิษย์ ท้ายคำให้โอวาทขององค์ท่าน หลวงปู่ชอบท่านพูดขึ้นมาว่า..
“ พระเณรเราบางองค์มันภาวนาไม่ลึกซึ้ง อย่างของภายนอกบางครั้งเทวดาพญานาคเขาแสดงความเป็นมิตรหยอกล้อ พระเณรบางองค์ก็กลัวจนหอบผ้าเหลือง หอบถังน้ำ หนีตาย มันบ่ภาวนาลงไปให้ลึกจนเห็นเจตนาของเขา นี่อีหยังกะบ่ฮู้เอาแต่ความกลัวในใจของตนเองมาเป็นที่ตั้ง กลัวตายจนเกินเหตุ”
พระอาจารย์สมศรีท่านรู้แก่ใจว่าเทศน์กัณฑ์นี้องค์ท่านหลวงปู่ชอบพ่อแม่ครูอาจารย์ว่า
ให้ท่าน ภายหลังท่านมาพิจารณาดู เราก็กลัวจนเกินเหตุอย่างที่พ่อแม่ครูจารย์ชอบท่านว่า ท่านว่า ผมไม่มีวาสนารู้รอบเตวิชโชเหมือนกับพ่อแม่ครูจารย์(ชอบ) วาสนาผมเป็นผู้สงบเรียบง่าย..
พระอาจารย์สมศรีท่านเปิดวาสนาธรรมของท่านให้ฟัง ตนเองถึงได้รู้ว่า พระอาจารย์สมศรี อัตตสิริ พี่ชายของเรา เป็น " สุขะวิปัสสะโก " สมบูรณ์ธรรมเมื่อต้นปีพุทธศักราช ๒๕๓๐ ที่ วัดป่าสวนกล้วย ต.กกทอง อ.เมือง จ.เลย..
โดย:
AUD
เวลา:
2014-10-7 12:20
[attach]9025[/attach]
ชีวประวัติ พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
วัดป่าโคกมน บ.โคกมน ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย
จากบันทึก..ครูบากล้วย พระวีระศักดิ์ ธีระภัทโท
(ตอนต่อจาก จำพรรษาที่ดอยเจียงตอง ประเทศพม่า)
เรื่องพญานาคอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ที่ องค์ท่านหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ให้หลวงปู่ชอบท่านเดินทางไปโปรดที่บ้านน้ำริน อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
ตอน พักภาวนาที่บ้านน้ำริน
หลวงปู่ชอบท่านออกจากวัดเจดีย์หลวงเดินทางมาบ้านปง อำเภอแม่แตง เพื่อตามหาองค์ท่านหลวงปู่มั่น มาถึงบ้านปงท่านทราบว่าองค์ท่านหลวงปู่มั่นพาลูกศิษย์ไปพักภาวนา ที่ ดอยนะโม ตำบลน้ำแพร่ อำเภอพร้าว ท่านจึงตามไปพักภาวนากับองค์ท่านหลวงปู่มั่นที่ดอยนะโม ท่านบอกพักภาวนาอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง จากนั้นองค์ท่านหลวงปู่มั่นพาท่านไปเที่ยววิเวกที่บ้านโหล่งขอดซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมาก
นักกับดอยนะโม..
ต่อมาหลวงปู่เทสก์ท่านพาหลวงปู่ตื้อหลวงปู่พรหมและหมู่คณะตามมาสมทบกับองค์ท่านหลวงป
ู่มั่นที่บ้านโหล่งขอดร่วมสิบกว่ารูป องค์ท่านหลวงปู่มั่นจึงชวนลูกศิษย์ไปเที่ยววิเวกที่บ้านมูเซอร์ห้วยน้ำขุ่นเขตอำเภอแ
ม่สรวย จังหวัดเชียงราย โดยองค์ท่านหลวงปู่มั่นให้พระเณรกระจายกันอยู่จุดละสององค์บ้าง สามองค์บ้าง เพื่อสะดวกในการปฏิบัติและบิณฑบาต
หลวงปู่ชอบท่านพักอยู่กับองค์ท่านหลวงปู่มั่นที่บ้านมูเซอร์ห้วยน้ำขุ่นระยะหนึ่งท่า
นอยากจะออกเที่ยววิเวกโดยลำพัง องค์ท่านหลวงปู่มั่นจึงแนะนำให้ท่านไปเที่ยววิเวกทางบ้านน้ำรินเขตอำเภอแม่ริม..
องค์ท่านหลวงปู่มั่นบอกสถานที่แห่งนี้สงบวิเวกดีถูกกับจริตนิสัยเดียวดายของท่านชอบ.
.
หลวงปู่ชอบท่านจึงกราบลาองค์ท่านหลวงปู่มั่นเดินทางไปบ้านน้ำรินอำเภอแม่ริมตามที่อง
ค์ท่านหลวงปู่มั่นแนะนำ..
ท่านเห็นสถานที่แห่งนี้ถูกกับจริตนิสัยของตนเอง ชาวบ้านน้ำรินก็มีศรัทธาในองค์ท่านหลวงปู่มั่นมาก เมื่อมีลูกศิษย์ขององค์ท่านมาพักภาวนาที่นี่ชาวบ้านน้ำรินจึงพากันทำกุฏิที่พักให้หล
วงปู่ชอบ โดยพ่อของพ่อเลี้ยงชื้นซึ่งเป็นลูกศิษย์เก่าแก่ขององค์ท่านหลวงปู่มั่นบ้านน้ำรินพาช
าวบ้านทำศาลาหอฉันหลังหนึ่งเพื่อให้หลวงปู่ชอบท่านใช้เป็นสถานที่รับรองญาติโยมในเวลา
มาถวายจังหันภัตตาหาร สร้างกุฏิที่พักไม้ไผ่สับฟากให้หลวงปู่ชอบหลังหนึ่งเพื่อใช้เป็นที่พักอาศัย ทำทางจงกรมให้ท่านสองเส้น เส้นหนึ่งอยู่ข้างที่พัก อีกเส้นอยู่เนินดอยห่างจากที่พักของท่านราวสามร้อยเมตร..
เรียนถามองค์ท่านว่าทำไมพ่อแม่ครูจารย์มักชอบอยู่ลำพังองค์เดียว อยู่องค์เดียวไม่มีเพื่อนคุยไม่เหงาบ้างหรือ ไม่กลัวอันตรายบ้างหรือ..
