Baan Jompra
ชื่อกระทู้:
ตำนานข้าวมธุปายาส
[สั่งพิมพ์]
โดย:
AUD
เวลา:
2013-5-20 22:00
ชื่อกระทู้:
ตำนานข้าวมธุปายาส
[attach]3028[/attach]
มีตำนานเล่าว่า นางสุชาดา ธิดาเศรษฐี ณ หมู่บ้านเสนานี ใกล้ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ปรุงข้าวมธุปายาส ขึ้นเป็นอาหารไปแก้บน เพราะสมปราถนาได้บุตรชายในค
รรภ์แรก ได้เห็นพระพุทธเจ้า เมื่อเสวยพระชาติเป็นพระโพธ
ิสัตว์ประทับใต้ต้นนิโครธ (ต้นไทร) ก็เข้าใจพระองค์เป็นเทพยดาเ
พราะมีลักษณะงาม นางจึงน้อมข้าวมธุปายาสนั้น
เข้าไปถวาย ครั้นพระโพธิสัตว์ได้บอกควา
มจริงแก่นางแล้วน
างก็ยิ่งมีใจศรัทธา จึงได้ถวายข้าวนั้นทั้งถาด พระโพธิสัตว์ได้นำข้าวมธุปายาสมาแบ่งเป็น ๔๙ ก้อน แล้วฉันจนหมด
จากนั้นจึงนำถาดไปอธิษฐานแล้วลอยไปในแม่น้ำเนรัญชรา เพื่อเสี่ยงทายเรื่องที่จะสามารถตรัสรู้ได้หรือไม่ ข้าวมธุปายาสของนางสุชาดาจึงนับว่าเป็นอาหารมื้อสุดท้ายก่อนที่พระโพธิสัตว์จะได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ดังคำกล่าวที่ว่า
นับหกปีที่พระสิทธัตถะ
ฝึกตบะเพียรภาวนามั่น
จวบวิสาขะรุ่งอรุณพลัน
นางสุชาดานั้นเฝ้าพระองค์
ถวายข้าวปายาสด้วยศรัทธา
เสวยแล้วโมทนาดังประสงค์
ลอยถาดทวนสายชลจนจมลง
เสด็จตรงแนวป่าพนาลัย
จึงมีความเชื่อกันว่า ข้าวมธุปายาส เป็นอาหารวิเศษ ผู้ใดมีวาสนาได้กินแล้วจะมีร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัย อุดมด้วยสติปัญญา และเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
โดย:
AUD
เวลา:
2013-5-20 22:01
การเตรียมของปรุง
1. ของที่ต้องนำมาโขลกตำ ได้แก่ ข้าวอ่อนเจือด้วยน้ำโขลกแล้
วคั้น น้ำที่ใช้เป็นน้ำมนต์ถือว่า
เป็นสิ่งศิริมงคลและให้ผลทา
งจิตใจ ชะเอมสดและชะเอมเทศโขลกคั้น
เอาน้ำมาเจือในน้ำนม แทนคติว่าแม่โคถูกเลี้ยงในป
่าชะเอม (กิ่งชะเอม เมื่อทุบให้แตกใช้ขัดถูฟัน มีสรรพคุณรักษาโรคเหงือก ทำให้ฟันแข็งแรงและบำรุงสาย
ตา)
2. ของที่ต้องนำมาหั่นฝานให้เป
็นชิ้นเล็กไ ด้แก่ ผลไม้สด ผลไม้แห้ง ผลไม้กวน ผลไม้แช่อิ่ม
3. ของที่ต้องนำมาหุงเปียกได้แ
ก่ ประเภทข้าว สาคู ลูกเดือย
4. ของที่ต้องนำมาแช่น้ำให้นิ่
มแล้วนึ่งให้สุก ได้แก่ ประเภทถั่ว
