Baan Jompra
ชื่อกระทู้: ตำนานพระฤาษีผู้มีฤทธิ์จากวรรณคดี [สั่งพิมพ์]
โดย: Sornpraram เวลา: 2014-10-3 06:45
ชื่อกระทู้: ตำนานพระฤาษีผู้มีฤทธิ์จากวรรณคดี
วสุธรรม:
ตำนานพระฤาษีผู้มีฤทธิ์จากวรรณคดี
ตำนานพระฤาษีที่สำคัญมีที่มาจากเนื้อเรื่องรามเกียรติ์ อันเป็นมหากาพย์โบราณที่แต่งมานานนับพันปี ภายในเนื้อเรื่องทำให้เราเห็นถึงสภาพสังคมสมัยก่อน ประกอบกับความเป็นอยู่และฤทธิ์เดชของพระฤาษีในยุคหลายพันปีที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดีที่สุด ดังนั้น จึงขอนำเอารายนาม พระฤาษีที่มีฤทธิ์ อันปรากฏในเรื่องรามเกียรติ์ ยกมาให้ท่านทั้งหลายได้อ่าน ได้พิจารณากันก่อน ดังนี้
พระฤาษีที่มีฤทธิ์อันปรากฏในเรื่องรามเกียรติ์
พระฤาษีคือบุคคลที่ผ่านการบำเพ็ยเพียรละความสุขทางโลก มีความเพียรที่จะหลุดพ้นจากกามตัณหาราคะ ฝึกฝนการเข้าสมาธิฌานสมาบัติเพื่อให้จิตเป็นหนึ่งกับพระเป็นเจ้าได้ พระฤาษีที่พยายามฝึกฝนตนเองจนสำเร็จฌานชั้นสูง ย่อมสามารถติดต่อกับพระเป็นเจ้าเทพยาทั้งหลาย และยังล่วงรู้วิชาอันเร้นลับพิสดารต่างๆ สุดจะพรรณา บ้างก็มีอายุนานเหลือคณาเกินกว่าที่ปุถุชนจะดำรงอยู่ได้ เรื่องที่น่าอัศจรรย์ เช่นนี้มีอยู่ในรามเกียรติ์
กล่าวถึงอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ของพระฤาษีไว้หลายประการ ที่สำคัญคือ พระฤาษีทั้งหลายนั้นล้วนเป็นผู้ให้ความรู้ทั้งแก่ฝ่ายพระราม หนุมาน และยักษ์ ต่างก็ได้เรียนรู้วิชาต่างๆ จากพระฤาษี ด้วยกันทั้งนั้น จึงแสดงให้เห็นว่าพระฤาษีนั้นเป็นบุคคลสำคัญยิ่ง ที่มีอิทธิพลต่อสังคมสมัยโบราณ ทั้งยังเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้รับการยอมรับกราบไหว้จากบรรดาเทพพรหม ยมยักษ์ต่างๆด้วย
ในเรื่องรามเกียรติ์นั้นปรากฏนามของพระฤาษีทั้งหมด 33 ตน ที่เป็นทศกัณฐ์แปลงเป็นฤาษีมี 3 ตน รวมแล้ว ได้ 36 ตน
พระฤาษีกไลยโกฎผู้มีตบะแก่กล้าทำให้ฝนแล้งถึง 7 ปี
ในเรื่องรามเกียรติ์นั้น มีเรื่องราวเกี่ยวกับพระฤาษีอยู่มากมาย แสดงให้เห็นว่าในสังคมยุคโบราณนั้นมีผู้นิยมออกบวชเป็นฤาษีมากและที่สำเร็จกสิณอภิญญามีตบะแก่กล้าก็มาก อย่างเช่นพระฤาษีกไลยโกฎ พระฤาษีตนนี้มีลักษณะพิเศษคือ เป็นพระฤาษีหน้าเนื้อ นับเป็นมหาฤาษีผู้ทรงตบะสูงส่งท่านหนึ่ง ตำนานว่า ท่านเป็นบุตรของพระฤาษีอิสีสิงห์ เกิดในป่าอยู่ในป่าแต่เล็กไม่เคยเห็นบ้านเมืองกับเขา ฤาษีผู้เป็นบิดาสั่งสอนไว้ว่าให้ระวังวัวเขาอ่อน มันมีเขาขึ้นบนอก เขามันแปลกเพราะว่าแทนที่จะแข็งกลับนิ่ม พระฤาษีกไลยโกฎได้แต่ฟังบิดากำชับ แต่เคยเห็นของจริงไม่ ไม่เข้าใจว่าเป็นอะไร ก็ได้แต่บำเพ็ญเพียรภาวนาจนบรรลุฌานสมาบัติตามลำดับ