พ่อแม่ครูจารย์ชอบท่านบอก อันตรายภายนอกนั้นเราไม่กลัว เรากลัวอันตรายจากกิเลสภายในใจของตนเองเท่านั้น ใจคนเราที่ฟุ้งซ่านหงอยเหงาเกิดจากกิเลสสามกองภายในใจของตนเองบั่นทอน ใจฟุ้งซ่านไม่ได้เกิดจากสิ่งภายนอกสัตว์บุคคล มันเกิดจากใจเราเข้าไปยึดถือให้เป็นธรรมารมณ์ทั้งนั้น การอยู่ลำพังผู้เดียวมันภาวนาสะดวกใจดีไม่ต้องเป็นกังวลใจกับใครอื่นให้วุ่นวาย ถ้าคุ้นชินกับการอยู่ผู้เดียวแล้วจะรู้ว่าสบาย..
โบ้ยเอ้ย..(องค์ท่านหลวงปู่ชอบมักเรียกชื่อผู้บันทึกครูบากล้วยว่าโบ้ย หรือ ขี้ตาโบ้ย) การอยู่เดียวดายโดยมีธรรมเป็นเพื่อนใจนั้นมันสบายใจดี เราไม่ต้องไปทะเลาะกับปากใครใจใคร อยู่อย่างเอกบุรุษ อยู่อย่างเอกสตรี เดินทางไปไหนมาไหนก็สะดวก ไม่ต้องมาเป็นกังวลทนทุกข์กับใจเขาใจเรา หัดอยู่ผู้เดียวกับธรรมให้เป็น แล้วท่านจะเห็นความวุ่นวายในใจเขาใจเราว่าเป็นเช่นไร กิเลสสามกองนี้ถ้าได้กวนใจใครมากๆแล้ว อย่างน้อยคนๆนั้นนอนไม่หลับเพราะจิตคิดปรุงแต่งให้ใจฟุ้งซ่าน หนักเข้าก็เป็นบ้าเสียสติ หรือฆ่าตัวตายไปก็มี เกิดเป็นคนอย่าให้ใจเป็นกำพร้าธรรม ให้ใจมีธรรมอันหนึ่งอันใดเป็นวิหารเครื่องอยู่ ใจมีวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ครองใจแล้ว ใจผู้นั้นจะไม่เป็นทุกข์ ใจจะอยู่อย่างเป็นสุขคติ..
พ่อแม่ครูจารย์ชอบท่านบอกปี ๒๔๘๓ เป็นครั้งแรกที่เราเข้ามาพักอยู่ที่บ้านน้ำรินตามคำแนะนำของพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านว่าแต่ก่อนเราเพียงแค่ผ่านไปผ่านมาเท่านั้น เสนาสนะป่าบ้านน้ำรินที่หลวงปู่ชอบท่านมาพักเมื่อปี ๒๔๘๓ กับวัดป่าน้ำรินในปัจจุบัน ท่านบอกเป็นคนละสถานที่กัน เสนาสนะป่าบ้านน้ำรินที่ท่านพักจะอยู่หลังวัดป่าน้ำริน พ่อแม่ครูจารย์ชอบท่านบอกวัดป่าน้ำรินเริ่มเป็นวัดขึ้นมาสมัยที่ พระคุณเจ้าหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ท่านมาจำพรรษา จากนั้นมาวัดป่าน้ำรินจึงมีพระเณรเข้ามาพักจำพรรษามิได้ขาดจนตราบเท่าทุกนี้..
พ่อแม่ครูจารย์ชอบท่านเล่าให้ฟังตอนท่านพักภาวนาอยู่ที่เสนาสนะป่าบ้านน้ำริน ท่านบอกมีนาคามานพตนหนึ่งมีวิมานบาดาลอยู่หนองห้วยส้มหน้าวัดป่าน้ำริน พญานาคตนนี้จำแลงแปลงเป็นมนุษย์ขึ้นมาใส่บาตรถวายจังหันให้กับองค์ท่าน เขามาแต่ละครั้งนั้น พญานาคจำแลงมนุษย์ตนนี้จะแยกออกมานั่งผู้เดียวโดยไม่พูดจาปราศรัยกับใคร พอองค์ท่านให้พรแล้วเขาก็จะกราบลาท่านกลับทันที พฤติกรรมของพญานาคหนองห้วยส้มตนนี้องค์ท่านเฝ้าสังเกตดูเขาอยู่ร่วมสิบกว่าวัน..
พอวันหนึ่งเงียบเพลาเบาคนท่านถามเขาว่าโยมมาจากไหน อาตมาไม่เคยเห็นโยมที่บ้านน้ำรินมาก่อน พญานาคจำแลงมนุษย์เขาตอบองค์ท่านว่าบ้านโยมอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่นัก เขาตอบท่านเพียงแค่นี้ก็รีบชิงลาเพื่อเลี่ยงที่จะตอบคำถามอื่นๆจากองค์ท่าน..
พอเขาบอกลากลับ หลวงปู่ชอบท่านก็เดินตามเขาออกมาที่หน้าวัดป่าน้ำรินตรงหนองห้วยส้ม บุรุษนิรนามผู้นี้พอเดินมาถึงหนองห้วยส้มหน้าวัดป่าน้ำรินเขารู้ว่าหลวงปู่ชอบตามเขา
มา เขาพูดกับองค์ท่านว่า ท่านรู้ว่าข้าพเจ้าเป็นใคร ข้าพเจ้าไม่มีอะไรมาบังท่านอีก..
พญานาคหนองห้วยส้มจำแลงบอกกับองค์ท่านหลวงปู่ชอบว่า ข้าพเจ้าเป็นพญานาคอยู่บึงห้วยส้ม ข้าพเจ้ามาอยู่ที่นี่เพื่อรักษาพระศาสนา ที่ข้าพเจ้าขึ้นมาโลกมนุษย์เพราะข้าพเจ้าอยากทำบุญสั่งสมบารมีให้กับตนเอง..
องค์ท่านหลวงปู่ชอบถามเขาว่า พญานาคก็อยากทำบุญเหมือนกับมนุษย์ด้วยหรือ..