5. ของที่ต้องนำมาคั่ว ได้แก่ ถั่วลิสง งา ถั่วลิสงและงาต้องแยกกันคั่
ว ไม่นำมาคั่วรวมกัน เพราะของแต่ละอย่างใช้เวลาท
ำให้สุกไม่เท่ากัน ถั่วลิสงจะสุกช้ากว่างาอย่า
งนี้กระมังจึงมีสุภาษิตของไ
ทยที่ว่า “กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้” หมายความถึงการทำงานที่ขาดร
ะเบียบ ไม่มีขั้นตอน ไม่รู้จักจัดลำดับความสำคัญ
ว่าสิ่งใดควรทำก่อน ทำหลังเป็นเหตุให้งานเสียหา
ยได้
6. ของที่ต้องนำมาคั้นน้ำ ได้แก่ ผลไม้ประเภทส้ม ทับทิม
7. ของที่ต้องนำมากวนให้เหนียว
พอเป็นยางมะตูม ได้แก่ น้ำตาลหม้อซึ่งใช้เป็นหลักจ
ริงๆ ส่วนน้ำผึ้ง น้ำอ้อยสด น้ำอ้อยแดง น้ำตาลกรวด น้ำตาลทราย ใส่พอสังเขป
8. น้ำมันที่ใช้กวน ได้แก่ กะทิซึ่งใช้มะพร้าวแก่ขูดแล
้วคั้นด้วยน้ำมะพร้าวอ่อน น้ำนมโค และเนยใช้เจือขณะกวนใส่เพีย
งนิดหน่อย เรียกว่า ใส่พอเป็นพิธี บางทีกวนกระทะใหญ่โตใช้เนยเ
พียงช้อนเดียว เมื่อกวนเสร็จจะมีกลิ่นหอมข
องกะทิและน้ำตาลมากกว่ากลิ่
นของนมเนย อันเป็นแบบฉบับขนมอย่างไทยๆ
ขั้นตอนในการใส่ของปรุง “ข้าวทิพย์”
1. เคี่ยวกะทิและน้ำตาลใช้ไฟ ปานกลางอย่าแรงเกินไปจะทำให
้น้ำตาลไหม้
2. เมื่อเดือดได้ที่ นำของที่หุงเปียกและนึ่งไว้
แล้วได้แก่ ประเภทข้าว และถั่วลงกวน
3. ใส่ผลไม้สดที่หั่นฝานเป็นชิ
้นเล็กๆ ตามความเหมาะสมลงกวนเพื่อทำ
ให้ผลไม้สดลดความชื้น เมื่อกวนเสร็จจะสามารถเก็บไ
ว้ได้นาน ไม่ชื้นหรือขึ้นราง่าย
4. ขณะกวนหากเครื่องปรุงข้นเหน
ียวหรือแห้งเกินไปสามารถเติ
มน้ำผลไม้คั้นได้ ตามสมควร
5. เหยาะน้ำนมสด เนย และน้ำนมข้าวอ่อนที่คั้นกับ
ชะเอมพอประมาณ
6. ใส่ผลไม้แห้ง ผลไม้แช่อิ่ม และผลไม้กวน ที่หั่นฝานดีแล้วลงกวนคลุกเ
คล้าเบาๆ จนส่วนผสมกระจายทั่วกันดี ผลไม้แห้งต่างๆ เมื่อใส่ลงในกระทะแล้วจะใช้
เวลากวนอีกเพียงชั่วครู่ เพื่อรักษากลิ่นหอมตามธรรมช
าติของผลไม้ไว้
7. เสร็จแล้วยกลงจึงโรยด้วยของ
ที่คั่วสุก ได้แก่ ถั่วลิสงคั่ว งาคั่ว
ลักษณะของข้าวทิพย์เมื่อกวน
เสร็จ
-จะมีความเหนียวพอประมาณ เมื่อเย็นสนิทแล้วสามารถนำม
าปั้นหรือกดลงพิมพ์เป็นชิ้น
ได้ ไม่แข็งกระด้าง หอมกลิ่นผลไม้ต่างๆ กะทิ และน้ำตาลมีสีสันของส่วนผสม