พระฤาษีกไลยโกฎได้ฌานสมาบัติสูงมาก สามารถเข้าฌานสมาบัติชั้นสูงสุดนั่งนิ่งไม่ขยับกายนับเป็นปีๆ ด้วยเดชความแรงกล้าของฌานสมาบัติ ซึ่งมีอานุภาพดุจพระอาทิตย์ร้อยดวงพันดวงนั่นเองทำให้บ้านเมืองที่พระฤาษีกไลยโกฎเข้าฌานนั้นหามีฝนตกลงมาไม่ บ้านเมืองเมื่อไม่มีฝนตก ก็ย่อมเกิดความเดือดร้อนเป็นธรรมดา ฝนไม่ตกอยู่นานถึง 3 ปี เพราะ ระหว่าง 3 ปี นั้น พระฤาษีกไลยโกฎเข้าฌานนั่งนิ่งไม่ไหวกายจิตดิ่งอยู่ในสมาฌานเช่นนั้นโดยไม่ต้องกินข้าว ไม่ต้องกินน้ำ แต่ก็สามารถดำรงอยู่ได้ ด้วยอำนาจจิตที่มีพลังงานมหาศาล ร่างกายก็ไม่ตาย เกินวิสัยของปุถุชนคนธรรมดาสามัญจะเข้าใจในความลี้ลับแห่งสมาธินี้ได้
อย่างไรก็ตาม การบำเพ็ยตบะฌานอันสูงส่งของพระฤาษีกไลโกฎนี้ก่อความเดือดร้อนแก่บ้านเมือง จนกระทั่ง ท้าวโรมพัตต้องส่งบุตรสาวที่สวยที่สุดชื่อนางอรุณวดี เข้าไปทำลายตบะแห่งองค์พระฤาษี ด้วยการบีบนวดเคล้าคลึงเอาน้ำผึ้งไปทาริมฝีปาก เมื่อกระทำมากเข้าพระฤาษีกไลยโกฎก็ออกจากฌานสมาบัติลืมตาดู เมื่อเห็นนางอรุณวดี และได้รับการนวดการสัมผัสบีบคลำ ตัณหาภายในใจก็ฟุ้งขึ้น ที่สุดตละที่บำเพ็ญไว้ก็เสื่อม ทำให้ฝนที่แล้งอยู่นานถึง 3 ปี ตกกระหน่ำลงมาบ้านเมืองก็สุขสบาย
พระฤาษีกไลยโกฎ ต่อมาล่วงรู้ความจริงเข้าก็กลับไปบำเพ็ญตบะใหม่ จนมีฤทธิ์กล้าเหมือนเดิม และเลิกสนใจในอิสตรี แต่นั้นมาเพราะล่วงรู้ถึงพิษสงที่โดนเข้าแล้วเป็นอย่างดี
พระฤาษีกไลยโกฎนี้ยังเป็นบุคคลสำคัญ เมื่อตอนที่ท้ายทศรถปราถนา จะมีบุตรสืบสกุลแต่อย่างไรก็หามีไม่ ที่สุดต้องเชิญพระฤาษีอันมีฤทธิ์แก่กล้า ห้าตนมาทำพิธี หนึ่งในนั้นก็มีพระฤาษีกไลยโกฎด้วย โดยเชิญมาทำพิธี หุงข้าวทิพย์ให้มเหสีสามพระองค์เสวย ได้แก่ นางเกาสุริยา นางไกยเกษี และนางสุมทรชา หลังจากทำพิธีเรียบร้อยเวลาผ่านไปก็ได้บุตรขึ้นมาจริงๆ ตอนที่ทำพิธีเสร็จใหม่ๆ นางกากยายักษ์ก็มาคาบข้าวทิพย์เอาไปให้นางมณโฑกินด้วย นางจึงได้ลูกสาวที่มีหน้าตาสวยงามกว่าหญิงใดในสามโลก คือนางสีดานั่นเอง
โดย: Sornpraram เวลา: 2014-10-3 06:47
พระฤาษีโคบุตรผู้ถอดดวงในทศกัณฐ์
นับเป็นพระฤาษีที่มีฤทธิ์มาก เป็นครูฝ่ายยักษ์ มีลูกศิษย์ที่สำคัญสองคน คือทศกัณฐ์ และอินทรชิต ได้สั่งสอนวิชาเวทวิทยาอาคมขลังจนทำให้ทศกัณฐ์ กำเริบเสิบสานระรานทั่วทั้งสามโลก แต่ภายหลังสู้พระรามไม่ได้ ทศกัณฐ์ขอร้องให้อาจารย์ช่วยถอดดวงใจ เพื่อตนจะได้เป็นอมตะไม่มีวันตาย เมื่อพระฤาษีโคบุตรเห็นใจช่วยถอดดวงใจออกมาไว้นอกร่างกายทศกัณฐ์ก็ยิ่งมีฤทธิ์ไม่กลัวตายเพราะใครก็ทำอะไรตนเองไม่ได้ ที่สุดพิเภกบอกกลอุบายให้พระรามและหนุมานได้ทราบ หนุมานจึงไปหลอกทศกัณฐ์ว่าตนทะเลาะกับพระรามไม่ขออยู่ดวยแล้วต่อไปนี้จะช่วยทศกัณฐ์รบ ทศกัณฐ์หลงกลรักหนุมานดั่งลูก ที่สุดหนุมานสืบได้ว่ากล่องดวงใจอยู่ที่พระฤาษีโคบุตร หนุมานกับองคตจึงเข้าไปหลอกล่อ ลวงขอกล่องดวงใจของทศกัณฐ์ ที่สุดพระฤาษีโคบุตรเสียรู้ ทศกัณฐ์จึงต้องตายในสนามรบ โดยพระรามแผลงศร ในขณะที่หนุมานขยี้กล่องดวงใจ เป็นอันว่าทศกัณฐ์ จึงสิ้นใจในที่สุด