พญานาคหนองห้วยส้มจำแลงเขาบอกองค์ท่านว่า พญานาคก็มีใจใฝ่ในบุญกุศลไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ผู้ใฝ่แสวงธรรม ก่อนข้าพเจ้าจะจุติเป็นพญานาค ข้าพเจ้าก็เป็นมนุษย์เหมือนกันกับท่านมาก่อน ข้าพเจ้าเคยเป็นญาติกับท่าน บุญกุศลที่ข้าพเจ้าทำไว้เมื่อสมัยเป็นมนุษย์จึงส่งผลให้ข้าพเจ้าได้มาจุติเป็นพญานาค
เฝ้าพระศาสนาจนสิ้นสมัย..
องค์ท่านหลวงปู่ชอบถามพญานาคหนองห้วยส้มว่า พญานาคจำแลงเป็นมนุษย์ได้ด้วยหรือ..
เขาตอบองค์ท่านว่า พญานาคมีอิทธิฤทธิ์มากกว่ามนุษย์ พวกข้าพเจ้าสามารถจำแลงเป็นอะไรก็ได้ตามที่ตนเองปรารถนาอยากจะเป็น ที่ท่านเห็นอยู่นี้คือรูปจำแลงลวงตามืด(จิต)มนุษย์เท่านั้น พญานาคมีแก้วทิพย์จิตเปรียบเหมือนแก้วสารพัดนึก แก้วทิพย์จิตนี้เกิดจากบุญบารมีที่ตนเองบำเพ็ญมา แก้วทิพย์จิตเป็นบุญฤทธิ์ประจำตัวของพญานาคทุกตนนับแต่จุติภูมิ..
พญานาคหนองห้วยส้มได้แสดงฤทธิ์จำแลงให้องค์ท่านหลวงปู่ชอบดูหลายอย่าง เช่น จำแลงเป็นบุรุษหลายคนในวารวาระเดียว จำแลงเป็นหญิงสาวสวยทัดมาลารำฟ้อน จำแลงเป็นผู้หญิงแก่หัวหงอกหง่อมไม่มีฟัน จำแลงเป็นชายแก่หลังค่อมถือไม้เท้า จำแลงเป็นนายพรานถือหอกง้าวธนู จำแลงเป็นช้างม้าวัวควายและร่างนาคา เป็นต้น..
ท่านบอกเวลาที่พญานาคจำแลงแปลงเป็นอะไรนั้นรวดเร็วกว่าอึดใจที่เรากั้น แต่ละครั้งที่พญานาคหนองห้วยส้มจำแลงแปลงรูปเป็นอะไรไม่ว่าคนหรือสัตว์ องค์ท่านหลวงปู่ชอบบอก กิริยาท่าทางที่พญานาคจำแลงนั้นเหมือนจริงทุกอย่างมาก เพียงแต่ต่างภาพมายาจิตที่ปุถุชนและอริยะมองเห็น..
หลังจากพญานาคหนองห้วยส้มจำแลงเป็นรูปต่างๆให้องค์ท่านหลวงปู่ชอบดูแล้ว พญานาคตนนี้เขาลาองค์ท่านหลวงปู่ชอบกลับไปยังบาดาลวิมานเมืองของเขา ท่านบอกเวลาที่พญานาคตนนี้ไป เขาจะจมลงไปในดินข้างหนองห้วยส้มไม่ต่างอะไรกับคนเราจมลงไปในน้ำ ยังกับว่าปฐพีที่แน่นหนานี้ไม่เป็นอุปสรรคในการไปมาของเขาเลย..
ถามองค์ท่านว่า ทุกวันนี้พญานาคที่อยู่หนองห้วยส้มเขาได้มาหาพ่อแม่ครูจารย์บ้างไหม..
องค์ท่านบอกเขามาหามาเยี่ยมขอฟังธรรมกับเราเหมือนเดิม บางครั้งเขาจะมาทางดินโดยผุดขึ้น บางครั้งเขาจะมาทางอากาศ..
ถามองค์ท่านว่าพวกกายทิพย์นี้เวลาเขาไปเขามาใช้เวลานานเหมือนกับมนุษย์เราเดินทางหรื
อเปล่า..
พ่อแม่ครูจารย์ชอบท่านบอก พวกกายทิพย์เขาไปไหนมาไหนรวดเร็วกว่ามนุษย์เรา เพียงลัดมืออึดใจเดียวเขาก็ไปถึงที่ตรงนั้นแล้ว จิตพวกนี้เขาเป็นทิพย์ วัตถุสิ่งของใดๆไม่สามารถปิดกั้นขัดขวางการไปการมาของพวกเขาได้ การไปการมาของพวกกายทิพย์เขาเป็นอิสระมากกว่ามนุษย์เรา มนุษย์ต้องอาศัยแข้งขาพาหนะพาไป พวกกายทิพย์เวลาไปมาเขารวดเร็วทันที เขาไม่ได้หอบขันธ์ห้าไปเหมือนกับมนุษย์เรา..
โดย:
AUD
เวลา:
2014-10-7 12:23
[attach]9026[/attach]
ชีวประวัติ พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
วัดป่าโคกมน บ.โคกมน ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย
เขียนบันทึกโดย..ครูบากล้วย พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท..
ตอน ผาห่มพร้าว(๑)
เรื่องบันทึก “ ผาห่มพร้าว ” เป็นเรื่องที่องค์ท่านหลวงปู่ชอบอธิบายเรื่องพญานาคลึกมากที่สุดเท่าที่ตนเองได้บันท
ึกเรื่องพญานาคที่องค์ท่านเล่าให้ฟัง และเรื่องนี้มีความสำคัญกับครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งคือ หลวงพ่อบุญพิน กตปุญโญ วัดป่าผาเทพนิมิต อำเภอนิคมน้ำอูน จังหวัดสกลนคร “ ช้างเผือกห้วยขยาด ” ฉายาหลวงพ่อบุญพินที่องค์ท่านหลวงปู่ชอบตั้งให้ หลวงพ่อบุญพินท่านเดินทางมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ และเป็นครั้งแรกที่หลวงพ่อบุญพินท่านได้เที่ยววิเวกกับองค์ท่านหลวงปู่ชอบ..