สามารถมองเห็นเนื้อข้าวสีขอ
งผลไม้ และส่วนผสม อื่นๆ ได้ดี มองดูน่ารับประทาน
-สิ่งสำคัญในการกวนข้าวทิพย
์ ขณะกวนต้องกวนไปทางเดียวกัน
คือ วนขวาไปตลอด จนกระทั่งเสร็จ เพื่อให้ขนมมีความเหนียวและ
กะทิไม่แยกตัวจากน้ำตาล
โดย:
AUD
เวลา:
2013-5-20 22:01
สัดส่วนที่ใช้เครื่องปรุงแต
่ละอย่างไม่กำหนดตายตัว
ขึ้นอยู่กับความชอบของผู้ปร
ุง แต่ส่วนใหญ่จะหนักน้ำตาลหม้
อกะทิและข้าว สำหรับขนมปังจืดผึ่งแห้งแล้
วนำมาป่นเป็นเกร็ดสำหรับโรย
คงเป็นอิทธิพลของขนมตามแบบฝ
รั่งที่แผ่เข้ามาในสมัยต้นๆ
รัชกาล
ในพระราชพิธีกวนข้าวทิพย์ ฟืนที่ใช้ติดไฟเคี่ยวกะทิแล
ะกวน ใช้ไม้ชัยพฤกษ์และไม้พุทราส
องอย่างเท่านั้น เชื้อไฟก็ใช้ส่องด้วยแว่นขย
ายจุดขึ้นเรียกว่า “ไฟฟ้า” เป็นความหมายว่าไฟเกิดจากฟ้
า ถือเอาตามคติที่พระอินทร์เป
็นผู้ลงมาจุดไฟในเตาให้นางส
ุชาดานั้นเองผู้กวน
ข้าวทิพย์จะเป็นหน้าที่ของเ
ด็กหญิงพรหมจรรย์ อายุไม่เกิน 12 ปี ทั้งสิ้น
จากประวัติความเป็นมาและกรร
มวิธีในการหุงข้าวมธุปายาส ที่พรรณนามาทั้งหมดจึงสรุปม
ูลเหตะที่ชาวพุทธทั้งหลายกล
่าวยำย่อง “มธุปายาส” ว่าเป็น “ข้าวทิพย์” ได้ 3 ประการคือ
1. เป็นของที่มีรสอันโอชะล้ำเล
ิศและกระทำได้ยากผู้ที่จะสา
มารถปรุงขึ้นได้ ต้องอาศัยบารมี คือมีความพร้อมทั้งกำลังทรั
พย์ กำลังกายคือบริวารผู้คน และกำลังสติปัญญาล่วงรู้ขั้
นตอนในการปรุง เห็นได้ว่ามิใช่วิสัยของคนธ
รรมดาจะทำได้อย่างครบถ้วนบร
ิบูรณ์
2. เป็นของที่ปรุงขึ้นถวายแด่ผ
ู้มีบุญญาธิการ ผู้ควรสักการะบูชา ปรุงขึ้นเป็นการเฉพาะ เช่น เพื่อเป็นเครื่องสังเวยต่อเ
ทพยดา เป็นต้น รวมความก็คือทั้งผู้ปรุงและ
ผู้รับต่างต้องมีบุญบารมีมา
กจึงจะกระทำได้
3. เป็นอาหารที่พระพุทธเจ้าทรง
เสวยแล้วสามารถตรัสรู้บรรลุ
อนุตตรสัมโพธิญาณได้
ฉะนั้น “ข้าวทิพย์” ก็คือ สมญานามอันเกิดจากความรู้สึ
กที่ลึกซึ้งในจิตใจว่า เป็นของสูงของวิเศษล้ำค่าหา
ที่เปรียบมิได้นั้นเอง
ที่มา : madchima.org/by สาระแห่งสุขภาพ
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2018-1-30 06:38
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/)
Powered by Discuz! X3.2