วิชาถอดกล่องดวงใจนี้ถือว่าเป็นยอดวิชาที่สร้างความคงกระพันไม่มีวันตายได้ ดังนั้นเรื่องตบะฌานอันแก่กล้าของพระฤาษีโคบุตรจึงถือว่าสุดยอดหาผู้ใดมาเปรียบด้วยยาก เพราะมีเพียงพระฤาษีไม่กี่ตนเท่านั้นที่จะสามารถทำวิชาอันน่าอัศจรรย์นี้ได้ ดังนั้นพระฤาษีโคบุตรจึงถูกยกย่องว่า เป็นพระฤาษีที่มีฤทธิ์วิทยาแก่กล้ามากตนหนึ่งในเรื่องรามเกียรติ์
พระฤาษีอังคต
เป็นผู้ที่มีวิชาแก่กล้าอีกท่านหนึ่ง ตามเนื้อเรื่องรามเกียรติ์เล่าว่า พระฤาษีท่านนี้มีความสามารถถึงขนาดผ่าเอาลูกของพาลีที่ติดท้องนางมณโฑเมียของทศกัณฐ์มาไว้ในท้องแพะ เรื่องราวตอนนี้มีอยู่ว่าพาลีเป็นพญาลิง ที่มีฤทธิ์แก่กล้า เพราะได้พรวิเศษจากพระอิศวรว่ายามเมื่อรบกับใครก็ตาม ให้กำลังของผู้นั้นลดลงครึ่งหนึ่งแล้วมาเพิ่มให้กับตนเอง คราวหนึ่งพยษพาลีรบกับทศกัณฐ์ เพราะพาลีต้องการแย่งนางมณโฑเมียรักของทศกัณฐ์ แต่ทศกัณฐ์สู้ไม่ได้เจ็บใจยิ่งนักที่เมียรักโดนชิงไปต่อหน้าต่อตา ที่สุดทศกัณฐ์ขอร้องให้รพะฤาษีโคบุตรช่วย เพราะพระฤาษีโคบุตรเป็นเพื่อนกับพระฤาษีอังคตอาจารย์ของพาลี พระฤาษีอังคตเห็นว่าการกระทำของพาลีไม่ถูกต้องจึงไปเจรจาให้จนพาลียอมคืนนางมณโฑ แต่ขณะนั้น นางมณโฑตั้งครรภ์แล้วกับพาลี พระฤาษีอังคตจึงใช้วิชาผ่าท้องนางมณโฑนำลูกที่เกิดกับพาลีไปฝากไว้กับท้องแพะแทน พอครบกำหนดทารกนั้นคลอดออกมาจากท้องแพะมีชื่อว่า"องคต"
จากเนื้อเรื่องวิชาผ่าท้องฝากลูกไว้ต่างครรภ์ก็นับเป็นวิชาอันพิลึกพิสดารอย่างหนึ่ง ไม่แพ้วิชาของพระฤาษีตนอื่นๆ ซึ่งในสมัยปัจจุบันก็มีการทำได้ แต่เพิ่งไม่กี่สิบปีมานี่เอง โดยศัพท์สมัยใหม่เรียกว่าการทำ "กิ๊ฟ" แต่ในเรื่องรามเกียรติ์พระฤาษีโคบุตรสำเร็จวิชานี้มานานนม คาดเดาก็ต้องไม่ต่ำกว่าหมื่นปีมาแล้ว ดังนั้นฤทธิ์วิทยาของพระฤาษีโคบุตรจึงถือว่านำหน้าการแพทย์สมัยปัจจุบันไปไกลทีเดียว
เรื่องวิชาอันลี้ลับในยุคก่อนที่พระฤาษีท่านสำเร็จและทำได้จึงเป็นเรื่องน่าพิจรณา เราเกิดมารุ่นหลังได้อ่านก็อย่าเพิ่งหาว่างมงาย เพราะทุกวันนี้วิทยาศาสตร์ก็ตามหาความจริงจากตำนานอันลี้ลับต่างๆ เมื่อวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบันเพิ่งทำได้ แสดงว่าที่ถูกบันทึกเอาไว้ในมหากาพย์ อย่างรามเกียรติ์ ย่อมไม่ใช่เรื่องนิยายไปเสียหมด ย่อมมีมูลแห่งความจริง ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน
พระฤาษีโคดมผู้มีอายุยาวนานถึง 2 หมื่นปี
เป็นพระฤาษีที่มีตบะแก่กล้าจนสามารถมีอายุยืนนานผิดคนธรรมดา แต่เดิมพระฤาษีโคดมผู้นี้เป็นกษํตริย์ครองนครสาเกต ได้เห็นวิถีชีวิต พิจารณาจนเห็นทุกข์ในวัฏฏสงสาร ที่สุดเกิดเบื่อหน่ายในราชสมบัติอันเป็นเรื่องทางโลกีย์วิสัยไม่มีทางพ้นทุกข์ ต้องมีแต่ความวุ่นวายอยู่เป็นนิจ จึงได้ออกบวชบำเพ็ญเพียรจนบรรลุฌานชั้นต่างๆ ได้ฌานสมาบัติชั้นสูงเข้าฌานได้นานนับปีโดยไม่เคลื่อนกาย สามารถเสพอากาศธาตุเป็นอาหาร การทำฌานเป็นเวลานานของพระฤาษีโคดมนี้ทำให้ปล่อยร่างกายจนมีนวดเครายาวรุงรัง จนกระทั่งมีนกกระจาบมาทำรังอาศัยอยู่ในเครา