ปลายปีพุทธศักราช ๒๕๐๓ หลวงพ่อบุญพิน กตปุญโญ กับเพื่อนพระอีกรูปหนึ่ง(พระอาจารย์สอน สกลนคร ลาสิกขาปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) พากันเดินทางมาฝากตัวเป็นศิษย์ฝึกฝนอบรมธรรมกับองค์ท่านหลวงปู่ชอบ ตอนนั้นหลวงพ่อบุญพินไม่ทราบว่าองค์ท่านหลวงปู่ชอบเที่ยววิเวกอยู่ที่ไหน ท่านจึงเดินทางไปกราบองค์ท่านหลวงปู่หลุย จันทสาโร ที่ วัดถ้ำผาปู่ ตำบลนาอ้อ อำเภอเมือง จังหวัดเลย..
องค์ท่านหลวงปู่หลุยบอกหลวงพ่อบุญพินว่า ตอนนี้ท่านอาจารย์ชอบพาลูกศิษย์เที่ยววิเวกอยู่ทางเขตอำเภอปากชม หลวงปู่หลุยบอกหลวงพ่อบุญพินให้พักอยู่ที่ถ้ำผาปู่ก่อน เสร็จธุระแล้วท่านจะพาไปหาองค์ท่านหลวงปู่ชอบที่ปากชม หลวงพ่อบุญพินพักอยู่กับองค์ท่านหลวงปู่หลุยที่ถ้ำผาปู่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ จากนั้นองค์ท่านหลวงปู่หลุยพาหลวงพ่อบุญพินไปตามหาองค์ท่านหลวงปู่ชอบที่บ้านสะหงาว ตำบลห้วยพิชัย อำเภอปากชม จังหวัดเลย..
ไปถึงบ้านสะหงาวไม่พบหลวงปู่ชอบ ชาวบ้านบอกว่าองค์ท่านพาลูกศิษย์ข้ามไปเที่ยววิเวกฝั่งลาวที่บ้านห้วยขยาด องค์ท่านหลวงปู่หลุยจึงพาหลวงพ่อบุญพินนั่งเรือข้ามฟากไปฝั่งลาว..
หลวงพ่อบุญพินพบกับองค์ท่านหลวงปู่ชอบครั้งแรก ที่ บ้านห้วยขยาด ประเทศลาว หลวงพ่อบุญพินท่านกราบถวายตัวเป็นลูกศิษย์ขององค์ท่านหลวงปู่ชอบ ที่ บ้านห้วยขยาด ประเทศลาว ความเป็นศิษย์อาจารย์ของ หลวงพ่อบุญพิน กตปุญโญ กับ องค์ท่านหลวงปู่ชอบ ฐานสโม เริ่มต้นที่บ้านห้วยขยาด ประเทศลาว..
องค์ท่านหลวงปู่ชอบพาลูกศิษย์พักอยู่บ้านห้วยขยาดประมาณสิบสี่คืน ต่อมามีญาติโยมบ้านน้ำวังมานิมนต์องค์ท่านหลวงปู่ชอบไปโปรดทางบ้านน้ำวัง องค์ท่านจึงพาคณะเดินทางไปบ้านน้ำวัง โดยมี หลวงปู่หลุย จันทสาโร หลวงปู่ซามา อจุตโต หลวงพ่อบัวคำ มหาวีโร พระคล้าย พระม่อย สามเณรทองรัตน์ สามเณรบุญเพ็ง พ่อไข พ่อเกลี้ยง พ่อยัง ติดตามไปพร้อมกับองค์ท่าน..
ส่วนหลวงพ่อบุญพินองค์ท่านหลวงปู่ชอบลองใจให้พักอยู่ที่เสนาสนะบ้านห้วยขยาดเพียงลำพ
ังองค์เดียว หลวงพ่อบุญพินบอกตอนนั้นท่านน้อยใจอยู่บ้างที่พ่อแม่ครูจารย์หลวงปู่ชอบไม่ให้ติดตาม
ไปพร้อมกับองค์ท่าน ท่านบอก ผมให้กำลังใจตนเอง ท่านอาจารย์ชอบกำลังพิสูจน์จิตใจเราว่าอดทนอาจหาญหรือไม่ ที่บ้านห้วยขยาดกลางคืนเสือมันร้องออกหากินใกล้ๆที่พัก กลัวเสือก็กลัว ได้แต่ข่มใจตนเองไว้ด้วยการภาวนา..
ภายหลังหลวงปู่ชอบท่านให้หลวงพ่อบัวคำกับโยมมารับหลวงพ่อบุญพินไปพักภาวนาด้วยกันที่
ผาห่มพร้าว ผาห่มพร้าวแห่งนี้จะอยู่ตรงกันข้ามกับ บ้านคกไผ่ ตำบลปากชม อำเภอปากชม จังหวัดเลย..
โยมบ้านน้ำวังนำเรือมารับองค์หลวงปู่ชอบและคณะไปพักที่ " ผาห่มพร้าว " พอเรือใกล้จะถึงผาห่มพร้าวประมาณหนึ่งกิโลเมตร องค์ท่านบอกให้เรือจอดเทียบฝั่ง หลวงปู่ชอบท่านลงจากเรือเดินสะพายถุงบาตรนำหน้าลูกศิษย์โดยท่านทิ้งกระติกน้ำเอาไว้ใ
ห้สามเณรบุญเพ็งถือตามหลังมา หลวงปู่ชอบท่านเดินไปได้ระยะหนึ่งก็ยังไม่เห็นลูกศิษย์หลังตามมา..
องค์ท่านบอก เรานั่งคอยพระเณรอยู่ที่หินก้อนหนึ่ง หินก้อนนี้ยื่นลงไปในน้ำโขง หินก้อนนี้มีลักษณะกลมมนขนาดใหญ่เท่ากับช้าง..
ขณะองค์ท่านคอยลูกศิษย์อยู่บนหินก้อนนี้ ท่านมองไปที่กลางแม่น้ำโขง ท่านเห็นหัวดำๆขนาดเท่ากับฆ้องเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณหนึ่งวา หัวดำๆ ใหญ่ๆ ที่องค์ท่านเห็นนี้ผุดขึ้น ผุดลง อยู่กลางแม่น้ำโขง ท่านดูอยู่ประมาณสิบกว่านาทีสิ่งที่ท่านว่านี้ก็จมหายลงไปในแม่น้ำโขง..
ท่านทราบว่าพญานาค " ผาห่มพร้าว " มาแสดงเตือนให้ท่านรู้ว่าเขาเป็นผู้ดูแลสถานที่แห่งนี้ พอคณะลูกศิษย์ตามมาสมทบ องค์ท่านจึงพาลูกศิษย์ทั้งหมดขึ้นไปพักที่ผาห่มพร้าว หลวงปู่ชอบท่านเลือกพักที่นั่งร้านหน้าถ้ำหันหน้าออกไปทางแม่น้ำโขง..
หลวงปู่ชอบท่านถามโยมชาวบ้านน้ำวังว่าเคยเห็นตัวอะไรที่หัวมันกลมดำ ตัวใหญ่ประมาณเท่ากับฆ้องบ้างไหม โยมเคยเห็นสัตว์ลักษณะแบบนี้ในแม่น้ำโขงไหม โยมผู้ชายคนนี้ตอบท่านว่า ข้าน้อยไม่เคยเห็นสัตว์ที่มีลักษณะแบบที่ท่านอาจารย์ว่ามานี้ เคยได้ยินเขาว่ามันมีปลาฝาไร(ปลากระเบนน้ำจืด หรือปลาราหู)อยู่ในแม่น้ำโขง แต่ผู้ข้าก็ไม่เคยเห็นปลาฝาไร ก็เลยไม่รู้ว่ามันจะใช่ไหม องค์ท่านถามเพื่ออยากรู้ความเข้าใจของคนที่นี่ว่าเขาเข้าใจในเรื่องนี้อย่างไร ส่วนท่านนั้นรู้แล้วว่าคืออะไร..
คืนแรกที่หลวงปู่ชอบท่านพักที่ผาห่มพร้าว บ้านน้ำวัง องค์ท่านบอกมีผัวเมียคู่หนึ่งจะมาขอดูลายมือให้องค์ท่าน หลวงปู่ชอบท่านปฏิเสธที่จะให้สองผัวเมียคู่นี้ดูลายมือขององค์ท่าน ท่านบอกไม่ต้องดูลายมือให้เราดอก มีอะไรเราจะภาวนาดูเอง เมื่อองค์ท่านปฏิเสธสองผัวเมียคู่นี้จึงลาท่านกลับลงไปในแม่น้ำโขง..
ข้ามมาอีกวันหลวงปู่ชอบท่านนั่งเหลาไม้สีฟันอยู่หน้าถ้ำผาห่มพร้าว มีพญานาคตนหนึ่งสัณฐานสีดำเหลื่อม ลำตัวขนาดเท่ากับต้นตาลใหญ่ พญานาคตนนี้เอาหัวมาพาดวางไว้ที่ก้อนหินหน้าถ้ำ ส่วนลำตัวจมอยู่ในแม่น้ำโขง พญานาคตนนี้ไม่แสดงกิริยาอย่างอื่นนอกจากกิริยานี้เท่านั้น ท่านว่าพญานาคตนนี้ขึ้นมาดูว่าท่านมาทำอะไรอยู่ที่นี่ เขามาดูว่าท่านเอาสมบัติอะไรในถ้ำออกไปหรือเปล่า พญานาคตนนี้มาเฝ้าดูองค์ท่านจนถึงเวลาประมาณสี่โมงเย็นเขาจึงจมลงไปในแม่น้ำโขง..
องค์ท่านว่า ที่ถ้ำผาห่มพร้าวมีพระพุทธรูปโบราณหลายองค์ มีพระพุทธรูปทำจากทองคำ เงิน สำริด ชินเงิน และพระพุทธรูปที่แกะสลักจากไม้ ภายในถ้ำจะมีถ้วยชามโบราณของลาวอยู่ในถ้ำแห่งนี้มาก องค์ท่านจัดเรียงพระพุทธรูปเพื่อกราบไหว้บูชาเวลาไหว้พระสวดมนต์ พญานาคตนนี้ขึ้นมาดูว่าท่านจะเอาสมบัติภายในถ้ำออกไปหรือไม่ ท่านว่าเคยมีพระมาพักอยู่ที่นี่แอบเอาพระพุทธรูปโบราณออกไปจากถ้ำ พญานาครักษาสมบัติศาสนาที่ผาห่มพร้าวไม่พอใจจึงสั่งสอนพระขี้โลภพวกนี้จนแตกหนีกระเจ
ิง..
คืนที่สองมีพญานาคสองตนขึ้นมาจากแม่น้ำโขง พอถึงฝั่งพวกเขาพากันถอดรูปพญานาคออกกลายเป็นรูปร่างมนุษย์ขึ้นมาแทน ท่านว่าเวลาพญานาคถอดรูปออกง่ายเหมือนกับคนเราถอดเสื้อผ้า เมื่อถอดรูปพญานาคออกแล้วผู้หนึ่งเป็นชาย ผู้หนึ่งเป็นผู้หญิง พญานาคทั้งสองในรูปมนุษย์แต่งกายด้วยอาภรณ์สีแดงสด ชุดที่เขาแต่งเหมือนกับชุดของเจ้าเมืองลาวในสมัยโบราณ ประดับประดาแก้วมณีดูพองาม องค์ท่านบอกถ้าดูจากรูปมนุษย์ที่เขาจำแลง พญานาคทั้งสองถ้าเป็นคนก็อายุประมาณสี่สิบปี..
หลวงปู่ชอบท่านถามชายผู้นี้ว่า ท่านเป็นใครมาจากไหน เขาตอบท่านว่า ข้าพเจ้าชื่อกากะละนาคราช มีวิมานอยู่แม่น้ำโขงใต้ผาห่มพร้าว องค์ท่านถามพญานาคที่เอาหัวมาพาดก้อนหินหน้าถ้ำเมื่อตอนกลางวันใช่ท่านหรือไม่ กากะละนาคราชตอบว่าเป็นเขาเอง ท่านถามเมื่อตอนกลางวันมาเฝ้าดูอาตมาด้วยประสงค์ใด กากะละนาคราชบอกข้าพเจ้ามาดูว่าท่านจะเอาพระพุทธรูปของในถ้ำไปเป็นสมบัติส่วนตัวหรือ
ไม่ เคยมีพระมาอยู่นี่เอาสมบัติพระศาสนาออกไป ข้าพเจ้าต้องไปตามเอาสมบัติพระศาสนาเหล่านี้กลับคืนมาไว้ที่เดิม..