วันหนึ่งนกกระจาบตัวผู้บินไปเคล้าเกสรบัวจนค่ำ ดอกบัวหุบต้องค้างคืนในดอกบัว นางนกตัวเมียโกรธเข้าใจผิดคิดว่าผัวนอกใจตนจึงทะเลาะกัน นกตัวผู้กล่าวว่า "ถ้าจนไม่ซื่อสัตย์ขอให้บาปฤาษีโคดมจงมาตกอยู่กับตน"
พระฤาษีโคดมผู้บรรลุฌานและมีญาณหยั่งรู้ จนสามารถเข้าใจสิ่งที่สัตว์ทั้งหลายส่งภาษากันก็เข้าใจในสิ่งที่นกกระจาบพูดทุกประการ จึงสงสัยว่าเราบวชมาตั้งหมื่นปีเหตุใดจึงมีบาปอยู่กับตัว จึงถามนกไป นกก็เลยตอบว่าเป็นเพราะฤาษีไม่มีลูกสืบสกุลเป็นเหตุให้บาป พระฤาษีโคดมจึงก่อกองไฟชุบหญิงนางหนึ่งขึ้นมาจากกองไฟนั้น นามว่า "กาลอัจนา" แล้วสมสู่กับนางจนได้บุตรสาวนามว่า "สวาหะ"
ต่อมาพระอินทร์กับพระอาทิพตย์ต้องการจะสร้างทหารให้แก่พระราม จึงลอบมาเป็นชู้กับนางกาลอัจนา จนเกิดบุตรคือพาลี (ลูกพระอินทร์) สุครีพ (ลูกพระอาทิตย์) พระฤาษีโคดมก็เลี้ยงดูด้วยเข้าใจว่าเป็นลูกตน
วันหนึ่งพาลูกทั้งสามไปอาบน้ำ โดยอุ้มพาลี สุครีพ ส่วนนางสวาหะให้เดินไป นางกาลอัจนาผู้เป็นภรรยาจึงต่อว่า "ลูกคนอื่นอุ้มชูอย่างดี ลูกตนให้เดินดิน" ฤาษีโคดมได้ฟังดังนั้นจึงเกิดความแคลงใจ จึงอธิษฐานโยนลูกทั้งสามลงน้ำไป ใครเป็นลูกตนให้ว่ายน้ำกลับมา ถ้าใครไม่ใช่ให้กลายเป็นลิงไป
ด้วยเหตุนี้พาลีและสุครีพ จึงกลายเป็นลิง พระอินทร์และ พระอาทิตย์ผู้เปนพ่อที่แท้จริง จึงมาเนรมิตเมืองใหม่ให้นามว่า "นครขีดขิน"
เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า พระฤาษีโคดมมีฤทธิ์แก่กล้าหาได้ด้อยกว่า พระฤาษีตนใดไม่ เพราะด้วยอำนาจแรงฌานสมาบัติทำให้อายุยาวนานนับหมื่นปี มีญาณหยั่รู้ภาษาสัตว์ชนิดต่างๆ ซ้ำยังมีวิชาชุบคนขึ้นมาจากกองไฟ ทั้งยังมีวาจาสิทธิ์อธิษฐานให้เกิดผลทันตาเห็นอย่างตอนที่โยนลูกทั้งสามลงน้ำ พระฤาษีโคดมผู้นี้จึงเป็นพระฤาษีที่มีฤทธิ์เป็นที่นับถือย่างมากในเรื่องรามเกียรติ์
วสุธรรม:
พระฤาษีผู้เป็นปฐมเหตุแห่งการสร้างเมืองอโยธยา
เมืองอโยธยานั้นเป็นเมืองที่บังเกิดจากพระฤาษีสี่ตนรวมกันเนรมิตเมืองขึ้น คำว่าอโยธยานั้นก็มาจากคำนำหน้าของพระฤาษีทั้งสีตนได้แก่ พระฤาษีอจนคาวี พระฤาษียุคอัคระ พระฤาษีทหา และพระฤาษียาคะ เมืองอโยธยาที่สร้างขึ้นนี้พระฤาษีทั้งสี่ยกให้แก่ท้าวอัชบาลเป็นปฐมกษัตริย์ขึ้นครองเมือง
พระฤาษีผู้ร่วมพิธีกวนข้าวทิพย์
ในเบื้องต้นได้กล่าวถึงพระฤาษีกไลยโกฎิผู้ทรงตบะฌานอันแก่กล้า ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าที่ร่วมพิธีกวนข้าวทิพย์ให้ท้าวทศรถ ที่เหลืออีกสี่ตนอันล้วนมีฤทธิ์มีบุญญานุภาพเป็นที่เคารพของไตรโลกได้แก่ พระฤาษีวสิทธิ์ พระฤาษีสวามิตร พระฤาษีวัชระอัคคี พระฤาษีภารัทวาช ส่วนองค์สุดท้ายที่กล่าวไปแล้วคือ พระฤาษีกไลยโกฎ เมื่องนางเกาสุริยา ไกยเกษี และสมุทรชาได้กินข้าวทพย์ไปแล้วเกิดบุตรด้วยกันทั้งสิ้น 4 คน คือ นางเกาสุริยามีบุตรชื่อ พระราม คือองค์นารายณ์อวตาร นางไกยเกษีมีบุตรคือ พระพรตและพระสัตรุต นางสมุทรชามีบุตรคือพระลักษณ์ ส่วนนางมณโฑได้กินด้วยเช่นกันมีบตรี คือ นางสีดา เป็นพระลักษมีอวตาร