หลวงปู่ชอบถามท่านมาหาอาตมาคืนนี้ด้วยประสงค์ใด เขาตอบท่านว่า ข้าพเจ้ากับคู่บารมี(เมีย)มาขอสนทนาธรรมกับท่าน องค์ท่านถามพญานาคก็สนใจใฝ่ธรรมในพระศาสนาอยู่หรือ กากะละนาคราชบอก พญานาคศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้า มีพญานาคส่วนน้อยที่ไม่สนใจพระศาสนา เหมือนคนเรา ผู้สนใจพระศาสนาก็ใฝ่บุญ ผู้ไม่สนใจพระศาสนาก็ใฝ่บาป เรื่องนี้พญานาคกับมนุษย์จึงไม่แตกต่างกัน..
ตั้งแต่ท่านมาพักอยู่ที่นี่ พวกข้าพเจ้าและบริวารมีความอบอุ่นเย็นใจ กระแสธรรมที่ท่านแผ่เมตตาทำให้พวกข้าพเจ้ามีความสุข ข้าพเจ้ากับคู่บารมีจึงต้องขึ้นมาหาท่านถึงที่นี่..
องค์ท่านหลวงปู่ชอบให้กากะละนาคราชกับคู่บารมีเทวีของเขาสมาทานพระไตรสรณะคมไปปฏิบัต
ิ องค์ท่านแสดงธรรม " อานิสงค์ศีล " ให้พญานาคทั้งสองฟัง หลังจากองค์ท่านแสดงธรรมให้กากะละนาคราชและเทวีฟังแล้ว องค์ท่านถามพญานาคทำไมจึงเกี่ยวข้องกับพระศาสนา พญานาคขึ้นมาโลกมนุษย์เพราะเหตุอะไร
กากะละนาคราชตอบท่านว่า พญานาคมาจากมนุษย์พุทธบริษัท ศีลธรรมที่เคยปฏิบัติยังติดในจิตในใจ ถึงเกิดเป็นพญานาคก็ยังเคารพศรัทธาใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่เหมือนเดิม พญานาคเป็นเทพเทวดาอีกภูมิหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ฝากศาสนาไว้ให้ดูแล..
หลวงปู่ชอบถาม บ้านเมืองพญานาคไม่มีวัดวาศาสนาหรือพวกท่านถึงต้องได้ขึ้นมาโลกมนุษย์ กากะละนาคราชบอกท่านว่า ที่เมืองบาดาลไม่มีวัดวาศาสนาให้ได้ปฏิบัติ วัดวาศาสนามีแต่เฉพาะบนโลกมนุษย์เท่านั้น โลกมนุษย์เป็นภูมิบำเพ็ญทั้งบุญทั้งบาป ผู้ใฝ่ดีก็จักฝักใฝ่ในการบำเพ็ญบุญ บุญกุศลที่บำเพ็ญจักส่งผลให้เลื่อนคุณงามความดีเป็นเทพเทวดาอยู่ตามสวรรค์ชั้นต่างๆ ผู้ทำบาปก็ตกอบายภูมิเป็นสัตว์นรก เปรต อสูรกาย เดรัจฉาน ตามหนักเบาของบาปกรรมที่ตนเองทำมา..(ต่อตอน ๒)
โดย:
AUD
เวลา:
2014-10-7 12:24
[attach]9027[/attach]
ชีวประวัติ พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
วัดป่าโคกมน บ.โคกมน ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย
เขียนบันทึกโดย..ครูบากล้วย พระวีระศักดิ์ ธีรภัทโท..
ตอน ผาห่มพร้าว(๒) บุพกรรมพญานาคสองผัวเมีย
องค์ท่านหลวงปู่ชอบถามถึงบุพกรรมของเจ้าจอมผาห่มพร้าวกับคู่บารมี กรรมอะไรที่ทำให้ท่านทั้งสองได้มาเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา กรรมอะไรที่ทำให้ท่านทั้งสองได้มาปกปักรักษาสมบัติของพระศาสนาอยู่ที่นี่..
กากะละนาคราชบอกองค์ท่านว่า ชาติที่ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ ข้าพเจ้าเป็นคนนักเลงใจร้อนมุทะลุ เมียข้าพเจ้าจึงชวนเข้าวัดปฏิบัติธรรมถือศีลอุโบสถในวันพระ บุญที่ข้าพเจ้ารักษาศีลห้าและศีลอุโบสถ ประกอบกับบุญที่ข้าพเจ้าอุปัฏฐากพระสงฆ์องค์เณร บุญกุศลนี้จึงส่งผลให้ข้าพเจ้าได้เกิดเป็นเทวะภูมิพญานาคในชาติปัจจุบัน..
ตอนเป็นมนุษย์ปฏิบัติอยู่ในวัดวาศาสนา ข้าพเจ้าเผลอพลาดกรรมเพียงครั้งเดียวในการปฏิบัติต่อสมบัติศาสนา ข้าพเจ้ากับเมียยืมจอบเสียมมีดพร้าของวัดเอาไปปลูกผักทำไร่ พอพืชผักออกผลข้าพเจ้ากับเมียก็นำมาทำอาหารถวายพระสงฆ์องค์เณรในวัด มีดพร้าจอบเสียมที่ยืมของสงฆ์ไปชำรุดแตกหักข้าพเจ้าก็ไม่ได้นำมาใช้คืนให้สงฆ์ ปล่อยทิ้งสมบัติของสงฆ์เหล่านี้ไปเพราะชะล่าใจคิดว่ากรรมเล็กน้อยจักไม่เป็นผลเพราะต
นเองไม่มีเจตนายักยอกของสงฆ์..
ก่อนตายจิตข้าพเจ้าไปติดยึดกับของสงฆ์ที่ตนเองเคยยืมไปใช้แล้วไม่ส่งคืน เพราะจิตติดยึดในของสงฆ์ที่ตนเองยืมไปใช้ไม่ส่งคืนจึงทำให้ข้าพเจ้าเป็นพญานาคปกปักร
ักษาสมบัติพระศาสนา ถ้าจิตตนเองไม่ไปติดยึดเรื่องนี้ก่อนตาย ข้าพเจ้าจักได้เกิดเป็นเทพเทวดาในชั้นภูมิที่สูงกว่านี้..
ส่วนคู่บารมีข้าพเจ้าเขาปรารถนาเกิดเป็นคู่บารมีกับข้าพเจ้าตลอดไป ความปรารถนาประกอบบุญของเขา จึงทำให้เขาได้มาเกิดเป็นพญานาคคู่บารมีของข้าพเจ้า..