เรื่องนี้น่าสนใจกว่าวิชาการหุงข้าวทิพย์นั้นมีมาแต่โบราณ และมีสรรถคุณเป็นยอดด้วย ถ้าในสมัยปัจจุบันก็น่าจะเหมือนอาหรบำรุงที่กินแล้วทำให้รางกายแข็งแรง แต่สำหรับวิชาการหุงข้าวทิพย์ระดับมหาฤาษีย่อมต้องมีความพิเศษกว่ามาก เพราะนอกจากสรรหาของดีมาปรุง ซึ่งย่อมต้องเป็นยอดอาหารที่มีคุณประโยชน์แล้ว ยังประกอบด้วยอานุภาพทางจิต และพลังแห่งสิริรมงคลเป็นสิ่งที่ปรุงลงไปด้วย จนเกิดเป็นอาหารทิพย์ที่มีคุณวิเศษเพื่อให้กำเนิดบุตรธิดาอันเป็นยอดคนในแผ่นดินตามเรื่องรามเกียรติ์ นับว่าเป็นอีกวิชาหนึ่งที่สุดยอดพิสดารในเรื่องรามเกียรติ์
โดย: Sornpraram เวลา: 2014-10-3 06:56
พระฤาษี 4 ตนผู้ชุบกบให้กลายเป็นคน
นางมณโฑผู้เป็นภรรยาสุดที่รักของทศกัณฐ์นั้นใครจะรู้บ้างว่าแต่เดิมก่อนที่นางจะมีรูปโสภาดังนี้เคยเป็นกบมาก่อน แต่ด้วยกรรมชักนำจึงพาให้กลายเป็นมนุษย์ในภายหลัง เล่าว่าแต่เดิมมีพระฤาษีสี่ตน คือ พระฤาษีอตันตา พระฤาษีอธิรา พระฤาษีวิสูตร และ พระฤาษีมหาโรมสิงห์ พระฤาษีทั้ง 4 ล้วนบำเพ็ยจิตขัดเกากิเลสจนมีฤทธิ์อันลี้ลับภายในตน ข้างอาศรมของพระฤาษีทั้ง 4 นั้นยังมีนางกบตัวหนึ่ง พระฤาษีเห็นเกิดเอ็นดูจึงเลี้ยงด้วยน้ำนมเป็นประจำ วันหนึ่ง พระฤาษีทั้ง 4 เดินไปในป่าเห็นนางพญานาคีสมสู่กับงูดิน พระฤาษีเห็นดังนั้นจึงใช้ไม้เท้าสะกิดเพื่อเตือนให้รู้ว่า ไม่ควร นางนาคีเป็นถึงพญางูหาควรมาเกลือกกลั้วกับงูดินไม่ นางพญานาคีทั้งแค้นทั้งอาย เมื่อได้โอกาสจึงแอบมาคายพิษใส่ในน้ำนม ที่พระฤาษีจะดื่มกิน นางกบเห็นเหตุการณ์จึงสละชีวิตโดยการกระโดดลงไปดื่มกินนมพิษจนตัวเองตาย พระฤาษีทั้ง 4 กลับมาเห็นแปลใจจึงใช้วิชาชุบชีวิตนางกบขึ้นมาซักถามเหตุใดจึงตะกละเยี่ยงนั้น นางกบเล่าเหตุการณ์ให้ฟังโดยตลอด จนพระฤาษีสงสารและเห็นถึงความกตัญญูจึงชุบร่างนางกบกลายเป็นสาวงามนามว่านางมณโฑ
พระฤาษีปรศุรามผู้ทำให้พระคเณศเสียงา
ตำนานนี้มีว่า เนื่องจากพระพิฆเณศ (พระคเณศ) เป็นผู้เฝ้าประตูห้องพระศิวะเจ้า ใครจะเข้าจะออกต้องผ่านพระพิฆเณศเสียก่อน ครั้งหนึ่งพราหมณ์ (ฤาษี) ปรศุรามจะเข้าเฝ้าพระอิศวร พระพิฆเณศเข้าห้ามปราม จนกระทั่งเกิดการวิทวาทถึงขั้นสู้กันขึ้นมา พระพิฆเรศได้ทีใช้งวงจับพราหมณ์ปรศุรามขึ้นเหวี่ยงในอากาศจนปรศุรามเกือบสิ้นสติ พอปรศุรามได้โอกาสบ้างจึงเอาขวานเพชรที่พระศิวะประทานให้จามที่หัว พระพิฆเณศ พอเห็นขวานจำได้ว่าเป็นของพระบิดาไม่กล้าโต้ตอบ จึงเอางาข้างขวารับ เมื่อขวานเพชรกระทบเข้าทำให้งาด้านนั้นหักสะบั้นออก ทำให้พระพิฆเณศมีงาเดียวเท่านั้นเป็นต้นมา และถือเป็นเหตุแห่งการเสียงาของพระพิฆเณศด้วย
พระฤาษีทรวาสผู้สาปแช่งเทวดา