องค์ท่านถามทำไมเมืองบ้านเมืองพญานาคจึงได้ชื่อว่า “ เมืองบาดาล ”..
พญานาคเจ้าจอมผาห่มพร้าวบอกท่านว่า " เมืองบาดาล " คือชื่อที่มนุษย์เรียกกันขึ้นมาเอง พวกข้าพเจ้ามีทิพย์วิมานซ่อนเหลื่อมใกล้กับภูมิมนุษย์ พญานาคบางหมู่เหล่าก็อยู่ในสวรรค์ บางหมู่เหล่าก็อยู่ภูเขา บางหมู่เหล่าก็อยู่ในน้ำ บางหมู่เหล่าก็อยู่ใต้พิภพ พวกข้าพเจ้าจะเรียกชื่อเมืองตามชื่อของพญานาคผู้เป็นใหญ่ ..
หลวงปู่ชอบ–โลกมนุษย์อาศัยแสงสว่างจากไฟ จากพระอาทิตย์ แสงเดือนแสงดาว บ้านเมืองพวกท่านอาศัยแสงสว่างจากอะไรเป็นเครื่องดำรงอยู่..
พญานาคผาห่มพร้าวบอกองค์ท่านว่า แสงสว่างของพระอาทิตย์ แสงเดือนแสงดาวไม่สามารถส่องถึงนาคาพิภพได้ ที่นาคพิภพไม่มีกลางวันกลางคืนเหมือนกับโลกมนุษย์ ที่เมืองนาคพิภพของพวกข้าพเจ้าจะมี " แก้วแสงทิพย์ " สว่างไสวอยู่สี่มุมเมือง แสงแก้วทิพย์นี้จะสว่างไสวอยู่ตลอดเวลาไม่มีวันดับ แสงสว่างของแก้วแสงทิพย์เย็นใสไม่ร้อนเหมือนแสงพระอาทิตย์ แก้วทิพย์แสงเมืองนี้เกิดจากบุญฤทธิ์ของพวกข้าพเจ้า พญานาคทุกตนจะมีแก้วทิพย์ประจำตัว แก้วทิพย์บุญฤทธิ์จะเป็นแก้วสารพัดนึกที่พญานาคทุกตนใช้ในการนิรมิต..
องค์ท่านหลวงปู่ชอบ-พวกมนุษย์กินเนื้อสัตว์ กินพืชผักเป็นอาหาร พวกพญานาคเขาพากันกินอะไรเป็นอาหาร..
เจ้าจอมผาห่มพร้าวตอบองค์ท่านว่า พญานาคเป็นพวกกายทิพย์ไม่มีเวทนาหิวโหยเหมือนมนุษย์ ความเหนื่อยความหิวไม่มีในพญานาค พวกข้าพเจ้า " อิ่มในบุญ " จึงไม่มีเวทนาหิวโหยเหมือนพวกกายหยาบอย่างมนุษย์และเดรัจฉาน..
องค์ท่านถามพญานาคมีฤทธิ์เดชมากแค่ไหน..
เจ้าจอมผาห่มพร้าวบอกองค์ท่านว่า พญานาคมีฤทธิ์มากเกินจะประมาณได้ ถ้าพวกข้าพเจ้าอยากจะทำร้ายผู้ใด เพียงแค่เพ่งฤทธิ์ใส่มนุษย์หรือสัตว์ผู้นั้น มนุษย์และสัตว์ผู้นั้นก็จะแหลกเป็นจุลในทันที พวกพญานาคมีหิริโอตัปปะธรรมสูงกว่ามนุษย์ธรรมดา ถ้าไม่เคยมีกรรมอันหนักต่อกันแล้วพวกพญานาคจะไม่ทำร้ายมนุษย์และสัตว์ให้ถึงแก่ความฉ
ิบหายของชีวิต พญานาคมีฤทธิ์จะจำแลงเป็นอะไรก็ได้ตามที่อยากจะเป็น แต่สุดท้ายต้องกลับคืนสู่อัตภาพภูมิเดิมของตน..
องค์ท่านหลวงปู่ชอบถาม เวลาพวกท่านอยู่บ้านเมืองของตน พวกพญานาคเขามีรูปร่างแบบใด..
พญานาคเจ้าจอมผาห่มพร้าวบอกท่านว่า พวกข้าพเจ้ามีรูปร่างเป็นมนุษย์เหมือนกับพระคุณเจ้านี้แหละ ไม่แตกต่างอะไรกับพวกท่านเลย..
องค์ท่านหลวงปู่ชอบถาม รูปร่างของพญานาคเกิดขึ้นได้อย่างไร..
กากะละนาคราชบอกองค์ท่านว่า รูปร่างของพญานาคจะเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุหกประการ..
๑.เวลาแสดงตน ๒.เวลาเกิดโทสะ ๓.เวลาเดินทาง ๔.เวลาเผลอสติ ๕.เวลาแสดงฤทธิ์ ๖.เวลาจิตเกิดปฏิพัทธ์ในกาม..
องค์ท่านถาม พญานาคขึ้นมาโลกมนุษย์เพราะเหตุอะไร..
เขาบอกท่านว่า พญานาคขึ้นมาโลกมนุษย์ด้วยเหตุหลักสี่ประการ
๑.มาเพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเครื่องหมายของพระศาสนา เช่น พระพุทธรูป สถูปเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารริกธาตุของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์สาวก ๒.มาเพื่อกราบไหว้ฟังธรรมกับท่านผู้ทรงธรรม ๓.มาเพื่อบำเพ็ญบุญบารมีให้กับตนเอง ๔.มาเพื่อเที่ยวชมโลกมนุษย์ แต่มาเที่ยวโลกมนุษย์จะไม่ขึ้นมาบ่อย เพราะโลกมนุษย์วุ่นวายเต็มไปด้วยกิเลส บ้านเมืองพวกข้าพเจ้าสงบร่มเย็นกว่าโลกมนุษย์..
หลวงปู่ชอบ–พวกมนุษย์มีการทะเลาะเบาะแว้งเข่นฆ่าทำร้ายกัน พวกพญานาคเป็นแบบนี้เหมือนกับพวกมนุษย์หรือไม่..