พระฤาษีตนนี้มีนามว่าทรวาส มีฤทธิ์ตบะแก่กล้ามาก มีวาจาสิทธิ์ เป็นที่เกรงกลัวของเทพยดาทั้งหลายแม้พระอินทร์ก็เกรงกลัวยิ่งนัก มีเรื่องเล่าว่าแต่เดิมพระฤาษีตนนี้มีความเคารพในพระอินทร์ จึงเอาพวงมาลัยเข้าถวาย โดยคล้องไปที่หัวของพญาช้างเอราวัณ พญาช้างทรงของพระอินทร์ เมื่อได้กลิ่นดอกไม้เข้าจึงเกิดอาการมืนเมาถึงขั้นเอางวงจับพวงมาลัยฟาดลงดิน พระฤาษีทรุวาสเห็นดังนั้นเข้าใจผิดว่าพระอินทร์ลบหลู่ตน จึงโกรธและสาปแช่งให้พระอินทร์และเหล่าเทวดาทั้งหลายจงพ่ายแพ้แก่อสูร แต่นั้นมาเทพยดาทั้งหลายก็อ่อนแรงไม่อาจมีพละกำลังต่อสู้กัลอสูรดังเดิม ได้จนกระทั่งต้องทำพิธีกวนน้ำอมฤตขึ้นเพื่อแก้ไข
พึงเห็นได้ว่าแรงตบะอำนาจของพระฤาษีที่ผ่านการบำเพ็ญเพียรอย่างแรงกล้ามีอำนาจประกาศิตเหนือฟ้า แม้เทพยดาทั้งหลายยังกลัว ด้วยเหตุนี้พระฤาษีทั้งหลายผู้บำเพ็ญเพียรอย่างแรงกล้าจึงเป็นที่เคารพแก่ มนุษย์และเทพยดาทั้งหลายมาโดยตลอด
นอกจากนี้ยังมีพระฤาษีที่มีฤทธิ์อีกมากมีรายนามพอสังเขปได้ดังนี้
พระฤาษีวาลมิกิ หรือ วัชมฤค เป็นพระฤาษีอาศัยอยู่ในป่ากาลวาต เมื่อตอนที่นางสีดาไปอาศัยอยู่ด้วยเมื่อครั้งถูกพระรามลงโทษประหาร และคลอดพระมง** พระฤาษีตนนี้แสดงฤทธิ์ในเรื่องเป็นที่ประจักษ์ในคราวที่ หาพระมงกูลูกนางสีดาไม่เจอจึงได้ชุบพระลบขึ้นมาแทน ต่อมาเมื่อหาบุตรของนางสีดาเจอพระลบจึงได้กลายเป็นเพื่อนกับพระมง**ฏจนกลายเป็นสองพี่น้องไป
พระฤาษีนารท เป็นผู้แนะนำให้หนุมานดับไฟที่ปลายหางเมื่อครั้ง เผากรุงลงกาด้วยการใช้น้ำบ่อน้อย คือ น้ำลายช่วยดับ
พระฤาษีกาลดาบส เป็นผู้สอนศิลปศาสตร์ให้แก่ไนสุริยวงศ์
พระฤาษีที่พระรามไปพบระหว่างเดินทาง ได้แก่ พระฤาษีสุทรรศน์, พระฤาษีสุไข, พระฤาษีอรรคต (คนละตนกับพระฤาษีอังคต), พระฤาษีสรภังค์
ผู้วิเศษอยู่แดนมิถิลา คือ พระฤาษีสุธามันตัน
ผู้วิเศษอยู่แดนขีดขิน คือ พระฤาษีอังคต (เล่าไว้แล้วในเรื่องพระฤาษีอังคต)
ผู้วิเศษอยู่แดนลงกา มีพระฤาษีนารท (เล่าไว้แล้วในเรื่องน้ำบ่อน้อย) พระฤาษีโคบุตร (อาจารย์ของทศกัณฐ์ ผู้มีวิชาถอดกล่องดวงใจ) พระฤาษีกาล (รวม 3 ตน)
ผู้วิเศษอยู่แดนเขาตรีกุฏ มีพระฤาษีสุเมธ พระฤาษีอมรเมศ พระฤาษีปรเมศ รวม 3 ตน
ผู้วิเศษอยู่เชิงเขามรกต ซื่อ พระฤาษีทศไพ
ผู้วิเศษอยู่เชิงเขาไกรลาศ มีพระฤาษีคาวิน พระฤาษีสุขวัฒน
ผู้วิเศาอยู่ใดไกยเกษ นามว่าพระฤาษีโควินท์
ผู้วิเศษอยู่ป่ากาลวาต นามว่า พระฤาษีวัชมฤค
พระฤาษีที่หนุมานพบตอนถวายแหวนนางสีดามีสองตน คือ พระฤาษีชฏิล และ พระฤาษีนารท
พระฤาษีที่เกิดจากการแปลงของทศกัณฐ์ มี 3 ตน คือ พระฤาษีสุธรรมแปลงเมื่อไปลักนางสีดา พระฤาษีกาลเมื่ออยู่เขาคันธมาทน์ พระฤาษีสิทธิโคดมเมื่อไปหาพระรามในค่าย
ที่มาจากหนังสือเรื่องหัวโขนในรามเกียรติ์ โดยสุมาลิน พึ่งพันธ์
ทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงตำนานของพระฤาษีผู้มีฤทธิ์ในวรรณคดีนี้ อาจจะไม่เป็นเรื่องธรรมะโดยตรง แต่ก็แฝงแง่คิดไว้หลายประการ..อีกประการจุดประสงค์ของข้าพเจ้า ก็ อยากทำให้ ธรรมะเป็นทาน เป็นเรื่องที่ ไม่น่าเบื่อ
โดย: Sornpraram เวลา: 2014-10-3 06:56
ประวัติโดยสังเขปของฤๅษีวยาส
ฤๅษีวยาสเป็นบุตรของฤๅษีปราศรและนางสัตยวดี เป็นเหลนของพรหมฤๅษีวสิษฐ์ ซึ่งเป็น 1 ใน 7 พรหมฤๅษี กำเนิดที่เกาะกลางแม่น้ำยมุนา เมื่อแรกเกิดได้ชื่อว่า"กฤษณะ ไทวปายนะ" หมายถึงผู้มีผิวดำและเกิดกลางแม่น้ำ ต่อมามีชื่อว่า"วยาส" หมายถึงเป็นผู้จัดระเบียบพระเวท
ต่อมานางสัตยวดีได้เป็นอัครมเหสีของพระราชาศานตนุ ผู้ครองเมืองหัสตินาปุระ แคว้นกุรุ มีโอรสด้วยกัน 2 องค์ คือจิตรางคทะ และวิจิตรวีรยะ เจ้าชายจิตรางคทะสิ้นพระชนม์ในการรบกับพระราชาคนธรรพ์ที่ชื่อจิตรางคทะเช่นกันที่ทุ่งกุรุเกษตร ทำให้เจ้าชายวิจิตรวีรยะขึ้นครองเมืองหัสตินาปุระต่อจากพระราชาศานตนุ
ต่อมาไม่นาน ภีษมะซึ่งเป็นโอรสของพระคงคาและพี่ต่างมารดาของพระราชาวิจิตรวีรยะได้นำพระธิดาของพระราชาแคว้นกาสี 3 องค์มาทำการสมรสกับพระราชาวิจิตรวีรยะด้วยวิธี"รากษสวิวาห์" แต่พระนางอัมพาผู้พี่มีใจรักพระราชาศาลวะอยู่แล้ว ทำให้ภีษมะอนุญาตให้นางไปพบพระราชาศาลวะได้ แต่ถูกปฏิเสธกลับมา และภีษมะก็ปฏิญาณว่าจะไม่แต่งงานอยู่แล้ว ทำให้นางอัมพาไม่พอใจ กลายเป็นเหตุการตายของภีษมะในเวลาต่อมา
ฝ่ายอีก 2 องค์ที่เหลือคือเจ้าหญิงอัมพิกาและอัมพาลิกา ได้อภิเษกเป็นพระมเหสีของพระราชาวิจิตรวีรยะ แต่ก็เกิดเหตุขึ้นในหลายปีผ่านมาเพราะพระราชาวิจิตรวีรยะสวรรคต โดยทั้ง 2 ยังไม่มีโอรส นางสัตยวดีต้องหาผู้มาทำการ"นิโยค"เพื่อให้มีโอรสสืบราชวงศ์กุรุ ซึ่งภีษมะ แน่นอนว่าไม่รับ ทำให้ฤๅษีวยาสต้องรับเป็นผู้ทำการนิโยคในครั้งนี้
นางอัมพิกาได้นิโยคกับฤๅษีวยาสก่อนเป็นคนแรก แต่นางหลับตาตลอดเวลาเพราะกลัวรูปร่างอันน่ากลัวของฤๅษีวยาส ทำให้โอรสที่ออกมาตาบอดแต่กำเนิด ต่อมาได้ชื่อว่า"ธฤตราษฎร์" เป็นพระบิดาของกลุ่มพี่น้องเการพทั้ง 100 โดยทุรโยธน์เป็นพี่ใหญ่
ฝ่ายนางอัมพาลิกาได้นิโยคเป็นลำดับถัดไป นางตัวซีดขาวตลอดเวลาด้วยความกลัว ทำให้โอรสที่ออกมาผิวขาวซีดและสุขภาพไม่ดี ต่อมามีชื่อว่า"ปาณฑุ" ตามสีผิวที่ขาวซีด ซึ่งเป็นพระบิดาของกลุ่มพี่น้องปาณฑพทั้ง 5
ฝ่ายนางสัตยวดี เห็นเช่นนั้นจึงให้นางอัมพิกาไปนิโยคอีกรอบ ซึ่งแน่นอน นางก็กลัว ให้นางกำนัลไปแทน ผลออกมาที่ได้ ปรากฏว่าได้บุตรที่ปกติ และมีความฉลาดหลักแหลม ซึ่งมีนามว่า "วิทูร"
ฤๅษีวยาสได้เข้ามาคลี่คลายปมปัญหาที่ยุ่งยากในราชวงศ์กุรุถึงหลายครั้งหลายครา จนต่อมาเมื่อพี่น้องเการพและปาณฑพซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหลานของฤๅษีวยาส ได้ทำสงครามกัน 18 วันที่ทุ่งกุรุเกษตร โดยมีพระราชาทั่วภารตวรรษร่วมรบ เสียกำลังพลถึง 18 อักเษาหิณี ปรากฏว่าฝ่ายพี่น้องปาณฑพซึ่งมีคุณธรรมและฝีมือในการรบเป็นฝ่ายชนะ