เขาตอบท่านว่า พวกพญานาคก็มีการวิวาทกันเหมือนกับมนุษย์ พอวิวาทกันพญานาคราชผู้เป็นเจ้าครองเมืองจะเป็นผู้พิพากษาเรื่องให้ การเข่นฆ่ากันในสังคมของพญานาคจะไม่มี เพราะพญานาคมี " เทวะธรรม " ครองใจ..
หลวงปู่ชอบท่านถาม กากะละนาคราช เจ้าจอมพญานาคผาห่มพร้าวในทุกแง่ที่องค์ท่านอยากรู้ กากะละนาคราชตอบทุกเรื่องที่องค์ท่านถาม พอถึงกาลสมควรกากะละนาคราชและคู่บารมีพากันลาองค์ท่านกลับไปยังบ้านเมืองของพวกเขา
ท่านว่าเวลาพญานาคทั้งสองกลับ เขาจะกลายร่างเป็นพญานาคจมลงไปในแม่น้ำโขงหน้าถ้ำผาห่มพร้าว เขาไม่ได้เอาหัวมุดลงไปในน้ำเหมือนพฤติกรรมแบบงูทั่วไป ท่านว่ากิริยาแบบนี้เป็นกิริยาในการไปการมาที่เป็นลักษณะเฉพาะของพวกพญานาคทั้งสี่ตร
ะกูล..
ท่านบอก พญานาคจะมีพฤติกรรมแตกต่างจากงูทั่วไปคือ ๑.เวลาพญานาคเดินทางเขาจะลอยตัวไปในอากาศลักษณะพุ่งไปข้างหน้าเหมือนลูกธนูพุ่งออกจา
กเกาฑัณคันศร หรือลอยไปในลักษณะเหมือนคลื่นน้ำ ต่างจากพวกงู พวกงูเวลาไปจะเลื้อยวกวนออกซ้ายออกขวา..
พญานาคจะไม่เอาหัวของตนเองแตะพื้นดินเหมือนกับงู พญานาคเวลาพักจะขดเป็นชั้นวงเอาหัวพาดวางไว้ที่ลำตัว เรื่องนี้องค์ท่านเคยถาม “ เทพนาคา ” พญานาคผู้พิทักษ์รักษา " พระพุทธบาทสี่รอย " เมืองเชียงใหม่ เพราะอะไรพญานาคจึงต้องแสดงกิริยาที่แตกต่างจากงู เทพนาคาบอกองค์ท่านว่า พญานาคเป็นเทพ มีศักดิ์เหนือกว่าพวกงูที่เป็นเดรัจฉาน พญานาคจึงแสดงศักดินาทิฐิตนเองแบบนี้..
หลังพญานาคผาห่มพร้าวสองผัวเมียกลับไปแล้ว องค์ท่านจึงออกจากสมาธิ พ่อแม่ครูจารย์บอกคืนนั้นเราไม่ได้พักขันธ์ห้า(นอน)เลย เราออกจากภาวนาเราก็มานั่งไหว้พระสวดมนต์แผ่เมตตา จนถึงอรุณวันใหม่..
พอฟ้าเห็นอรุณ หลวงพ่อบุญพิน กตปุญโญ ท่านเอาน้ำอุ่นมาให้องค์ท่านหลวงปู่ชอบล้างหน้า หลวงปู่ชอบท่านถามว่า ยุพิน(ชื่อที่ครูบาอาจารย์ท่านใช้เรียกหลวงพ่อบุญพิน) เมื่อคืนภาวนาภายนอกภายในของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ภายนอกเมื่อคืนนี้มีพญานาคสองผัวเมียอยู่ผาห่มพร้าวเขาพากันขึ้นมาหาเรา ท่านยุพินเห็นพวกเขาบ้างมั๊ย..
หลวงพ่อบุญพินตอบองค์ท่านว่า ข้าน้อยไม่มีตาในจึงมองไม่เห็นพวกเขาขอรับ..
องค์ท่านหลวงปู่ชอบพูดให้หลวงพ่อบุญพินว่า ตาหมากขามขี้ พญานาคมาแสดงตัวให้ดูมันก็มองไม่เห็นเขา ของเป็นตัวยังมองไม่เห็น แล้วกิเลสที่เป็นนามธรรมในจิตใจแต่ละชั้นมันจะไปมองเห็นได้ยังไง เวลาเราบอกให้ภาวนาก็อย่าขี้เกียจ มันจะได้เป็นพยานรู้เห็นกับเราบ้าง นี่อะไรๆก็ให้แต่พ่อแก่มันดูให้หมดทุกอย่าง..
หลวงพ่อบุญพินถูกองค์ท่านหลวงปู่ชอบเบิกอรุณใจให้ท่านตั้งแต่เช้ามืดก่อนออกบิณฑบาต.
.
หลวงปู่ชอบท่านจึงเล่าเรื่องพญานาคสองผัวเมียผาห่มพร้าวให้หลวงพ่อบุญพินฟัง
หลวงพ่อบุญพินท่านบอกกับผู้บันทึก ผมก็เพลินในเรื่องที่พ่อแม่ครูจารย์ชอบท่านเล่าให้ฟังก่อนออกบิณฑบาต ตอนนั้นเรายังภาวนาอ่อนหัดอยู่จึงไม่เห็นพญานาคเหมือนกับพ่อแม่ครูจารย์ท่าน หลวงปู่ชอบท่านชำนาญในกายทิพย์ ท่านมีวาสนาโปรดพวกกายทิพย์ได้มาก ตอนผมอยู่ปฏิบัติกับพ่อแม่ครูจารย์ชอบ พวกเทพเทวดาพญานาคเขาจะมาหาท่านทุกวัน บางทีพวกเทพเทวดาอยู่ทางเมืองเชียงใหม่ยังพากันมากราบเยี่ยมขอฟังธรรมกับองค์ท่านที่
บ้านโคกมน วาสนาพ่อแม่ครูจารย์ชอบท่านเด่นมากในเรื่องนี้ ยากที่ลูกศิษย์อย่างพวกเราจะได้อย่างท่าน
โดย:
Nujeab
เวลา:
2014-10-7 15:55
สาธุครับ กราบสักการะหลวงปู่ชอบ
โดย:
sriyan3
เวลา:
2014-10-8 16:58
ขอบคุณคร้าบ
โดย:
En130
เวลา:
2014-10-9 13:26
ขอบคุณครับ
โดย:
Metha
เวลา:
2014-12-12 10:38
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/)
Powered by Discuz! X3.2