ต่อมาฤๅษีวยาสได้เห็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด จึงคิดจะบันทึกเป็นมหากาพย์โดยมีความยาว 100,000 โศลก ฤๅษีวยาสได้อัญเชิญพระพิฆเนศมาเป็นผู้บันทึก ซึ่งพระพิฆเนศมีข้อแม้ว่าฤๅษีวยาสต้องบอกโดยไม่หยุด แต่ฤๅษีวยาสก็แก้ลำโดยมีข้อแม้ว่า สิ่งที่จะบันทึกลงไป องค์พระพิฆเนศจะต้องเข้าใจเสียก่อนจึงบันทึก ทำให้ฤๅษีวยาสมีเวลาพักผ่อนในการเล่า โดยเมื่อฤๅษีวยาสจะพักผ่อน ก็จะแต่งให้ตีความยาก ทำให้พระพิฆเนศต้องหยุดตีความก่อนบันทึก ฤๅษีวยาสจึงมีเวลาพักผ่อน
หลังจากการรจนามหากาพย์มหาภารตะ ครั้งหนึ่งฤๅษีวยาสได้พบกับฤๅษีวาลมิกิ ซึ่งเป็นผู้รจนามหากาพย์รามายณะ ฤๅษีวาลมิกิได้ถามถึงการรจนามหากาพย์มหาภารตะของท่านว่าไปถึงไหนแล้ว ฤๅษีวยาสบอกว่าการรจนาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำให้ฤๅษีวาลมิกิแปลกใจ ฤๅษีวยาสบอกต่ออีกว่าที่รวดเร็วเช่นนี้เพราะพระพิฆเนศทรงช่วยบันทึก
ฤๅษีวยาสเป็นผู้มีญาณหยั่งรู้กาลในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้อย่างดียิ่ง ในคราวใดก็ตามที่เกิดปัญหาในราชวงศ์กุรุที่ลำพังมนุษย์สามัญธรรมดาแก้ไม่ตก เมื่อนั้น ฤๅษีวยาสก็จะปรากฏตัวขึ้นมาในที่นั้นเพื่อชี้แจงที่มาที่ไปของปัญหาที่เกิดขึ้น ดังเช่นในคราวหนึ่ง ที่พี่น้องปาณฑพต้องแต่งงานกับนางเทราปทีทั้งหมด ตามคำประกาศิตโดยมิได้ตั้งใจของพระนางกุนตีผู้เป็นมเหสีของพระราชาปาณฑุและมารดาของพี่น้องปาณฑพ ซึ่งท้าวทรุบทผู้เป็นบิดาของนางเทราปทีต้องงงงวยที่จะต้องทำเช่นนั้น แต่เมื่อฤๅษีวยาสปรากฏตัว จึงได้ทราบความจริงทั้งหมดที่ว่าในอดีตชาติของนางเทราปทีนั้น นางได้รับพรจากพระศิวะให้มีสามีที่ทรงคุณธรรม สามีผู้ทรงพละกำลัง สามีผู้ทรงฝีมือในการรบ และสามีผู้มีรูปงามสองคน ซึ่งการที่ได้แต่งงานกับปาณฑพทั้ง 5 นั้นก็เป็นไปตามพรของพระศิวะ คือยุธิษฐิระผู้ทรงคุณธรรม ภีมะผู้ทรงพลัง อรชุนผู้เป็นยอดนักรบ และฝาแฝดนกุล-สหเทพผู้มีรูปโฉมงดงามนั่นเอง
และอีกครั้งหนึ่งที่ฤๅษีวยาสได้พยากรณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต่อไป ให้แก่พระนางสัตยวดี อัมพิกาและอัมพาลิกา ซึ่งฤๅษีวยาสกล่าวถึงความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นในกลุ่มลูกหลานราชวงศ์กุรุกันเอง และได้แนะนำให้ทั้งสามพระองค์เสด็จไปประทับในป่าจนตลอดชีวิต ซึ่งื้งสามก็ทำตามที่ฤๅษีวยาสแนะนำ ปรากฏว่าเหตุการณ์นั้นเองก็เกิดขึ้นจริงๆ ในหลายสิบปีถัดมา ซึ่งก็คือสงครามมหาภารตยุทธนั่นเอง
ที่มา..http://board.plungjai.com/index.php?topic=1106.0;wap2
โดย: Nujeab เวลา: 2014-10-3 15:49
ขอบคุณสำหรับความรู้และเรื่องราวดีๆครับ
โดย: sritoy เวลา: 2014-10-3 19:35
ขอบคุณครับ
โดย: AUD เวลา: 2014-10-4 20:19
ขอบคุณครับ
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) |
Powered by Discuz! X3.2 |